โทรศัพท์หายแต่ใจนั้นยังอยู่


ชั่วขณะของการวางโทรศัพท์ชาร์ตแบตไว้ที่ห้องทำงาน ...

ข้าพเจ้านั่งเขียนหนังสืออยู่บนโต๊ะทานข้าว แล้วลุกไปเข้าห้องน้ำซึ่งก็อยู่ในบริเวณห้องทำงานนั้น ได้ยินเสียงเปิดปิดประตู ... จึงได้เดินออกมาดู

เจอเด็กน้อยหน้าตายังสดใสอยู่ ยืนหิ้วตระกล้าอยู่จึงได้ทักไปว่า ... "ขายอะไร" เธอหันมาตกใจและบอกว่า "หนูมาขายขนมค่ะ"...

ข้าพเจ้ารีบหันไปดูโทรศัพท์ที่วางชาร์ตแบตไว้ ว่างเปล่า!

จึงได้รีบทักขึ้นในทันที ในสมองนี้เริ่มประมวลผลอย่างรวดเร็ว ... พุ่งเป้าไปที่เด็ก หลังจากสิ้นเสียงทักว่า "โทรศัพท์หายไปไหน" เด็กน้อยรีบพรวดพราดออกจากห้องไป ในใจนี้แน่นอนเลยว่าเด็กหยิบไป

จึงรีบไปบอกพี่นางเดินตามไป

ทำไมไม่ตามยาม(รปภ.) ทำไมไม่โวยวาย ทำไมไม่จับเด็กค้นตัวในตอนนั้น

เป็นคำถามที่หลายคนสงสัย เป็นความคิดที่มากมายวนอยู่ในความในใจของผู้คนที่ทราบเรื่องนี้

สักพักพี่นาง ได้ตัวเด็กและยายที่มาหิ้วขนมขายในโรงพยาบาล

ผู้เป็นยายปฏิเสธพัลวัล สาธยายไปอย่างมากมาย ส่วนหลานยืนนิ่งเงียบหลบอยู่ด้านหลัง ข้าพเจ้าพูดอยู่ประโยคเดียวว่า "มันจะเป็นกรรมติดตัวไปกับเด็ก"...

...

พฤติกรรมการหยิบของผู้อื่น...คือ อาการของคนขาดรัก

หากใจเต็มรักนั้นไม่ว่าใครก็จะไม่ทำสิ่งที่เป็นอกุศลกรรม

คนที่ทำอาการอย่างน้อย ๕ อาการคือ ทำร้ายร่างกายหรือฆ่าสัตว์ ขโมยของ ผิดลูกเมียผู้อื่น โกหก และเสพของมึนเมานั้นน่ะ เป็นอาการของใจที่พร่อง

พร่องจากอะไร

พร่องจากความรัก...รักอันเป็นความหมายแห่งการอบอุ่นและปลอดภัย

ในขณะนั้นข้าพเจ้านึกถึงหลวงปู่ ... ที่ครั้งหนึ่งท่านเคยเมตตาเด็กที่มาขโมยโทรศัพท์ท่านเช่นเดียวกันว่า "อย่าไปทวงคืนจากเด็กนะ ให้เด็กไป คงอยากได้เห็นมันสวย ล่อตาล่อใจ..."

ทำให้ได้คิดในตนเองว่า เป็นความบกพร่องของตัวเองนี่แหละที่นำมาวางล่อตาล่อใจผู้ที่มาหยิบเอาไป ไม่ต้องไปโทษเขาเพราะใจของเขานั้นเป็นทุกข์เป็นใจแห่งปัญหาที่มีอยู่มากมาย การที่จะหยิบฉวยไปไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะใจดวงนั้นยังไม่เคยได้รับการบ่มเพาะและขัดเกลาในเรื่องคุณธรรมและศีลธรรม

ทำไมข้าพเจ้าไม่ใช้การลงโทษ

ความรุนแรงไม่ได้ช่วยเยียวยา ... แม้ว่าเด็กอาจจะทำซ้ำอีกก็ได้

การจัดการที่ข้าพเจ้าเลือกทำคือ การพูดคุยให้องค์ความรู้แก่ยายและเด็ก

"เขาไม่สำนึกหรอก" คือ บทสนทนาของใครหลายๆ คน...

ข้าพเจ้าไม่ได้ปรารถนาให้สำนึก หากแต่เพียงตั้งใจใส่รหัสความดีงามทางศีลธรรมเข้าไปในใจของทั้งสองคน สักวันหนึ่งมันจะงอกงาม หรืออาจเป็นเพียงเมล็ดพันธุ์ที่เหี่ยวแห้งไปจากใจ

อย่างไรก็ตามหากใครทำ...ก็คงยังต้องมาเรียนรู้เรื่องนี้อยู่

ส่วนใจของข้าพเจ้านั้นได้ซึมซับเรื่องนี้ไปแล้ว เรื่องแห่งการเข้าใจปฏิกิริยาแห่งใจที่ส่งผลมาสู่การกระทำ

...

บทเรียน ๑๒ กย. ๕๔

หมายเลขบันทึก: 460525เขียนเมื่อ 15 กันยายน 2011 05:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 ธันวาคม 2012 17:17 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

โทรศัพท์หาย ดีกว่า คอมหาย และ ดีกว่าใจหาย สาธุ สาธุ "ทำใจ" แต่นึกเสียดาย ข้อมูลใน Sim นิ โอ้ชีวิต เด็กน้อย และ คุณยาย

เคยมีประสบการณ์ อาจารย์ท่านหนึ่งฝากซื้อของ แล้วให้เงินฝาก 250 บาท ผ่านคนงานมาให้

ากฎว่า คนงานคนนั้นชิ่งเอาไป..

เป็นอุทาหรณ์ว่าสังคมเรานี้มี คนที่ขาดรัก ขนาดยอมเสียความเชื่อใจ และเป็นกรรม อยู่ไม่น้อย

การให้อภัย วัตถุหายไปไม่เป็นไรคะ เราได้ยกระดับใจตนเอง ขึ้นมา :-)

ปล. ตกลงได้โทรศัพท์คืนไหมคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท