เส้นทางนี้..เราไม่ได้เดินคนเดียว


วันก่อนผมได้รับแผ่นซีดีมาสองสามเรื่องจากเพื่อนครับ

 เป็น CD ที่เพื่อนผมเองส่งมาชื่อว่า "The Art of Listening Calling 1 และ 2" อีกชุดหนึ่งคือ " Starting Like Pro 1 และ 2"   

Pic45

   พอพูดถึง "โปร" แล้ว หลายท่านคงนึกต่างกัน ท่านที่เล่นกอล์ฟก็นึกถึงโปรกอล์ฟ แม่บ้านอาจนึกถึงผงซักฟอก นักศึกษา อาจนึกถึงตอนติดโปร ต่างๆ เหล่านี้มีความเป็นมืออาชีพเหมือนกัน แต่วันนี้ผมจะพูดถึงเรื่องโปรๆ นั่นคือ การพัฒนาตนเอง กันครับ

สำเร็จหรือล้มเหลว เริ่มต้นจากตนเอง

  หากเปรียบดั่งผมนั่งลงอยู่ในเรือแล้ว ผู้ที่ถือหางเสือนั้นคือ ผู้กุมทิศทางของเรือให้ไปในทิศทางใด ไต้ก๋งเรือเปรียบดั่งกุนซือใหญ่ที่จะชี้ทิศทางให้เดินไปข้างหน้าหรือก้าวไปข้างหลังก็ได้ ดังนั้น หากวันนี้เราเกิดได้ไต้ก๋งที่ดี เรือจะแล่นไปในทิศทางที่กำหนด แต่ถ้าไม่ใช่ จะเป็นอย่างไร ?

   จากประสบการณ์ด้านธุรกิจขายตรง ผมเคยเห็นผู้นำทีมงาน สายงานบางคนพอลูกทีมทำไม่ได้ ก็มักจะโทษว่าลูกทีมไม่เอาไหน ไม่เก่ง ก็ไปต่อว่า ตำหนิลูกทีมต่างๆ นานา ลูกทีมไม่พอใจก็ลาออก ซึ่งสำหรับบางคนอาจเป็นเรื่องที่สะใจและสมน้ำหน้า แต่ในความจริง เขากำลังทำลายองค์กรไปโดยไม่รู้ตัวทีเดียว 

    พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล * ได้เขียนไว้ในบทความ "ความสำเร็จคือจุดเริ่มต้นแห่งความล้มเหลว" สรุปได้ว่า ความสำเร็จกับความล้มเหลวนั้นแยกจากกันไม่ออก จะเรียกว่าความสำเร็จคือจุดเริ่มต้นของความล้มเหลวก็ได้ ทั้งนี้ก็เพราะในความสำเร็จนั้นมีเชื้อแห่งความล้มเหลวซุกซ่อนอยู่ซึ่งพร้อมจะเติบใหญ่ในวันหน้า หาไม่ก็เปิดช่องให้ปัจจัยแห่งความล้มเหลวแฝงตัวเข้ามา (เช่น ความประมาท ความหลงตัวลืมตน การยึดติดกับความคิดเดิมจนไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลง) ซึ่งหากไม่รู้เท่าทัน มันก็จะลุกลามขยายตัวจนก่อปัญหาและกลายเป็นความล้มเหลวในที่สุด
      แต่กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ความสำเร็จไม่ว่ายิ่งใหญ่แค่ไหนก็ไม่เที่ยง (อนิจจัง) อีกทั้งไม่สามารถทนอยู่ในสภาวะเดิมไปได้นาน ๆ ไม่นานก็ต้องเสื่อมสภาพไป (ทุกขัง) ความฉลาดปราดเปรื่องหรือความเก่งกล้าสามารถก็เช่นกัน ไม่สามารถหนีกฎอนิจจังไปได้ ยิ่งยึดติดกับวิธีการเดิม ๆโดยไม่เข้าใจถึงความแปรเปลี่ยนของเหตุปัจจัยรอบตัว วิธีการที่เคยสร้างความสำเร็จนั้นแหละกลับจะกลายเป็นปัญหาและพาไปสู่ความล้มเหลวไม่ช้าก็เร็ว
    ผู้ที่รู้เท่าทันธรรมดา จึงไม่หลงเพลินกับความสำเร็จ ขณะเดียวกันก็ไม่ยึดติดถือมั่นกับความคิดและวิธีการเดิม ๆ หากเปิดใจเรียนรู้อยู่เสมอ และตระหนักดีถึงข้อจำกัดของตนเอง เมื่อถึงเวลาก็รู้ว่าควรจะวางมือและเปิดทางให้ผู้อื่นได้แล้ว ไม่สำคัญผิดว่าตนเองเท่านั้นที่เก่งหรือคิดผูกขาดความสำเร็จไว้กับตัวเองคนเดียว หากหลงคิดเช่นนั้นก็จะต้องแพ้ภัยตนเอง และถูกความล้มเหลวทำร้ายจิตใจในที่สุด
    จิม คอลลินส์ ** เขียนไว้ในหนังสือ "How the Mighty Fall" ถึง 5 ระยะที่ทำให้บริษัทที่ยิ่งใหญ่เดินไปสู่ความตกต่ำ ดังนี้
ระยะที่ 1  หยิ่งผยองกับความสำเร็จมากเกินไป
ระยะที่ 2  ย่ามใจที่จะขยายธุรกิจโดยไร้วินัย
ระยะที่ 3  ปฏิเสธความเสี่ยงและสัญญาณเตือนต่างๆ
ระยะที่ 4  ลนลานที่จะหาทางรอด
ระยะที่ 5  ถอดใจยอมแพ้ปัญหา หรือปล่อยให้ธุรกิจตายไปในที่สุด

     ผมว่าตรงนี้เป็นข้อคิดได้ดีนะครับ สะท้อนให้เห็นในเรื่องหนึ่งที่ว่า "ความประมาท เป็นหนทางแห่งหายนะ" เราควรดำรงตนโดยความไม่ประมาท เพราะเรายิ่งสำเร็จมากเท่าใด ยิ่งทำให้เราประมาท หยิ่งผยอง ย่ามใจ มากขึ้น ซึ่งพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ได้ให้ข้อคิดว่า "คนที่เก่งและประสบความสำเร็จอย่างสูง หากได้รับความสำเร็จไปนาน ๆ ย่อมง่ายที่จะหลงตัวลืมตน หากไม่หลงใหลได้ปลื้มกับความสำเร็จจนชะล่าใจ ก็มักจะเชื่อมั่นในความคิดและวิธีการของตนอย่างฝังหัว จนไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงหรือเรียนรู้จากคนอื่น แม้สถานการณ์รอบตัวจะแปรเปลี่ยนแต่ก็ยังยืนกรานที่จะทำอย่างเดิม ถึงจุดหนึ่งความคิดและวิธีการดังกล่าวย่อมกลับกลายเป็นปัญหาและนำไปสู่ความล้มเหลวในที่สุด"

เพราะเราไม่ได้เดินอยู่คนเดียว   

    สิ่งเหล่านี้จึงเป็นข้อคิดที่ดีสำหรับผมครับที่จะเตือนตนเองอยู่เสมอ ไม่ให้หลงลืมตัว พยายามปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น นั่นคือ เข้าใจและเอาใจใส่กับตนเองให้มากขึ้น ด้วยการเปิดใจยอมรับในสิ่งที่เป็น ณ ปัจจุบันขณะ ในความรู้ความสามารถ ของตนเอง และหมั่นศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมให้มากขึ้นเพื่อขจัดความไม่รู้อันเป็นสาเหตุการปฏิเสธ และเมื่อตนเองได้เรียนรู้แล้วจะพบหนทางรอด นั่นคือ สร้างความพร้อมให้เกิดขึ้นกับตนเองเพื่อรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า และสิ่งนี้เองที่ผมเห็นว่า หากเราเข้าใจตนเองแล้ว จะสามารถเปิดใจยอมรับต่อผู้อื่น ยอมรับต่อความเปลี่ยนแปลง ยอมรับต่อสภาวะแวดล้อมต่างๆ ที่เข้ามากระทบเราได้ ในคำพูดในทางธุรกิจที่ว่า "รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง" นั่นเอง

   ครับ การเป็นโปรนั้น ไม่ยากไม่ง่าย หากมีพื้นฐานที่ดีแล้ว ไม่ว่า ฐานกาย ฐานใจ ฐานความคิด จะส่งผลให้เกิดการพัฒนาหรือขับเคลื่อนไปสู่ความเป็นเลิศได้เช่นกัน

    ขอบพระคุณ Gotoknow.org ที่เปิดโอกาสให้ผมได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ แชร์ประสบการณ์และมอบสิ่งดีๆ ความรู้และประสบการณ์ มาโดยตลอดครับ

23 กรกฎาคม 2553

* http://www.visalo.org/article/sarakadee255210.htm

** http://www.visalo.org/article/sarakadee255210.htm   

หมายเลขบันทึก: 378133เขียนเมื่อ 23 กรกฎาคม 2010 16:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 เมษายน 2012 03:06 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)
  • สวัสดีค่ะ
  • แวะมาอ่านบันทึกดี ๆ ก่อนกลับบ้านค่ะ
  • "เราทุกคนย่อมต้องเผชิญปัญหาต่าง ๆ ผ่านประสบการณ์ต่าง ๆ มากมาย เหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า ล้มลุกคลุกคลาน หัวเราะ ร้องไห้ หากแต่การลุกขึ้นมายิ้ม แล้วจับมือกันเดินร่วมทางไปพร้อม ๆ กัน ประคับประคองดูแลกันและกันให้ทุกคนที่เรารัก สามารถใช้ชีวิต ณ จุดที่ตัวเองเป็น ณ.จุดที่ยืนอยู่ได้อย่างมีความสุข" ถนนคนดี คงไม่ได้เดินคนเดียวแน่นอนค่ะ
  • ขอบคุณค่ะ

 

ขอบพระคุณ พี่นกPบุษรามากครับ

น้องดีใจที่ได้มีพี่สาวคนนี้เดินร่วมทางเพื่อการเรียนรู้ด้วยนะครับ 

สวัสดีค่ะ..น้องชาย

  • พี่กิ่งไผ่มีแนวคิดของตัวเองเกี่ยวกับความสำเร็จไว้ว่า...เราไม่คิดว่าเราประสบความสำเร็จ  แต่เราเดินไปถึงเป้าหมายที่เราวางไว้
  • เมื่อเราถึงเป้าหมายในขั้นนี้  เราก็ตั้งเป้าหมายขั้นต่อไป  แล้วเดินไปยังเป้าหมายนั้น...ไปเรื่อยๆ
  • แบบนี้..จะทำให้เรามีความพยายามที่จะไปให้เป้าหมายอยู่เสมอ  ความมุ่งมั่นและความไม่ประมาทจะตามมา
  • เป็นแนวคิดส่วนตัวนะคะ..^_^

ขอบคุณครับ พี่ Pกิ่งไผ่ใบหลิว

  • ดีใจนะครับที่พี่กิ่งไผ่ฯ มาเยี่ยม ด้วยความระลึกถึงครับ
  • ขอบคุณนะครับ สำหรับแนวความคิดและมุมมองที่ดี ที่นำมาแลกเปลี่ยนกันนะครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท