บนเส้นทางแห่งการฝึกฝนทางจิตใจ ที่ผ่านกิจกรรมสามอย่างคือ
"ทาน ศีล ภาวนา"...ที่นำไปสู่เป้าหมายการเกิดในเรื่อง ==> ศีล สมาธิ และปัญญา ที่เกิดเป็นอุปนิสัย ซึมเข้าไปในกาย วาจา ใจของเรา
บนเส้นทางดังกล่าว ...ไม่ได้มาด้วยความเรียบง่าย
บุคคลที่มองว่า "ความอึดอัดใจนั้นไม่ได้บุญหรือไม่ใช่บุญ"... คือ ความเข้าใจที่ผิดอย่างยิ่ง (มิจฉาทิฐิ)...
เพราะความรู้สึกอึดอัดนั้น เป็นสภาวะด้านลบที่เกิดในจิตใจของเรา
ความรู้สึกด้านลบมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "กิเลส"...
ดังนั้น บุคคลจึงถอยห่างออกจากความอึดอัด ไปสู่สภาวะแห่งความลวงที่หลงว่านั่นน่ะคือ ดินแดนแห่งความสุข
แต่...หารู้ไม่ว่าที่จริงสภาวะนั้นคือ การที่เราถูกหลอกจากสภาวะจิตเราเองให้หลงชื่อว่า "นั่นคือ สุขที่แท้"
เมื่อทบทวนมาถึง ณ ตรงนี้
ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงลามะทิเบตหลายท่านที่ตกอยู่ในสภาวะความอึดอัด
แต่เป็นความอึดอัดทางกายเท่านั้น คือ การถูกกักขังไว้ในที่ขุมขัง แต่สภาวะใจของท่านนั้นกลับพบปรากฏการณ์ความร่มเย็น...
ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะใจของท่านไม่ได้ยอมให้กิเลสมาปรุงแต่งทางอารมณ์ และความคิด ความรู้สึกเกิดขึ้นได้นั่นเอง
เมื่อเราตกอยู่ในสภาวะที่เรียกว่า "อึดอัดใจ"
ให้เราเจริญสติสัมปชัญญะ...ว่า
สิ่งที่ผ่านมากระทบเรานั้น จิตใจของเราปรุงแต่งต่อผัสสะที่มากระทบนั้นอย่างไรบ้าง
ใคร่ครวญและไตร่ตรอง ...
หากว่ายังไม่ได้คำตอบ ให้เราดำรงอยู่และใช้ลมหายใจหล่อเลี้ยงจิตนี้
เมื่อเกิดปัญญา...
เราจะสามารถนำพาตนเองก้าวออกจากความอึดอัดนั้นได้
โดยที่อาจจะไม่ใช่การเคลื่อนย้ายกายออกไป หากแต่...การนำ "ใจ" ของเราเข้าสู่สภาวะสงบแทน ...
นี่น่ะ คือ นิพพานน้อยๆ...อันเป็นชิมลางให้จิตเราได้รู้ว่า
"ความร่มเย็นแห่งจิตใจนั้นเป็นเช่นไร"...
...
๒๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๔
กำลังเจอกับความอึดอัด ขัดแย้งระหว่างความคิดที่มีอยู่ในตัวเรา กับข้อเสนอแนะจากบุคคลภายนอก กำลังสติไม่พอ เจริญสติแล้วหายไปช่วงหนึ่ง ไม่นานมันก็กลับมา ลืมมันยาก แต่กำลังพยายามอยู่ ขอบคุณมากสำหรับบทความนี้ ทำให้ต้องเร่งเจริญสติยิ่งๆ ขึ้นไป
ดีจังเลยค่ะพี่เกียรติที่มาร่วมแชร์ประสบการณ์ให้รับทราบ
สาธุค่ะ เหมือนที่พี่ปุ๋มบอกไว้ว่า ทำให้ติ๋วคิดถึงคำนี้ค่ะ
โจทย์ไม่มาปัญญาก็ไม่มี ถ้าเห็นโจทย์แล้ววิ่งหนีปัญญาก็ไม่มีโอกาสมา
นิพพานน้อยๆ
สุขนาน ๆ
ครับอาจารย์
ได้ประโยชน์มากมาย ขอบคุณธรรมะดีๆ จากคนใจบุญ