กำเนิดนาฏศิลป์อินเดียและตำนานการฟ้อนรำ
ชาวอินเดียเชื่อว่า กำเนิดของการฟ้อนรำมีความสัมพันธ์กับเทพ ๒ องค์ คือ พระศิวะ และ พระพรหม ตำนานหนึ่งกล่าวว่าพระศิวะเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาการฟ้อนรำขึ้นในขณะที่อีกตำนานหนึ่งกล่าวว่าผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาดังกล่าวนี้คือพระพรหม ตำนานการฟ้อนรำที่เชื่อว่าพระศิวะเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทขึ้นนั้นปรากฏอยู่ใน “โกยิลปุราณะ” ซี่งเป็นคัมภีร์ปุราณะของทมิฬ เรื่องราวมีอยู่ว่ามีฤษีพวกหนึ่งพร้อมด้วยภรรยาตั้งอาศรมอยู่ในป่าตารกะ ต่อมาฤษีกลุ่มนี้ประพฤติผิด อนาจาร ฝ่าฝืนเทวบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า พระศิวะเห็นว่าฤษีเหล่านี้เป็น ผู้มีมิจฉาทิฏฐิ ควรที่จะได้รับการสั่งสอนให้รู้จักความรับผิดชอบ พระองค์จึงได้ชวนพระนารายณ์เสด็จมายังมนุษยโลกเพื่อที่จะทรมานฤษีเหล่านี้ พระอิศวรทรงแปลงพระองค์เป็นฤษีหนุ่มรูปงาม และให้ พระนารายณ์แปลงเป็นภรรยาสาวรูปร่างสวยงาม น่าเสน่หา พากันตรงไปยังป่าตารกะ เมื่อฤษีกลุ่มดังกล่าวเห็นก็พากันกำหนัดลุ่มหลงรักใคร่นางนารายณ์ ฝ่ายภรรยาฤษีก็พากันหลงใหลฤษีแปลง จึงวิวาทกันด้วยอำนาจราคจริต เนื่องจากต่างพยายามที่จะเกี้ยวคนทั้ง ๒ แต่ไม่สำเร็จ ฤษีตนหนึ่งได้เตือนว่าฤษีหนุ่มและภรรยานั้นคงจะมิใช่มนุษย์ธรรมดาจากนั้นก็ได้เล่าเรื่องให้ฤษีทุกตนทราบเรื่อง เหล่าฤษีต่างพากันสาปแช่ง ขณะกำลังประกอบพิธีบูชายัญได้ปรากฏเสือใหญ่ตัวหนึ่งในกองเพลิงตรงเข้าหาฤษีแปลง แต่ฤษีแปลงก็มิได้หวั่นกลัว จับเสือขึ้นมาและถลกหนังเสือมาครองแทนผ้า แต่เหล่าฤษีก็ยังไม่ยอมแพ้กลับนิรมิตงูใหญ่ขึ้นอีกตัวหนึ่ง ฤษีแปลงก็จับงูมาคล้องคอเป็นสังวาล ฤษีทั้งหลายจึงสิ้นฤทธิ์ในที่สุด พระอิศวรและพระนารายณ์ก็กลายร่างกลับคืนดังเดิม และได้กล่าวคำสั่งสอนให้รู้จักผิดชอบชั่วดี จากนั้นพระองค์ทรงเริ่มต้นฟ้อนรำ
ขณะนั้นมียักษ์ตนหนึ่งชื่อ มุยะคะละ หรืออสูรมูลาคนี เข้ามาขัดขวางเพื่อจะช่วยฤษีพวกนั้น พระอิศวรจึงใช้พระบาทเหยียบอสูรตนนั้น แล้วร่ายรำด้วยท่าทางอันงดงาม โดยมีเทวดา ฤษี มาเฝ้าดูด้วยความพิศวงในท่าอันงดงาม เมื่อจบการฟ้อนรำ เหล่าฤษีก็ละทิฐิ ต่างพากันขอขมาโทษต่อพระอิศวรและพระนารายณ์
การฟ้อนรำของพระอิศวรที่ปรากฏต่อสายตาประชาชนเป็นครั้งแรกนั้น เกิดขึ้นเมื่อพระยา อนันตนาคราชหรือ เศษนาคราช ซึ่งเป็นบัลลังก์ของพระนารายณ์ ใคร่ที่จะได้ชมการฟ้อนรำของ พระอิศวรอีก จึงทูลขอต่อพระนารายณ์ พระนารายณ์ทรงแนะนำว่า การที่จะไปทูลพระอิศวรให้ทรงแสดงการฟ้อนรำอีกครั้งหนึ่งนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ และยังเป็นการไม่สมควร แต่ก็ยังมีวิธี กล่าวคือพระอนันตนาคราชต้องไปบำเพ็ญตบะ ทำพิธีบูชาพระศิวะที่เชิงเขาไกรลาส พระศิวะจะเสด็จมาประทานพรเอง พระยาอนันตนาคราชก็ได้ทำตามที่พระนารายณ์แนะนำ พระศิวะก็ได้ประทานพรให้ตามที่ขอ ทรงกำหนดสถานที่ให้ในมนุษยโลก ณ ตำบลจิดัมทรัม (Chidambaram) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของอินเดีย เป็นสถานที่ที่พระองค์จะเสด็จมาฟ้อนรำให้มนุษยโลกชมเป็นครั้งแรก เมื่อถึงกำหนดพระศิวะเสด็จมาถึง ณ ที่นั้น พร้อมด้วยบริวาร ทรงนิมิตสุวรรณศาลาขึ้น และเริ่มต้นการฟ้อนรำ ให้แก่พระยาอนันตนาคราชและมนุษย์ได้ชม
จากตำนานดังกล่าว ชาวฮินดูเชื่อว่า เมืองจิดัมทรัม เป็นสถานที่ที่พระอิศวรเสด็จลงมาแสดงการฟ้อนรำบนโลกมนุษย์เป็นครั้งแรก จึงคิดสร้างเทวรูปของพระองค์ ปางฟ้อนรำ เรียกว่า “นาฏราช” หรือ “ศิวนาฏราช” และช่วยกันจำหลักท่ารำ ๑๐๘ ท่าของพระอิศวรไว้ที่เสาไม้ทางตะวันออกที่ทางเข้ามหาวิหาร ท่ารำเหล่านี้ตรงกับที่กล่าวไว้ในตำรา “นาฏยศาสตร์” ซึ่งรจนาโดยพระภรตมุนี ท่าฟ้อนรำเหล่านี้ถือเป็นแบบฉบับของนาฏศิลป์อินเดีย ซึ่งต่อมาได้แพร่หลายไปทั่วประเทศ และแพร่กระจายมาสู่ดินแดนไทย
ส่วนตำนานการฟ้อนรำที่เชื่อว่าพระพรหมเป็นผู้ประสาทวิชานั้น
มีที่มาจากความเชื่อที่ว่า
ครั้งหนึ่งเหล่าเทพต้องการให้มีงานรื่นเริงสนุกสนานจึงทูลขอต่อพระพรหม
พระพรหมจึงได้สร้าง “นาฏยเวท” (NATAYA
VEDA) โดยทรงหยิบสาระสำคัญจากคัมภีร์พระเวททั้งสี่มารวมกัน ดังนี้
ภาษาและถ้อยคำจากฤคเวท (RIGVEDA)
กิริยาท่าทางและลีลาจากยชุรเวท (YAGUR VEDA)
การขับลำนำแบบการสวดจากสามเวท (SAMA VADA)
รสมาจากอาถรรพเวท (ATHARVA VEDA)
จากตำนานข้างต้น กล่าวได้ว่าไทยรับอิทธิพลรูปแบบการฟ้อนรำมาจากตำนานพระอิศวร พิสูจน์ได้จากท่ารำแม่บทของนาฏศิลป์ไทยนั้นมี ๑๐๘ ท่า ซึ่งมีเค้ามาจากท่า “นาฏราช” ตามตำนาน ศิวนาฏราช อีกทั้งเทวรูปที่คนในวงการนาฏศิลป์เคารพนับถือคือเทวรูปศิวนาฏราช
ประเภทของนาฏศิลป์อินเดีย
โดยทั่วไปแล้วนาฏศิลป์อินเดียนั้นสามารถแบ่งโดยใช้เกณฑ์ด้านลีลาและลักษณะการแสดงออกเป็น
๔ ประเภท ได้แก่ ภารตนาฏยา หรือ
ภารตนาฏยัม,
กถกฬิ, กถัก
และมณีปุรี
ภารตนาฏยา(Bharata natya)
“ภารตนาฏยา”(Bharata natya) หรือ “ภารตนาฏยัม” คือ การแสดงการร่ายรำที่ถือว่าเก่าแก่มากที่สุดของอินเดีย และถือว่าเป็นแม่แบบทางด้านการสะครด้วย เพราะการแสดงนาฏศิลป์ประเภทนี้ได้รับแบบแผนการแสดงมาจากตำรานาฏยศาสตร์ของพระภรตมุนีผู้ได้รับการถ่ายทอดการฟ้อนรำจากพระอิศวร และนำมารจนาเป็นตำราชื่อ “นาฏยศาสตร์” และการแสดงในตอนนั้นเรียกว่า “การฟ้อนรำแบบนาฏราช” การแสดงภารตนาฏยานั้นเดิมใช้ผู้หญิงแสดงล้วน เพราะผู้หญิงเหล่านี้มีหน้าที่ร่ายรำถวายพระพรพระผู้เป็นเจ้าที่เทวาลัย ผู้หญิงเหล่านี้เรียกว่า “เทวทาสี” การแสดงภารตนาฏยามีลีลาการแสดงที่รวดเร็ว มีการใช้ภาษานาฏศิลป์ที่สลับซับซ้อน บทเพลงก็นำมาจากเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาฮินดู ดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงมีกลอง ฉิ่ง และไวโอลิน วิธีการแสดงภารตนาฏยานั้นก่อนเริ่มการแสดงต้องมีการแสดงการไหว้ครูที่เรียกว่า “อลาริปุ” (ALARIPPU) แปลว่า การโปรยดอกไม้ เช่นเดียวกับการรำอวยพรของไทยที่มีการโปรยดอกไม้ จากนั้นจึงเริ่มแสดงเรื่องราวอันเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าเป็นการรำเบิกโรง หมายถึง ดอกไม้ที่บูชาเทพเจ้า การรำเบิกโรงนี้เป็นการไหว้ครูบูชาองค์พระอิศวร
การแสดงนาฏศิลป์อินเดียชุดภารตนาฏยา
กถักกะลิ (KATHAKALI)
“กถักกะลิ” (KATHAKALI) คือ การแสดงที่เล่นเป็นเรื่องราวเหมือนกับการแสดงละคร เรื่องที่นำมาแสดงก็มักเป็นเรื่องราวอันเกี่ยวเนื่องกับพระผู้เป็นเจ้าหรือมิฉะนั้นก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับบรรพบุรุษ เช่น รามายณะ มหาภารตะ เป็นต้น การแสดงกถักกะลินี้เดิมใช้ผู้ชายแสดง แม้ผู้ที่แสดงเป็นตัวนางก็ใช้ผู้ชายแสดง การแสดงมีพิธีรีตองมาก ผู้แสดงจะแต่งหน้าซึ่งดูเหมือนกับการสวมหน้ากาก วิธีการแสดงมีผู้ขับร้องและเจรจาให้ เครื่องดนตรีในการแสดงประเภทนี้ ได้แก่ กลองมะดะลัม กลองเจินละ ฉาบเหล็ก และโหม่ง
การแสดงนาฏศิลป์อินเดียชุดกถักกะลิ
กถัก(KATHA)
“กถัก” (KATHA)มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนเหนือของอินเดีย การแสดงประเภทนี้เป็นการแสดงเรื่องราวที่เกี่ยวกับศาสนาเช่นเดียวกับกถกฬิ แต่มีข้อแตกต่างคือกถักจะแสดงเฉพาะเรื่องหรือตอนที่มีบทบาทคึกคัก แสดงความกล้าหาญของตัวละคร อย่างไรก็ตาม นอกจากเรื่องราวทางศาสนาแล้ว กถักยังนิยมแสดงอีก ๒ เรื่อง ได้แก่ เรื่องพระกฤษณะกับนางโคปี และเรื่องโลกธัมม์ซึ่งเป็นเรื่องที่แสดงถึงชีวิตประจำวันของชาวอินเดีย ในด้านผู้แสดงนั้นมีทั้งผู้แสดงชายและหญิง แสดงร่วมกันบนเวที อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติ นิยมการแสดงเดี่ยวมากกว่าการแสดงหมู่ เวทีที่แสดงจะได้รับการประดับตกแต่งสวยงาม ผู้แสดงจะแสดงลีลาด้วยการหมุนตัวไปรอบๆ เวที เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงกถัก ได้แก่ พิณ ฉิ่ง ฉาบ และกลอง กถักเป็นการแสดงของทั้งศาสนาฮินดูและศาสนาอิสลาม บทร้องที่ใช้มีเนื้อหาเกี่ยวเนื่องกับเทพเจ้าในศาสนาของตน เมื่อจะแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับเทพเจ้าองค์ใดก็จะนำบทร้องเกี่ยวกับเทพเจ้าองค์นั้นมาขับร้อง
การแสดงนาฏศิลป์อินเดียชุดกถัก
มณีปุรี(MANIPURI)
“มณีปุรี” (MANIPURI) คือ การแสดงนาฏศิลป์ของชาวมณีปุระ การแสดงประเภทนี้มีลีลาการแสดงที่ค่อนข้างช้ากว่าการแสดงนาฏศิลป์ประเภทอื่นที่กล่าวมาแล้ว เนื่องจากมณีปุระเป็นการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง ลักษณะการแสดงมณีปุระมักแสดงเป็นหมู่มากกว่าแสดงเดี่ยว ผู้แสดงใช้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง แต่งกายคล้ายชาวยุโรป คือ นุ่งกระโปรงสุ่มที่มีลวดลายมากและมีการนำกระจกสีต่างๆ มาประดับกระโปรงเพื่อความสวยงาม
การแสดงนาฏศิลป์อินเดียชุดมณีปุรี
1. การแสดงนาฏศิลป์อินเดียชุดภารตนาฏยา
2. การแสดงนาฏศิลป์อินเดียชุดกถักกะลิ
3. การแสดงนาฏศิลป์อินเดียชุดกถัก
4. การแสดงนาฏศิลป์อินเดียชุดมณีปุรี
เอกสารอ้างอิง
คมคาย กลิ่นภักดี.
“อิทธิพลของนาฏศิลป์อินเดียที่มีต่อนาฏศิลป์ไทย.”
วิทยานิพนธ์ปริญญา
ศึกษาศาสตรบัณฑิต ภาควิชานาฏศิลป์และดุริยางค์ วิทยาลัยนาฏศิลป์,
๒๕๒๕.
ธนิต อยู่โพธิ์, “การละเล่นสมัยอยุธยา”
ในรวมปาฐกถางานอนุสรณ์อยุธยา ๒๐๐ ปี,
(พระนคร:
โรงพิมพ์คุรุสภา, ๒๕๑๐) หน้า ๓๗
แสง มนวิทูร (ผู้แปล), นาฏยศาสตร์. พระนคร:
กรมศิลปากร, ๒๕๑๑.
อาภรณ์ – จาตุรงค์ มนตรีศาสตร์,
วิชาชุดครูประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาของคุรุสภา,
วิชานาฏศิลป์. พระนคร: โรงพิมพ์คุรุสภา.
Ahuga, Roshan L. The theory of jrama
in ancient India ambala can’t : India publications, 1964
Bharata
Muni.
The natyasastra: a treaties on hindo dramaturgy and histrionies,
acribed to bhara muni vol.11 translated by ghosh unomohan Calcutta:
asiatie socity, 1961
Department of Tourism. The Dance in India. Publication Division,
Ministry of Information
and Broadcasting calcutta -9 :March 1964 p30
Kothari, Sunil. ED Bhakata Natyam:
India classical dance art Bombay: Mare publications, 1979
,
Kathak, Indian classical dance art. New Delhi abhijnav
publications, 1989
*** ขอบคุณ บันทึกนี้ที่นำเรื่องราวดีๆ มาให้เรีบนรู้ค่ะ
ได้รู้ถึงวัฒนธรรมของประอินเดียมากขึ้นคะ ขอบคุณคะ
ขอบคุณครับที่ให้ความรู้