ข้าพเจ้ากลับมาจากอินเดียได้สองวัน ... มาถึงบ้านตีสามเช้าพอดี นั่งทำงานต่อและเช้ามาก็เข้าที่ทำงาน วันถัดมาก็ไปบรรยาย KM&R2R ที่ ม.อุบล เพิ่งจะมีวันนี้ที่ได้นั่งอยู่ที่ทำงาน สองวันที่ผ่านมาข้าพเจ้าได้ใคร่ครวญในเรื่อง "ศรัทธาและความเสื่อม"
เมื่อใดที่ "ใจ" ของเราปราศจากซึ่งความลังเลสงสัย (วิจิกิจฉา) เมื่อนั้นใจของเราก็เต็มไปด้วยศรัทธาครองใจ ยิ่งความลังเลสงสัยน้อยลงเท่าไร ความศรัทธาก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น...
อะไร...ที่ทำให้เกิดศรัทธา
และอะไร...ที่ทำให้เกิดความเสื่อม...แห่งศรัทธา
ในทัศนะของข้าพเจ้ามองว่า "ความหวาดกลัว"... ความหวาดกลัวที่ครองอยู่ในใจจะทำให้บุคคลนั้นลังเลสงสัยที่จะก้าวย่าง
แล้วอะไรล่ะ...ที่จะทำให้ความหวาดกลัวน้อยลง
ทัศนะ ณ ตอนนี้ก็คงจะเป็น "สติและปัญญา"... ที่พอจะประคองให้เราดำเนินและก้าวพ้นสิ่งร้อยรัดให้ศรัทธาเราเสื่อมลง หากเราขาดสติแล้วโอกาสของเราที่จะคล้อยตามสิ่งที่มาทำให้ไขว้เขวจะมีสูง ยิ่งโดยเฉพาะความคิดและอารมณ์ทางลบ พร้อมปรุงแต่งไปได้ตลอดเวลา ...
เมื่อมีสติแล้วก็จะต้องใช้ปัญญาในการพิจารณา...หรือว่าหากสภาวะนั้นปัญญาไม่เกิดก็คงต้องประคองตนเองไว้ด้วย "สติ" ไปก่อน
การเดินทางไปอินเดีย-เนปาลครั้งนี้ข้าพเจ้าได้เจอโจทย์บทใหญ่อย่างมากต่อการถูกทดสอบในเรื่องศรัทธา...ข้าพเจ้าใช้เวลาอยู่ถึงหนึ่งวันเต็มๆ ...ณ ขณะนั้นข้าพเจ้าไม่อาจรู้ได้ว่าธรรมะ-ชาติกำลังให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้เรื่องอะไร... โจทย์ใหญ่ที่ได้เจอคือ ระยะเวลาครึ่งหนึ่งของการเดินทางพอดี (วันที่ห้า) ณ สถานที่ประสูติแห่งพระพุทธองค์ แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าทำได้ ณ ขณะนั้น คือ การตั้งสติ ใช้สติในการหล่อเลี้ยงประคองใจไปก่อน ซึ่งการทำเช่นนี้ทำให้เราไม่เป๋ไปตามอารมณ์ความคิด...ในทางลบ
วันถัดมา...ข้าพเจ้านั่งน้อมปฏิบัติบูชาอยู่เบื้องหลังครูบาอาจารย์ ต่อหน้าองค์พระพุทธเมตตา ณ เจดีย์พุทธคยาน ในขณะที่คนอื่นๆ ไปรวมกลุ่มสวดมนต์ แต่ ณ ขณะนั้นข้าพเจ้าน้อมระลึกถึงองค์หลวงปู่และภาระกิจที่หลวงปู่ให้มาเรียนรู้ ข้าพเจ้าจึงก้าวเดิมตามหลังพระอาจารย์เข้าไปปฏิบัติบูชา...
"นี่คือ หน้าที่ของผู้เป็นลูกศิษย์ ที่น้อมระลึกถึงพ่อแม่ครูบาอาจารย์อยู่ทุกขณะจิต"...สิ่งนี้สำหรับข้าพเจ้าแล้วคือ "สังฆานุสติ"...
ข้าพเจ้ามองไปที่เบื้องหลังของพระอาจารย์ ในใจตนเองนั้นระลึกขึ้นมาว่า "ข้าพเจ้านั้นมาที่นี่ได้ด้วยบารมีเมตตาขององค์หลวงปู่ และแม่ผู้ให้กำเนิด โดยมีพระอาจารย์ต้อท่านเป็นตัวแทนแห่งองค์หลวงปู่นำพาเรามา"...แล้วหน้าที่ของเราที่ต้องทำคือ พึงน้อมเคารพในสิ่งที่เป็นไปนั้น
พอนึกได้...เช่นนี้ "ศรัทธา" ได้บังเกิดขึ้นในใจอย่างเต็มเปี่ยม อย่างไม่มีลังเล
จิตใจของข้าพเจ้าก็ให้รู้สึกถึงความปิติและเบิกบาน เป็นบทแห่งการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ ทำให้มองเห็นใจตนเองที่บกพร่องต่อการปฏิบัติอุปฐากครูบาอาจารย์ พอนึกได้ดังนี้ข้าพเจ้ากราบขอขมาและก็รีบแก้ไขตนเอง วันเวลาที่เหลืออยู่ของการเดินทางข้าพเจ้าพยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำหน้าที่เป็นศิษย์ผู้มีครูอันเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่มุ่งมั่นต่อการเดินทางการเรียนรู้แห่งภายในตามรอยพระบาทของพระพุทธองค์ที่เน้นเรื่องมรรคแปด อันประกอบด้วย "ศีล-สมาธิ-และปัญญา"
...
สิ่งสะท้อนซึ่งศรัทธาที่มีอยู่ คือ การไม่เสื่อมลงไปจากเดิมที่เป็นอยู่ มีแต่พอกพูนเพิ่มขึ้น พร้อมแสดงออกมาทั้งกาย วาจา และใจอย่างนอบน้อม
ศรัทธากับความงมงาย อาจดูใกล้เคียงกัน
แต่ตามปัญญาที่มีอยู่ ณ ขณะนี้แล้ว...สิ่งที่จะทำให้เราได้พิจารณาว่าที่เป็นอยู่นั้นคือ งมงายหรือศรัทธา... "ศีล-สมาธิและปัญญา" จะเป็นกรอบให้เราได้ใช้ในการพิจารณา...
ความศรัทธา...อย่างน้อยต้องอยู่เบื้องฐานแห่ง "ศีล"...
ถ้าไม่มีศีลแล้ว...ศรัทธาที่ว่า ก็น่าจะค่อนไปทางงมงาย
...
๒๔ มิย. - ๓ กค. ๕๔
1 อินเดีย-เนปาล: มุ่งสู่อินเดีย-กัลกาต้า
3 อินเดีย-เนปาล: บทธรรมแห่งการภาวนา ณ ไวสาลี
6 อินเดีย-เนปาล: เมืองสาวัตถี-วัดพระเชตวันมหาวิหาร
ผมว่า ความหวาดกลัวที่ครองอยู่ในใจจะทำให้บุคคลนั้นลังเลสงสัย จริงๆที่กลัวนั้นก็มาจากกิเลส
ที่เรารักตัวเอง ถ้าเราไม่รักตัวเอง รักผู้อื่นเป็นที่ตั้ง ก็ยังคิดไม่ออกว่าในโลกนี้จะต้องกลัวอะไร
ไอ้ที่กลัวนี่กิเลสหนอ ผมเม้นหนุกๆ ผิดถูกไม่รู้อะ