๓.๓.๑. วิทยาศาสตร์ : Space & Time
วิทยาศาสตร์เชื่อว่าจักรวาลเมื่อแรกเกิดจากปรากฏการณ์บิ๊กแบง (Big Bang) จากรูปที่ ๒. จักรวาลประกอบด้วย Space & Time คือ มีขนาดทางกายภาพ (Space) ๙ มิติ กับ อีก (Time) ๑ หน่วยเวลา ครั้นในเวลาต่อมาอีกประมาณ ๑๔,๗๐๐ ล้านปี มิติของจักรวาลที่มนุษย์เราอาศัยอยู่คงเห็นชัดอยู่ที่ ๓ มิติ และอีก ๑หน่วยเวลาเท่านั้น หรือเรียกว่าสัตว์และมนุษย์ที่เห็นประจักษ์ด้วยรูปวัตถุนั้นมี ๔ มิติ ที่เหลือยังคงซ่อนตัวอยู่ในจักรวาลนี้ ไอน์สไตน์เป็นคนแรกที่บอกว่า อวกาศมีตัวตนดูได้จากการหักเหของแสง เมื่อแสงเดินทางผ่านวัตถุที่มีขนาดใหญ่กว่าจะเบี่ยงเบนออกมาในรูปที่ ๓ จากนั้นวงการวิทยาศาสตร์มีการตื่นตัวกันเป็นอย่างมาก จากเวลาที่ไม่เคยยืดหดได้ก็ยืดหดได้ จากมวลที่ไม่เคยยืดขยายได้ก็ยืดได้หดได้ เมื่อผู้สังเกตกับสิ่งที่ถูกสังเกตอยู่ในมิติที่มีความเร็วต่างกัน
๓.๓.๒. พุทธศาสตร์: ๓๑ ภพภูมิกับ ๑๐ มิติของจักรวาลยุคใหม่
สถานที่ที่สัตว์อาศัยอยู่ ในพระพุทธศาสนามีการแบ่งเขตแดนอย่างชัดเจน ในการแบ่งเขตแดนนี้ จึงเป็นการบ่งบอกถึงการมีตัวตนของสถานที่ในจักรวาลจึงมีมิติในจักรวาล ส่วนจะมองด้วยตาหรือรู้ด้วยผัสสะนั้นอาจจะไม่ใช่ช่องทางปกติที่มนุษย์พึงสัมผัสได้เพราะถูกจำกัดในโลกแห่งมิติที่สรรพสิ่งมีความเร็วน้อยกว่าแสง ดังผู้วิจัยจึงแบ่งมิติออกตามลักษณะของการรับผลของกรรม ได้ ๓ กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่
๑. ภพของสัตว์ที่มีทุกข์มากกว่าสุข : นรก , เปรต อสูรกาย มี ๓ มิติ
๒. ภพของผู้มีทุกข์และสุขปนกันไป: มนุษย์ , สัตว์ มี ๓ มิติ ซึ่งอยู่ในมิติเดียวกัน
๓. ภพที่ได้รับความสุขมากกว่าทุกข์ : สวรรค์ ๖ ชั้น และรูปพรหมมี มี ๓ มิติ,
ภพของสวรรค์มีเหตุมาจากการเจริญใน “ศีล ส่วนรูปพรหมมาเกิดจากการเจริญสมาธิจนได้ฌาณ ถ้าได้รูปฌาณก็จะได้เป็น “รูปพรหม”ซึ่งมีแสงสว่างมาก เช่น ท้าวสหัมบดีพรหมอาราธนาให้พระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดสั่งสอนเวไนยสัตว์ [๒]
แสดงว่ามิติของพระพรหมย่อมเป็น ๓ มิติเพราะสามารถมองเห็นเป็นรูปธรรมได้ และเปล่งประกายให้ตนสว่างไสวได้ด้วยเช่นกัน ทางวิทยาศาสตร์การสร้างความถี่ให้สูง โดยการเหนี่ยวนำสนามแม่เหล็กตัดกับขดลวด ก็สามารถสร้างให้เกิดไฟฟ้าแสงสว่างได้เช่นกัน ดูเหมือนว่าเมื่อภพภูมิของพระพรหมมาสัมผัสกับภพของมนุษย์จึงเกิดการเหนี่ยวนำของแกนมิติที่ต่างกันจึงเกิดแสงได้
ส่วนที่บ่งบอกว่าภพของสวรรค์กับพรหมมีมิติที่เข้ากันได้ เพราะภพทั้งสองไปมาหาสู่กัน จากการศึกษาคัมภีร์พบว่า สวรรค์ในชั้นดาวดึงส์ มีศาลาฟังธรรมกันทุกวันพระ ทุก ๆ วันพระจะอันเชิญพระพรหมมาแสดงธรรม เช่น มีอยู่ครั้งหนึ่งพระพรหมชื่อ พระพรหมกุมารซึ่งเป็นผู้ทรงธรรมและรู้ธรรมมาก ได้เสด็จลงมาจากพรหมโลกที่อยู่ห่างไกลจากสวรรค์ชั้นนั้นมากมาย แต่ด้วยวิสัยของพระพรหมสามารถเดินทางมายังสถานที่นั้นเพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น [๓]
ในทำนองเดียวกันในระหว่างสวรรค์ด้วยกันเองเป็นมิติที่เข้ากันได้ ต่างกันที่อายุของแต่ละชั้นเท่านั้น ดังตัวอย่างที่พระพุทธองค์จะทรงเสด็จจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อโปรดพุทธมารดาเทพบุตรที่อยู่ชั้นดุสิตเหนือขึ้นไป ให้ลงมาฟังพระอภิธรรมจากพระองค์ ดังนั้นการที่เทวดาในแต่ละชั้นข้ามลงมาได้แต่มีข้อแม้ว่าชั้นล่างกว่าไม่สามารถขึ้นไปชั้นบนกว่าตนได้
· อรูปพรหม มีมิติเป็น ๐ เหตุ: เกิดมาจากการเจริญสมาธิจนได้ “อรูปฌาน” พระพรหมใน ชั้นนี้จะเป็นพระพรหมที่ไม่มีรูป คือ ท่านจะมีเฉพาะ นาม ตามความเห็นของผู้วิจัย ท่านน่าจะต้องมีอยู่เพียงแค่ ๑ มิติ เพื่อกำหนดตำแหน่งของท่าน หรือ marking address ที่แสดงตัวตนของท่านอย่างแท้จริงในSpace เดียว แต่ถ้านับด้วยความเป็นรูปจึงเท่ากับ ๐ มิติ เพราะไม่สามารถปรุงแต่งเป็นรูปให้เห็นชัดได้ประโยชน์จากรูปได้ หรือไม่สามารถแสดง กรรมทางกายกับวาจาได้
ดังนั้นเมื่อสรุปมิติทั้งหมดของจักรวาลได้ดังนี้ นรก-เปรต-อสูรกาย (๓ มิติ) + มนุษย์-สัตว์ (๓ มิติ) + สวรรค์-รูปพรหม (๓ มิติ) + อรูปพรหม (๐ มิติ) รวมเป็น ๙ มิติ ส่วนอีก ๑ มิติของเวลาจึงเป็น ๑๐ มิติ ซึ่งเวลาในแต่ละภพภูมิจะมีความรู้สึกยาวสั้นเวลาไม่เท่ากัน ถ้านำมาเปรียบเทียบกันและกัน จึงมีความคล้ายคลึงกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ ที่กล่าวว่า Time & Space มีมิติทั้งหมด ๑๐ Dimensions ดังนั้นจึงได้นำตารางที่แสดงถึงเงื่อนเวลาที่แตกต่างกันของภพภูมิต่าง ๆ ตามข้างล่างนี้
รูปที่ ๔. ตารางเปรียบเทียบเวลาในแต่ละภพภูมิ
๓.๓.๓. ทำไมจึงเชื่อได้ว่าทุกภพภูมิจึงมีแต่ ๓ มิติเท่านั้น
ในทางพระพุทธศาสนากล่าวโดยสรุปว่าทุกภพภูมินั้นต่างก็มี ๓ มิติ เนื่องจากภพภูมิสูงกว่าสามารถเดินทางมาในเขตของภพภูมิที่ต่ำกว่าได้ เช่น ในครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากดาวดึงส์ ทรงเปิด ๓ โลกให้เห็นซึ่งกันและกัน[๔] เรื่องยมกปาฏิหาริย์ แสดงว่าทุกภพภูมิต่างก็มี ๓ มิติ กว้าง ยาว หนา เหมือนกันต่างกันที่โปร่งใส หรือ ความทึบแสงเท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะขึ้นอยู่กับอาหารที่สัตว์นั้นเสพย์ สัตว์และมนุษย์เสพย์ ธาตุหยาบจึงได้รูปที่หยาบ เป็นต้น
รูปที่ ๕. เปิดโลกทั้ง ๓ ให้เห็นกันและกัน [๕]
๓.๓.๔. ภพอื่นซ่อนตัวเล็กมาก
อวกาศประกอบไปด้วยเส้นใย เส้นแต่ละเส้นมีขนาดเล็กมาก ซ่อนตัวอยู่ในจักรวาลตามที่กล่าวมาแล้ว ดังนั้นโลกของ ภพอื่น ๆ นั้นเล็กมาด้วยเช่นกัน ดังที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎก ว่าภพสวรรค์นั้นเล็กมากกล่าวดังที่พระไตรปิฏก เล่มที่ ๑๐ ข้อ ๒๐๐ หน้า ๑๔๙ ได้กล่าวว่า
“ในปัจฉิมกาลพระผู้มีพระภาครับสั่งให้ท่านพระอุปวาณะถอยไปด้วย พระดำรัสว่า ‘ภิกษุ เธอจงหลบไป อย่ายืนตรงหน้าเรา’ อะไรหนอแลเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย ให้พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ท่านอุปวาณะถอยไปด้วยพระดำรัสว่า ‘ภิกษุ
เธอจงหลบไป อย่ายืนตรงหน้าเรา”
...... พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “อานนท์ เทพโดยมากใน ๑๐ โลกธาตุ มาประชุมกันเพื่อจะเยี่ยมตถาคต สวนสาลวันของพวกเจ้ามัลละอันเป็นทางเข้า กรุงกุสินารานี้ มีเนื้อที่ ๑๒ โยชน์โดยรอบที่ที่พวกเทพผู้มีศักดิ์ใหญ่ ไม่ได้เบียดเสียดกันอยู่แม้เท่าปลายขนเนื้อทรายจดลงได้ก็ไม่มี พวกเทพจะโทษว่า พวกเรามาไกลก็เพื่อจะเห็นพระตถาคต มีเพียงครั้งคราวที่พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ในปัจฉิมยามแห่งราตรีวันนี้ พระตถาคตจะปรินิพพาน ภิกษุผู้มีศักดิ์ใหญ่รูปนี้ยืนบังอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์พระผู้มีพระภาค (ทำให้) พวกเราไม่ได้เฝ้าพระตถาคตในปัจฉิมกาล”
ดูจากข้อความที่ขีดเส้นใต้ แม้กระทั่งสถานที่ทีเราคิดว่าเล็กมาก ๆ ขนาดเท่าปลายขนเนื้อทราย ท่านเหล่านั้นอยู่กัน แบบไม่เบียดเสียดกันเลย ซึ่งนับว่าเล็กเอามาก ๆ และเส้นใยในทฤษฎีสตริงในแต่ละเส้นเล็กมาก ๆ ด้วยเช่นกัน ในเรื่องนี้จึงอาจจะกล่าวได้ว่าภพภูมิของนรกสวรรค์เมื่อเทียบกับทฤษฎีสตริง (String Theory) จึงมีความเป็นไปได้มากที่จะบอกถึงการมีอยู่จริงของภพภูมิที่เหลือ นอกจากมนุษย์และสัตว์ที่เห็นได้ในโลกและจักรวาลที่สัมผัสเท่านั้น
ไม่มีความเห็น