ในการบริหารคนซึ่งเป็นพนักงานขององค์การเพื่อให้คนสามารถร่วมกันปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมายขององค์กรตามนโยบาย (Policy) และเป้าหมาย (Goals) ขององค์การในศตวรรษที่ 18 และ 19 นั้น เรียกการบริหารดังกล่าวว่า “Personnel Management” (Torrington Hall, and Taylor, 2004 , pp. 8 – 11) ซึ่งในประเทศไทยได้แปลว่า “การบริหารงานบุคคล” หรือ “การบริหารบุคลากร” หรือ “การบริหารเจ้าหน้าที่”
ทอริ่งตัน,ฮอลล์และเทเลอร์ได้อธิบายว่าในการบริหารงานบุคคลนั้นมุ่งเป้าหมายไปที่กลุ่มผู้ปฏิบัติงาน (Workforce Centered) โดยพุ่งความสนใจไปที่การบริหารความสัมพันธ์ในการปฏิบัติงาน (Management of Collective Relationships at work) ที่มีฝ่ายบุคคลทำหน้าที่เป็นผู้ดูแล ทำหน้าที่เป็นผู้ให้การสนับสนุนแก่ฝ่ายปฏิบัติการ
ฝ่ายบุคคลจึงทำหน้าที่ดูแลพนักงาน โดยการทำความเข้าใจพนักงานและฝึกอบรมพนักงาน ดำเนินการให้พนักงานได้รับค่าจ้าง ชี้แจงและให้ความกระจ่างในด้านความคาดหวังของฝ่ายจัดการ ทำให้พนักงานมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างพนักงานกับฝ่ายจัดการ
ต่อมาในปลายศตวรรษที่ 20 และต้นศตวรรษที่ 21 การบริหารคนในองค์การได้เปลี่ยนแปลงไปให้ความสนใจที่ทรัพยากร (Resource Centered) จึงเกิดฝ่ายงานที่ชื่อว่า “Human Resource Department” หรือ “ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ หรือ ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ที่มุ่งเน้นไปที่ความต้องการและความจำเป็นที่ฝ่ายจัดการต้องมีทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพเหมาะสมกับกิจกรรมและแผนงานที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายขององค์การซึ่ง เดวิด เกส (David Guest, 1987) ได้อธิบายไว้ในหนังสือเรื่อง “Human Resource Management and Industrial Relations” และ เลกก์ (K. Legge,1995) ได้อธิบายไว้ในหนังสือเรื่อง “Human Resource Management : A Critical Analysis” ว่าหากจะเปรียบเทียบบระหว่างการบริหารงานบุคคลกับงานบริหารทรัพยากรมนุษย์ จะอธิบายได้ดังนี้
องค์ประกอบ |
การบริหารงานบุคคล |
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ |
1. เวลาและการวางแผน |
ระยะสั้น เชิงตั้งรับ เป็นการชั่วคราว และไม่ชัดเจน |
ระยะยาว เชิงรุกด้วยแผนกลยุทธ์เชิงบูรณาการ |
2. พันธะทางจิตวิทยา |
การแก้ไขข้อร้องเรียนของพนักงานเป็นหลัก |
สร้างพันธะผูกพันทางจิตให้พนักงานรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์การ |
3. ระบบการควบคุม |
ใช้กลไกภายนอก เช่น กฎหมายและ ระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ |
ใช้กลไกกำกับดูแลกันเองเช่นการวางแผนและปฏิบัติร่วมกัน |
4. ความสัมพันธ์ระหว่างพนักงาน |
การรวมกลุ่ม ใช้ข้อตกลง ความไว้วางใจซึ่งกันและกันอยู่ในระดับต่ำ |
มีน้ำใจและจิตวิญญาณร่วมกัน ในขณะที่แต่ละคนเป็นตัวของตัวเอง และไว้วางใจกันได้อย่างสนิทใจ |
5. ระบบและโครงสร้างในการทำงาน |
ระบบศักดินา ควบคุมด้วยกลไกต่าง ๆ บริหารแบบอำนาจอยู่ในศูนย์กลาง และมีการแบ่งแยกขอบเขตงานอย่างชัดเจน |
ความโปร่งใส ส่งงานต่อกัน และมีความคล่องตัวในบทบาทหน้าที่งานที่จะต้องทำ |
6. บทบาทหน้าที่ |
แยกผู้ชำนาญการและมืออาชีพออกจากกัน |
บูรณาการความรู้ความชำนาญและมีส่วนเข้าร่วมบริหารจัดการไปด้วยกัน |
7. เกณฑ์การประเมินผล |
ค่าใช้จ่ายที่ควบคุมให้ด่ำที่สุด |
ใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยให้ถือว่าคนเป็นสินทรัพย์ที่สำคัญ |
8. สถานะของฝ่ายงานที่รับผิดชอบพนักงาน |
เป็นฝ่ายสนับสนุนที่มีหน้าที่ในการแนะนำให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนภารกิจของสายปฏิบัติการ |
เป็นหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์กับฝ่ายปฏิบัติการในการวางแผนและกำหนดกลยุทธ์ในการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์การ |
ดร. โสภณ ภูเก้าล้วน ได้สรุปไว้ในหนังสือเรื่อง “การบริหารทรัพยากรมนุษย์สำหรับผู้จัดการในสายงาน” (2552 หน้า 18 – 22) ว่า ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่างการบริหารงานบุคคลกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ก็คือ เป้าหมายในการบริหารคนที่แตกต่างกันโดย
เป้าหมายในการบริหารงานบุคคล คือ “การรักษาสันติสุขในองค์การ” (Maintain Industrial Peace) โดยให้เรื่องประสิทธิภาพและประสิทธิผลเป็นเรื่องรองลงมา ในขณะที่
เป้าหมายในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ คือ “การใช้ทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประโยชน์อย่างมีดุลยภาพสูงสุดในองค์การ” (Optimization of Human Resource Utilization) ซึ่งรวมถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีขีดความสามารถเพิ่มขึ้นไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาองค์การอย่างมีดุลยภาพ เพื่อให้พนักงานมีขีดความสามารถเพิ่มขึ้นที่จะสามารถรับผิดชอบงานขององค์การได้มากขึ้นและประสบความสำเร็จได้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ไม่มีความเห็น