...ตำนานเจ้าหลวงคำแดงและถ้ำเชียงดาว...
เรื่องราวที่เล่าขานสืบต่อกันมาเป็นอมตะคู่กับดอยหลวงเชียงดาว
คงจะไม่มีสิ่งใดเทียบเทียม "ตำนานเจ้าหลวงคำแดง" และ
"ตำนานถ้ำเชียงดาว"
ซึ่งร้อยเรียงผสมผสานกับความเชื่อของคนท้องถิ่นได้อย่างลงตัว
ตำนานเกี่ยวกับเจ้าหลวงคำแดงถูกถ่ายทอดออกมาหลายเรื่องราวด้วยกัน
แม้จะมีความต่างในรายละเอียด ทว่าหากพิจารณาให้ถึงแก่นแล้ว
เจ้าหลวงคำแดงก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขา
เป็นเจ้าแห่งผีทั้งหลาย เป็นที่เคารพ สักการะ ของชาวเหนือ
อย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และถ้ำเชียงดาวซึ่งเชื่อกันว่า
เป็นเมืองเทวาของเจ้าหลวงคำแดง ตั้งอยู่ด้านหน้าของดอยหลวงเชียงดาว
ซึ่งเป็นขุนเขาที่ชาวเชียงใหม่นับถือว่าศักดิ์สิทธิ์
เชื่อว่าเป็นที่สิงสถิตของผีเมืองเชียงใหม่ทุกองค์ตั้งแต่ก่อนพญามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่
ผีเมืองเชียงใหม่มีเจ้าหลวงคำแดงเป็นประธานใหญ่กว่าผีเมืองทั้งหมด
มีเรื่องเล่าว่าทุกวันพระผีทุกผีในเมืองเชียงใหม่จะต้องไปร่วมเฝ้าและประชุมที่ดอยหลวงเชียงดาว
ซึ่งในถ้ำเชียงดาวจะมีห้องโถงขนาดใหญ่ที่เชื่อว่าเป็นห้องประชุม
ในวันนั้นผีจะไม่เข้ามาหลอกหลอนชาวบ้าน
นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าอีกว่า
ผีเมืองที่ดอยหลวงเชียงดาวได้เก็บข้าวจากชาวนาทุกคนที่วางไว้เซ่นไหว้พระแม่โพสพและเป็นค่าน้ำหัวนา
ซึ่งจะนำข้าวไปวางไว้ที่หัวนาก่อนที่ชาวนาจะนำข้าวมาใส่ในยุ้งฉาง
ข้าวเหล่านี้ผีดอยจะนำมากิน
แล้วจะเหลือเพียงเปลือกหรือแกลบไว้ซึ่งจะเก็บเปลือกข้าวหรือแกลบไว้ในถ้ำแห่งหนึ่งทางทิศใต้ไม่ไกลจากดอยหลวงเชียงดาวชื่อว่า
"ถ้ำแกลบ"
ความศักดิ์สิทธิ์ของดอยหลวงมิเพียงแต่ชาวบ้านจะเล่าสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคนแล้ว
พระสงฆ์ในเขตล้านนาก็ได้แต่งและคัดลอกคัมภีร์ใบลานชื่อ
ตำนานถ้ำเชียงดาวไว้หลายสำนวน
ทั้งที่พบในเชียงใหม่และเมืองอื่นๆที่ห่างไกลออกไป เช่น ที่เมืองน่าน
เป็นต้น
...เจ้าหลวงคำแดงเจ้าตำนาน…แห่งอมตะนิยาย
มีหลายเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมาเกี่ยวกับเจ้าหลวงคำแดงเป็นไปในลักษณะของ
อมตะนิยายพิศวาส อาทิ เล่าเป็นนิยายปรัมปรายุคต้นพุทธกาล
กล่าวถึง
สมเด็จองค์อัมรินทราธิราชเจ้า
ประมุขแห่งปวงเทพเทวาได้ดำริให้จัดทำสิ่งวิเศษเพื่อองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าศรีอาริยะเมตตรัยที่จะมาตรัสรู้พระสัจธรรมในอนาคต
ได้เล็งเห็นว่าถ้ำเชียงดาวเป็นสถานที่เหมาะสมแก่การเก็บรักษาของวิเศษเหล่านั้น
เพราะลึกเข้าไปในถ้ำจนสุดประมาณมิได้ เป็นเมืองแห่งพวกครึ่งอสูรกาย
เรียกว่าเมืองลับแล มีความเป็นอยู่ล้วนแต่เป็นทิพย์
ผู้คนทั้งหลายในมนุษย์โลกธรรมดาที่เต็มไปด้วยกิเลสยากนักที่จะเข้าไปพบเห็นได้
เพราะมีด่านภยันตรายต่างๆมากมายหลายชั้นกั้นขวาง ไว้เป็นอุปสรรค
มียักษ์สองผัวเมียบำเพ็ญภาวนารักษาศีลเพราะได้ปฏิบัติตนเป็นผู้ถึงซึ่งพระรัตนตรัยจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
โดยมีนางผู้เลอโฉมนามว่า "อินเหลา"
อยู่ปรนนิบัติบิดามารดาผู้ทรงศีลทั้งสอง จนวันหนึ่งได้พบกับ
เจ้าหลวงสุวรรณคำแดง ยุวราชหนุ่ม ซึ่งเสด็จมาประพาสป่าจากแค้วนแดนไกล
ได้บังเกิดความหลงใหลในความงามของนาง
ก็ได้พยายามติดตามนางไปจนถึงถ้ำเชียงดาว
และทิ้งกองทหารของพระองค์ไว้เบื้องหลัง จากนั้นก็ไม่กลับออกมาอีกเลย
ว่ากันว่าเจ้าหลวงสุวรรณคำแดงอยู่ครองรักกับเจ้าแม่อินเหลาที่ถ้ำเชียงดาวนั่นเอง
ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่าจะมีเสียงดังสะเทือนจากดอยหลวงเชียงดาว
ปรากฏเป็นลูกไฟ ขนาดลูกมะพร้าว
สว่างจ้าพุ่งหายไปในดอยนางซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของดอยหลวงเชียงดาว
ซึ่งมีความเชื่อว่า
เจ้าหลวงสุวรรณคำแดงลั่นอะม็อกไปเยี่ยมเจ้าแม่อินเหลาที่ดอยนาง
นอกจากนี้ยังมีตำนานเจ้าหลวงคำแดง
จากเอกสารที่เขียนขึ้นโดย พระมหาสถิตย์ ติกขญาโณ
กล่าวไว้ว่า
พระผู้เป็นเจ้าได้ปกาศิตให้เทวดายักษ์ตนหนึ่งนามว่า เจ้าหลวงคำแดง
กับบริวาร 10,000 คนมารักษาของวิเศษในถ้ำเชียงดาว เพื่อรักษาไว้ให้
พระเจ้าทรงธรรมมิกราชใช้ปราบมนุษย์อธรรมในอนาคต ซึ่งนามเดิมของเจ้าหลวงคำแดง คือ "เจ้าสุวรรณคำแดง"
ผู้ซึ่งจะมีหน้าที่เฝ้ารักษาถ้ำและดอยหลวงเชียงดาว
จะหมดเวลาของการเฝ้ารักษาเมื่อพระเจ้าทรงธรรมมาปราบมนุษย์อธรรมเสียก่อน
และกล่าวถึงเทวดาผู้เป็นชายาของเจ้าหลวงคำแดงมีนามว่า "จอมเทวี"
สถิตอยู่ที่ดอยนาง ว่ากันว่าต่างรักษาศีล 8 จึงหาได้อยู่ร่วมกันไม่
ก่อนที่เจ้าหลวงคำแดงและจอมเทวีจะมาอยู่ที่ดอยหลวงเชียงดาวนั้น
ชะรอยว่านางจอมเทวีมีนิวาสสถานบ้านเมืองอยู่เดิมอยู่ทางทิศใต้
ไม่ปรากฏชื่อแน่ชัด
ส่วนเจ้าหลวงคำแดงนั้นเป็นบุตรของเจ้าเมืองพะเยานามว่า "สุวรรณคำแดง"
ซึ่งพระบิดาได้สั่งให้เจ้าหลวงคำแดงพร้อมทหารไปรักษาด่านชายแดนเพื่อป้องกันศัตรู
ได้มาพบเห็นสาวงามนางหนึ่ง จึงได้ติดตามนางไปแต่ไม่พบ
เจอเพียงกวางทองตัวหนึ่ง จึงสั่งให้ทหารติดตามเจ้ากวางทองตัวนั้นไป
และกำชับว่าต้องจับเป็นห้ามทำร้ายเจ้ากวางทองเด็ดขาด เป็นเวลา 3
วันก็ไม่สามารถจับเจ้ากวางทองได้
แต่เจ้าหลวงคำแดงก็ยังไม่ละลดความพยายาม
นำทหารติดตามไปเรื่อยๆหมายจะจับกวางทองให้ได้ จนเวลาล่วงเลยไป 10
วันก็ยังไม่พบเจ้ากวางทอง คงเห็นแต่รอยเท้าเท่านั้น
และในวันหนึ่งสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาเจ้าหลวงคำแดงและเหล่าทหารก็คือ
คราบของกวางทอง อยู่ใกล้กับหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านสบคาบ
จากตำนานเจ้าหลวงคำแดงนั่นเอง
จากนั้นเจ้าหลวงคำแดงก็ติดตามเจ้ากวางทองไปในป่าแห่งหนึ่ง
ชื่อว่าดงเทวี ทันทีที่เจ้าหลวงคำแดงตามไปพบ
จึงสั่งให้ทหารกระจายกำลังโอบล้อมไว้พร้อมประกาศว่า
หากกวางทองหลุดออกจากด่านของผู้ใดผู้นั้นจะต้องถูกตัดหัว
ในที่สุดกวางทองตัวนั้นก็หลุดออกมาจากวงล้อมวิ่งผ่านไปทางที่เจ้าหลวงคำแดงอยู่
ดังนั้นเจ้าหลวงคำแดงจึงต้องไปติดตามกวางทองด้วยตัวเองและให้ทหารคอยอยู่ที่ดงเทวี
และสั่งว่าหากเกิน 7 วันแล้วพระองค์ยังไม่กลับให้กลับกันไปก่อน
แล้วก็ติดตามกวางทองตัวนั้นไปทางทิศตะวันตก
ซึ่งกวางทองมุ่งหน้าไปสู่เขาใหญ่ลูกหนึ่ง
แล้วกลายร่างเป็นคนเข้าไปยังถ้ำเชียงดาว
เจ้าหลวงคำแดงจึงตามเข้าไปในถ้ำ ตราบเท่าทุกวันนี้ก็ยังไม่กลับออกมา
ผู้คนเชื่อว่าพระองค์สิงสถิตรักษาถ้ำเชียงดาว จึงตั้งศาลไว้ชื่อว่า
ศาลเจ้าหลวงคำแดง และมีรูปปั้นกวางทองด้วย...
นพบุรีศรีนครพิงค์
เคยเที่ยวถ้ำเชียงดาวเหมือนกันครับ
แต่อยากไปถ้ำผาปล่อง ของหลวงปู่สิม นะครับ
อ่านเรื่องราวสนุกสนานน่าติดตามดีค่ะ จะต้องตามไปดูสถานที่จริง..
ถ้ำผาปล่อง ของหลวงปู่สิม ก็ดีเหมือนกันนะคะอาจารย์โสภณ
ขอชคุณค่ะ คุณพิมพ์สุภา ที่วัดนี้น่าไปชมค่ะ คนต่างชาติไปเที่ยวกันเยอะนะคะ เพราะเป็นวัดโบราณ พอเข้าไปถึงก็จะรู้สึกส่าน่าอัศจรรย์ใจจริง ๆ ค่ะ
วันที่ 2 ต.ค. นี้จะไปแอ่วถ้ำเชียงดาวครับ
สวัสดีเจ้า คุณอักขณิช...ถ้าได้ไปแอ่วแล้วปิกมาแล้ว เอามาเล่าฮื้อฟังต้วยเน้อเจ้า...
อ่านมีความสนุกแลัวได้อ่ะไรดีๆเยอะเลยครับ
อยากทราบว่า "อินเหลา" แปลว่าอะไรครับผม ยังไงผมขอความอนุเคราะห์ตอบผมมาทาง E-Mail ได้ไหมคับ จะเป็นพระคุณยิ่งครับ
ภาพที่ถัดลงมาจากภาพพระอรหันต์นอนนิพพาน ที่เป็นซุ้มเก่าริมหน้าผา เรียกว่าเทวดา หรือพระ ครับ