มีภาษิตกล่าวไว้ว่า “คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ”
เป็นคำที่ใช้ได้ตลอดกาล โดยเฉพาะสมัยนี้ค่อนข้างจะเห็นชัด สร้างภาพลวงตาเก่ง ดูข้างนอกก็สดใสมีเมตตา แต่ข้างในคิดไปอีกอย่างหนึ่ง เหมือนภาพที่เขียนกับตัวจริง ย่อมผิดกัน ภาพเขียนมักจะสวยงามน่าชมกว่าตัวจริง เพราะมีการแต่งแต้มสีให้สดใสลงไป
คนที่สร้างภาพตัวเองให้ดูเด่นก็จำเป็นต้องแต่งแต้มสีสันให้ใบหน้า กิริยาท่าทาง และการแสดงออกอื่นๆ ให้ดูดีน่านิยมชมชอบแก่ผู้พบเห็นเข้าไว้ เพื่อปกปิดภายในซึ่งไม่งดงามอย่างนั้น จึงเกิดคำพูดที่ว่า “รู้หน้าไม่รู้ใจ” ขึ้น คือเรารู้ได้แต่หน้าตาภายนอกของเขา แต่ใจของเขานั้นยากที่จะหยั่งรู้ได้ เพราะอาจผิดเพี้ยนไปได้เหมือนภาพวาดกับตัวจริง
ดังนั้น เมื่อลูกคบหากับใคร จะไว้วางใจใคร หรือทำกิจการร่วมกับใคร จึงควรดูให้ดี ดูให้นานๆ อย่าดูเพียงหน้าตาภายนอกซึ่งอาจเป็นภาพลวงตาก็ได้ ต้องดูไปถึงการกระทำและความคิดความอ่านของเขา ดูทั้งต่อหน้าและลับหลัง
หากลูกไม่ดูให้ดี หลงไปคบหาหรือไว้วางใจให้ความเคารพนับถือเข้า อาจต้องชอกช้ำใจภายหลังได้ คนอื่นมาทำให้เราผิดหวัง เราก็แค่เดือดร้อนเท่านั้น แต่คนที่เรารักไว้วางใจหรือคนที่เราเคารพนับถือมาทำให้เราผิดหวังนั้น มันทำให้เราเจ็บปวดและชอกช้ำใจยิ่งนัก
เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนว่า
“อย่าไว้ใจทาง อย่างวางใจคน จะจนใจเอง”
จะไว้ใจใครก็อย่าถึงกับวางใจเลย
จะรักนับถือใครก็เผื่อใจไว้ผิดหวังบ้าง
คืออย่าทุ่มเทใจไปรักนับถือ
หรือยอมรับใช้ใครแบบยอมตายถวายชีวิต
ให้เผื่อขาดเผื่อเหลือไว้บ้างเป็นดี
ที่มา => หนังสือบทเรียนชีวิตจาก คำพ่อ คำแม่ ฉบับพิเศษ สอนลูกให้สู้ชีวิต เขียนโดย : พระธรรมกิตติวงศ์
ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน คติที่เทียบเคียงใช้ได้
“อย่าไว้ใจทาง อย่างวางใจคน จะจนใจเอง” สำคัญนะคะ
ข้อคิดดีๆ ชอบมากครับ
สวัสดีค่ะ เป็นเรื่องที่ได้ข้อคิด สะกิดใจให้ระมัดระวังนะคะ
เห็นด้วยกับคุณครูศิริพักธิ์
ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นนะครับ ผมว่าในโลกยุคปัจจุบันดูทันสมัย เทคโนโลยีก็ก้าวลำ แต่คุณธรรมจริยธรรมทำไมถอยหลังเข้าคลองทุกวัน ยิ่งอยู่กับเด็กยุคใหม่จะเห็นว่าเขากับเราในวัยเดียวกันช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง . . . จริงไหมครับ
คมจริงๆ ครับท่านพี่ สบายดีนะครับ