มาร่วมสร้างประชาคมการสอนภาษาไทย
ให้มีหลักการมีทฤษฎีและมีชีวิต
เฉลิมลาภ ทองอาจ
ประเด็นวิกฤติทางการศึกษาของชาติ
ที่ได้นำมากำหนดเป็นเป้าหมายของการพัฒนาเยาวชนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานประเด็นหนึ่งก็คือ
การพัฒนาความสามารถในสื่อสาร โดยเฉพาะความสามารถในการอ่าน (reading
abilities) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
หน่วยงานและองค์กรเอกชนต่างๆ ล้วนเห็นความสำคัญของการอ่าน
จึงได้สนับสนุนให้มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านขึ้นจำนวนมาก
ตัวอย่างเช่น
มีโครงการปรับปรุงการให้บริการของห้องสมุดโรงเรียนและห้องสมุดสาธารณะให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาความสามารถในการอ่าน
คงจะไม่ใช่เรื่องของการจัดสิ่งแวดล้อมในสังคมให้เอื้อต่อการอ่านเท่านั้น
เพราะการอ่านเป็นกระบวนการประมวลผลข้อมูลของบุคคล ดังนั้น
การพัฒนาความสามารถในการอ่านจึงต้องเน้นที่การพัฒนากระบวนการอ่าน
(reading process) อันเป็นกระบวนการภายใน
ซึ่งต้องอาศัยการสอนอ่านที่เป็นกระบวนการ (process of reading
instruction) ของผู้สอนควบคู่กันไปด้วย
ความสามารถในการอ่านแบ่งได้เป็นหลายระดับ ระดับเบื้องต้นคือ
การพัฒนาความสามารถในการอ่านออกเสียงคำหรือ “อ่านได้”
ซึ่งสัมพันธ์กับความสามารถในการเข้าใจความหมาย
และการจดจำรูปลักษณ์ของคำหรือ
“เขียนได้”
ความสามารถดังกล่าวเป็นเป้าหมายการพัฒนาผู้เรียนในระดับประถมศึกษาตอนต้น
และเมื่อผู้เรียนมีมโนทัศน์เกี่ยวกับคำศัพท์และโครงสร้างของภาษา
มากขึ้นแล้ว ในระดับประถมศึกษาตอนปลายและระดับมัธยมศึกษา
จึงจะเริ่มพัฒนาความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจ (reading
comprehension abilities) และความสามารถในอ่านระดับสูงอื่นๆ
ซึ่งอาจจะเรียกโดยรวมว่า “อ่านเป็น” เช่น
การอ่านวิเคราะห์ (analytical reading)
การอ่านอย่างมีวิจารณญาณ (critical reading) เป็นต้น
แต่ปัญหาที่เรามักพบเกี่ยวกับการสอนอ่านของครูภาษาไทย
รวมถึงครูวิชาอื่นๆ ที่ต้องให้ผู้เรียนอ่านหนังสือหรือเอกสารต่างๆ
ก็คือ “การสอนอ่านที่ไม่เป็นกระบวนการ” ซึ่งหมายถึง
การให้นักเรียนอ่านเอกสารหรือตัวบท (text) ต่างๆ
โดยผู้สอนไม่ใช้ยุทธศาสตร์ทางปัญญา (cognitive strategies)
ที่กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเชื่อมโยงและประมวลผลข้อมูลก่อน
ระหว่าง และหลังการอ่าน
ดังจะเห็นได้จากการที่ครูปล่อยให้ผู้เรียนอ่านเอกสารหรือ
ตัวบทไปตามลำพัง โดยกำหนดเวลาให้อ่าน เช่น 5 นาที หรือ 10 นาที
จากนั้นครูอาจจะใช้คำถามระดับความรู้ความจำเพื่อทบทวนเรื่องที่อ่านเท่านั้น
การสอนอ่านอย่างไม่เป็นกระบวนการดังที่ยกมา
ย่อมไม่สามารถพัฒนากระบวนการอ่านของผู้เรียนได้ ด้วยเหตุนี้
จึงต้องรีบพัฒนาการจัดการเรียนการสอนการอ่าน
ด้วยการใช้ยุทธศาสตร์การสอนอ่านอย่างเป็นกระบวนการ
ยุทธศาสตร์การสอนอ่านอย่างเป็นกระบวนการ
ที่มีขั้นตอนไม่ซับซ้อนและสามารถนำไปปฏิบัติได้ง่ายยุทธศาสตร์หนึ่ง
คือ ยุทธศาสตร์ “PAR”
ซึ่งตัวอักษรแต่ละตัวย่อมาจากกระบวน
การเรียนการสอนการอ่านในแต่ละขั้นตอน ประกอบด้วย P คือ
preparation หรือขั้นเตรียมการ
A คือ assistance
หรือขั้นให้ความช่วยเหลือ และ R คือ reflection
หรือขั้นสะท้อนความคิด
ยุทธศาสตร์การสอนอ่านนี้เป็นยุทธศาสตร์ที่มุ่งพัฒนาความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจ
แต่ละขั้นตอนมีแนวทางปฏิบัติสรุปได้ดังนี้
(Richardson, Morgan และ Fleener, 2009: 16-17)
1. ขั้นเตรียมการ (P:
preparation)
การเตรียมการคือการเตรียมโครงสร้างปัญญาของผู้เรียนให้อยู่ในสภาพที่พร้อมรับข้อมูลใหม่จากการอ่าน
ซึ่งทำได้ด้วยการศึกษาความรู้และประสบการณ์เดิม (background
knowledge)
ของผู้เรียนเกี่ยวกับเรื่องที่อ่านว่ามีมากน้อยเพียงใด
และหากยังไม่มีความรู้ในเรื่องที่จะอ่านเลย
จำเป็นจะต้องมีความรู้หรือการให้ข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติมก่อนหรือไม่
เป็นต้น กิจกรรมในขั้นเตรียมการ ซึ่งเกิดขึ้นก่อนการอ่านก็คือ
การศึกษาพื้นความรู้เดิมของผู้เรียนด้วยการสนทนาและการพยายามเชื่อมโยง
หรือการปูพื้นฐานความรู้ที่จำเป็นสำหรับการอ่าน ตัวอย่างเช่น
หากครูจะให้นักเรียนอ่านบทวิจารณ์วรรณกรรมเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ก็จำเป็นที่ต้องให้ผู้เรียนทราบเนื้อหาอันเป็นภาพรวมของวรรณกรรมนั้นก่อน
โดยอาจใช้การบรรยาย การให้ผู้เรียนอาสาสมัครออกมาอ่านเรื่องย่อ
การใช้คำถามนำการสนทนาเกี่ยวกับเรื่องย่อ เป็นต้น
กิจกรรม การเตรียมการดังกล่าว
มีพื้นฐานมาจากแนวคิดการใช้โครงสร้างนำ (advance organizer) ของ
Ausubel (1963) ที่เสนอไว้สรุปได้ว่า
การเรียนรู้อย่างมีความหมายจะเกิดขึ้นได้
ก็ต่อเมื่อผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงข้อมูลใหม่ (new material)
กับโครงสร้างปัญญาที่ตนเองมีอยู่เดิม (existing cognitive structure)
สำเร็จ
2. ขั้นให้ความช่วยเหลือ (A: assistance)
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญยิ่ง
เพราะมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในตัวบท
(text) ที่อ่าน ดังนั้นคุณภาพของการอ่านจะเกิดขึ้นหรือไม่
ย่อมขึ้นอยู่กับการจัดกิจกรรมในขั้นตอนนี้
เป้าหมายสำคัญของขั้นตอนการให้ความช่วยเหลือในการอ่านก็คือ
การแก้ไขปัญหาการอ่านต่างๆ
ที่เกิดขึ้นระหว่างการอ่านของผู้เรียน ปัญหาดังกล่าว ได้แก่
ปัญหาเรื่องความเข้าใจความหมาย (semantic comprehension) ของคำศัพท์
ประโยคหรือข้อความ ดังจะเห็นได้จากการที่ผู้สอนมักพบปัญหาว่า
ผู้เรียนไม่เข้าทราบความหมาย ของคำศัพท์หรือข้อความ
จึงส่งผลให้ไม่สามารถที่จะตีความตัวบทได้ถูกต้อง
กิจกรรมการให้ความช่วยเหลือขณะอ่าน เช่น
การใช้เทคนิคการคิดออกเสียง (think aloud) ของครู
การใช้คำถามเพื่อให้เกิดการสนทนา
การอภิปรายแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดระหว่างผู้เรียนด้วยกัน
เพื่อขยายประเด็นเกี่ยวกับคำศัพท์หรือข้อความที่ไม่คุ้นเคยขณะที่อ่าน
การให้ผู้เรียนเขียนหรือพูด เพื่อทำนายเหตุการณ์ สรุปย่อ
หรือสร้างความเข้าใจตัวบทด้วยการวาดเป็นแผนผัง แผนภาพหรือรูปภาพ
เพื่อแสดงการวิเคราะห์หรือสรุปเนื้อหา
เป็นต้น กล่าวให้เข้าใจชัดเจนขึ้นคือ
ครูต้องจัดกิจกรรมที่กระตุ้นให้ผู้เรียนตอบสนอง (react/response)
กับตัวบทให้มากที่สุด
3. ขั้นสะท้อนความคิด (R: reflection)
การให้ผู้เรียนสะท้อนความคิดหลัง
การอ่านต่างจากการทบทวนเนื้อหาของเรื่องที่อ่าน
เพราะมีจุดประสงค์ที่จะทำให้ผู้เรียนเชื่อมโยงและผนวกความคิดหรือข้อมูลที่ได้จากการอ่านกับชีวิตของผู้เรียน
กิจกรรมของการสะท้อนความคิดจึงไม่ใช่การตอบคำถามท้ายบทอ่านว่า ใคร
ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร
แต่เป็นการให้ผู้เรียน
คิดไตร่ตรองเกี่ยวกับประเด็นคำถามต่อไปนี้ เช่น
1)
ข้อคิดหรือสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการอ่านครั้งนี้คืออะไร
2) สิ่งที่อ่านมีประเด็นใดที่สอดคล้อง/ไม่สอดคล้อง/ กับตนเอง
หรือเห็นด้วย/ ไม่เห็นด้วย
อย่างไร
3)
สิ่งที่อ่านนั้นมีคุณค่าพอที่ทำให้ต้องอ่านทบทวนซ้ำหรือบอกเล่าให้ผู้อื่นทราบถึงคุณค่าหรือไม่
อย่างไร
4)
สิ่งที่อ่านให้ประเด็นความคิดที่เกิดประโยชน์หรือโทษในการนำไปใช้ในชีวิตจริงได้อย่างไรบ้าง
การตอบคำถามข้างต้นสามารถดำเนินการในรูปของกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ
เช่น การเขียน การวาด การแต่ง การขับร้อง
การเล่า การอภิปรายหรือการสนทนาภายในกลุ่ม
การจัดแสดงบทบาทสมมติหรือการแสดงละคร เป็นต้น
ทั้งนี้
ผู้สอนควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเลือกกิจกรรมการสะท้อนความคิดจากการอ่านโดยอิสระ
เพื่อให้สามารถสะท้อนความคิดจากการอ่าน
ได้อย่างเต็มที่ ผลจากการสะท้อนความคิดก็คือการ “ตกผลึกแห่งปัญญา”
หรือความเข้าใจที่คงทนและฝังแน่นอยู่ในโครงสร้างความรู้ของผู้เรียน
การสอนอ่านอย่างเป็นกระบวนการ
เกิดจากการวิเคราะห์กระบวนการอ่านของผู้เรียนออกเป็นขั้นตอนที่มีความชัดเจน
และดำเนินการใช้ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพุทธิปัญญานิยมมาประยุกต์
เพื่อปรับโครงสร้างทางปัญญาของผู้เรียน
ให้สอดคล้องกับข้อมูลจากการอ่านในทุกๆ ขั้นตอน
ทั้งนี้
ในการออกแบบการสอนการอ่าน
ครูผู้สอนจะต้องคำนึงถึงคำถามต่อไปนี้อยู่เสมอว่า ก่อนอ่าน
นักเรียนมีความรู้เดิมอย่างไร
และจะจัดกิจกรรมอย่างไรเพื่อปูพื้นฐานสำหรับการอ่าน ขณะอ่าน
ผู้เรียนประสบปัญหาอะไร
และจะช่วยให้พวกเขาจัดการข้อมูลขณะที่อ่านในลักษณะใดได้บ้าง
และหลังอ่าน
จะใช้กิจกรรมใดเพื่อขยายความคิดหรือให้ผู้เรียนสะท้อนมุมมองของตนเองที่มีต่อ
การอ่านครั้งนั้นๆ
หากครูสามารถดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนการอ่านได้ครบถ้วน
และเป็นไปตามกระบวนการดังที่กล่าวมา
ก็ย่อมมั่นใจได้ว่าเป็นการสอนอ่านที่มีประสิทธิภาพ
และผู้เรียนจะเกิดความเข้าใจเนื้อหาที่สิ่งที่อ่านอย่างลุ่มลึกขึ้น
_________________________
รายการอ้างอิง
Ausubel, D. 1963. The Psychology of Meaningful Verbal
Learning. New York: Grune & Stratton.
Richardson, J. S., Morgan, R. F. and Fleener, C. 2009.
Reading to learn in the content areas.
(7th ed.).
Belmont, CA: Wadsworth Centage Learning.
การนำส่วนหนึ่งส่วนใดของบทความนี้ไปเผยแพร่หรือดำเนินการใดๆ
ควรทำตามหลักวิชาการ จรรยาบรรณและความเป็นมนุษย์