ช่วงเดือน กลาง พค ถึงกลาง มิย 49 หัวหน้าฝ่ายโภชนาการ รพ.หาดใหญ่ คุณสุดี ทองตัน ได้มีโอกาส ไปศึกษา หลักการ และ การปรุงอาหาร แบบ macrobiotics
หลังจากนั้น ทีมงาน โภชนาการ ก็ได้จัดบริการอาหารผู้ป่วยเฉพาะโรค ในห้องพิเศษ ด้วยแนวทาง UPM macrobiotics ซึ่งอนุรักษ์ แนวทางดั้งเดิม ของ ยอร์ซ โอซาว่า และ มีหลายส่วนต่างจาก แนวทางของ Michio Kushi
เป็นอาหาร จากข้าวกล้อง โรยงา และ มีผัก และ มีปลา พอสมควร เรา ใช้วัตถุดิบในประเทศ เป็นหลัก
ส่วนตัวผม ก็เปลี่ยนแปลงการกินอาหาร จากเดิม กินง่าย กินทุกอย่างเป็น กินให้ถูกหลัก กินให้พอดี คือ กินธัญพืชมาก กินผักเป็นหลัก ทานเนื้อสัตว์น้อยลง
ผมมีปัญหาปวดขา มากชนิดที่กินยาไม่ทุเลา ผู้อาวุโส ด้าน macrobiotics ใช้หลักการตรวจสุขภาพ แบบ Low tech แต่ประทับใจในความแม่นยำมาก และบอกสาเหตุการเจ็บป่วย มาเกี่ยวข้องกับการบริโภคอะไร ไม่เหมาะสม เช่น การทานอาหารหรือ สมุนไพร ที่มีรสขม มากเกินไป ซึ่งผู้รู้จริง อธิบายว่า รสขม กระตุ้น เส้นลมปราณตับและถุงน้ำดี ทำให้เสนลมปราณตับ และถุงน้ำดีแกร่งเกิน คือ น่องขวาตึงเกร็งเป็นประจำ จนปวดเรื้อรัง ชนิดทานยาแก้ปวด นวด ขาก็ไม่ได้ผล
เรื่อง พลังร้อน พลังเย็น ใน อาหาร สมุนไพร และ รส นับว่า ละเอียดอ่อน น่าสนใจ แต่ละวัฒนธรรมตีความ รหัสภูมิปัญญา ไม่เหมือนกัน
ตัวอย่าง สมุนไพร ไทย รสขม จัดกลุ่มได้เป็น ขม อุ่น ขมสุขุม และ ขมเย็น
แต่ทาง macrobiotics จัดรสขม เป็น พลังหยาง
เรื่องนี้ต้องศึกษา ติดตามสังเกตุ เพื่อหาว่า เย็นต่ออะไร ร้อนต่ออะไร แล้วควรเลือกใช้อย่างไร
น่าสนใจมาก ๆ เลยครับ
น่าจะจัดเก็บและเผยแพร่ภูมิความรู้ไปใช้มาก ๆ เลยครับ