ยายไม่ยอมนะลูก


ประมาณ ๙ โมงกว่าที่ขับรถออกจากวัดมาถึงห้องทำงาน ยังไม่ทันได้นั่งก็มีเบอร์โทรเข้ามา

"ยายไม่ยอมนะลูก"...

"คุณยายมีเรื่องอะไรเหรอคะ"...

"เณรแฟรงค์จุดประทัดแกล้งหลานเณร"...

เอาล่ะ กรณีพิพาทเริ่มต้น ระหว่างลูกเณรและหลานเณร ทั้งสองเณรเป็นเด็กกำพร้าที่หลวงปู่เมตตาอุปถัมภ์ ร่องรอยเรื่องราวชีวิตผ่านการเรียนรู้ทางอกุศลกรรมมามาก และหลวงปู่เมตตานำน้ำพระธรรมรสลงไปในจิตแห่งใจของทั้งสองเณร

เณรโบโซ่อายุ ๑๙ ปี อารมณ์ประมาณศิลปินมากๆ ... อ่อนไหว หวาดระแวงกลัว

เณรแฟรงค์อายุ ๑๔ ปี ออกแนวฉลาดแกมเพี้ยนๆ แปลก แผลง

แต่ทั้งสองเณรดูเป็นเด็กฉลาดทั้งคู่ ...

และก็ผ่านชีวิตในวัยเด็กในครอบครัวที่ขาดพ่อขาดแม่มาด้วยกันทั้งคู่ คนหนึ่งหลวงปู่ให้เป็นพี่อีกคนให้เป็นน้อง

คนน้องเล่นซน มีเด็กในหมู่บ้านนำประทัดมาจุดเล่นในวัด ส่วนนี้พระอาจารย์ก็ได้อบรมตักเตือนแล้ว แต่เณรพี่ยังหวาดระแวงกลัวเพราะเณรน้องเล่นโยนประทัดเข้ามาในกุฏิ

ข้าพเจ้า...ได้ชะลอความร้อนในใจของคุณยายให้เย็นลง ซึ่งคุณยายเป็นยายของเณรโบโซ่ ก็สามารถบรรเทาความรุ่มร้อนให้เย็นได้ ด้วยการที่ข้าพเจ้ารับฟังและรดความเย็นลงไปรดในใจรับปากว่าตอนเย็นจะพาเข้าไปกราบหลวงปู่

ซึ่งในตอนเช้าคุณยายบอกว่า อย่างไรก็จะไปกราบหลวงปู่ให้ได้ ข้าพเจ้าบอกไปว่า "คุณยายหลวงปู่กำลังฉันเช้าอยู่...เดี๋ยวหลวงปู่จะฉันไม่อร่อยนะคะ" แล้วก็หัวเราะ...พลอยทำให้คุณยายได้หัวเราะไปด้วย ยืนยันอย่างเดียวว่าจะไปจัดการเรื่องเกเรของเณรให้ได้

ข้าพเจ้าประวิงเวลาไปได้จนเกือบจะเลิกงาน

และเมื่อไปถึงบ้านคุณยาย ก็ยังไม่พาไปทันทีนั่งพูดนั่งฟังกันอยู่เป็นนาน "คุณยายเราเข้าไปให้กำลังใจหลานเณรกันเถอะค่ะ"...หลังจากดูท่าทีคุณยายบรรเทาความร้อนลงไปได้ และเมื่อไปถึงที่วัดก็ยังไม่ได้เข้าไปกราบหลวงปู่ทันที ชวนคุณยายไปกราบพระ และนิมนต์เณรทั้งสองมาพูดคุยจนดีกรีความรุนแรงเบาบางลง

เจตนาของข้าพเจ้าไม่ปรารถนานำเรื่องรกใจไปให้หลวงปู่ หากสิ่งใดตนเองพอจัดการได้ให้ความรุนแรงนั้นเบาบางลงไปได้ ก็พยายามทำอย่างเต็มที่

จนเย็นย่ำ...

น่าจะเป็นเวลาที่เหมาะที่จะได้เข้าไปกราบท่าน ถึงตอนนี้ความขุ่นมัวใดใดในใจก็ไม่มีแล้ว จึงเหมาะต่อการที่หลวงปู่จะได้เทศน์อบรมเณรทั้งสอง

"สองคนนี้ก็ลูกหลวงปู่...นั่นก็ลูกนี่ก็ลูก"...

คำพูดนี้ซึ้งใจยิ่งนัก เณรหนึ่งนั้นซน อีกเณรนั้นก็มีโลกส่วนตัวสูง แต่ในสายตาของข้าพเจ้าก็มองว่าทั้งสองเณรก็ดูท่ารักใคร่กันดี เพราะมีกันอยู่แค่สองเณร...หลวงปู่ก็ให้ช่วยกันทำงาน บางทีอารณ์ดีก็พูดคุยหยอกล้อกันไป

...

สิ่งที่ได้เรียนรู้

โจทย์อันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ฝึกฝนการแก้ไขชะลอความร้อนแรงร้อนรุ่มให้ไปถึงหลวงปู่ได้อย่างเบาบางมากที่สุด ผ่อนหนักให้เป็นเบา

ถือว่าวันนี้ประคองสติตนเองให้มั่นนำไปเป็นฐานแห่งจิตใจไม่ให้ตก และยังตั้งมั่นอยู่

ก่อนเข้าไปถึงวัดเมื่อเช้านี้ข้าพเจ้าบอกตนเองว่า...

"ตายเป็นตายหากต้องตายเพราะทุกข์หรือปัญหาที่นำไปสู่การเรียนรู้ธรรม อย่างน้อยก่อนสิ้นลมหายใจก็ขอให้ได้มีดวงตาเห็นธรรมนั้นด้วยเทอญ"...

ระหว่างก่อนที่จะเข้าไปกราบหลวงปู่ให้ท่านชำระความตามความต้องการของคุณยาย ข้าพเจ้าก็พาคุณยายไปกราบพระพุทธเมตตา และถ่ายภาพเก็บความรื่นรมย์แห่งทัศนียภาพรอมตัวไปด้วย

แม้ที่เดิมหากแต่ต่างที่เวลา สิ่งที่เป็นที่เดิมจึงไม่ใช่ที่เดิม

...

๑๔ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๔

 

หมายเลขบันทึก: 460515เขียนเมื่อ 14 กันยายน 2011 23:17 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 ตุลาคม 2013 22:40 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ขอบพระคุณสำหรับดอกไม้แห่งกำลังใจที่นำมามอบให้นะคะ

Ico24 Kanchana Su. และ Ico24 โสภณ เปียสนิท.

Large_zen_pics_007 

กาลเวลา ช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้จริงๆ คะ

 ยิ่งเมื่อผสมผสานกับกลวิธีต่างๆ ยิ่งทำให้ได้ผลมากยิ่งขึ้น

ทำให้นึกถึงเวลาที่น้ำร้อนๆ...นั้น หากเราวางไว้ก่อน

ไม่ไปใส่ความร้อนเพิ่มลงไป...

น้ำที่ร้อนนั้นก็จะเย็นลง...

เมื่อน้ำเย็นลงแล้วนั่นน่ะคือ เราจึงใส่กระบวนการทางปัญญาลงไป

Large_zen_pics_007 
ขอบพระคุณพี่ กระติก~natachoei ที่ ~natadee ที่มาทักแต่เช้าเลยนะคะ...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท