ต่างมีผู้คนพยายามที่จะตีความพฤติกรรมของข้าพเจ้าไปต่างๆ นานา ว่าทำไมต้องเรียนหนังสือมากมาย เรียนเท่าไรก็ไม่พอ ... ปริญญาโททำไมจะต้องเข้าเรียนถึงสองสาขา ปริญญาเอกก็เช่นเดียวกัน
เรียนไปแล้วก็ไม่ไปเอาใบปริญญา...
เป็นคำถามที่ผู้คนต่างไม่เข้าใจ
ผ่านมาแล้วหลายปี มีอาจารย์ท่านหนึ่งถามข้าพเจ้าว่าทำไมถึงเรียนปริญญาเอก และทำไมต้องเข้าเรียนอีกสาขา
ซึ่งหากว่าไปแล้วเรียนแล้วก็ใช่จะเอาทำประโยชน์ทางวิชาการ เปล่าเลย...
สิ่งที่ข้าพเจ้าได้ลงมือเรียนหนังสือมาตั้งแต่เด็กจนโต...มีพี่สาวท่านหนึ่งบอกต่อข้าพเจ้าว่า "เรียนเพื่อฆ่าเวลา"...ก็อาจจะใช่ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด
สิ่งที่ลงมือทำลงมือเรียน เรียนเพื่อขัดใจตนเอง
ข้าพเจ้าเป็นคนที่ขี้เกียจไม่ทะเยอทะยาน ... แต่ด้วยว่าในสมัยก่อนเพื่อนที่คบหาดูใจกันมาชักชวนให้เรียน ข้าพเจ้าก็เรียน ซึ่งเป็นเรียนเพื่อเรียนเท่านั้น
เรียนแล้วก็แล้ว
แต่ในการเรียนแบบ "เรียนแล้วก็แล้วเสร็จ" นั้นทำให้ข้าพเจ้าได้กำไร ท่ามกลางการขาดทุนทางทรัพย์ของแม่ แต่กำไรที่ได้คือ ทางจิตใจ
จิตใจของข้าพเจ้าได้รับการขัดเกลา ซึ่งข้าพเจ้ามักเรียกเสมอว่า "ขัดใจ" อันเป็นการขัดใจตนเองให้แจ่มชัดออกจากกิเลสที่เต็มไปด้วยความหลง ความอยาก และความโกรธ สั่งสมเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา
ยิ่งเรียนยิ่งรู้ว่า ... ความเย่อหยิ่ง เป็นความโง่เขลาอย่างมาก
ยิ่งเรียนยิ่งรู้ว่า... เรานั้นไม่ได้เก่งเลิศอะไรเลย
และที่สำคัญยิ่งเรียนยิ่งทำให้ตระหนักว่า "ตนเองมีกิเลสเกาะอยู่ในใจเยอะจังเลย"...
นั่งขัดขั่งถู นั่งเพียรเรียนรู้ "ใจ" ตนเอง ผ่านวิถีชีวิตการเรียนในระบบ
ในขณะเดียวกันก็ได้เกิดการเรียนนอกระบบตามมาอย่างเป็นอัตโนมัติ
ทุกข์อย่างแสนสาหัสนั้นผ่านมากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง อันเป็นทุกข์ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งใดใดเลย หากแต่เป็นทุกข์ที่ปะทุขึ้นมาในจิตใจ และอาศัยวิธีการ "ขัดใจ" นี่แหละทำให้ได้มองเห็นใจของตนเองแจ่มชัดว่าเป็นอย่างไร
กำไรอีกอย่างที่ปรากฏ
คือ...ทำให้ตัวตนนี้มันเล็กลง เคลื่อนเข้าสู่ความเป็นธรรมดาได้ง่ายมากขึ้น
...
๑๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๔
ไม่มีความเห็น