มิติที่ซ่อนเร้น


มิติที่ซ่อนเร้น

  

 จักรวาลทีปนี

(พระสิริมังคลาจารย์.  จกฺรวาลฺทีปนี.  พิมพ์ครั้งที่ ๒.  กรุงเทพฯ:  ศรีเมืองการพิมพ์, ๒๕๔๘.)

   

 สรรพสิ่งอยู่บนเส้นใยอวกาศ[๑]

                     ๓.๓.๑. วิทยาศาสตร์ : Space & Time 

วิทยาศาสตร์เชื่อว่าจักรวาลเมื่อแรกเกิดจากปรากฏการณ์บิ๊กแบง (Big Bang) จากรูปที่ ๒. จักรวาลประกอบด้วย Space & Time คือ มีขนาดทางกายภาพ (Space) ๙ มิติ กับ อีก (Time)  ๑ หน่วยเวลา ครั้นในเวลาต่อมาอีกประมาณ ๑๔,๗๐๐ ล้านปี มิติของจักรวาลที่มนุษย์เราอาศัยอยู่คงเห็นชัดอยู่ที่ ๓ มิติ และอีก ๑หน่วยเวลาเท่านั้น หรือเรียกว่าสัตว์และมนุษย์ที่เห็นประจักษ์ด้วยรูปวัตถุนั้นมี ๔ มิติ ที่เหลือยังคงซ่อนตัวอยู่ในจักรวาลนี้ ไอน์สไตน์เป็นคนแรกที่บอกว่า อวกาศมีตัวตนดูได้จากการหักเหของแสง เมื่อแสงเดินทางผ่านวัตถุที่มีขนาดใหญ่กว่าจะเบี่ยงเบนออกมาในรูปที่ ๓ จากนั้นวงการวิทยาศาสตร์มีการตื่นตัวกันเป็นอย่างมาก จากเวลาที่ไม่เคยยืดหดได้ก็ยืดหดได้ จากมวลที่ไม่เคยยืดขยายได้ก็ยืดได้หดได้ เมื่อผู้สังเกตกับสิ่งที่ถูกสังเกตอยู่ในมิติที่มีความเร็วต่างกัน

๓.๓.๒. พุทธศาสตร์: ๓๑ ภพภูมิกับ ๑๐ มิติของจักรวาลยุคใหม่ 

สถานที่ที่สัตว์อาศัยอยู่ ในพระพุทธศาสนามีการแบ่งเขตแดนอย่างชัดเจน ในการแบ่งเขตแดนนี้ จึงเป็นการบ่งบอกถึงการมีตัวตนของสถานที่ในจักรวาลจึงมีมิติในจักรวาล ส่วนจะมองด้วยตาหรือรู้ด้วยผัสสะนั้นอาจจะไม่ใช่ช่องทางปกติที่มนุษย์พึงสัมผัสได้เพราะถูกจำกัดในโลกแห่งมิติที่สรรพสิ่งมีความเร็วน้อยกว่าแสง ดังผู้วิจัยจึงแบ่งมิติออกตามลักษณะของการรับผลของกรรม ได้ ๓ กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ 

 ๑.  ภพของสัตว์ที่มีทุกข์มากกว่าสุข :  นรก  , เปรต อสูรกาย มี ๓ มิติ

๒. ภพของผู้มีทุกข์และสุขปนกันไป: มนุษย์ , สัตว์ มี ๓ มิติ ซึ่งอยู่ในมิติเดียวกัน              

๓. ภพที่ได้รับความสุขมากกว่าทุกข์  : สวรรค์ ๖ ชั้น และรูปพรหมมี มี ๓ มิติ,

 ภพของสวรรค์มีเหตุมาจากการเจริญใน ศีล ส่วนรูปพรหมมาเกิดจากการเจริญสมาธิจนได้ฌาณ ถ้าได้รูปฌาณก็จะได้เป็น รูปพรหม”ซึ่งมีแสงสว่างมาก เช่น ท้าวสหัมบดีพรหมอาราธนาให้พระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดสั่งสอนเวไนยสัตว์ [๒]

                       แสดงว่ามิติของพระพรหมย่อมเป็น ๓ มิติเพราะสามารถมองเห็นเป็นรูปธรรมได้ และเปล่งประกายให้ตนสว่างไสวได้ด้วยเช่นกัน  ทางวิทยาศาสตร์การสร้างความถี่ให้สูง โดยการเหนี่ยวนำสนามแม่เหล็กตัดกับขดลวด ก็สามารถสร้างให้เกิดไฟฟ้าแสงสว่างได้เช่นกัน  ดูเหมือนว่าเมื่อภพภูมิของพระพรหมมาสัมผัสกับภพของมนุษย์จึงเกิดการเหนี่ยวนำของแกนมิติที่ต่างกันจึงเกิดแสงได้

                     ส่วนที่บ่งบอกว่าภพของสวรรค์กับพรหมมีมิติที่เข้ากันได้ เพราะภพทั้งสองไปมาหาสู่กัน จากการศึกษาคัมภีร์พบว่า สวรรค์ในชั้นดาวดึงส์ มีศาลาฟังธรรมกันทุกวันพระ ทุก ๆ วันพระจะอันเชิญพระพรหมมาแสดงธรรม เช่น มีอยู่ครั้งหนึ่งพระพรหมชื่อ พระพรหมกุมารซึ่งเป็นผู้ทรงธรรมและรู้ธรรมมาก ได้เสด็จลงมาจากพรหมโลกที่อยู่ห่างไกลจากสวรรค์ชั้นนั้นมากมาย แต่ด้วยวิสัยของพระพรหมสามารถเดินทางมายังสถานที่นั้นเพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น [๓]

                     ในทำนองเดียวกันในระหว่างสวรรค์ด้วยกันเองเป็นมิติที่เข้ากันได้ ต่างกันที่อายุของแต่ละชั้นเท่านั้น ดังตัวอย่างที่พระพุทธองค์จะทรงเสด็จจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อโปรดพุทธมารดาเทพบุตรที่อยู่ชั้นดุสิตเหนือขึ้นไป ให้ลงมาฟังพระอภิธรรมจากพระองค์ ดังนั้นการที่เทวดาในแต่ละชั้นข้ามลงมาได้แต่มีข้อแม้ว่าชั้นล่างกว่าไม่สามารถขึ้นไปชั้นบนกว่าตนได้          

·       อรูปพรหม มีมิติเป็น ๐ เหตุ: เกิดมาจากการเจริญสมาธิจนได้ อรูปฌาน พระพรหมใน ชั้นนี้จะเป็นพระพรหมที่ไม่มีรูป คือ ท่านจะมีเฉพาะ นาม ตามความเห็นของผู้วิจัย ท่านน่าจะต้องมีอยู่เพียงแค่ ๑ มิติ เพื่อกำหนดตำแหน่งของท่าน หรือ marking address ที่แสดงตัวตนของท่านอย่างแท้จริงในSpace เดียว แต่ถ้านับด้วยความเป็นรูปจึงเท่ากับ ๐ มิติ เพราะไม่สามารถปรุงแต่งเป็นรูปให้เห็นชัดได้ประโยชน์จากรูปได้ หรือไม่สามารถแสดง กรรมทางกายกับวาจาได้

                     ดังนั้นเมื่อสรุปมิติทั้งหมดของจักรวาลได้ดังนี้  นรก-เปรต-อสูรกาย (๓ มิติ) + มนุษย์-สัตว์ (๓ มิติ) + สวรรค์-รูปพรหม (๓ มิติ) + อรูปพรหม (๐ มิติ)  รวมเป็น  ๙ มิติ ส่วนอีก ๑ มิติของเวลาจึงเป็น ๑๐ มิติ ซึ่งเวลาในแต่ละภพภูมิจะมีความรู้สึกยาวสั้นเวลาไม่เท่ากัน ถ้านำมาเปรียบเทียบกันและกัน จึงมีความคล้ายคลึงกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ ที่กล่าวว่า Time & Space มีมิติทั้งหมด ๑๐ Dimensions ดังนั้นจึงได้นำตารางที่แสดงถึงเงื่อนเวลาที่แตกต่างกันของภพภูมิต่าง ๆ ตามข้างล่างนี้

  

รูปที่ ๔. ตารางเปรียบเทียบเวลาในแต่ละภพภูมิ

                     ๓.๓.๓. ทำไมจึงเชื่อได้ว่าทุกภพภูมิจึงมีแต่ ๓ มิติเท่านั้น 

     ในทางพระพุทธศาสนากล่าวโดยสรุปว่าทุกภพภูมินั้นต่างก็มี ๓ มิติ เนื่องจากภพภูมิสูงกว่าสามารถเดินทางมาในเขตของภพภูมิที่ต่ำกว่าได้ เช่น ในครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากดาวดึงส์ ทรงเปิด ๓ โลกให้เห็นซึ่งกันและกัน[๔]  เรื่องยมกปาฏิหาริย์ แสดงว่าทุกภพภูมิต่างก็มี ๓ มิติ กว้าง ยาว หนา เหมือนกันต่างกันที่โปร่งใส หรือ ความทึบแสงเท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะขึ้นอยู่กับอาหารที่สัตว์นั้นเสพย์ สัตว์และมนุษย์เสพย์ ธาตุหยาบจึงได้รูปที่หยาบ เป็นต้น 

  

 

รูปที่ ๕. เปิดโลกทั้ง ๓ ให้เห็นกันและกัน [๕] 

                     ๓.๓.๔. ภพอื่นซ่อนตัวเล็กมาก 

อวกาศประกอบไปด้วยเส้นใย เส้นแต่ละเส้นมีขนาดเล็กมาก ซ่อนตัวอยู่ในจักรวาลตามที่กล่าวมาแล้ว ดังนั้นโลกของ ภพอื่น ๆ นั้นเล็กมาด้วยเช่นกัน ดังที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎก ว่าภพสวรรค์นั้นเล็กมากกล่าวดังที่พระไตรปิฏก เล่มที่ ๑๐ ข้อ ๒๐๐ หน้า ๑๔๙ ได้กล่าวว่า 

ในปัจฉิมกาลพระผู้มีพระภาครับสั่งให้ท่านพระอุปวาณะถอยไปด้วย พระดำรัสว่า    ภิกษุ    เธอจงหลบไป    อย่ายืนตรงหน้าเรา    อะไรหนอแลเป็นเหตุ    อะไรเป็นปัจจัย    ให้พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ท่านอุปวาณะถอยไปด้วยพระดำรัสว่า    ภิกษุ

เธอจงหลบไป    อย่ายืนตรงหน้าเรา 

......  พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า    อานนท์    เทพโดยมากใน ๑๐ โลกธาตุ มาประชุมกันเพื่อจะเยี่ยมตถาคต    สวนสาลวันของพวกเจ้ามัลละอันเป็นทางเข้า กรุงกุสินารานี้    มีเนื้อที่    ๑๒    โยชน์โดยรอบที่ที่พวกเทพผู้มีศักดิ์ใหญ่    ไม่ได้เบียดเสียดกันอยู่แม้เท่าปลายขนเนื้อทรายจดลงได้ก็ไม่มี    พวกเทพจะโทษว่า    พวกเรามาไกลก็เพื่อจะเห็นพระตถาคต    มีเพียงครั้งคราวที่พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จอุบัติขึ้นในโลก    ในปัจฉิมยามแห่งราตรีวันนี้    พระตถาคตจะปรินิพพาน ภิกษุผู้มีศักดิ์ใหญ่รูปนี้ยืนบังอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์พระผู้มีพระภาค    (ทำให้)    พวกเราไม่ได้เฝ้าพระตถาคตในปัจฉิมกาล

                               ดูจากข้อความที่ขีดเส้นใต้ แม้กระทั่งสถานที่ทีเราคิดว่าเล็กมาก ๆ ขนาดเท่าปลายขนเนื้อทราย ท่านเหล่านั้นอยู่กัน แบบไม่เบียดเสียดกันเลย ซึ่งนับว่าเล็กเอามาก ๆ และเส้นใยในทฤษฎีสตริงในแต่ละเส้นเล็กมาก ๆ ด้วยเช่นกัน ในเรื่องนี้จึงอาจจะกล่าวได้ว่าภพภูมิของนรกสวรรค์เมื่อเทียบกับทฤษฎีสตริง (String Theory) จึงมีความเป็นไปได้มากที่จะบอกถึงการมีอยู่จริงของภพภูมิที่เหลือ นอกจากมนุษย์และสัตว์ที่เห็นได้ในโลกและจักรวาลที่สัมผัสเท่านั้น 

 


                [๑] ที่มา : http://members.fortunecity.com/templarseries/Yahoo/Omegaman/relativity.html

[๒] ม.ม. (ไทย) . ๑๒/๒๘๒/๓๐๖ 

                [๓] พะพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร). โลกทีปนี, (กรุงเทพฯ: ดอกหญ้า ๒๕๕๔) หน้า ๑๗๑.  

                        [๔] ขุ. พุทฺธ. (ไทย)  ๓๓/๔/๖๓๔

                        [๕] ที่มา : http://www.84000.org/tipitaka/picture/f65.html 

หมายเลขบันทึก: 437119เขียนเมื่อ 26 เมษายน 2011 16:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน 2012 12:06 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท