เวลานึกถึงอดีตเรื่องพ่อและแม่ ผมว่ามันมีแต่ความอิ่มเอมใจ ความสุข และความคิดถึง ถึงบรรยากาศ ความอบอุ่น ที่พ่อและแม่มีให้ผมเสมอมา ถึงตอนนี้ผมจะแต่งงานแล้ว ผมยังมีความรู้สึกเลยว่า เวลากลับไปบ้าน ไปเจอพ่อและแม่ มันมีความสุขกายและใจแบบไม่สามารถหาเหตุผลได้
บ้านหลังแรกที่ผมอยู่อาศัย เป็นบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ เรียงติดกันประมาณ 5 ห้อง บ้านผมอยู่หลังริมสุด ผมจำเหตุการณ์ที่บ้านนี้ไม่ค่อยได้นัก รู้แต่ว่าผมตกบันไดที่บ้านนี้ จนหัวแตกประมาณ 3 รอบ ซึ่งหน้าผากผมยังเหลือร่องรอยอยู่เลย อาศัยดูรูปเก่า ที่พ่อผมเป็นคนถ่าย ซึงเป็นความโชคดี อย่างนึง ที่พ่อเป็นคนชอบถ่ายรูป ผมและพี่ๆจึงมีรูปตั้งแต่เด็กๆกันทุกคน อ้อ..กล้องที่พ่อซื้อมาเป็นกล้องมือสอง ครับ ไม่มีเงินซื้อมือหนึ่งหรอกครับ
จนผมอายุประมาณ 5 ขวบ เราจึงย้ายบ้านใหม่ มาอยู่ตึกแถวใหม่ ซึ่งซื้อต่อจากตาของผมอีกทีหนึ่ง ซึ่งผมมาคิดเอาเองว่า ตาของผมท่านมาช่วยนั่นแหละ มาซื้อไว้ก่อน แล้วมาขายต่อไม่แพงทีหลัง ซึ่งตึกแถวใหม่ ก็อยู่ถนนเดียวกับบ้านเดิมแหละครับ ห่างกันซัก 400 เมตรได้
เปิดร้านตัดเย็บเสื้อผ้าก็ต้องมีชื่อร้านใช่มั้ยครับ เดิมที่ชื่อร้านของพ่อผม ชื่อ "คิงส์สยาม" โหย...ชื่อเสี่ยงคุกมาก และก็เป็นเช่นนั้นจริง เมื่อมีหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นคนไทย มาหาที่บ้าน แต่พอเห็นเป็นคนไทยเลยไม่ทำอะไร แต่ต่อมาก็มีนักหนังสือพิมพ์คนจีนมาหา พ่อเลยต้องเปลี่ยนครับ
พ่อเลยมาปรึกษาพี่ชายของท่าน(ลุง) ว่าจะตั้งชื่ออะไรดี บังเอิญปีนั้น มีการจักการแข่งขันกีฬาโอลิมปิค ที่ประเทศเยอรมัน ลุงเลยบอก ตั้งชื่อว่า "มิวนิค" โหย....ตรงๆเลยครับท่าน และมันก็เป็นชื่อร้านของพ่อและแม่ผมมาจนทุกวันนี้ครับ