ก่อนสิ้นปีข้าพเจ้าเขียนบันทึกเรื่อง หนึ่งปีแห่งความไร้ตัวตน เป็นการเปรียบเปรยกับวิถีชีวิตที่ไม่ได้ถือเอาความสำเร็จมาเป็นของตนเอง การใช้ชีวิตในแต่ละวันหากมองไปแล้วในฐานะของคนทำงานคล้ายกับคนที่ไม่มีผลงานใดใดปรากฏต่อสาธารณะชน ทำให้นึกหวนคิดถึงหลายๆ สถาบันที่เคยเข้าไปร่ำเรียนแล้วเขาอยากขอสถานะให้เราเป็น "ศิษย์เก่าดีเด่น" แต่...เมื่อถามหาใบประกาศเกียรติคุณกลับไม่มีให้เขาจึงไม่สามารถส่งชื่อเราเข้าพิจารณาได้ เพราะตลอดชีวิตไม่เคยนำพาใส่ใจในเรื่องเช่นนี้เลย และเชื่อมาเสมอว่าชีวิตไม่ต้องดำรงอยู่ภายใต้เงื่อนไขนี้ก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข
ชีวิตข้าพเจ้าจึงเป็นภาพ...
สิ่งที่ให้ความสำคัญที่สุดของการมีชีวิตอยู่ คือ การทำตัวให้รู้สึกตัวว่ากำลังหายใจเข้าหรือกำลังหายใจออก และตั้งมั่นพยายามไม่ทำผิดพลาดในเรื่องศีลธรรม หรือบางช่วงชีวิตพลาดไปด้วยความไม่รู้ ก็พยายามให้อภัยตนเองและเริ่มต้นต่อตนเองใหม่เสมอ...เป็นการเริ่มต้นทุกๆ วินาที
ประคองอารมณ์...ที่เป็นอยู่ให้เป็นอารมณ์แห่งธรรม มากกว่าอารมณ์ของความหลง ความอยาก และความโกรธ ==> "ตัวหลง" นี่ร้ายมากเพราะบางคราเราหลงไป อารมณ์ของความอยากและความโกรธก็จะแสดงเป็นอารมณ์ของจิตแบบตามกันมาติดๆ...ส่วนอารมณ์แห่งธรรมตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจมากเท่าไรนัก รู้แต่เพียงว่า...รักและเข้าใจผู้อื่นให้มากๆ เมื่อเรารักและเข้าใจผู้คนแล้ว เราจะไม่รู้สึกโกรธ-เกลียด ชิงชังใครจะมีแต่สงสารและอยากจะช่วยเหลือ...เมื่อได้นำพาอารมณ์ของจิตไปเช่นนี้แล้วและเราได้ลงมือเกื้อกูลผู้คนแล้วจะทำให้เรารู้สึกว่า "เราได้ทำเต็มที่แล้ว...อันเป็นความเต็มที่ตามศักยภาพที่เรามี"...เราก็จะสามารถวางลงจากใจได้ด้วยใจเบาเบา
เราต้องปฏิบัติภาวนาเจริญสติอย่างมาก ... เราจึงสามารถดำรงอยู่ได้ท่ามกลางกระแสของครอบครัว สังคม และโลกที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ได้ด้วยใจที่ร่มเย็น
การเจริญสติทุกย่างก้าว ทุกอิริยบท ทุกลมหายใจเข้าและออก...ช่วยทำให้เราไม่เพิ่มความรุ่มร้อนในจิตใจเรา อีกทั้งก่อเกิดเป็นกำลังของจิตที่ช่วยนำเราให้สามารถพิจารณาสิ่งต่างๆ ได้อย่างลุ่มลึกขึ้น ภาษาธรรมะนี่แหละเราเรียกว่า วิปัสสนา... เมื่อก่อนเคยสงสัยว่า "ธรรม" กับการดำรงอยู่สามารถเชื่อมโยงกันได้อย่างไร ไปวัด สวดมนต์ ให้ทาน ทำบุญ...แล้วในวิถีชีวิตประจำนี่จะทำอย่างไร จนได้มานิสัยแห่งการดำรงชีวิตตามแนวทางขององค์พระหลวงตามหาบัวและของหลวงปู่ติช นัทฮันห์...จึงพอมองเห็นหนทางชัดเจนขึ้นและกล้าที่จะก้าวเดิน แม้จะเป็นการเดินสวนทางกับผู้คนส่วนใหญ่ในสังคม บางครั้งอาจถูกหัวเราะว่า "เป็นคนบ้า"... เพราะมักทำอะไรสวนทางผู้คน ==> ปฏิเสธการแต่งงานมีครอบครัว ปฏิเสธฐานะทางการงานที่ใหญ่โตตามความเชื่อของผู้คน ปฏิเสธการเรียนแบบเพื่อยกระดับชีวิตและเอาใบปริญญา...ปฏิเสธความสุขแบบที่คนทั่วไปเสพสุขกันอยู่...
นี่เป็นอีกหนึ่งปีในอีกหลายๆ ปีที่ผ่านมาที่สะท้อนถึงสิ่งที่ยืนยันความเชื่อมั่นต่อหนทางแห่งการมีความคิดเห็นต่อชีวิตเช่นนี้ ชีวิตที่ดำเนินไปในหนทางแห่งการมีศีล สมาธิ และปัญญาหรือแยกย่อยลงไปคือหนทางแปดอย่างที่ดำเนิน (มรรคแปด)...นั่นเอง
เราไม่ต้องไปบวช...เราก็สามารถทำได้ในวิถีชีวิตประจำวันเรานี่แหละ ทำไปเรื่อยๆ แล้วเราจะเห็นผลปรากฏขึ้นในจิตใจเราเอง...
ปี ๒๕๕๓
สาธุ อนุโมทนาในบุญในกุศลด้วยครับ
เห็นด้วยกับดร. Ka-poom
รุ่นน้องเคยเรื่อง เขียนวัดอยู่ที่ใจ มาให้อ่าน
เคยสังเกตไหมคะว่า
เมื่อได้มาวัด ก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจ สุขสบายใจขึ้นมา
พอกลับบ้านก็ผจญกับอารมณ์ต่าง ๆ อีก จิตก็ต้องคิดโน่นคิดนี้มีอารมณ์ต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง
วุ่นดีแท้ ไม่ค่อยสงบอย่างตอนที่อยู่วัด
เมื่อใดก็ตามเอา "วัด" ซึ่งเป็นสถานที่นอกบ้านให้มาอยู่ที่ใจ ซึ่งเป็นสถานที่สมมติให้จิตได้ฝึกปฏิบัติธรรมอยู่ตลอดเวลาแม้กายจะไม่ไปวัด ก็ตาม หากทำได้อย่างนี้ เมื่อนั้นกายและใจก็ไม่ยึดติด "วัด" ซึ่งเป็็นสถานที่หรือสมบัติภายนอก
เพราะได้ทำเนื้อที่ภายในใจให้เป็นวัด อยู่ที่ใดก็เป็นสุขและได้ร่มเงาแห่งพระพุทธศาสนาให้เย็นกายเย็นใจตลอดเวลาพร้อมกับ
ได้แสงสว่างแห่งพระรัตนตรัยช่วยชี้นำทาง ทำให้จิตอยู่กับสติสัมปชัญญะ เกิดความผ่องใส เป็นความสุขได้นานขึ้นกว่าแต่ก่อน เพราะได้อยู่"วัด"ในใจนี้เองค่ะ "วัด"ในใจจึงไม่ใช่สมบัติภายนอกที่จับต้องได้อีกต่อไปค่ะ
ประทับใจในบันทึกนี้นะคะ
เป็นวิถีชีวิตที่น่าชื่นชมและมีคุณค่าค่ะ
ปีใหม่นี้ขอให้น้องกะปุ๋มมีความสุขมากๆ ค่ะ
อ่านแล้วรู้สึกอิ่มใจ ขอเป็นกำลังใจ และขออนุโมทนาบุญกับท่านอาจารย์ด้วยนะคะ ดิฉันจะขอนำสิ่งดีดีที่อาจารย์มอบให้ไปใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ให้มีสติทุกย่างก้าว
ปีใหม่สุข สงบ ในใจค่ะพี่กะปุ๋ม
ชอบๆ โดนใจ ใช่เลย ชัดเจน มั่นใจ
ไปนอนจงกลม ต่อนะคะ ขอบคุณค่ะ :)
สวัสดีค่ะ
ส่งภาพหลานน้อย...โลมา...มา "สวัสดีปีใหม่คุณกะปุ๋มค่ะ"
พวกเราไปปิดทองฝังลูกนิมิตร และได้ถ่ายภาพมาชมกันค่ะ
เราไม่ต้องไปบวช...เราก็สามารถทำได้ในวิถีชีวิตประจำวันเรานี่แหละ ทำไปเรื่อยๆ แล้วเราจะเห็นผลปรากฏขึ้นในจิตใจเราเอง
ขอขอบคุณค่ะ
...โมธทนา..สาธุ..ขอคารวะ..มากับจิต..อันเป็นกุศล..เจ้าค่ะ..ยายธี
ขอขอบพระคุณอ.กะปุ๋มที่มอบสิ่งดีงามให้เสมอมา ทำให้ทุกย่างก้าวของชีวิตตื่นรู้อยู่ตลอดเวลา
มีความสุขทุกครั้งที่ได้ระลึกถึง...อิ่มใจจังค่ะ...