ดร.กฤษฎา
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กฤษฎา สังขมณี

สัมมนาธุรกิจการเงินการธนาคาร 1/2553 ใหม่ครับ


ร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้แบบวงกลม

น.ศ.เศรษฐศาสตร์ชั้นปีที่  4

                  ขณะนี้มีผู้สนใจอ่านและให้ความเห็นอย่างล้นหลาม  ทำให้  BLOG  เดิมไม่สามารถรองรับข้อมูลได้อีกต่อไป  ผมจึงเปิด  BLOG  ใหม่เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้แบบวงกลม  เพื่อใช้ทำกิจกรรมระหว่างกันครับ

                                         ผ.ศ.กฤษฎา  สังขมณี

 

น.ศ.เศรษฐศาสตร์ชั้นปีที่  4

                วันนี้คุณน่ารักทุกคนที่ตั้งใจเรียนมาก ๆ  งานที่ให้ทำครั้งนี้คือ

                       1. RESUME

                       2. วิเคราะห์กิจการที่น่าให้เงินกู้  ให้วิเคราะห์ทั้ง MACRO  & MICRO  and SWOT Analysis  ด้วยครับ

                                          ผ.ศ.กฤษฎา  สังขมณี

 

       นำรูปลง RESUME  ได้นี่จันทกานต์  คุณทำได้แล้วนะ  ลองหัดทำดูครับ  ถือเป็นการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ก็แล้วกัน 

        ขยันมาก ๆ  ตี 3 ก็ยังไม่นอน หรือว่าเพื่งไปเที่ยวกลับมาล่ะ

                                          ผ.ศ.กฤษฎา  สังขมณี

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 376674เขียนเมื่อ 19 กรกฎาคม 2010 11:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 10:37 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (111)

ขอบคุณสิ่งดีๆที่แบ่งปันค่ะ

คุณกระแตครับ

ผมรู้สึกว่ายังไม่ได้แบ่งปันอะไรนี่ครับ ถ้าเป็นไปได้ร่วมแสดงความเห็นกับนักศึกษาที่น่ารักของผมได้นะครับ

กฤษฎา

น.ส.ธีราภรณ์ บุญปัญญา

น.ส.ธีราภรณ์ บุญปัญญา 50473010058

บริษัทประกันภัย

บริษัท กมลประกันภัย จำกัด (มหาชน)
บริษัท กมลประกันภัย จำกัด (มหาชน)
361 ถ.บอนด์สตรีท เมืองทองธานี 3 ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 11120
โทร :. 0-2502-2999  แฟกซ์ : 0-2502-2933
เว็บไซต์ http://www.kamolinsurance.com  อีเมล์: [email protected]
 
บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน)
บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน)
25 ถนนสาธรใต้ แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120
โทร : 0-2285-8888, 0-2677-3777 แฟกซ์ : 0-2677-3737-8
เว็บไซต์ : http://www.bki.co.th/  อีเมล์ : [email protected]
 
บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด
บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด
44/1 อาคารรุ่งโรจน์ธนกุล ชั้น 11 ถนนรัชดาภิเษก แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310
โทร : 0-2643-0280-92 แฟกซ์ : 0-2643-0293-94
เว็บไซต์ : www.rvp.co.th  อีเมล์ : [email protected]
 
บริษัท กรุงไทยพานิชประกันภัย จำกัด
บริษัท กรุงไทยพานิชประกันภัย จำกัด
208 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
โทร : 0-2651-5500, 0-2302-0111  แฟกซ์ : 0-2651-5511
เว็บไซต์ : http://www.kpi.co.th/  อีเมล์ : [email protected]
 
บริษัท คอมไบด์อินชัวรันส์ (ประเทศไทย) จำกัด
บริษัท คอมไบด์อินชัวรันส์ (ประเทศไทย) จำกัด
587 ชั้น 18-19 อาคารวิริยะถาวร ถนนสุทธิสารวินิจฉัย แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร 10400
โทร : 0-2274-9797  แฟกซ์ : 0-2274-9794
เว็บไซต์ http://www.combined.co.th อีเมล์: [email protected]
 
บริษัท คิวบีอี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด
บริษัท คิวบีอี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด
968 อาคารอื้อจือเหลียง ชั้น 15 ถนนพระราม 4 แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500
โทร : 0-2238-0999  แฟกซ์ : 0-2238-0836
เว็บไซต์ : http://www.qbe.co.th/  อีเมล์ : [email protected]
 
บริษัท คูเนีย ประกันภัย(ประเทศไทย)จำกัด
บริษัท คูเนีย ประกันภัย(ประเทศไทย)จำกัด
849 อาคารวรวัฒน์ ชั้น 9-10 ถนนสีลม แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
โทร : 0-2635-1555  แฟกซ์ : 0-2635-1298-9
เว็บไซต์ :http://www.kurnia.co.th/ อีเมล์ : -
 
บริษัท จรัญประกันภัย จำกัด (มหาชน)
บริษัท จรัญประกันภัย จำกัด (มหาชน)
401 ถนนรัชดาภิเษก แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10320
โทร : 0-2276-1024  แฟกซ์ : 0-2275-4919
เว็บไซต์ : http://www.charaninsurance.com   อีเมล์ : -
 
บริษัท เจนเนอราลี่ ประกันภัย (ไทยแลนด์) จำกัด
บริษัท เจนเนอราลี่ ประกันภัย (ไทยแลนด์) จำกัด
87/2 ยูนิต 1601-2 อาคารซีอาร์ซี ทาวเวอร์ ออลซีซั่นเพลส ชั้น16 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
โทร : 0-2685-3828  แฟกซ์ : 0-2685-3830
เว็บไซต์ : http://www.generali.co.th/  อีเมล์ : [email protected]
 
บริษัท เจ้าพระยาประกันภัย จำกัด
บริษัท เจ้าพระยาประกันภัย จำกัด
3675 อาคารกรุงไทยแทรคเตอร์ ชั้น 4 - 5 ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110
โทร : 0-2261-9955, 0-2661-3355  แฟกซ์ : 0-2261-3775
เว็บไซต์ :http://www.cpyins.com/  อีเมล์ : [email protected]
     
บริษัท ชับบ์ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด
บริษัท ชับบ์ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด
52 ธนิยะ พลาซ่า ชั้น 16 ถนนสีลม แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500
โทร : 0-2231-2640 - 50  แฟกซ์ : 0-2231-2654
เว็บไซต์ : http://www.chubb.com/  อีเมล์ : -
 
บริษัท ไชน่าอินชัวรันส์ (ไทย) จำกัด
บริษัท ไชน่าอินชัวรันส์ (ไทย) จำกัด
36/68-69 อาคารพี.เอส.ทาวเวอร์ ชั้น 20 ถนนอโศก แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110
โทร : 0-2259-3718 - 9, 0-2261-3680 - 9  แฟกซ์ : 0-2259-1402, 0-2261-3690
เว็บไซต์ :
-   อีเมล์ : -
 
บริษัท ซิกน่า ประกันภัย จำกัด (มหาชน)
บริษัท ซิกน่า ประกันภัย จำกัด (มหาชน)
598 อาคารคิวเฮ้าส์เพลินจิต ชั้น 7,10 ถ.เพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
โทร : 0-2651-5995  แฟกซ์ : 0-2650-9600
เว็บไซต์ : http://www.cigna.com/  อีเมล์ : -
 
บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน)
63/2 ถนนพระราม 9 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10320
โทร : 0-2248-0059  แฟกซ์ : 0-2248-7849 - 50
เว็บไซต์ :http://www.dhipaya.co.th อีเมล์ : [email protected]
 
บริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน)
บริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน)
99 ถนนราชดำเนินกลาง แขวงวัดบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200
โทร : 0-2670-4444  แฟกซ์ : 0-2280-0399
เว็บไซต์ : http://www.deves.co.th/  อีเมล์ : [email protected]
 
บริษัท ไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน)
บริษัท ไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน)
34/3 อาคารรวมทนุไทย ซอยหลังสวน ถนนเพลินจิต แขวงลุมพีนี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
โทร : 0-2652-2880  แฟกซ์ : 0-2652-2870-2
เว็บไซต์ : http://www.thaiins.com/  อีเมล์ : [email protected]
 
บริษัท ไทยประกันสุขภาพ จำกัด
บริษัท ไทยประกันสุขภาพ จำกัด
121/89 อาคารอาร์.เอส.ทาวเวอร์ ชั้น 31 ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร 10400
โทร : 0-2642-3100  แฟกซ์ : 0-2642-3130
เว็บไซต์ : http://www.thaihealth.co.th/  อีเมล์ : [email protected]
 
บริษัท ไทยพัฒนาประกันภัย จำกัด
บริษัท ไทยพัฒนาประกันภัย จำกัด
34 ซ.สุขุมวิท 4 (นานาใต้) ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110
โทร : 0-2253-4141, 0-2253-4343, 0-2253-4646  แฟกซ์ : 0-2253-0550, 0-2253-0606
เว็บไซต์ : http://www.thaipat.co.th/  อีเมล์ : [email protected]
 
บริษัท ไทยพาณิชย์สามัคคีประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยพาณิชย์สามัคคีประกันภัย จำกัด (มหาชน)
2/4 อาคารไทยพาณิชย์สามัคคีประกันภัย ชั้น 12 อาคารนอร์ธปาร์ค แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร 10210
โทร : 0-2555-9100  แฟกซ์ : 0-2955-0150 - 1
เว็บไซต์ : http://www.scsmg.co.th/  อีเมล์ : [email protected]
 
บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน)
บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน)
223/1ซอยร่วมฤดี ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
โทร : 0-2256-6822, 0-2651-4222  แฟกซ์ : 0-2256-6565, 0-2256-6832
เว็บไซต์ : http://www.thaire.co.th/  อีเมล์ : [email protected]
 
บริษัท ไทยศรีประกันภัย จำกัด
บริษัท ไทยศรีประกันภัย จำกัด
126/2 ถนนกรุงธนบุรี แขวงบางลำภูล่าง เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร 10600
โทร : 0-2878-7111, 0-2860-8001  แฟกซ์ : 0-2439-4840
เว็บไซต์ : http://www.thaisri.com/  อีเมล์ : [email protected]
 
บริษัท ไทยเศรษฐกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน)
บริษัท ไทยเศรษฐกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน)
160 ถนนสาธรเหนือ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500
โทร : 0-2630-9055, 0-2630-9111  แฟกซ์ : 0-2237-4621, 0-2237-4624
เว็บไซต์ : http://www.thai-setakij.com/  อีเมล์ : [email protected]
 
บริษัท ไทยสมุทรประกันภัย จำกัด บริษัท ไทยสมุทรประกันภัย จำกัด
 
บริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด
บริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด
1 อาคารกลาสเฮ้าส์ ชั้น 10 ถนนสุขุมวิท 25 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
โทร : 0-2661-7999  แฟกซ์ : 0-2665-7304
เว็บไซต์ : http://www.thanachartinsurance.com/  อีเมล์ : -
 
บริษัท ธนสินประกันภัย จำกัด (มหาชน)
บริษัท ธนสินประกันภัย จำกัด (มหาชน)
900/11-13,36 อาคารเอสวีโอเอทาวเวอร์ ชั้น G,15-17 ถ.พระราม 3 แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร 10120
โทร : 0-2685-1800  แฟกซ์ : 0-2685-1900
เว็บไซต์ : http://www.thanasin.co.th/  อีเมล์ : -
 
บริษัท นวกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน)
บริษัท นวกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน)
100/48-55 ชั้น 25-27 อาคารสาธรนครทาวเวอร์ เลขที่ 90/3-6 ชั้น 1 อาคารสาธรธานี สาธรธานีคอมเพล็กซ์ ถนนสาธรเหนือ แขวงสีลม เขตบางรัก กทม. 10500
โทร : 0-2636-7900  แฟกซ์ : 0-2636-7999
เว็บไซต์ : http://www.navakij.co.th/  อีเมล์ : [email protected]
 
บริษัท นำสินประกันภัย จำกัด (มหาชน)
บริษัท นำสินประกันภัย จำกัด (มหาชน)
767 ถนนกรุงเทพ-นนทบุรี แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร 10800
โทร : 0-2911-4488, 0-2911-4567  แฟกซ์ : 0-2911-4477
http://www.namsengins.co.th/  อีเมล์ : -
 
บริษัท นิวอินเดียแอสชัวรันซ์ จำกัด
บริษัท นิวอินเดียแอสชัวรันซ์ จำกัด
65/142-143 อาคารชำนาญเพ็ญชาติ ชั้น 17 ถนนพระราม 9 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10310
โทร : 0-2245-9988  แฟกซ์ : 0-2246-1351
เว็บไซต์ : -  อีเมล์ : -
 
บริษัท นิวแฮมพ์เชอร์ อินชัวรันส์ จำกัด
บริษัท นิวแฮมพ์เชอร์ อินชัวรันส์ จำกัด
989 อาคารสยามทาวเวอร์ ชั้นที่ 21,22 และ 23 ถนนพระราม 1 แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
โทร : 0-2649-1000  แฟกซ์ : 0-2649-1140
เว็บไซต์ : -  อีเมล์ : -
 
บริษัท บางกอกสหประกันภัย จำกัด (มหาชน)
บริษัท บางกอกสหประกันภัย จำกัด (มหาชน)
175-177 ถนนสุรวงศ์ แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500
โทร : 0-2233-6920 - 9, 0-2238-4111  แฟกซ์ : 0-2237-1856
เว็บไซต์ : http://www.bui.co.th/  อีเมล์ : [email protected]
 
บริษัท บีที ประกันภัย จำกัด
บริษัท บีที ประกันภัย จำกัด
44 อาคารไทยธนาคาร ชั้น 23 -24 ซอยหลังสวน ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
โทร : 0-2657-1700  แฟกซ์ : 0-2657-1666-7
เว็บไซต์ : -  อีเมล์ : -
 
บริษัท บูพา ประกันสุขภาพ (ประเทศไทย) จำกัด
บริษัท บูพา ประกันสุขภาพ (ประเทศไทย) จำกัด
38 อาคารคิวเฮ้าส์ ชั้น 9 ถนนคอนแวนต์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500
โทร : 0-2234-7755  แฟกซ์ : 0-2234-5667
เว็บไซต์ : http://www.bupathailand.com/  อีเมล์ : [email protected]
 
บริษัท ประกันคุ้มภัย จำกัด (มหาชน)
บริษัท ประกันคุ้มภัย จำกัด (มหาชน)
26/5-6 ชั้น 1, 26/10-11 ชั้น 4, 26/16-17 ชั้น 6, และ 26/18-19 ชั้น 6 อาคารอรกานต์ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
โทร : 0-2254-8490, 0-2254-7850-9 แฟกซ์ :0-2253-3701,0-2253-4222
เว็บไซต์ : http://www.safety.co.th/  อีเมล์ : [email protected]
 
บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน)
บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน)
71 ถนนดินแดง แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร 10400
โทร : 0-2248-0900, 0-2248-2910, 0-2644-6400 แฟกซ์ : 0-2245-4575, 0-2248-4975
เว็บไซต์ : http://www.thaivivat.co.th/  อีเมล์ : [email protected]
 
บริษัท โตเกียวมารีนศรีเมืองประกันภัย จำกัด
บริษัท โตเกียวมารีนศรีเมืองประกันภัย จำกัด
195 อาคารเอ็มไพร์ทาวเวอร์ ชั้น 40 ถนนสาทรใต้ แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120
โทร :0-2686-8888-9  แฟกซ์ : 0-2686-8601-2
เว็บไซต์ : http://www.srimuang.co.th/  อีเมล์ :[email protected]
 
บริษัท พระนครธนบุรีประกันภัย จำกัด
บริษัท พระนครธนบุรีประกันภัย จำกัด
127/26 ชั้น 21 อาคารปัจธานีทาวเวอร์ ถนนนนทรี(รัชดาภิเษก)แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร 10120
โทร : 0-2295-3434  แฟกซ์ : 0-2295-3933
เว็บไซต์ :-  อีเมล์ : -
 
บริษัท พุทธธรรรมประกันภัย จำกัด
บริษัท พุทธธรรรมประกันภัย จำกัด
9/81 ซ.รัชประชา 2 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900
โทร : 0-2585-9009  แฟกซ์ : 0-2911-0991 -4
เว็บไซต์ :- อีเมล์ : -
 
บริษัท ไพบูลย์ประกันภัย จำกัด
บริษัท ไพบูลย์ประกันภัย จำกัด
123 ถนนรัชดาภิเษก แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10320
โทร : 0-2246-9635 - 54  แฟกซ์ : 0-2246-9660 - 1
เว็บไซต์ :http://www.paibooninsurance.com  อีเมล์ : -
 
บริษัท ฟอลคอนประกันภัย จำกัด (มหาชน)
บริษัท ฟอลคอนประกันภัย จำกัด (มหาชน)
90/26-27 อาคารสาธรธานี 1 ชั้น 11 ถนนสาทรเหนือ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500
โทร : 0-2636-8118  แฟกซ์ : 0-2236-8119
เว็บไซต์ : http://www.falconinsurance.co.th/อีเมล์ :[email protected]
 
บริษัท ฟีนิกซ์ ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด
บริษัท ฟีนิกซ์ ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด
4-4/1อาคารชโลบล ซ.พระรามเก้า 43 ถ.เสรี 4 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร 10250
โทร : 0-2720-1400-4, 0-2718-3748-9, 0-2718-3944-5  แฟกซ์ : 0-2720-1128-29
เว็บไซต์ : http://www.phoenix-ins.co.th/  อีเมล์ : -
 
บริษัท ภัทรประกันภัย จำกัด (มหาชน)
บริษัท ภัทรประกันภัย จำกัด (มหาชน)
 
บริษัท มิตซุย สุมิโตโม อินชัวรันซ์ จำกัด สาขาประเทศไทย
บริษัท มิตซุย สุมิโตโม อินชัวรันซ์ จำกัด สาขาประเทศไทย
175 ถนนสาทรใต้ แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10210
โทร : 0-2679-6165 - 87  แฟกซ์ : 0-2679-6209 - 12
เว็บไซต์ : http://www.ms-ins.co.th/  อีเมล์ : [email protected]
 
บริษัท มิตรแท้ประกันภัย จำกัด
บริษัท มิตรแท้ประกันภัย จำกัด
295 ถนนสี่พระยา แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500
โทร : 0-2236-0035, 0-2236-8635 - 8, 0-2237-4646  แฟกซ์ : 0-2652-2870-2
เว็บไซต์ : http://www.mittare.com/  อีเมล์ : [email protected]
 
บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด
บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด
252 ถนนรัชดาภิเษก แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10320
โทร : 0-2290-3333  แฟกซ์ : 0-2665-4166
เว็บไซต์ : http://www.mtins.com/  อีเมล์ : [email protected]
 
บริษัท ลิเบอร์ตี้ประกันภัย จำกัด
บริษัท ลิเบอร์ตี้ประกันภัย จำกัด
1466 ถนนพัฒนาการ แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร 10250
โทร : 0-2322-3001 - 49  แฟกซ์ : 0-2321-7332
เว็บไซต์ : http://www.libertyinsurance.co.th/  อีเมล์ : info [email protected]
 
บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด
บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด
121/7, 121/14-23, 121/25-28, 121/104 ชั้น 2-6 ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ 10400
โทร :0-2239-1000, 0-2641-3500-79  แฟกซ์ : 0-2641-3500 ต่อหมายเลข 1495
เว็บไซต์ : http://www.viriyah.co.th/  อีเมล์ : [email protected]
 
บริษัท ศรีอยุธยาประกันภัย จำกัด (มหาชน)
บริษัท ศรีอยุธยาประกันภัย จำกัด (มหาชน)
ชั้น 7 อาคารเพลินจิตทาวเวอร์ เลขที่ 898 ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
โทร : 0-2263-0335  แฟกซ์ : 0-2263-0589
เว็บไซต์ : http://www.ayud.co.th/  อีเมล์ : [email protected]
 
บริษัท ส่งเสริมประกันภัย จำกัด
บริษัท ส่งเสริมประกันภัย จำกัด
42 อาคารส่งเสริมประกันภัย ชั้น 2 ถนนสุรวงศ์ แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
โทร : 0-2235-2510 - 9, 0-2267-0240 - 9  แฟกซ์ : 0-2237-0808, 0-2267-0259
เว็บไซต์ :
น.ส.ธีราภรณ์ บุญปัญญา

น.ส.ธีราภรณ์ บุญปัญญา 50473010058

บริษัทประกันชีวิต

บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด
บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด
23/115-121 รอยัลซิตี้อเวนิว 21 ถนนพระราม 9 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10320
โทร : 0-2203-0055, 0-2641-5599 แฟกซ์ : 0-2203-0044, 0-2641-5566 อีเมล์ : [email protected] เว็บไซต์ : http://www.bla.co.th
 
บริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด
บริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด
87/1 แคปปิตอล ทาวเวอร์ ชั้น 24-25 ออลซีซั่นส์ เพลส ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
โทร : 0-723-4000 แฟกซ์ : 0-2723-4032-33
อีเมล์ : - เว็บไซต์ : http://www.krungthai-axa.co.th
 
บริษัท บางกอก สหประกันชีวิต จำกัด
บริษัท บางกอก สหประกันชีวิต จำกัด
177/1 อาคารบางกอกสหประกันภัย ถนนสุรวงศ์ แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
โทร : 0-2634-7323-30 แฟกซ์ : 0-2634-7331
อีเมล์ : [email protected] เว็บไซต์ : http://www.builife.com
 
บริษัท โตเกียวมารีน ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
บริษัท โตเกียวมารีน ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
ชั้นที่ 26 อาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ เลขที่ 195 ถนน สาทรใต้ แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120
โทร : 02-670-1400 แฟกซ์ : 0-2670-1401
อีเมล์ : - เว็บไซต์ : http://www.tokiomarinelife.co.th/
 
บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด
บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด
123 ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร 10400
โทร : 0-2247-0247 แฟกซ์ : 0-2249-9946
อีเมล์ : [email protected] เว็บไซต์ : http://www.thailife.com
 
บริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต จำกัด
บริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต จำกัด
2032 อาคารฟินันซ่าประกันชีวิต ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ บางกะปิ ห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310
โทร : 0-2632-5000 แฟกซ์ : 0-2632-5500
อีเมล์ : [email protected] เว็บไซต์ : http://www.finansalife.com
 
บริษัท ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต จำกัด
บริษัท ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต จำกัด
1060 อาคาร 1 ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400
โทร : 0-2655-3000 แฟกซ์ : 0-2256-1666
อีเมล์ : [email protected] เว็บไซต์ : http://www.scnyl.com
 
บริษัท ไทยคาร์ดิฟ ประกันชีวิต จำกัด
บริษัท ไทยคาร์ดิฟ ประกันชีวิต จำกัด
31/11,36/59-62 อาคารพีเอสทาวเวอร์ ชั้น G และชั้น 18 ถนนสุขุมวิท 21 คลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กทม. 10110
โทร : 0-2645-8500 แฟกซ์ : 0-2645-8585
อีเมล์ : - เว็บไซต์ : http://www.thaicardif.com
 
บริษัท ไทยรีประกันชีวิต จำกัด
บริษัท ไทยรีประกันชีวิต จำกัด
223/1 ซอยร่วมฤดี ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
โทร : 0-2256-6822 แฟกซ์ : 0-2256-6565
อีเมล์ : [email protected] เว็บไซต์ : http://www.thaire.co.th
 
บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด
บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด
170/74-83 อาคารโอเชี่ยนทาวเวอร์ 1 ชั้น 24-28 ถนนรัชดาภิเษก ข.คลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110
โทร : 0-2261-2300 แฟกซ์ : 0-2261-3344
อีเมล์ : [email protected] เว็บไซต์ : http://www.oli.co.th
 
บริษัท ธนชาตประกันชีวิต จำกัด
บริษัท ธนชาตประกันชีวิต จำกัด
231 อาคารธนชาติประกันชีวิต ถนนราชดำริ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
โทร : 0-2256-6822 แฟกซ์ : 0-2256-6565
อีเมล์ : [email protected] เว็บไซต์ : http://www.thanachartlife.co.th
     
บริษัท อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี. ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)
บริษัท อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี. ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)
898 อาคารเพลินจิตทาวเวอร์ ชั้น6 โซนเอ,ชั้น16-18 ถนนเพลินจิต ข.ลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
โทร : 0-2305-7000 แฟกซ์ : 0-2263-0313
อีเมล์ : [email protected] เว็บไซต์ : http://www.aacp.co.th
 
บริษัท เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต (ไทยแลนด์) จำกัด
บริษัท เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต (ไทยแลนด์) จำกัด
87/2 ยูนิต 1603-5 อาคาร ซีอาร์ซี ทาวเวอร์ ออลซีซั่นส์เพลส ชั้น16 ถนนวิทยุ ข.ลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
โทร : 0-2685-3828 แฟกซ์ : 0-2685-3829
อีเมล์ : - เว็บไซต์ : http://www.generalithailand.com
 
บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
82 อาคารแสงทองธานี ชั้น 28, 30-31 ถนนสาทรเหนือ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500
โทร : 0-2639-9500 แฟกซ์ : 0-2639-9699, 0-2639-9700
อีเมล์ : - เว็บไซต์ : http://www.prudential.co.th
 
บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด
บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด
250 ถนนรัชดาภิเษก แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10320
โทร : 0-2276-1025, 0-2274-9400 แฟกซ์ : 0-2276-1997-8
อีเมล์ : - เว็บไซต์ : http://www.muangthai.co.th
 
บริษัท แมนูไลฟ์ ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
บริษัท แมนูไลฟ์ ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
364/30 ถนนศรีอยุธยา ข.ถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400
โทร : 0-2245-2491-7, 0-2246-7650-99 แฟกซ์ : 0-2248-5391
อีเมล์ : - เว็บไซต์ : http://www.manulife.co.th
 
บริษัท สยามซัมซุง ประกันชีวิต จำกัด
บริษัท สยามซัมซุง ประกันชีวิต จำกัด
2922/222-227 อาคารชาญอิสระ 2 ชั้น 15 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10310
โทร : 0-2308-2245 แฟกซ์ : 0-2308-2269
อีเมล์ : [email protected] เว็บไซต์ : http://www.siamsamsung.co.th
 
บริษัท สยามประกันชีวิต จำกัด
บริษัท สยามประกันชีวิต จำกัด
75/72-73 ซอยสุขุมวิท 19 (วัฒนา) ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110
โทร : 0-2260-5536-43 แฟกซ์ : 0-2260-5561
อีเมล์ : - เว็บไซต์ : http://www.siamlife.co.th
 
บริษัท สหประกันชีวิต จำกัด
บริษัท สหประกันชีวิต จำกัด
เลขที่ 411 อาคาร U Tower ชั้น 4-5 ถ.ศรีนครินทร์ แขวงสวนหลวง กรุงเทพฯ 10250
โทร : 02-731-7799 แฟกซ์ : 02-731-7727,02-731-7728
อีเมล์ : - เว็บไซต์ : http://www.ulife.in.th/
 
บริษัท อเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนล แอสชัวรันส์ จำกัด (ประเทศไทย)
บริษัท อเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนล แอสชัวรันส์ จำกัด (ประเทศไทย)
181 ถนนสุรวงศ์ ข.บางรัก เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500
โทร : 0-2634-8888 แฟกซ์ : 0-2236-6452
อีเมล์ : [email protected] เว็บไซต์ : http://www.aia.co.th/
 
บริษัท อาคเนย์ประกันชีวิต จำกัด
บริษัท อาคเนย์ประกันชีวิต จำกัด
315 ถนนสีลม ข.สีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500
โทร : 0-2631-1331 แฟกซ์ : 0-2236-7614
อีเมล์ : [email protected] เว็บไซต์ : http://www.southeastlife.com
 
บริษัท เอซ ไลฟ์ แอสชัวรันซ์ จำกัด
บริษัท เอซ ไลฟ์ แอสชัวรันซ์ จำกัด
169 อาคารธนาคารนครหลวงไทย สาขาสุทธิสาร ชั้น 3-6 ถนนสุทธิสารวินิจฉัย แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม.10400
โทร : 0-2615-6860 แฟกซ์ : 0-2615-6878
อีเมล์ : - เว็บไซต์ : http://www.acelife.co.th
 
บริษัท แอ๊ดวานซ์ ไลฟ์ แอสชัวรันส์ จำกัด
บริษัท แอ๊ดวานซ์ ไลฟ์ แอสชัวรันส์ จำกัด
2 อาคารเพลินจิตเซ็นเตอร์ ชั้น 5 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพฯ
โทร : 0-2648-3600 แฟกซ์ : 0-2648-5555
อีเมล์ : - เว็บไซต์ : http://www.alife.co.th
 
บริษัท ไอเอ็นจี ประกันชีวิต จำกัด
บริษัท ไอเอ็นจี ประกันชีวิต จำกัด
130-132 อาคารสินธร ทาวเวอร์ 3 ชั้น 16 และ ชั้น 29 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
โทร : 0-2632-6222 แฟกซ์ : 0-2263-3898, 0-2263-3899
อีเมล์ : - เว็บไซต์ : http://www.inglife.co.th
นางสาวนิรมล สายวงษ์คำ

นางสาวนิรมล สายวงษ์คำ โปรแกรมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

รหัสนักศีกษา 50473010005

 บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด

กรรมการผู้จัดการใหญ่  : นายวานิช ไชยวรรณ

สถานที่ตั้ง  :  123 ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร 10400

 บริษัท บางกอก สหประกันชีวิต จำกัด

กรรมการผู้จัดการใหญ่  : ชัย  อัสสเมทางกูร

สถานที่ตั้ง  :  177/1 อาคารบางกอกสหประกันภัย ถนนสุรวงศ์ แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500

บริษัท ทีพีไอ ประกันชีวิต จำกัด

กรรมการผู้จัดการใหญ่  :   นายมนัส สุขสมาน

สถานที่ตั้ง  :  177/1 อาคารบางกอกสหประกันภัย สุรวงศ์ แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กทม 10500

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์ประกันชีวิต จำกัด

กรรมการผู้จัดการใหญ่  : นพดล ศิริจงดี

สถานที่ตั้ง  :  313 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์ ชั้น 24 ถนนสีลมแขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500

บริษัท กรุงไทย - แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด

กรรมการผู้จัดการใหญ่  : บิมาล บาลาซิงกัม

สถานที่ตั้ง  :  87 แคปปิตอล ทาวเวอร์ ชั้น 24, 25 ถนนวิทยุแขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330

บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด

กรรมการผู้จัดการใหญ่  :  นายชัย โสภณพนิช

สถานที่ตั้ง  :  23/115 ซอยสุขุมวิท 21 ถนนพระราม9แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10320

 บริษัท เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต (ไทยแลนด์) จำกัด

กรรมการผู้จัดการใหญ่  : กลุ่มครอบครัวตันติพิพัฒน์พงศ์

สถานที่ตั้ง  :  87/2 ยูนิต 1603-5 อาคาร ซีอาร์ซี ทาวเวอร์ ออลซีซั่นส์เพลส ชั้น16 ถนนวิทยุ ข.ลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330

 บริษัท อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี. ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)

กรรมการผู้จัดการใหญ่  :  สตีเฟ่น แอปเปิ้ลยาร์ด

สถานที่ตั้ง  :  898 อาคารเพลินจิตทาวเวอร์ ชั้น6 โซนเอ,ชั้น16-18 ถนนเพลินจิต ข.ลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330

 บริษัท ธนชาตประกันชีวิต จำกัด in Thailand

กรรมการผู้จัดการใหญ่  : นพดล  เรืองจินดา

สถานที่ตั้ง  :  231 อาคารธนชาติประกันชีวิต ถนนราชดำริ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330

 บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด

กรรมการผู้จัดการใหญ่  : นางดัยนา บุนนาค

สถานที่ตั้ง  : 170/74-83 อาคารโอเชี่ยนทาวเวอร์ 1 ชั้น 24-28 ถนนรัชดาภิเษก ข.คลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110

บริษัท ไทยคาร์ดิฟ ประกันชีวิต จำกัด

สถานที่ตั้ง  :  31/11,36/59-62 อาคารพีเอสทาวเวอร์ ชั้น G และชั้น 18 ถนนสุขุมวิท 21 คลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กทม. 10110

 บริษัท ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต จำกัด

กรรมการผู้จัดการใหญ่  : คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม

สถานที่ตั้ง  :  1060 อาคาร 1 ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400

บริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต จำกัด

กรรมการผู้จัดการใหญ่  : นางสาวสุภา   ปิยะจิตติ

สถานที่ตั้ง  : 2032 อาคารฟินันซ่าประกันชีวิต ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ บางกะปิ ห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310

บริษัท สหประกันชีวิต จำกัด

กรรมการผู้จัดการใหญ่  : ดร.ศุภชัย ศรีศุภอักษร

สถานที่ตั้ง  : เลขที่ 411 อาคาร U Tower ชั้น 4-5 ถ.ศรีนครินทร์ แขวงสวนหลวง กรุงเทพฯ 10250

บริษัท สยามประกันชีวิต จำกัด

กรรมการผู้จัดการใหญ่  :  คุณชิน โสภณพนิช  

สถานที่ตั้ง  :  75/72-73 ซอยสุขุมวิท 19 (วัฒนา) ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร

 บริษัท สยามซัมซุง ประกันชีวิต จำกัด

กรรมการผู้จัดการใหญ่  : มนัส  ลีวีระพันธุ์

สถานที่ตั้ง  : 2922/222-227 อาคารชาญอิสระ 2 ชั้น 15 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10310

 บริษัท แมนูไลฟ์ ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

กรรมการผู้จัดการใหญ่  : มร.คริสโตเฟอร์ เตียว

สถานที่ตั้ง  : 364/30 ถนนศรีอยุธยา ข.ถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด

กรรมการผู้จัดการใหญ่  : นายโพธิพงษ์ ล่ำซำ

สถานที่ตั้ง  :  250 ถนนรัชดาภิเษก ข.ห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10320

บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

กรรมการผู้จัดการใหญ่  : บูรพา  อัตถากร

สถานที่ตั้ง  :82 อาคารแสงทองธานี ชั้น 28, 30-31 ถนนสาทรเหนือ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500

 บริษัท อาคเนย์ประกันชีวิต จำกัด

กรรมการผู้จัดการใหญ่  : พล.ต.อ.สนอง วัฒนวรางกูร

สถานที่ตั้ง  :  315 ถนนสีลม ข.สีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500

นางสาวรัชนีกร นิยมทัศน์

นางสาวรัชนีกร นิยมทัศน์ รหัสนักศึกษา 50473010007
เอก เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ
1. บริษัท คิวบีอีปะกันภัย จำกัด
สำนักงานใหญ่ : ชั้น 15 อาคารอื้อจือเหลียง เลขที่ 968 ถนนพระราม 4 แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานครฯ 10500

เลน เบลเซล ประธานบริษัท
2.  บริษัท ชับบ์ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด
สำนักงานใหญ่ : 52 ธนิยะ พลาซ่า ชั้น 16 ถนนสีลม ข.สุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500

3. บริษัท ไทยศรีประกันภัย จำกัด
สำนักงานใหญ่ : 126/2 อาคารไทยศรีประกันภัย, ถนนกรุงธนบุรี, คลองสาน, กรุงเทพฯ 10600

นายนที พานิชชีวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
4. บริษัท ไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน)
สำนักงานใหญ่ : 34/3 อาคารไทยประกันภัย ซอยหลังสวน ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330

นายกวี อังศวานนท์ ประธานกรรมการ
5. บริษัท ไทยเศรษฐกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน)
สำนักงานใหญ่ : 160 อาคารไทยเศรษฐกิจ ถนนสาทรเหนือ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500

6. บริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด
สำนักงานใหญ่ : ชั้น 10 อาคารกลาสเฮาส์ เลขที่ 1 สุขุมวิท 25 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110

นายนพดล เรืองจินดา กรรมการผู้จัดการใหญ่
7. บริษัท นิวแฮมพ์เชอร์อินชัวรันส์ ประเทศไทย
สำนักงานใหญ่ : 181/19 ถนนสุรวงศ์ ข.สุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500

มร.สตีเวน บาร์น็ต กรมมการผู้จัดการและประธานคณะผู้บริหาร
8. บริษัท นวกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน)
สำนักงานใหญ่ : 100/48-55 ชั้น 25-27 อาคารสาธรนครทาวเวอร์ เลขที่ 90/3-6 ชั้น 1
อาคารสาธรธานี สาธรธานีคอมเพล็กซ์ ถนนสาธรเหนือ
แขวงสีลม เขตบางรัก กทม. 10500

นายปิติพงศ์ พิศาลบุตร กรรมการผู้อำนวยการ
9. บริษัท ไทยสมุทรประกันภัย จำกัด
สำนักงานใหญ่ : 170/74-83 อาคารโอเชี่ยนทาวเวอร์ 1 ชั้น 24-28 ถนนรัชดาภิเษก ข.คลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110

นางดัยนา บุนนาด กรรมการผู้จัดการใหญ่
10. บริษัท ไทยพัฒนาประกันภัย จำกัด
สำนักงานใหญ่ : 34 ซ.สุขุมวิท 4 (นานาใต้) ถ.สุขุมวิท เขตคลองเตย แขวงคลองเตย กทม. 10110

คุญไพศาล คุนผลิน กรรมการผู้อำนวยการ
11. บริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน)
สำนักงานใหญ่ : 97 และ 99 อาคารเทเวศประกันภัย ถนนราชดำเนินกลาง แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

นายอนัน เกษเกษมสุข กรรมการผู้จัดการ
12. บริษัท กมลประกัยภัย จำกัด (มหาชน)
สำนักงานใหญ่ : 361 ถ.บอนด์สตรีท เมืองทองธานี 3 ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 11120

นายมนัส บินมะฮมุด ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่
13. บริษัท กรุงเทพพาณิชประกันภัย จำกัด
สำนักงานใหญ่ : 208 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330

ไพบูรณ์ พานิชชีวะ ประธานกรรมการ
14. บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด
สำนักงานใหญ่ : เลขที่ 44/1 อาคารรุ่งโรจน์ธนกุล ชั้น 11 ถนนรัชดาภิเษก
แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310

ริชชาร์ด มุชชี่ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่
15. บริษัท เจ้าพระยาประกันภัย จำกัด (มหาชน)
สำนักงานใหญ่ : 3675 อาคารกรุงไทยแทรคเตอร์ ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110

นายชำนาญ เมธปรีชากุล ผู้อำนวยการใหญ่
16. บริษัท ฟินิกซ์ประกันภัย (ประเทศไทย)
สำนักงานใหญ่ : 338 อาคารปรีชาคอมเพล็กซ์ อาคาร A ชั้น 6 – 8 ซอยรัชดาภิเษก 20
ถนนรัชดาภิเษก แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10320 โทร 0-2290-0544

นายวัฒนชัย ขาวดี ผู้บริหารบริษัท
17. บริษัท ประกันภัยศรีเมือง จำกัด 
สำนักงานใหญ่ : 195 อาคารเอ็มไพร์ทาวเวอร์ ชั้น 40 ถนนสาทรใต้
ข.ยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120

นายแพทย์ชาตรี ดวงเนตร ประธานคณะผู้บริหาร
18. บริษัท ไชน่าอินชัวรันส์ (ไทย) จำกัด
สำนักงานใหญ่ : 36/68-69 อาคารพี.เอส.ทาวเวอร์ ชั้น 20 ถนนอโศก ข.คลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110

นาย ลี ยง ซัน ประธานกรรมการ
19. บริษัท ซิกน่าประกันภัย จำกัด (มหาชน)
สำนักงานใหญ่ : 598 อาคารคิวเฮ้าส์เพลินจิต ชั้น 7,10 ถ.เพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330

นายสตีเวน ลีนอฟคอฟ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ
20. บริษัท ธนสินประกันภัย จำกัด
สำนักงานใหญ่ : 900/11-1336 ถนนพระราม 3 แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร

นายศุภชัย ศรีศุภอักษร ประธานกรรมการบริหาร
21. บริษัท ไทยประกันสุขภาพ จำกัด
สำนักงานใหญ่ : 121/89 อาคารอาร์เอส ทาวเวอร์ ถนนรัชดาภิเษก เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร 10400

คุณวรางค์ เสรฐภักดี กรรมการผู้จัดการ
22. บริษัท นิวอินเดียแอสชัวรันส์ จำกัด
สำนักงานใหญ่ : 65/142-143 อาคารชำนาญเพ็ญชาติ ชั้น 17 ถนนพระราม 9
ข.ห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10310

นายเทพชโยติ มิตรา คณะกรรมการบริษัท
23. บริษัท บางกอก สหประกันภัย
สำนักงานใหญ่ : 175-177 ถนนสุรวงศ์  เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500

ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่
24. บริษัทพรูเด็นเชียล  ประกันชีวิต
สำนักงานใหญ่ : 82 อาคารแสงทองธานี ชั้น 28, 30-31 ถนนสาทรเหนือ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500

นายบินายัค ดัตตา กรรมการผู้จัดการใหญ่
25. บริษัท ไอเอ็นจี ประกันชีวิต  จำกัด
สำนักงานใหณ่ : 130-132 อาคารสินธร ทาวเวอร์ 3 ชั้น 16 และ ชั้น 29 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330

นายชี ชอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ 

นางสาวนิรมล สายวงษ์คำ

นางสาวนิรมล สายวงษ์คำ โปรแกรมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

รหัสนักศึกษา 50473010005

บริษัท แอ๊ดวานซ์ ไลฟ์ แอสชัวรันส์ จำกัด 

กรรมการผู้จัดการใหญ่  : นายริชาร์ด แอนดรู สปริงค์.

สถานที่ตั้ง  :  2 อาคารเพลินจิตเซ็นเตอร์ ชั้น 5 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพฯ

บริษัท เอซ ไลฟ์ แอสชัวรันซ์ จำกัด 

กรรมการผู้จัดการใหญ่  : เบรทท์ เอ คลิงเลอร์  

สถานที่ตั้ง  :  169 อาคารธนาคารนครหลวงไทย สาขาสุทธิสาร ชั้น 3-6 ถนนสุทธิสารวินิจฉัย แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม.10400

 บริษัท ไอเอ็นจี ประกันชีวิต  จำกัด 

กรรมการผู้จัดการใหญ่  : นายชี ชอง

สถานที่ตั้ง  :130-132 อาคารสินธร ทาวเวอร์ 3 ชั้น 16 และ ชั้น 29 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330

บริษัทแมกซ์ประกันชีวิต

กรรมการผู้จัดการใหญ่คือ  นายพีระพงศ์ อุ่นจิตต์

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่คือ 169

สุทธิสาร แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม 10400

 บริษัทไทยรีประกันชีวิต 

 

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่คือ  223/1 ซอยร่วมฤดี ถนนวิทยุ ข.ลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330

กรรมการผู้จัดการใหญ่คือ  นายสุรชัย ศิริวัลลภ

 บริษัท อเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนล แอสชัวรันส์ จำกัด
American International Assurance Co., Ltd.

 

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ 181/19 ถนนสุรวงศ์ แขวงบางรัก เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500

 บริษัท โอสถสภาประกันชีวิต จำกัด
Osotspa Life Assurance Co., Ltd.

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ 621/1 หมู่ที่ 11 ถนนมะลิวัลย์ ต.บ้านเป็ด อ.เมืองขอนแก่น จ.ขอนแก่น 40000

บริษัท พรภัทรประกันชีวิต จำกัด
Pornpat Life Assurance Co., Ltd.

 

กรรมการผู้จัดการใหญ่ พราฟร์ ชาห์

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ 79/29

อาคารไพร์มเสตท ชั้น 3 ถนนศรีนครินทร์แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร 10260

บริษัท ประกันคุ้มภัย จำกัด 

กรรมการผู้จัดการใหญ่  คุณยงยุทธ บวรวนิชยกูร

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ 26/5-6 ชั้น 1, 26/10-11 ชั้น 4, 26/16-17 ชั้น 6, และ 26/18-19 ชั้น 6 อาคารอรกานต์ ข.ลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330

 บริษัท สินทรัพย์ ประกันภัย จำกัด

กรรมการผู้จัดการใหญ่ วันเพ็ญ เซ่งไพเราะห์

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ 492-494 ถ.รัชดาภิเษก สามเสนนอก ห้วยขวาง กทม. 10310

 บริษัท ประกันภัยศรีเมือง จำกัด

กรรมการผู้จัดการใหญ่ โยอิจิ ทามากาคิ 

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ 195 อาคารเอ็มไพร์ทาวเวอร์ ชั้น 40 ถนนสาทรใต้ ยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120

 บริษัท นวกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) 

กรรมการผู้อำนวยการ  นายปิติพงศ์ พิศาลบุตร

สำนักงานใหญ่  100/48-55 ชั้น 25-27 อาคารสาธรนครทาวเวอร์ เลขที่ 90/3-6 ชั้น 1
อาคารสาธรธานี สาธรธานีคอมเพล็กซ์ ถนนสาธรเหนือ แขวงสีลม เขตบางรัก กทม. 10500

บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน) 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  นายสุรชัย ศิริวัลลภ

สำนักงานใหญ่  223/1 ซอยร่วมฤดี ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330

บริษัท ไทยประกันสุขภาพ จำกัด

สำนักงานใหญ่  121/89 อาคารอาร์เอส ทาวเวอร์ ถนนรัชดาภิเษก เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร 10400

กรรมการผู้จัดการ  คุณวรางค์ เสรฐภักดี 

บริษัท ชับบ์ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด 

สำนักงานใหญ่  52 ธนิยะ พลาซ่า ชั้น 16 ถนนสีลม ข.สุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500

บริษัทอินทรประกันภัย จำกัด

กรรมการผู้จัดการใหญ่คือ นายสุชาติ ไตรศิริเวทวัฒน์ 

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่คือ364/29 ถนนศรีอยุธยา ข.ถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400

บริษัท นิวอินเดียแอสชัวรันส์ จำกัด 

กรรมการผู้จัดการใหญ่คือ นายเทพชโยติ มิตรา

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่คือ65/142-143 อาคารชำนาญเพ็ญชาติ ชั้น 17 ถนนพระราม 9
ข.ห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10310

บริษัท นิวแฮมพ์เชอร์อินชัวรันส์ ประเทศไทย

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่คือ 181/19 ถนนสุรวงศ์ ข.สุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500

กรรมการผู้จัดการ คือ มร.สตีเวน บาร์น็ต

บริษัทไทยเศรษฐกิจประกันภัย จำกัด

กรรมการผู้จัดการใหญ่คือ นายพุทธิพงษ์ ด่านบุญสุต

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่คือ

160 อาคาร ไทยเศรษฐกิจ ถนนสาทรเหนือ บางรัก กรุงเทพฯ 10500

บริษัทไทยศรีประกันภัย จำกัด

กรรมการผู้จัดการใหญ่คือ คุณชาติชาย พานิชชีวะ

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่คือ 126/2 ถนนกรุงธนบุรี  คลองสาน กรุงเทพฯ 10600

 บริษัทนำสินประกันภัย จำกัด

กรรมการผู้จัดการใหญ่คือ วันชัย วัฒนามานนท์

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่คือ เลขที่

767 ถ.กรุงเทพ-นนทบุรี เขตบางซื่อ กรุงเทพฯ 10800

บริษัทไทยพัฒนาประกันภัย จำกัด

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่คือ 34 ซอยสุขุมวิท 4 ถนนสุขุมวิท เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110

กรรมการผู้จัดการใหญ่คือ คุณไพศาล คุนผลิน

 บริษัทจรัญประกันภัย จำกัด

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่คือ 401 ถนนรัชดาภิเษก แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10320

กรรมการผู้จัดการใหญ่คือ นาย สมพล ไชยเชาวน์

บริษัทธนสินประกันภัย จำกัด

กรรมการผู้จัดการใหญ่คือ นายสุรศักดิ์ เกียรติกำจรยศ

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่คือ 900/11-13,36 อาคารเอสวีโอเอทาวเวอร์ ชั้น G,15-17
ถ.พระราม 3 ข.บางโพงพาง เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร 10120

บริษัทคอมไบด์ประกันภัย จำกัด

นายชัยนุกูล เสือเจริญ

นายชัยนุกูล เสือเจริญ รหัสนักศึกษา 50473010017
เอก เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ
1. บริษัท สยามประกันชีวิต จำกัด

 สำนักงานใหญ่ : 75/72-73 ซอยสุขุมวิท 19 (วัฒนา) ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร
คุณชิน โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ 
2. บริษัท แมนูไลฟ์ ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

สำนักงานใหญ่ : 364/30 ถนนศรีอยุธยา ข.ถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400
มร.คริสโตเฟอร์ เตียว กรรมการผู้จัดการใหญ่ 
3.
บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด

สำนักงานใหญ่ :  250 ถนนรัชดาภิเษก ข.ห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10320
นายโพธิพงษ์ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ 
4.
บริษัท ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต จำกัด

สำนักงานใหญ่ : 1060 อาคาร 1 ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) ถนนเพชรบุรีตัดใหม่
แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400
5. บริษัท นิวแฮมพ์เชอร์อินชัวรันส์ ประเทศไทย

สำนักงานใหญ่ : 181/19 ถนนสุรวงศ์ ข.สุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500
มร.สตีเวน บาร์น็ต กรมมการผู้จัดการและประธานคณะผู้บริหาร
6. บริษัท ไทยสมุทรประกันภัย จำกัด

สำนักงานใหญ่ : 170/74-83 อาคารโอเชี่ยนทาวเวอร์ 1 ชั้น 24-28 ถนนรัชดาภิเษก ข.คลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110
นางดัยนา บุนนาด กรรมการผู้จัดการใหญ่
7. บริษัท ธนชาตประกันชีวิต จำกัด in Thailand

สำนักงานใหญ่:  231 อาคารธนชาติประกันชีวิต ถนนราชดำริ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน
กรุงเทพฯ 10330
นพดล  เรืองจินดา กรรมการผู้จัดการใหญ่
8. บริษัท เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต (ไทยแลนด์) จำกัด

สำนักงานใหญ่:  87/2 ยูนิต 1603-5 อาคาร ซีอาร์ซี ทาวเวอร์ ออลซีซั่นส์เพลส ชั้น16 ถนนวิทยุ ข.ลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
กลุ่มครอบครัวตันติพิพัฒน์พงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่
9.
บริษัท อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี. ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)

สำนักงานใหญ่:  898 อาคารเพลินจิตทาวเวอร์ ชั้น6 โซนเอ,ชั้น16-18 ถนนเพลินจิต ข.ลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
สตีเฟ่น แอปเปิ้ลยาร์ด กรรมการผู้จัดการใหญ่
10. บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน)

สำนักงานใหญ่ : 223/1 ซอยร่วมฤดี ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
นายสุรชัย ศิริวัลลภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร 
11. บริษัท ไอเอ็นจี ประกันชีวิต  จำกัด

สำนักงานใหญ่ : 130-132 อาคารสินธร ทาวเวอร์ 3 ชั้น 16 และ ชั้น 29 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
นายชี ชอง กรรมการผู้จัดการใหญ่
12. บริษัท แอ๊ดวานซ์ ไลฟ์ แอสชัวรันส์ จำกัด

สำนักงานใหญ่ : 2 อาคารเพลินจิตเซ็นเตอร์ ชั้น 5 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพฯ
นายริชาร์ด แอนดรู สปริงค์ กรรมการผู้จัดการใหญ่
13. บริษัท เอซ ไลฟ์ แอสชัวรันซ์ จำกัด

สำนักงานใหญ่ : 169 อาคารธนาคารนครหลวงไทย สาขาสุทธิสาร ชั้น 3-6 ถนนสุทธิสารวินิจฉัย แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม.10400
เบรทท์ เอ คลิงเลอร์  กรรมการผู้จัดการใหญ่
14. บริษัท สหประกันชีวิต จำกัด

สำนักงานใหญ่ : เลขที่ 411 อาคาร U Tower ชั้น 4-5 ถ.ศรีนครินทร์ แขวงสวนหลวง กรุงเทพฯ 10250
ดร.ศุภชัย ศรีศุภอักษร กรรมการผู้จัดการใหญ่
15. บริษัท ธนสินประกันภัย จำกัด

สำนักงานใหญ่ : 900/11-1336 ถนนพระราม 3 แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร
นายศุภชัย ศรีศุภอักษร ประธานกรรมการบริหาร






นางสาวนิรมล สายวงษ์คำ

อาจารย์ค่ะไม่รู้ว่าทำไมถึงกด เรียกใช้งานตัวอักษร ไม่ได้ก็ไม่ทราบค่ะพอกดมันก็จะเด้งขึ้นไปข้างบนเองเลยค่ะพอกดไม่ได้ก็ไม่สามารถที่จะลงรูปได้ค่ะ เอาไว้พรุ่งนี้หนูจะลองส่งอีกครั้งนะค่ะ

นายชัยนุกูล เสือเจริญ

นายชัยนุกูล เสือเจริญ รหัสนักศึกษา 50473010017
เอก เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ
16. บริษัท ประกันชีวิต นครหลวงไทย จำกัด

สำนักงานใหญ่ : 169 อาคารธนาคารนครหลวงไทย สาขาสุทธิสาร ถนนสุทธิสาวินิจฉัย แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพ 10400
คุณ  สุวิทย์ วัชรอำไพวัณย์ ประธานกรรมการ
17. บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)

สำนักงานใหญ่ : ชั้น 28, 30-31 อาคารแสงทองธานี เลขที่ 82 ถ.สาทรเหนือ
แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
นายบินายัค ดัตตาประธานกรรมการ
18. บริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต จำกัด

สำนักงานใหญ่ : 388 ถ.สี่พระยา แขวงมหาพฤฒาราม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
คุณสุนทร บุญสาย ประธานกรรมการ
19. บริษัท เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต (ไทยแลนด์) จำกัด

สำนักงานใหญ่ : อาคารซีอาร์ซี ทาวเวอร์ ออลซีซันส์ เพลส ชั้น 16 ยูนิต 1601-1605 87/2 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
นายคีธ บรูคส์ ประธานกรรมการ
20. บริษัท สยามซัมซุงประกันชีวิต จำกัด

สำนักงานใหญ่ : 2922/222-227 อาคารชาญอิสสระ 2 ชั้น ถนนเพชรบุรีตัดใหม่
แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310
คุณเยิน ฮี คัง  ประธานกรรมการ 
21. บริษัท บางกอกสหประกันภัย จำกัด เฉพาะบัตรโลโก้ HBC

สำนักงานใหญ่ : 175-177 อาคารบางกอกสหประกันภัยถนนสุรวงศ์ แขวงสุริยวงศ์
เขตบางรักกรุงเทพมหานคร 10500
นายมนู เลียวไพโรจน์,ประธานกรรมการ
22. บริษัท สมโพธิ์ เจแปน ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด

สำนักงานใหญ่ : ชั้น 12 อาคารอับดุลราฮิมเพลซเลขที่ 990 ถนนพระรามสี่ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
23. บริษัท สยามซิตี้ประกันภัย จำกัด

สำนักงานใหญ่ : 44/1 อาคารรุ่งโรจน์ธนกุล ชั้น 12 ถนนรัชดาภิเษก แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310 
ดร. สม จาตุศรีพิทักษ์ ประธานกรรมการ
24. บริษัท ชับบ์ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด

สำนักงานใหญ่ : ที่อยู่ :: 52 ธนิยะ พลาซ่า ชั้น 16 ถนนสีลม แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500
นางสาวพจนีย์ ธนวรานิช ประธานกรรมการ
25. บริษัท อเมริกัน อินเตอร์แนชชั่นแนล แอสชัวรันส์ จำกัด (ประกันวินาศภัย)

สำนักงานใหญ่ : อาคาร ซี ไอ ทาวเวอร์ เลขที่ 2/2 ถ.มหิดล ต.สุเทพ อ.เมือง
จ.เชียงใหม่ 50200
26. บริษัท ศรีอยุธยาประกันภัย จำกัด (มหาชน) เฉพาะบัตรโลโก้ TPA

สำนักงานใหญ่ : ชั้น 7 อาคารเพลินจิตทาวเวอร์เลขที่ 898 ถนนเพลินจิต
แขวงลุมพินีเขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330



นางสาวนิรมล สายวงษ์คำ โปรแกรมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

รหัสนักศึกษา 50473010005

 บริษัทคอมไบด์ประกันภัย จำกัด

กรรมการผู้จัดการใหญ่คือ กฤษณะ กฤตมโนรถ

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่คือ 587 ชั้น 18-19 อาคารวิริยะถาวร ถนนสุทธิสารวินิจฉัย
ข.ดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร 10400

 บริษัทซิกน่าประกันภัย จำกัด

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่คือ อาคารคิวเฮ้าส์เพลินจิต ชั้น 7 598 ถนนเพลินจิต เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 

กรรมการผู้จัดการใหญ่คือ นายยุทธชัย เตยะราชกุล

บริษัทเจ้าพระยาประกันภัย จำกัด (มหาชน)

กรรมการผู้จัดการใหญ่คือ นายชำนาญ เมธปรีชากุล

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่คือ 3675 อาคารกรุงไทยแทรคเตอร์ ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110

บริษัทฟินิกซ์ ประกันภัย จำกัด (มหาชน)

กรรมการผู้จัดการใหญ่คือ นายวัฒนชัย ขาวดี

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่คือ 338 อาคารปรีชาคอมเพล็กซ์ อาคาร A ชั้น 6 – 8 ซอยรัชดาภิเษก20  ถนนรัชดาภิเษก แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ

บริษัทแอลเอ็มจี ประกันภัย จำกัด (มหาชน)

กรรมการผู้จัดการ คือ นายปิยัพะฒน์ วนอุกกฤษฎ์

ที่ตั้งสำนักงานใหญคือ ชั้น 14, 15, 17 อาคารจัสมินซิตี้ เลขที่ 2 ซอยสุขุมวิท 23 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110 Tel (02) 661-6000

บริษัทไทยพาณิชย์สามัคคีประกันภัย

กรรมการผู้จัดการ คือ นายจิรวุฒิ บุญศิริ

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่คือ 2/4 อาคารไทยพาณิชย์สามัคคีประกันภัย ชั้น 12 อาคารนอร์ธปาร์ค ข.ทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร 10210

บริษัทแอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน)

กรรมการผู้จัดการ คือ นายกี่เดช อนันต์ศิริประภา

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่คือ อาคารลุมพินีทาวเวอร์ ชั้น 23 1168/67 ถ.พระราม4 แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร จ.กรุงเทพมหานคร 10120

 

บริษัทเมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน)

กรรมการผู้จัดการ คือ คุณนวลพรรณ ล่ำซำ

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่คือ 250 ถนนรัชดาภิเษก ข.ห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10320

บริษัทไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน)

 

กรรมการผู้จัดการ คือ นางสาวพณิตา ตู้จินดา

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ คือ อาคารไทยประกันภัย 34/3 ซอยหลังสวน ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330

บริษัทอลิอันซ์ ซีพี ประกันภัย จำกัด (มหาชน)

กรรมการผู้จัดการ คือ นายปกิต เอี่ยมโอภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่คือ 898 อาคารเพลินจิตทาวเวอร์ ชั้น6 โซนเอ,ชั้น16-18 ถนนเพลินจิต ข.ลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330

บริษัทเอเชียประกันภัย จำกัด (มหาชน)

กรรมการผู้จัดการ คือ นายนิค จันทรวิทุร

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่คือ เลขที่ 183 อาคารรีเจ้นท์เฮาส์ ชั้น 12 ถนนราชดำริ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330

บริษัทกรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน)

กรรมการผู้จัดการ คือ นายชัย โสภณพนิช

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่คือ 25 ถนนสาทรใต้ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120

 บริษัทวิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน)

กรรมการผู้จัดการคือ สุรชัย วังยายฉิม

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่คือ 121/7 14-27 อาคารอาร์ เอส ทาวเวอร์ ถนนรัชดาภิเษก เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร 10400

บริษัทประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน)

กรรมการผู้จัดการใหญ่ คือ นายจีรพันธ์ อัศวะธนกุล

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่คือ อาคารประกันภัยไทยวิวัฒน์ เลขที่ 71

ถ.ดินแดง แขวงสามเสนใน เขตพญาไท จ.กรุงเทพมหานคร 10400บริษัทคูเนียประกันภัย จำกัด (มหาชน)

บริษัทคูเนียประกันภัย จำกัด (มหาชน)

 

 

กรรมการผู้จัดการใหญ่คือ นายพงศ์ทวี ก้าวสัมพันธ์

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่คือ 195 อาคารเอ็มไพร์ทาวเวอร์ ชั้น 39 ถนนสาทรใต้ เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร 10120

บริษัทสินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน)

กรรมการผู้จัดการใหญ่คือ คุณอิสระ วงศ์รุ่ง

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่คือ เลขที่ 313 ถนนศรีนครินทร์ แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ 10240 เบอร์โทร. 0-2378-7000

บริษัทธนชาติประกันภัย จำกัด (มหาชน)

กรรมการผู้จัดการใหญ่คือ นายนพดล เรืองจินดา

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่คือ เลขที่ 900 อาคารต้นสนทาวเวอร์ ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร

 บริษัทเอ็มเอสไอจีประกันภัย จำกัด (มหาชน) 

กรรมการผู้จัดการใหญ่คือ นายอรรณพ พรธิติ

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่คือ 1908 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร

บริษัทมิตรแท้ประกันภัย จำกัด (มหาชน)

กรรมการผู้จัดการใหญ่คือ นายอนันต์ เกษเกษมกิจ

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่คือ 295 ถนนสี่พระยา ข.สี่พระยา เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500

บริษัทกมลประกันภัย จำกัด (มหาชน)

แก้ไขงานนะคะข้อความแรกข้อมุลไม่ครบค่ะ

น.ส.ธีราภรณ์ บุญปัญญา 50473010058

บริษัทประกันชีวิต

1. บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)
23/115-121 รอยัลซิตี้อเวนิว ถนนพระราม 9 ห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310
โทรศัพท์. 0-2777-8888, โทรสาร. 0-2777-8899
Bangkok Life Assurance Public Co., Ltd.
23/115-121 Royal City Avenue, Rama 9 Rd., Huaykwang Bangkok 10310
Tel. 0-2777-8888, Fax. 0-2777-8899
www.bla.co.th
นายชาญ วรรธนะกุล
Mr. Chan Vathanakul
กรรมการผู้จัดการใหญ่
President
 
2. บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด
123 ถนนรัชดาภิเษก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10400
โทรศัพท์ 0-2247-0247-8, โทรสาร 0-2246-9946-7
Thai Life Insurance Co., Ltd.
123 Rachadaphisek Rd., Huaykwang, Bangkok 10400
Tel. 0-2247-0247-8, Fax. 0-2246-9946-7
www.thailife.com
นายไชย ไชยวรรณ
Mr. Chai Chaiyawan
กรรมการผู้จัดการใหญ่
President
 
3. บริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต จำกัด
2032 อาคารฟินันซ่าประกันชีวิต ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310
โทรศัพท์ 0-2632-5000, โทรสาร 0-2632-5500
Finansa Life Assurance Co.,Ltd.
2032 FINANSA TOWER New Petchburi Road, Bangkapi, Huaykwang, Bangkok 10310
Tel. 0-2632-5000, Fax. 0-2632-5500
www.finansalife.com
นายมนตรี แสงอุไรพร
Mr.Montri Saeng-Uraiporn
กรรมการผู้จัดการ
President
 
4. บริษัท ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)
1060 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ (อาคาร 1 ธนาคารไทยพาณิชย์) เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
โทรศัพท์ 0-2655-3000, โทรสาร 0-2256-1666
Siam Commercial New York Life Insurance Public Co., Ltd.
1060 New Petchburi Rd., (SCB Building 1) Rajthevee, Bangkok 10400.
Tel. 0-2655-4000, Fax. 0-2256-1666
www.scnyl.com
นายซี โดนอลด์ คาร์ดีน
Mr. C. Donald Carden
กรรมการผู้จัดการใหญ่
President & CEO
 
5. บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
82 อาคารแสงทองธานี ชั้น 28, 30-31 ถนนสาทรเหนือ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500.
โทรศัพท์ 0-2352-8000, โทรสาร 0-2639-9635, 0-2639-9700
Prudential Life Assurance (Thailand) Public Co., Ltd.
82 Saengthong Thani Bldg. 28, 30-31 Flr., North Sathorn Road, Bangkok, 10500.
Tel. 0-2352-8000, Fax. 0-2639-9635, 0-2639-9700
www.prudential.co.th
นายบินายัค ดัตตา
Mr. Binayak Dutta
กรรมการผู้จัดการ
Chief Executive Officer
 
6. บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด
170/74-83 อาคารโอเชี่ยนทาวเวอร์ 1 ถนนรัชดาภิเษก เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110.
โทรศัพท์ 0-2261-2300, โทรสาร 0-2261-3344-55
Ocean Life Insurance Co., Ltd.
170/74-83 Ocean Tower 1, Rachadaphisek Road, Klongtoey Bangkok 10110.
Tel. 0-2261-2300, Fax. 0-2261-3344-55
www.ocean.co.th
นางนุสรา บัญญัติปิยพจน์
Mrs. Nusara Banyatpiyaphod
กรรมการผู้จัดการ
Managing Director
 
7. บริษัท อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี. ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)
898 อาคารเพลินจิตทาวเวอร์ ชั้น 2, 6 ถนนเพลินจิต กรุงเทพฯ 10330
โทรศัพท์ 0-2305-7000, โทรสาร 0-2263-0313-4
Ayudhya Allianz C.P. Life Public Company Limited.
898 Ploenchit Tower 2nd, 6th Floor, Ploenchit Road, Bangkok 10330.
Tel. 0-2305-7000, Fax. 0-2263-0313-4
www.aacp.co.th
นายสตีเฟ่น แอบเปิ้ลยาร์ด
Mr. Stephen Appleyard
กรรมการผู้จัดการใหญ่
President
 
8. บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด
250 ถนนรัชดาภิเษก ห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10320
โทรศัพท์ 0-2276-1025-7, โทรสาร 0-2276-1997-8
Muang Thai Life Assurance Co., Ltd.
250 Rachadaphisek Road, Huaykwang, Bangkok 10320.
Tel. 0-2276-1025-7, Fax. 0-2276-1997-8
www.muangthai.co.th
นายสาระ ล่ำซำ
Mr. Sara Lamsam
กรรมการผู้จัดการ
President
 
9. บริษัท สยามประกันชีวิต จำกัด
75/72-73 อาคารโอเชี่ยนทาวเวอร์ 2 ชั้น 30 สุขมวิท 19 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110.
โทรศัพท์ 0-2260-5536-43, โทรสาร 0-2260-5561
Siam Life Insurance Co., Ltd.
75/72-73 Ocean Tower 2, 30th Floor, Sukhumvit 19, Wattana, Bangkok 10110.
Tel. 0-2260-5536-43, Fax. 0-2260-5561
www.siamlife.co.th
นางรัชนี เองปัญญาเลิศ
Mrs.Rashanee Engpanyalert
กรรมการผู้จัดการ
Managing Director
 
10. บริษัท อาคเนย์ประกันชีวิต จำกัด
315 ถนนสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500.
โทรศัพท์ 0-2631-1331, โทรสาร 0-2236-7614
The Southeast Life Insurance Co., Ltd.
315 Silom Road, Bangrak, Bangkok 10500.
Tel. 0-2631-1331, Fax. 0-2236-7614
www.southeastlife.com
นายโชติพัฒน์ พีชานนท์
Mr. Chotiphat Bijananda
กรรมการผู้จัดการ
Managing Director
 
11. บริษัท แมนูไลฟ์ ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
364/30 ถนนศรีอยุธยา พญาไท กรุงเทพฯ 10400.
โทรศัพท์ 0-2246-7650-99, โทรสาร 0-2248-5391
Manulife Insurance (Thailand) Public Company Limited.
364/30 Sri Ayudhaya Road, Phayathai, Bangkok 10400.
Tel. 0-2246-7650-99, Fax. 0-2248-5391
www.manulife.co.th
นายบรูส ฮ็อดเจส
Mr. Bruce Murray Hodges
กรรมการผู้จัดการใหญ่
Chief Executive Officer
 

12. บริษัท ไทยรีประกันชีวิต จำกัด
223/1 ซอยร่วมฤดี ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ 10330.
โทรศัพท์ 0-2256-6822, โทรสาร 0-2256-6565
Thaire Life assurance Co., Ltd.
223/1 Soi Ruamruedee, Wireless Road, Bangkok 10330.
Tel. 0-2256-6822, Fax. 0-2256-6565
www.thaire.co.th
นายสุรชัย ศิริวัลลภ
Mr. Surachai Sirivallop
กรรมการผู้อำนวยการ
President & CEO
 
13. บริษัท สหประกันชีวิต จำกัด
13 อาคาร น.ม.ส. 2 ชั้น 2 สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย ถนนพิชัย เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300.
โทรศัพท์ 0-2669-3243-50, โทรสาร 0-2669-3252
Saha Life Insurance Co., Ltd.
13 Naw Maw Saw Bldg., 2nd Floor, Co-operative League of Thailand,
Pichai Rd., Dusit, Bangkok 10300.
Tel. 0-2669-3243-50, Fax. 0-2669-3252
www.sahalife.co.th
นายสหพล สังข์เมฆ
Mr.Sahaphon Sangmek
ผู้จัดการใหญ่
Managing Director
 
14. บริษัท อเมริกันอินเตอร์เเนชชั่นแนลแอสชัวรันส์ จำกัด
181 อาคารเอไอทาวเวอร์ ถนนสุรวงศ์ บางรัก กรุงเทพฯ 10500.
โทรศัพท์ 0-2634-8888, โทรสาร 0-2236-6452
American International Assurance Co., Ltd.
181 AI Tower, Surawong Rd., Bangrak, Bangkok 10500
Tel. 0-2634-8888, Fax. 0-2236-6452
www.aia.co.th
นายสัตยา เทพบรรเทิง
ผู้จัดการทั่วไป – ตัวแทนประกันชีวิต
นายอนุชา เหล่าขวัญสถิตย์
ผู้จัดการทั่วไป - การตลาดพิเศษ
 
15. บริษัท ธนชาตประกันชีวิต จำกัด
เลขที่ 231 อาคารธนชาตประกันชีวิต ถนนราชดำริ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330.
โทรศัพท์ 0-2207-4200 โทรสาร 0-2253-8484
Thanachart Life Assurance Co., Ltd.
231 Thanachart Life Assurance Building
Rachadamri Road, Lumpini, Pathumwan, Bangkok 10330.
Tel. 0-2207-4200, Fax. 0-2253-8484
www.thanachartlife.co.th
ดร.ชาติชัย พาราสุข
Mr. Chartchai Parasuk
กรรมการผู้จัดการ
Managing Director
 
16. บริษัท ไทยคาร์ดิฟ ประกันชีวิต จำกัด
เลขที่ 36/11, 36/59-62 อาคารพี เอส ทาวเวอร์ ชั้น G และ ชั้น 18
ถนนสุขุมวิท 21 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110.
โทรศัพท์. 0-2645-8500, โทรสาร. 0-2645-8585
Thai Cardif Life Assurance Co., Ltd.
36/11, 36/59-62 PS Tower, G and 18th Floor,
Sukhumvit 21 Road, North-Klongtoey, Wattana, Bangkok 10110
Tel. 0-2645-8500, Fax. 0-2645-8585.
www.thaicardif.com
นายวิศิษฎ์ ตังคนังนุกูล
Mr. Visidh Tangkanangnukul
ผู้จัดการทั่วไป
General Manager
 
17. บริษัท สยามซัมซุงประกันชีวิต จำกัด
2922/240-241 ชั้น 15 อาคารชาญอิสระ 2 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10320.
โทรศัพท์ 0-2308-2245-52, โทรสาร 0-2308-2269
Siam Samsung Life Insurance Co., Ltd.
2922/240-241 Charnissara Tower 2, 15th Floor, New Petchburi Rd., Huaykwang, Bangkok 10320.
Tel. 0-2308-2245-52, Fax. 0-2308-2269
www.siamsamsung.co.th
นายเยิน ฮี คัง
Mr.Yeon Hee Kang
ประธานบริหาร
President
 
18. บริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด
2034/136, 138-143 อาคารอิตัลไทย ทาวเวอร์ ชั้น 27, 32-33
ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310.
โทรศัพท์ 0-2723-4000, โทรสาร 0-2723-4032
Krungthai-AXA Life Assurance Co., Ltd.
2034/136, 138-143 Italthai Tower, 32-33 Floor
New Petchburi Rd., Bangkrapi Huaykwang, Bangkok 10320.
Tel. 0-2723-4000, Fax. 0-2723-4032
www.krungthai-axa.co.th
นายไมเคิล จอร์จ แพล๊กซ์ตัน์
Mr. Michael George Plaxton
ประธานกรรมการบริหาร
Chief Executive Officer
 
19. บริษัท ประกันชีวิตนครหลวงไทย จำกัด
169 อาคารธนาคารนครหลวงไทย สาขาสุทธิสาร
ถ.สุทธิสารวินิจฉัย แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400.
โทรศัพท์ 0-2616-2324, โทรสาร 0-2616-2343
Siam City Life Assurance Co., Ltd.
169 Siam City Bank Suthisan Branch Bldg., Suthisan Road,
Samsennai, Payathai, Bangkok 10400.
Tel. 0-2616-2324, Fax. 0-2616-2343
www.scilife.co.th
นายสุวิทย์ วัชรอำไพวัณย์
Mr. Suwit Wachara-Ampaiwan
รักษาการกรรมการผู้จัดการ
(on behalf of) Managing Director
 
20. บริษัท โตเกียวมารีนประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
เลขที่ 195 อาคารเอ็มไพร์ทาวเวอร์ ชั้น 26 ถ.สาทรใต้ แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพฯ 10120
โทรศัพท์ 0-2670-1400, โทรสาร 0-2670-1401-11
Tokio Marine Life Insurance (Thailand) Public Company Limited.
195 Empire Tower Building 26th Floor, Sout Satorn Road, Yannawa Sathorn Bangkok 10120.
Tel. 0-2670-1400, Fax. 0-2670-1401-11
www.tokiomarinelife.co.th
นายฮิโรชิ ทาเทอิชิ
Mr.Hiroshi Tateishi
กรรมการผู้จัดการ
Managing Director
 
21. บริษัท ไอเอ็นจี ประกันชีวิต จำกัด
130-132 อาคารสินธรทาวเวอร์ 3 ชั้น 29 ถนนวิทยุ ลุมพินี ปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330.
โทรศัพท์ 0-2263-3900, โทรสาร 0-2263-3899
ING Life Limited.
130-132 Sindtorn Tower 3, 29th Floor, Wireless Road, Lumpini, Pathumwan, Bangkok 10330.
Tel. 0-2263-3900, Fax. 0-2263-3899
www.inglife.co.th
นายราเจช เสฐฐี
Mr. Rajesh Sethi
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
Chief Executive Officer
 
22. บริษัท เจนเนอราลี ประกันชีวิต (ไทยแลนด์) จำกัด
ชั้น 16 ยูนิต 1602-1605 อาคาร ซีอาร์ซี ทาวเวอร์ ออลซีซั่นส์ เพลส
87/2 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330.
โทรศัพท์ 0-2685-3828, โทรสาร 0-2685-3829
Generali Life Assurance (Thailand) Co., Ltd.
16th Floor, Unit 1603-1605, CRC Tower, All Seasons Places,
87/2 Wireless Road, Lumpini, Patumwan, Bangkok 10330.
Tel. 0-2685-3828, Fax. 0-2685-3829
www.generali.co.th
นายคีธ แอนดรูว์ บรูคส์
Mr.Keith Brooks
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
Country Manager/Chief Executive Officer
 
23. บริษัท เอซ ไลฟ์ แอสชัวรันซ์ จำกัด
เลขที่ 130-132 อาคารสินธร ทาวเวอร์ 1 ชั้น 11-12
ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
โทรศัพท์ 0-2615-6800, โทรสาร 0-2675-3818
Ace Life Assurance Co., Ltd.
130-132 Sindhorn Building, Tower I, 11th-12th Floor
Wireless Road, Lumpini Pathumwan Bangkok 10330
Tel. 0-2675-3800, Fax. 0-2675-3818
www.acelife.co.th
นายริชาร์ด แอนดรู สปริงค์์
Mr. Richard Andrew Spring
ประธานกรรมการผู้จัดการใหญ่
Chief Executive Officer
 
24. บริษัท บางกอกสหประกันชีวิต จำกัด
177/1 ถ. สุรวงศ์ แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500.
โทรศัพท์ 0-2634-7323-30, โทรสาร 0-2634-7331
BUI Life Insurance Co., Ltd.
177/1 Surawong Rd. Bangrak, Bangkok 10500.
Tel. 0-2634-7323-30, Fax. 0-2634-7331
www.builife.com
ดร. ชวิน เอี่ยมโสภณา
Dr.Chavin Iamsapana
กรรมการผู้จัดการใหญ่
President
 
25. บริษัท แอ๊ดวานซ์ ไลฟ์ แอสชัวรันส์ จำกัด
อาคารเพลินจิตเซ็นเตอร์ ชั้น 5 เลขที่ 2 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110.
โทรศัพท์ 0-2648-3600, โทรสาร 0-2648-3555
Advance Life Assurance Co., Ltd.
Ploenchit Center, 2nd Floor, 2 Sukhumvit Road, Klongtoey Bangkok 10110.
Tel. 0-2648-3600, Fax. 0-2648-3555
www.alife.co.th
นายเชาว์พันธู์ พันธ์ทอง
กรรมการผู้จัดการ
Managing Director

 

บริษัทประกันภัย

   บริษัท กมลประกันภัย จำกัด (มหาชน)
ข้อมูลบริษัท
ที่อยู่ เลขที่ 361 ถนนบอนด์สตรีท ตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120
โทรศัพท์
โทรสาร
0-2502-2888 , 0-2502-2999
0-2502-2955
Web Site www.kamolinsurance.com
กรรมการผู้จัดการ นายมนัส บินมะฮมุด
   บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน)
ข้อมูลบริษัท
ที่อยู่ อาคารกรุงเทพประกันภัย 25 ถนนสาทรใต้ แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพฯ 10120
โทรศัพท์
โทรสาร
0-2285-8888, 0-2677-3777
0-2677-3737-8
Web Site http://www.bki.co.th
กรรมการผู้จัดการ นายชัย โสภณพนิช
   บริษัท กรุงไทยพานิชประกันภัย จำกัด
ข้อมูลบริษัท
ที่อยู่ 208 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
โทรศัพท์
โทรสาร
302-0111, 651-5500
651-5511
Web Site http://www.kpi.co.th
กรรมการผู้จัดการ นายกีรติ พานิชชีวะ
   บริษัท คิวบีอี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด
ข้อมูลบริษัท
ที่อยู่ ชั้น 15 อาคารอื้อจือเหลียง เลขที่ 968 ถ.พระราม 4 แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
โทรศัพท์
โทรสาร
0-2238-0999
0-2238-0836-8
Web Site http://www.qbe.com
กรรมการผู้จัดการ นายโรนอลด์ สปาร์คส์
   บริษัท คุ้มเกล้าประกันภัย จำกัด (มหาชน)
ข้อมูลบริษัท
ที่อยู่ 246-246/1 ถนนจารุเมือง แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
โทรศัพท์
โทรสาร
0-2214-0033, 0-2216-2288
0-2216-9323, 0-2216-7776
Web Site http://www.khoomkhao.co.th
กรรมการผู้จัดการ นายอนันต์ วงศ์สุรพิเชษฐ์
   บริษัท จรัญประกันภัย จำกัด (มหาชน)
ข้อมูลบริษัท
ที่อยู่ 401 ถนนรัชดาภิเษก แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10320
โทรศัพท์
โทรสาร
0-2276-1024
0-2275-4919
Web Site
กรรมการผู้จัดการ นายสุกิจ จรัญวาศน์
   บริษัท เจ้าพระยาประกันภัย จำกัด
ข้อมูลบริษัท
ที่อยู่ 3675 อาคารกรุงไทยแทรคเตอร์ ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110
โทรศัพท์
โทรสาร
0-2648-6666
0-2665-6734
Web Site www.cpyins.com
กรรมการผู้จัดการ นายสวาย อุดมเจริญชัยกิจ
   บริษัท ชับบ์ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด
ข้อมูลบริษัท
ที่อยู่ ชั้น 27 อาคารธนิยะพลาซ่า 52 ถนนสีลม แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
โทรศัพท์
โทรสาร
0-2231-2640
0-2231-2653
Web Site http://www.chubb.com
กรรมการผู้จัดการ นายสมฤทธิ์ อุไรฤกษ์กุล
   บริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด
ข้อมูลบริษัท
ที่อยู่ อาคารเอ็มเอสไอจี 1908 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310
โทรศัพท์
โทรสาร
0-2318-8318, 0-2319-1199
0-2318-8550
Web Site http://www.msig-thai.com
กรรมการผู้จัดการ นายอรรณพ พรธิติ
   บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน)
ข้อมูลบริษัท
ที่อยู่ 63/2 ถนนพระราม 9 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10320
โทรศัพท์
โทรสาร
0-2248-0059
0-2248-7849-50
Web Site http://www.dhipaya.co.th
กรรมการผู้จัดการ นายจารึก กังวานพณิชย์
   บริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน)
ข้อมูลบริษัท
ที่อยู่ 97,99 อาคารเทเวศประกันภัย ถนนราชดำเนินกลาง บวรนิเวศ พระนคร กรุงเทพฯ 10200
โทรศัพท์
โทรสาร
0-2280-0985-96
0-2280-0399, 0-2281-2445
Web Site http://www.deves.co.th
กรรมการผู้จัดการ

กด "เรียกใช้งานตัวจัดการข้อความ" ไม่ได้ค่ะอาจารย์

ไม่สามารถ ใส่รูปที่ทำ RESUME ได้ค่ะ

นางสาวจันทกานต์ ศรีมาวรรณ์

นางสาวจันทกานต์  ศรีมาวรรณ์

รหัสนักศึกษา 50473010040

คณะวิทยาการจัดการ  โปรแกรมวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ ปี 4

 

โจทย์

1. RESUME

2. วิเคราะห์กิจการที่น่าให้เงินกู้  ให้วิเคราะห์ทั้ง MACRO  & MICRO  and SWOT Analysis

RESUME

ชื่อ  นางสาวจันทกานต์     นามสกุล  ศรีมาวรรณ์

Miss   Chanthakarn   Srimawan

ที่อยู่ปัจจุบัน   92  ซอยศูนย์บันเทิงการค้า  ถนนนวมินทร์  แขวงคลองจั่น  เขตบางกะปิ  กทม.  10240

ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน  92  ซอยศูนย์บันเทิงการค้า  ถนนนวมินทร์  แขวงคลองจั่น  เขตบางกะปิ  กทม.  10240

สัญชาติ  ไทย         เชื้อชาติ  ไทย             ศาสนา  พุทธ

วันเกิด  16 ธันวาคม  พ.ศ. 2531

อายุ  21 ปี  7  เดือน

ส่วนสูง   165  เซนติเมตร  น้ำหนัก  52  กิโลกรัม

สถานภาพการสมรส     โสด           

เบอร์โทรศํพท์ (บ้าน)  0-2734-7963    เบอร์โทรศํพท์ (มือถือ) 083-293-9301  ,  086-370-4645

E-mail  :  [email protected]

งานอดิเรก   อ่านหนังสือ , ฟังเพลง , เล่นกีฬา

ประวัติการศึกษา                

ชั้นประถมศึกษาตอนต้น และตอนปลาย   :  โรงเรียนบ้านบางกะปิ

ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น : โรงเรียนบางกะปิ

ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย  :  โรงเรียนบางกะปิ และโรงเรียนชลราษฎรอำรุง

ระดับปริญญาตรี  :  มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

มาตรฐานการสำเร็จการศึกษาของบัณฑิต   

ผ่านเกณฑ์ ICT และภาษาอังกฤษ

ผ่านเกณฑ์ การพัฒนาบุคลิกภาพ  คุณธรรม  และจริยธรรม

ทักษะและความสามารถพิเศษอื่นๆ

สามารถใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ ได้ เช่น Microsoft Office

มีความสามารถในการจัดระบบการสื่อสารภายในองค์กรได้เป็นอย่างดี

มีประสบการณ์ในการตลาดและวิเคราะห์ความต้องการของตลาดได้ดี

มีความรับผิดชอบ และมีมนุษยสัมพันธ์ดี

มีภาวะการเป็นผู้นำ  และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี

นางสาวจันทกานต์ ศรีมาวรรณ์

นางสาวจันทกานต์  ศรีมาวรรณ์ 

รหัสนักศึกษา 50473010040

คณะวิทยาการจัดการ  โปรแกรมวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ ปี 4

วิเคราะห์กิจการที่น่าให้เงินกู้  ให้วิเคราะห์ทั้ง MACRO  & MICRO  and SWOT Analysis

กิจการที่เลือก คือ กิจการการคมนาคมทางน้ำ (บริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด)

ผู้ก่อตั้ง :  คุณหญิงสุภัทรา สิงหลกะ

ที่ตั้ง  :  78/24-29  ถนนมหาราช  แขวงพระบรมมหาราชวัง  เขตพระนคร  กรุงเทพมหานคร  10200

มองในมุม  MACRO  และ  MICRO 

                เหตุที่เลือกกิจการนี้  เพราะว่า ในปัจจุบันการจราจรทางบกมีการตัดขัด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเช้า  ทำให้ประชาชนที่ต้องทำงานตอนเช้าหันมาเดินทางทางน้ำมากขึ้น  และที่เลือกบริษัทฯนี้  เพราะเป็นบริษัทที่เปิดมานาน  ให้บริการเดินเรือโดยสารมากกว่า 38 ปี บริษัทเรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด มีการพัฒนารูปแบบการบริการอย่างต่อเนื่อง ปรับปรุงมาตรฐานด้านความปลอดภัยให้ได้มาตรฐานระดับสากล และมีโครงการที่จะยกระดับท่าเทียบเรือให้มีความสะดวก สะอาด ปลอดภัย เข้าถึงบริการได้ง่าย และสามารถเชื่อมต่อกับระบบการขนส่งอื่น เพื่อให้การคมนาคมในกรุงเทพฯ สะดวกสบายยิ่งขึ้น

บริษัทเรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด ดำนเนินงานภายใต้การกำกับดูแลของกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารงานของกระทรวงคมนาคม และนอกจากนี้ยังเป็นสมาชิกของสมาคมเรือไทย ซึ่งเป็นสมาคมของผู้ประกอบการด้านการให้บริการเรือประเภทต่างๆ ในแม่น้ำเจ้าพระยาอีกด้วย และล่าสุดเดือนธันวาคม พ.ศ.2552 บริษัทเรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด ได้เข้าเป็นสมาชิกของสมาคมต่อเรือและซ่อมเรือไทย ซึ่งถือว่าเป็นโอกาศที่ดีที่จะได้มีส่วนร่วมในการและเปลี่ยนความเป็นพัฒนารูปแบบการต่อเรือ และการซ่อมบำรุงให้มีคุณภาพและมาตรฐานต่อไป

ในด้านของการแข่งขันนั้น  เป็นที่นานอนอยู่แล้วว่าในการประกอบธุรกิจอะไรก็ตามจะต้องเกิดการแข่งขันขึ้น

 

เรามีวิธีจะรับมือกับคู่แข่งขันอย่างไรเพื่อให้เราไม่ประสบกับปัญหาการขาดทุน  ซึ่งบริษัท ฯ แก้ปัญหานี้โดยการ พัฒนาตัวเองให้ทันต่อความต้องการของผู้บริโภคเสมอ  ปัจจุบันให้บริการเดินเรือโดยสารเส้นทางระหว่าง ปากเกร็ด (นนทบุรี) ถึงราษฎร์บูรณะรวมระยะทางประมาณ 32 กิโลเมตร กับ 4 สายการเดินเรือหลักได้แก่            1.สายเรือประจำทาง

2.สายเรือด่วนพิเศษธงส้ม

3.สายเรือด่วนพิเศษธงเหลือง

4.สายเรือด่วนพิเศษธงเขียว

ซึ่ง ณ ปัจจุบันจอดรับส่งผู้โดยสารตลอดเส้นทางการเดินเรือจำนวน 38 ท่าเรือ ใช้เรือในการบริการทั้งสิ้น 65 ลำ ซึ่งมีเรือขนาดใหญ่ที่รับการส่งเสริมการลงทุนจาก คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือ บีโอไอ จำนวน 15 ลำ บรรจุผู้โดยสารได้ 150 คน ขนาดกลาง 50 ลำ บรรจุผู้โดยสารได้ 90 คน และพนักงานเจ้าหน้าที่อีกกว่า 300 ชีวิต ซึ่งสามารถรองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 35,000 ถึง 40,000 คนต่อวัน หรือประมาณ 13.5 ล้านคนต่อปี

การวิเคราะห์ SWOT

S  = STRENGTH   หมายถึง จุดแข็ง

  • เป็นกิจการที่เปิดทำการมานาน  เป็นที่รู้จักของผู้บริโภค
  • มียานพาหนะ (เรือ) เป็นจำนวนมาก  เพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภค
  • มีการพัฒนารูปแบบการบริการอย่างต่อเนื่อง
  • ดูแลในด้านความปลอดภัยให้กับผู้บริโภค โดยการมีร่มชูชีพติดเรือจำนวนมาก

W= WEAKNESS  หมายถึง จุดอ่อน

  • พนักงานบางคนขาดความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพ
  • วัสดุ/อุปกรณ์ ที่ใช้ประกอบกิจการ (ไม้) ราคาแพง  และเกิดความเสียหายง่าย

O= OPPORTUNITY  หมายถึง โอกาส

  • มีโครงการที่จะยกระดับท่าเทียบเรือให้มีความสะดวก สะอาด ปลอดภัย เข้าถึงบริการได้ง่าย และสามารถเชื่อมต่อกับระบบการขนส่งอื่น เพื่อให้การคมนาคมในกรุงเทพฯ สะดวกสบายยิ่งขึ้น
  • เข้าเป็นสมาชิกของสมาคมต่อเรือและซ่อมเรือไทย

T= THREAT  หมายถึง อุปสรรค์

  • กิจการที่ทำขึ้นอยู่กับ ดิน ฟ้า อากาศ จึงทำให้ในช่วงหน้าฝน อาจจะทำให้รายได้ลดน้อยลง
  • มีคู่แข่งขันรายเล็กๆที่เกิดขึ้นใหม่เป็นจำนวนมาก

บทสรุป

จากข้อความข้างต้นที่กล่าวมาทั้งหมด  จึงสรุปได้  กิจการการคมนาคมทางน้ำของ บริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด มีความเหมาะสมที่จะให้การกู้ยืม  เนื่องจากเป็นกิจการที่ประสบกับความเสี่ยงน้อยมากเพราะได้ผูกขาดกับกิจการในด้านนี้  อีกทั้งยังมีการประกอบธุรกิจมาเป็นเวลานาน  ปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานความปลอดภัยของรัฐบาลอยู่เสมอ  จึงทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ให้การสนับสนุนใช้บริการกันอย่างหนาแน่น 

 

นางสาวรัชนีกร นิยมทัศน์

นางสาวรัชนีกร  นิยมทัศน์.รหัสนักศึกษา  50473010006

โปรแกรมวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

-----------------------------------------------------------

การวิเคราะห์  SWOT  ของบริษัทปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม

แหล่งเจาะที่สำรวจและผลิตในปัจจุบัน

         ปัจจุบัน PTTEP มีปริมาณปิโตรเลียมที่มีการพิสูจน์แล้ว 778 ล้านบาร์เรล แหล่งเจาะที่ทำรายได้หลักมาจากแหล่งบงกช และไพลิน ซึ่งในอีก 2-3 ปี โครงการจาก ยาดานา และอาทิตย์จะเป็นโครงการที่สร้างรายได้ดี ปตท.สผ. ก็ยังเพิ่มโอกาสการลงทุนในแหล่งเจาะต่างประเทศ ในเวียดนาม และกำลังศึกษาความเป็นไปได้ที่อินโดนีเซีย อิหร่าน และโอมาน

 จุดแข็ง

        PTTEP เป็นบริษัทที่ถือว่าไม่มีคู่แข่ง เพราะได้อภิสิทธิ์จากรัฐเข้าไปร่วมสำรวจและผลิต ตามโครงการต่างๆ และหลังจากผลิตก็ขายให้กับผู้รับซื้อรายเดียว คือ ปตท. โดยการซื้อขายถูกระบุในสัญญาซื้อขายระยะยาว โดยราคาก๊าซจะถูกปรับทุก 6 หรือ 12 เดือน  สัญญา Take 22 day เป็นการผูกขาดการรับซื้อจากปตท. ดังนั้นธุรกิจประเภทนี้จึงเป็นธุรกิจที่มีโอกาสล้มน้อย    ปัจจุบันบริษัทมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับหลายบริษัทในปัจจุบัน

 จุดอ่อน

      ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเป็นธุรกิจที่ต้องลงทุนสูง และมีความเสี่ยงสูงกับการไม่พบทรัพยากรอย่างที่คาด ความเชี่ยวชาญของเทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่ง PTTEP ปัจจุบันอาศัยเทคโนโลยีจากบริษัทร่วมอยู่มากในการเข้าสำรวจและเจาะ  การต้องพึ่งผู้อื่นนี้เองถือว่าเป็นจุดอ่อน การที่มีสินค้าหลักเพียงชนิดเดียวคือ ก๊าซธรรมชาติก็ทำให้บริษัทมีข้อจำกัดในการขยายตลาด ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงที่ขนถ่ายได้ยากต้องใช้ท่อก๊าซซึ่งต้องใช้เงินลงทุนสูงและมีชนิดของลูกค้าที่จำกัด

โอกาส

     ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการสำรวจและผลิต โอกาสที่ปตท.สผ. จะสามารถขุดเจาะแหล่งก๊าซหรือนํ้ามันที่อดีตอาจจะไม่คุ้มทุน เป็นไปได้มากขึ้น การพัฒนาประสิทธิภาพของเครื่องจักรยังมีโอกาสที่จะลดต้นทุนการผลิตอีกด้วย การลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านหรือต่างประเทศที่มีภูมิศาสตร์คล้ายกับประเทศไทย ยังเพิ่มโอกาสให้กับ PTTEP ได้อีกในอนาคต การลงทุนในอินโดฯ หรืออิหร่าน ก็หวังเพื่อจะเพิ่มปริมาณสำรองในส่วนของนํ้ามันดิบ

อุปสรรค   

   การลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน อาทิเช่น พม่า เวียดนาม มาเลเซีย บริษัทจำต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางการเมืองของประเทศดังกล่าว  โดยเฉพาะการที่ท่อก๊าซต้องพาดผ่านประเทศเพื่อนบ้าน  ปัญหาจากกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติ และความเสี่ยงในเรื่องภัยธรรมชาติ เนื่องจากแท่นเจาะจำนวนมากอยู่กลางทะเลและท่อก๊าซเองก็พาดผ่านในทะเลลึกความเสียหายใดๆ จะส่งผลร้ายต่อรายได้อย่างสูง

----------------------------------------------------------------

RESUME

 

 

ประวัติส่วนตัว

ชื่อ  นางสาวรัชนีกร    นามสกุล    นิยมทัศน์      ชื่อเล่น    เต๋า

วัน/เดือน/ปีเกิด            25/ มกราคม /2532      อายุ      21   ปี

สัญชาติไทย       เชื้อชาติไทย     ศาสนาพุทธ    กรุ๊ปเลือด  AB 

น้ำหนัก    35   กก.            ส่วนสูง  145  ซม.           

สถานภาพ      โสด

ที่อยู่  บ้านเลขที่  199  หมู่  3   ตำบลพงสวาย   อำเภอเมืองราชบุรี    จังหวัดราชบุรี    70000

โทรศัพท์    084 - 7707189        อีเมล์     [email protected]

บิดาชื่อ      นายผวน       นามสกุล      นิยมทัศน์         อาชีพ          -

มารดาชื่อ   นางนุชจรี     นามสกุล      เส็งสาลี           อาชีพ      แม่บ้านห้างโรบินสัน

จำนวนพี่น้อง  3  คน    หญิง  3  คน       ชาย     -         เป็นบุตรคนที่  1

ประวัติการศึกษา

อนุบาล  1  -  ชั้นประถมศึกษาปีที่  6       โรงเรียนวัดท้ายเมือง    จังหวัดราชบุรี

มัธยมศึกษาปีที่  1   -  มัธยมศึกษาปีที่  3  โรงเรียนวัดพิกุลทอง    จังหวัดราชบุรี

มัธยมศึกษาปีที่  4   -  มัธยมศึกษาปีที่  6  โรงเรียนราชโบริกานุเคราะห์   จังหวัดราชบุรี   เกรดเฉลี่ย  3.09

ปริญญาตรี        มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

ความสามารถพิเศษ       ใช้คอมพิวเตอร์ได้หลายโปรแกรม

งานอดิเรก        อ่านหนังสือ   ดูทีวี    ว่ายน้ำ

 

 

 

นางสาวอำพร ธนเสฎธากุล.

นางสาวอำพร ธนเสฎธากุล. รหัสนักศึกษา 50473010008

โปรแกรมวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

........................................................................

การวิเคราะห์ SWOT บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน)
                       ธุรกิจที่ผลิต และจำหน่ายเครื่องดื่มน้ำอัดลม 1 ในคำตอบนั้นคงต้องมีแบรนด์สินค้าคือ “เป๊ปซี่ , มิรินด้า , 7 – UP ” และเครื่องดื่มแห่งความสดชื่นอีกมากมาย ซึ่งเป็นที่คุ้นหูคุ้นตากันดีในท้องตลาดโดยทั่วไป
จนถึงวันนี้ 52 ปี บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ถูกผลิตสินค้าออกจากโรงงาน 5 แห่ง คือ โรงงานปทุมธานี , โรงงานชลบุรี , โรงงานนครราชสีมา , โรงงานนครสวรรค์ และโรงงานสุราษฎร์ธานีสู่คลังสินค้า 46 แห่งกระจายไปยังร้านค้าทุกระดับทั่วประเทศ ด้วยการดำเนินการอย่างมุ่งมั่น ส่งผลให้บริษัทเสริมสุขในปัจจุบันได้เติบโต เป็นบริษัทแข่งแกร่ง มีพนักงานมากกว่า 8,000 คน ด้วยวิสัยทัศน์อันยาวไกล และความมุ่งมั่นเหนือธรรมดาของบุคคลกลุ่มหนึ่ง ซึ่งทำให้เติบโตและก้าวหน้า ครองความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำอัดลมไว้ได้อย่างเข้มแข็ง จึงได้กำหนดวิสัยทัศน์เพื่อพัฒนาองค์กรไปสู่ความเป็นเลิศในทุก ๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นด้านการผลิต การตลาด โครงสร้างองค์กร ตลอดจนการแสวงหาพันธมิตรใหม่ ๆ เพื่อขยายศักยภาพองค์กรไปสู่เป้าหมายทางธุรกิจของเรานั้น คือ “การเป็นอาณาจักรแห่งความสดชื่อครบวงจร” ธุรกิจหลักของบริษัท คือ บริษัทผู้ผลิต และจัดจำหน่ายเครื่องดื่มครบวงจร รายแรกของประเทศไทยโดยมีผลิตภัณฑ์ต่างๆดังนี้ ผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำอัดลม Carbonate • Pepsi / Pepsi Max / Pepsi Twist / Pepsi Blue / Pepsi Fire & Ice • Mirinda Orange / Mirinda Stawbery / Mirinda Crean Soda / Mirinda Rootbeer / Mirinda Apple /Mirinda Leman • 7 – UP • Mountain Dew• Club Soda / Club Ginger Ale / Club Tonic ผลิตภัณฑ์ประเภท ไม่อัดลม Non Carbonate • Crystal น้ำดื่มคริสตัล• Lipton ชาลิปตัน รสมะนาว รสพีช และรสมะม่วง • Lipton wave ชาเขียว
• Gatorade เครื่องดื่มเกลือแร่ รสองุ่น และรสมะนาว • REDRAOW เครื่องดื่มให้กำลังงาน

จุดแข็ง
ความสำเร็จด้านการตลาด ด้วยกลยุทธ์สร้างความตื่นเต้น และปรากฎการณ์ใหม่ ๆ ในตลาดอย่างไม่หยุดยั้ง พร้อมๆ กับการเปิดช่องทางการตลาดใหม่ ๆ ทำให้ยอดขายโดยรวม และส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นอย่างน่าพอใจ ส่วนจุดแข็งของบริษัทฯ คือ การสร้างความตื่นเต้นแปลกใหม่ในตลาดเครื่องดื่มอย่างต่อเนื่องโดดเด่น ด้วยการนำกิจกรรมทางการตลาดที่เหนือชั้นมามอบให้กับผู้บริโภค เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและเพิ่มยอดขายให้แก่ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องรวมถึงเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้ใกล้ชิดกับบริษัทฯ และผลิตภัณฑ์ทุกตัวของบริษัทมากขึ้นด้วย
ด้านสิ่งแวดล้อม : ระบบบำบัดน้ำเสีย บริษัทตระหนักถึงความสำคัญของปัญหามลภาวะด้านสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก โดยน้ำระบบมาใช้ในโรงงานโดยเลือกระบบกำจัดน้ำเสียให้เหมาะกับสภาพแวดล้อม และภูมิประเทศของโรงงานแต่ละแห่งเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการกำจัดของเสียได้สูงสุด เป็นโรงงานผลิตน้ำอัดลมแห่งแรกในประเทศไทย ที่มีระบบการกำจัดน้ำเสียที่สมบูรณ์และทันสมัยที่สุด
การช่วยเหลือสังคม และตอบแทนสังคม : ทางบริษัทมีการจัดตั้งมูลนิธิ ทรง บุลสุข ด้วยเจตนารมย์ทางด้านการศึกษา ซึ่งทางบริษัทฯ ได้จัดสรรทุนจำนวนหนึ่งมอบให้มูลนิธช่วยนักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ช่วยนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยม ที่เรียนดีแต่ยากจน ให้ได้เข้าศึกษาต่อในชั้นมหาวิทยาลัย จนกว่าจะสำเร็จการศึกษา นอกเหนือจากการมอบทุนให้กับเยาวชนทั่วไป ทางคณะกรรมการ มูลนิธิ ทรง มูลนิธิ ยังได้ตระหนักถึงพนักงาน ที่มีบุตรที่มีผลการเรียนดีและทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม จึงได้มีการจัดสรรทุนให้กับบุตรของพนักงานบริษัท เสริมสุขมาอย่างต่อเนื่องทุกปี

จุดอ่อน
การจดจำในตราสินค้า : ผู้บริโภคจะจดจำตราสินค้าของบริษัทคู่แข่งได้มากกว่า เนื่องจากความคุ้นเคยในตัวสินค้าที่วางขายในท้องตลาดตั้งแต่ดังเดิมทำให้ผู้บริโภคจดจำในตราสินค้าน้ำดำที่มีซื้อ ว่า โค้ก มากกว่าเป๊ปซี่ (ตราสินค้าที่เรียกขานง่ายมากกว่าสินค้าบริษัท)
ทางบริษัทได้ว่างจำหน่ายสินค้าผลิตเครื่องบำรุงร่างกาย โดยใช้ชื่อผลิตภัณฑ์ “ เครื่องดื่ม โย ” แต่ไม่ได้รับความนิยมในตลาดผู้บริโภคเท่าที่ควร เมื่อเปรียบเทียบกับผู้นำตลาดอย่าง “ไวตามิลค์” ทำให้บริษัทต้องนำเครื่องดื่มโยออกจากตลาดไป

โอกาส
ความสำเร็จด้านผลิตภัณฑ์ เสริมสุขประสบความสำเร็จในการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่หลากหลาย ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในตลาดเดิมก็เติบโตเช่นกันเพื่อเป็นการสร้างสีสัน และเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง
New Product
• Pepsi : เป๊ปซี่ลาเต้
• Lipton : ชาลิปตันฮันนี่
• Redraow: : คาราบาวเอ็กซ์โอ


อุปสรรค์
ในสภาวะเศรษฐกิจ ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น เช่น น้ำมันสูงขึ้น ส่งผลให้วัตถุดิบมีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย และส่งผลกระทบโดยตรงกับบริษัทฯ ในด้านการขนส่งสินค้า และความเสี่ยงต่าง ๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม
สภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมน้ำอัดลมเกิดขึ้นตลาดทั้งปี ซึ่งในปัจจุบัน อัตราการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมน้ำอัดลมไม่สูงนัก เนื่องจากมีเครื่องดื่มประเภทอื่น เข้าสู่ตลาดเครื่องดื่มเป็นจำนวน อาทิเช่น น้ำผลไม้ น้ำแร่ – น้ำดื่ม ผลิตภัณฑ์ชาต่าง ๆ และอาหารนมเป็นต้น

 ..............................................................................

RESUME

 

ประวัติส่วนตัว

ชื่อ  นางสาวอำพร       นามสกุล       ธนเสฎธากุล     ชื่อเล่น  ดาว 

วัน/เดือน/ปีเกิด     21/ มิถุนายน /2531  

สัญชาติ  ไทย  เชื้อชาติ   ไทย  ศาสนา  พุทธ  กรุ๊ปเลือด  AB 

น้ำหนัก  53  กก.     ส่วนสูง  165  ซม.  สถานภาพ  โสด

ที่อยู่  บ้านเลขที่  59  หมู่  8  ต.  แพงพวย  อ.ดำเนินสะดวก  จ.  ราชบุรี  70130

โทรศัพท์  083-7898400  อีเมล์  [email protected]

บิดาชื่อ      นายเดช      นามสกุล     ธนเสฎธากุล    อาชีพ  ทำสวน  ,  ค้าขาย

มารดาชื่อ  นางส่งศรี    นามสกุล    ธนเสฎธากุล     อาชีพ  ทำสวน  ,  ค้าขาย

จำนวนพี่น้อง  4  คน  ชาย  2  คน    หญิง  2  คน  เป็นบุตรคนที่  4

ประวัติการศึกษา

โรงเรียนบ้านรางสีหมอก    อนุบาล  1  -  มัธยมศึกษาปีที่  3  จังหวัดราชบุรี

โรงเรียนราชโบริการนุเคราะห์  มัธยมศึกษาปีที่  4  -  มัธยมศึกษาปีที่  6  จังหวัดราชบุรี  เกรดเฉลี่ย  2.96

มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา    ปริญญาตรี     คณะวิทยาการจัดการ  สาขาวิชา  เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

ความสามารถพิเศษ  วาดภาพ  ,  ว่ายน้ำ  ,  ใช้ความพิวเตอร์ได้หลายโปรแกรม

งานอดิเรก  อ่านหนังสือ ,  ดูทีวี

 

 

 

 

 

 

 

 

 

นายณัฐพงศ์ พงศ์กิดาการ

นายณัฐพงศ์ พงศ์กิดาการการ รหัสนักศึกษา 50473010024
เอก เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ
วิเคราะห์ SWOT ของบริษัท CP หรือ เจริญโภคภัณฑ์
1. จุดแข็ง (Strengths)
                 บริษัท CP ประกอบด้วยพนักงานและบุคลากรที่มีความสามารถ มีการส่งเสริมการศึกษาและพัฒนาบุคลากร มีความแข็งแกร่งเรื่องของเงินทุนและมีศักยภาพในการขยายสาขาและเพิ่มยอดขายให้สูงขึ้นเป็นอย่างมาก มีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ  เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โดยยึดถือความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหลัก
                รวมทั้งท่งบริษัทได้จัดกระบวนการพัฒนาสินค้าร่วมกับผู้ผลิต มีโครงสร้างการจัดการขยายบริษัทที่ดีและแบ่งขอบเขตอำนาจหน้าที่อย่างชัดเจน มีคณะกรรมการบริษัทที่มีความรู้ ความสามารถ ทักษะ และประสบการณ์ ในการทำงานจากหลากหลายสาขาที่เป็นที่ยอมรับในระดับประเทศ บริษัทที่มีผลิตภัณฑ์ดีมีคุณภาพ และมีมาตรฐานคุณภาพสินค้าได้อย่างชัดเจน
2. จุดอ่อน (Weakness)
                การที่พนักงานของบริษัทมีความรู้ความสามารถ อาจทำให้บริษัทคู่แข่งธุรกิจเดียวกันเข้ามาซื้อ
ตัวพนักงาน โดยเสนออัตราเงินเดือนและผลตอบแทนที่สูงกว่าดึงดูดพนักงานได้ ซึ่งการขยายสาขาของบริษัทอาจทำให้ค่าใช้จ่ายในบริษัทเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากบริษัท CP มีสาขากระจายอยู่ทั่วทั้งประเทศ การติดต่อสื่อสารมักใช้เทคโนโลยีเป็นสำคัญ หากระบบเทคโนโลยีมีปัญหาจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการบริหารงาน มีการแข่งขันทางการตลาดสูง
3. โอกาส (Opportunity)
               ผู้บริหารให้ความสำคัญต่อการสรรหาพนักงานมากและเชื่อว่าพนักงานที่รับเข้ามายังไม่มีความรู้ ก็สามารถพัฒนาภายหลังได้ บริษัท CP เป็นบริษัทที่รู้จักโดยทั่วไป หากมีความจำเป็นในการระดมทุนเพิ่มจะเพิ่มได้ง่ายมากขึ้น ตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาสินค้า การคัดเลือกผลิตภัณฑ์และพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนไปของพฤติกรรมของผู้บริโภค สามารถแข่งขันกับคู่แข่งรายใหญ่ๆได้
4. อุปสรรค(Threat)
                เนื่องด้วยค่าของชีพที่สูงขึ้น ทำให้ค่าใช้จ่ายในบริษัทนั้นสูงขึ้นตามลำดับ ส่งผลให้กำไรของบริษัทลดน้อยลง ตามพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ฉะนั้นการวางแผนด้านต่างๆต้องกระทำอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์ และสภาวะการเปลี่ยนไปของตลาดปัจจุบัน


                                      นายณัฐพงศ์ พงศ์กิดาการ
                                                          133 ซอยเนาวรัตน์ ถนนยมราชสุขุม
                                                            เขตป้อมปราบฯ กรุงเทพฯ 10100
                                                           อีเมลล์: [email protected]
                                                                 เบอร์โทรศัพท์ 086-0938619
จุดมุ่งหมายในการทำงาน :               
                                                          ต้องการใช้ความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์ธุรกิจที่มีเพื่อพัฒนาองค์กรและทำให้
                                                          องค์กรมีความเติบโต เจริญก้าวหน้าต่อไป              
ประวัตการศึกษา :
 กุมภาพันธ์ 2549                               จบจากโรงเรียนเทพศิรินทร์
                                                          ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
                                                           เกรดเฉลี่ย 2.84
มีนาคม 2554                                      มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา
                                                           ปริญญาตรีคณะวิทยาการจัดการ
                                                           เอก เศรษฐศาสตร์ธุรกิจฯ
ประสบการณ์การทำงาน :                  
มีนาคม 2553                                      พนักงาน
                                                           ร้าน เอ็มเค เรสเตอร์รองค์  สาขา บิ๊กซี ติวานนท์
ทักษะและความสามารถอื่นๆ :           
                                                            สามารถ พูด อ่าน เขียน ภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี
                                                           สามารถใช้โปนแกรม Microsoft word , Microsoft powerpoint
                                                            ได้เป็นอย่างดี

นางสาวนิสา  พจนาท.  รหัสนักศึกษา  50473010007

โปรแกรมวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

-------------------------------------------------------------

RESUME

 

  ประวัติส่วนตัว                                                                             

 นางสาวนิสา พจนาท 

ข้อมูลส่วนตัว 

ที่อยู่   :  51 หมู่ 7 ตำบล เกาะศาลพระ อำเภอ วัดเพลง จังหวัด ราชบุรี 70170

โทร  :   087-5628962    อีเมล์   [email protected]

อายุ   :   22 ปี

วันเดือนปีเกิด :  20 สิงหาคม 2531

ส่วนสูง :  158 เซนติเมตร

น้ำหนัก  :  44 กิโลกรัม

เชื้อชาติ  :  ไทย

สัญชาติ   :  ไทย

ศาสนา  :  พุทธ

สถานภาพการสมรส :  โสด

บิดาชื่อ :  นายชูชาติ พจนาท

มารดาชื่อ :  นางประเสริฐ พจนาท

สุขภาพ  :  ดีมาก

ข้อมูลด้านการศึกษา

ประถมศึกษา :  โรงเรียนวัดเกาะศาลพระ

มัธยมศึกษาตอนต้น : โรงเรียนนารีวิทยา

มัธยมศึกษาตอนปลาย : โรงเรียนราชโบริกานุเคราะห์

ปริญญาตรี : มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

ประสบการณ์ระหว่างการศึกษาที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

-      ทำงานที่โรงภาพยนตร์เมเจอร์ ปิ่นเกล้า

-      ทำงานที่ The Pizza

ทักษะความสามารถ

ความสามารถพิเศษ  :  สามารถใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ ได้ เช่น Microsoft Office, Lan, Foxpro

ภาษาอังกฤษ :  พูด พอใช้ อ่าน พอใช้ เขียน พอใช้

การพิมพ์ดีด  :  ภาษาไทย  30 คำ/นาที ภาษาอังกฤษ 27 คำ/นาที

-------------------------------------------------------------

การวิเคราะห์ SOWT ของบริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ

บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด จึงได้ก่อตั้ง หน่วยงานพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร และกระบวนการผลิต (Food Development and Industrialization Unit) ขึ้น เพื่อพัฒนา ผลิตภัณฑ์ ให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค ตั้งแต่กระบวนการคัดสรรและพัฒนา วัตถุดิบที่ได้มาตรฐานรวมถึง บรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ตลอดจน การประเมินศักยภาพของผลิตภัณฑ์หลังจากออกวางตลาด เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการ ตอบสนองความพึงพอใจต่อผู้บริโภค และการปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง

Strength

·        สร้าง Awareness ได้เร็ว

·        สร้าง Brand positioning & Brand image ได้ชัดเจน ในระยะสั้นๆ

·        ช่วยการกระจายสินค้าตามช่องทางต่างๆได้ง่ายขึ้น

·        เกิดการทดลองสินค้าโดยกลุ่มเป้าหมาย

Weakness

·        ความเสื่อมความนิยมใน Celebrity

·        Brand image ที่ถูกผูกติดกับ แคแรกเตอร์ของ Celebrity อย่างแนบแน่น

·        จำกัดในลูกค้าเป้าหมายที่เป็นเฉพาะกลุ่ม

Opportunity

·        แนวโน้มผู้บริโภคให้การยอมรับกับสินค้าเหล่านี้ได้เร็ว กว่าการโปรโมทโดยวิธีอื่น

·        ประโยชน์จากสื่อต่างๆที่จะให้น้ำหนักความสนใจสูง

Threat

·        สินค้ากลุ่มนี้มีโอกาสสูงที่จะมีวงจรชีวิตสินค้าที่สั้น

·        การขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่มีข้อจำกัด

 

 

 

 

 

 

 

นางสาว ศิรินภา คำมา รหัส 50473010003 เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

นางสาว ศิรินภา  คำมา

รหัสนักศึกษา 50473010003

โปรแกรมวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

 

RESUME

ชื่อ  นางสาว ศิรินภา คำมา

ที่อยู่ปัจจุบัน   บ้านเลขที่ 113/39 หมู่ 16 ถนนเทพารักษ์

อำเภอบางเสาธง  สมุทรปราการ 10540

รายละเอียดส่วนตัว

อายุ               21 ปี

วันเดือนปีเกิด  วันที่ 10 กันยายน 2531

สถานที่เกิด     อำเภอขาณุวรลักษบุรี จังหวัดกำแพงเพชร

ความสูง         157 เซนติเมตร

น้ำหนัก          42 กิโลกรัม

เชื้อชาติ         ไทย

สัญชาติไทย   ไทย

ศาสนา          พุทธ

สถานภาพการสมรส  โสด

อาศัยอยู่กับ             บิดามารดา

ข้อมูลการติดต่อ

เบอร์โทรศัพท์         02-7051903

Mobile                  086-5453542

E-mail                  [email protected]

การศึกษา      - ปริญญาตรีบริหารธุรกิจมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

                   - สำเร็จชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนสมุทรพิทยาคม

                    ปีการศึกษา 2549

ประสบการณ์ระหว่างการศึกษาที่คณะวิทยาการจัดการ  มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนัน

- ฝึกงานด้านการเงิน บริษัท โคบุนชิ (ไทยแลนด์) จำกัด

- ผ่านการทำงานในตำแหน่ง data entry operator บริษัท อัพทีบีบี     จำกัด

- และ ตำแหน่ง employee บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล แลบบอราทอรีส์ จำกัด

 

ผู้รับรอง            ผศ. ศิวิไล ชยางกูร คณะวิทยาการจัดการ

                      มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

คติประจำใจในการทำงาน   ทำงานให้สนุก และมีความสุขในการทำงาน

ทักษะและความสามารถ

- สามารถใช้คอมพิวเตอร์ในโปรแกรมเบื้องต้นได้ เช่น Microsoft Office

- มีความสามารถในการเตรียมการ และวิเคราะห์การประเมินราคาตามแบบโครงการ

- สามารถประเมินสถานการณ์หรือเข้าใจปัญหาได้เร็ว

- มีความรับผิดชอบ และมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ในการปฏิบัติงานร่วมกับบุคคลอื่น

 

...........................................................................................................

วิเคราะห์ธุรกิจที่น่าให้เงินกู้ ให้วิเคราะห์ทั้ง MACRO & MICRO and SWOT Analysis

ธุรกิจที่เลือก คือ ธุรกิจ แฟรนไชส์ บริษัท ซี.พี. เซเวนอีเลฟเว่น จำกัด (มหาชน)

สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 283 อาคารสีบุญเรือง 1 ถนน สีลม เขต บางรัก 

กรุงเทพมหานคร 10500 โทรศัพท์ 0-2677-9000 โทรสาร 0-238-1767

ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2531 โดยบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์

มองในมุม MACRO และ MICRO

เป็นบริษัทของคนไทยที่ประกอบธุรกิจหลักด้านค้าปลีกประเภทร้านค้าสะดวกซื้อในประเทศไทยภายใต้เครื่องหมายการค้า “7-Eleven” โดยบริษัทได้รับสิทธิ์การใช้เครื่องหมายดังการจาก 7-Eleven,Inc . สหรัฐอเมริกา และได้เปิดสาขาแรกที่ ซอยพัฒน์พงษ์ เมื่อปี 2532

ณ สิ้นปี 2549 บริษัทมีร้านสาขา 7-Eleven ทั่วประเทศรวม 3,784 สาขา ซึ่งจัดได้ว่าเป็นประเทศที่มีสาขา มากเป็นอันดับ 4 ของโลกรองจาก ประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และสาธารณรัฐไต้หวัน ทั้งนี้แบ่งเป็นร้านในกรุงเทพ ฯ และปริมณฑล 1,960 สาขา (คิดเป็นร้อยละ 52) เป็นร้านในต่างจังหวัด 1,824 สาขา ( คิดเป็นร้อยละ 48) เมื่อแบ่งตามประเภทของร้านพบว่า มีร้านสาขาบริษัท 2,119 สาขา (คิดเป็นร้อยละ 56 ) ส่วนที่เหลือเป็นร้านเฟรนไชส์ 1,449 สาขา ( คิดเป็นร้อยละ 38 ) และร้านค้าที่ได้รับสิทธิรับช่วงอาณาเขต 216 สาขา (คิดเป็นร้อยละ 6 ) ปัจจุบันมีลูกค้าเข้าร้าน 7-Eleven เฉลี่ยวันละ 4.0 ล้านคน

ทั้งนี้ในปี 2550 ทางบริษัทมีแผนที่จะขยายสาขาร้าน 7-Eleven อย่างต่อเนื่องอีกประมาณ 400-450 สาขา ทั้งในรูปแบบของร้านในทำเลปกติ และร้านในสถานีบริการน้ำมันของ บริษัท ปตท.(มหาชน) เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายทั้งในกรุงเทพ ฯ และต่างจังหวัด โดย ณ สิ้นปี 2549 บริษัทมีร้านในทำเลปกติ 3,279 สาขา ( คิดเป็นร้อยละ 87 ) และร้านในสถานีบริการน้ำมัน ปตท. 505 สาขา (คิดเป็นร้อยละ 13 ) และบริษัทได้ขยายการลงทุนไปธุรกิจที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

ปัจจัยแห่งความสำเร็จ

ปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนความสำเร็จของ บริษัท ซี.พี. เซเว่นอีเลฟเว่น จำกัด (มหาชน) พอสรุปได้ ดังนี้

1.วิสัยทัศน์และการตัดสินใจของผู้บริหาร

การที่บริษัทสามารถขยายกิจการร้านสาขา 7-Eleven ได้อย่างรวดเร็วและสามารถบริหารร้านสาขาให้อยู่รอด และเจริญเติบโต เป็นผลมาจากความกล้าในการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูง และการเลือกทำเลในการเปิดร้านสาขาที่เหมาะสม การตัดสินใจที่แม่นยำและทันเวลานี้ เกิดจากการสร้างสมประสบการณ์ ของผู้บริหาร ทำให้มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและมีความสามารถในการมองโอกาสที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

2.ทีมงานที่มีคุณภาพ

การมีทีมงานที่มีพลังและมีคุณภาพ ช่วยสานต่อวิสัยทัศน์ของผู้บริหารให้เกิดเป็นรูปธรรมและนำองค์กรสู่ความสำเร็จ นั้นเป็นผลมาจากการสรรหาบุคคลที่มีคุณภาพ แลความมุ่งมั่นของผู้บริหารในการให้ความสำคัญในการพัฒนาพนักงานในรูปแบบต่าง ๆ เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในการนำไปสู่ความสำเร็จ

3. การยอมรับและความพึงพอใจของลูกค้า

ร้านสาขาทุกแห่งของ 7-Eleven เป็นที่นิยมของลูกค้า เนื่องจากมีสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าและมีความสะดวก เนื่องจากมีสาขากระจายอยู่ทั่วไปในแหล่งชุมชน ตลอดจนความเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้า ซึ่งเป็นผลมาจากการให้ความสำคัญในการคัดเลือกและตรวจสอบสินค้าที่มีคุณภาพที่จะนำมาวางขายในร้านสาขา

การวิเคราะห์ SWOT

จุดแข็ง (Strengths)

- พนักงานและบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ

- 7-eleven มีความแข็งแกร่งเรื่องเงินทุนและมีศักยภาพในการขยายสาขา และเพิ่มยอดขายให้สูงขึ้นเป็นอย่างมาก

- บริษัทมีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ

- บริษัทมีทำเลที่ตั้งที่ค่อนข้างได้เปรียบเนื่องจากได้เลือกทำเลที่ตั้งในแหล่งชุมชนมีผู้คนสัญจรผ่านไปมาตลอด จึงสามารถเข้าถึงผู้บริโภค ได้ง่าย อีกทั้ง มีผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และมีมาตรฐานคุณภาพสินค้าไว้อย่างชัดเจน

จุดอ่อน (Weakness)

- บริษัทคู่แข่งธุรกิจประเภทเดียวกัน

- การขยายสาขาเพิ่มขึ้นนั้นมีส่วนทำให้กำไรสุทธิลดลง เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้อาจทำให้การจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นเปลี่ยนไป อาจสร้างความไม่พึงพอใจให้กับผู้ถือหุ้นได้

โอกาส (Opportunity)

- ให้ความสำคัญต่อการคัดเลือกคนดีมากกว่าคนเก่ง

- มีความสามารถในการระดมทุนได้ง่าย อีกทั้งการขยายเพิ่มของแฟรนไชส์

- บริษัทตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาสินค้า การคัดเลือกผลิตภัณฑ์ และพัฒนาสินที่ที่มีคุณภาพ อีกทั้งมีความพยายามอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานเพื่อส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า และตรงความต้องการของลูกค้า อีกทั้งนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ในการผลิต ควบคุม และการวางแผน เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนไปของพฤติกรรมผู้บริโภค

อุปสรรค (Threat)

- เนื่องจาก 7-Eleven มีคณะกรรมการที่มีอำนาจในการตัดสินใจ เรื่องนโยบายต่าง ๆ หลายท่าน จะทำให้การตัดสินใจล่าช้าไม่ทันต่อเหตุการณ์ได้

- ปัจจุบันค่าครองชีพที่สูงขึ้น ส่งผลให้อัตราค่าเช่าร้านสูงขึ้นมาก อีกทั้งแหล่งทำเลที่ตั้งร้านตามชุมชนต่าง ๆ มีราคาแพง ซึ่งจะส่งผลทำให้ค่าใช้จ่ายของร้านโดยรวมสูงขึ้น และจะส่งผลให้กำไรสุทธิของบริษัทลดน้อยลง

ข้อเสนอแนะ

1. การที่ทาง 7-Eleven มีการฝึกบุคลากร โดยเปิกการเรียนการสอนและเปิดให้มีการปฏิบัติงานจริง ทำให้บุคคลากรที่สำเร็จออกมามีความสามารถ และเป็นที่ต้องการของร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ เพราะการที่ได้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะด้าน ย่อมช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ ซึ่งทาง 7-Eleven ควรมีมาตรการรองรับปัญหาเรื่องสมองไหล เพื่อป้องกันการซื้อตัวบุคลากรจากบริษัทคู่แข่ง

2. 7-Eleven ต้องเร่งสร้างผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างจากคู่แข่ง เพื่อไม่ต้องเหนื่อยในการแข่งขันกับคู่แข่ง ซึ่งนโยบายที่ทาง 7-Eleven เน้นด้านสินค้าบริโภค นั้นหากสามารถ มีอาหารและเครื่องดื่มที่มีคุณภาพ มีมาตรฐาน เชื่อว่า น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับลูกค้าได้เป็นอย่างดี

3. ควรเน้นพัฒนาระบบสารสนเทศ ให้ทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

4. ควรมีมาตรการรักษาความปลอดภัยของร้านสาขา เนื่องจากปัจจุบันภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว มีคนว่างงานจำนวนมาก และยาบ้าเริ่มระบาดมากขึ้น ในขณะที่ร้านเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง หากบริษัทมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ดีแล้ว จะทำให้ลูกค้ากล้าที่จะมาใช้บริการในยามดึกดื่นเพิ่มขึ้น

...........................................................................................................

credit: นายชัยนุกูล เสือเจริญ 50473010017

สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา

------------------------------------------------------------------------

RESUME

Name: Mr. Chainukul                     Last name: Suarchareon

Address: 96 M.9 T.Srisaket A. Nanoi NAN 55150

The personal Address: 15/1 M.9 T.Srisaket A.Nanoi NAN 55150

Nationality: Thai               Race: Thai              Religion: Buddish

Birth: 11 May 1986             Age: 24 years old

Height: 170 cm.                 Weight: 50 Kg.

Status: Single

Tel: 08-5862-1761

E-mail: [email protected],[email protected]

Hobby: reading, listen to the song,play games,sport,knitting crochet yarn

Education:

Elementary School:         Bannarab (jullakaset suksakarn) school

Secondary School: Nanoi School

High school:                     Srisawat wittayakarn school NAN

Bachelor’s degree:         Suansunandha Rajabhat University

Graduation standards of graduates:

Qulified ICT and English,Passing moral and ethical character development

Skills and other talents:

You can use various computer programs such as Microsoft Office.

Have the ability to organize and communicate within the organization well.

Experience in marketing and market analysis needs better.

Responsibility. And good human relations.

The leadership. And to solve immediate problems as well.
------------------------------------------------------------------------------------------

การวิเคราะห์  SWOT  บริษัท  การบินไทย  จำกัด มหาชน

การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม และสถานภาพขององค์กรโดยเน้นศักยภาพและความพร้อมขององค์กรที่มีอยู่ เพื่อจัดทำแผนยุทธศาสตร์ ทำให้ผู้บริหารได้เห็นภาพรวมขององค์กร ดังนั้นสภาพแวดล้อมจึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาระบบและมีผลกระทบต่อการดำเนินงาน หรือ การปรับเปลี่ยนองค์กรให้บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมภายในที่ได้รับความนิยมมากและถือเป็นการวิเคราะห์ขั้นแรกของการวิเคราะห์องค์กรคือ การวิเคราะห์ตนเอง (Self Analysis) ที่เรียกว่าการวิเคราะห์ SWOT Analysis ซึ่งสายการบินแห่งชาติอย่างการบินไทยควรใช้เป็นแนวทางในการกำหนดเป้าหมายและกลยุทธ์ดังนี้
• จุดแข็ง (Strenght : S) เป็นการศึกษาความสามารถพิเศษขององค์กรทั้งนี้เพื่อรักษาและพัฒนาความสามารถนั้นให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น มุ่งสู่ความเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรม การพัฒนาจุดแข็งต้องสร้างให้เกิดความแตกต่างที่มีลักษณะเฉพาะพิเศษให้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านภาพลักษณ์ที่ลูกค้าให้ความเชื่อถือ หรือเอกลักษณ์ความเป็นไทยในการให้บริการ
• จุดอ่อน  (Weakness : W)  ทั้งนี้เพื่อเข้าใจจุดบกพร่องของตัวเอง และทำให้จุดอ่อนขององค์กรเหลือน้อยที่สุด  คือการ แก้ไขผลทางลบให้เป็นบวก ถ้าไม่สามารถทำให้เป็นบวกได้ก็ทำให้เป็นกลางแทน เพราะหากเป็นลบจะเป็นภาระต่อองค์กร  ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า ไม่มีองค์กรใดในโลกที่มีความสมบูรณ์พร้อม ซึ่งจุดอ่อนของบริษัทการบินไทยน่าจะได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่ด้อยกว่าคู่แข่ง ขาดการพัฒนา มีลักษณะการตัดสินใจช้า ซ้ำซ้อน ไม่เอื้อต่อการแข่งขัน
• โอกาสทางธุรกิจ (Opportunity : O) เพราะว่าการสร้างโอกาสทางธุรกิจเป็นสิ่งจำเป็นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงความต้องการในการบริโภคของลูกค้าและของตลาดโดยรวมเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ช่องทางและโอกาสจึงเกิดขึ้นตลอดเวลา     ในส่วนนี้ บริษัทการ บินไทยจะได้เปรียบในเชิงยุทธศาสตร์ของที่ตั้งในกรุงเทพฯ และการเปิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
• อุปสรรค (Threat : T) เนื่องจากว่าการศึกษาวิเคราะห์องค์กรนั้น ความสำคัญต้องมุ่งไปที่  อุปสรรค ภัยคุกคามที่มี และที่กำลังจะเกิดขึ้นเพราะจะทำให้องค์กรสามารถเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์นั้นได้  อุปสรรคหรือความเสี่ยงของบริษัทการบินไทยได้แก่ การแทรกแซงจากภายนอก การเกิดของสายการบินต้นทุนต่ำ การเปิดเสรีการบิน และการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันในปัจจุบัน

นางสาวพรพิมล พรหหมผาบ 50473010056 เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

ชื่อ  นางสาวพรพิมล   นามสกุล  พรหมผาบ

ที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้  เลขที่ 106/34 ม.2   ต.บางขะแยง   อ.เมือง   จ.ปทุมธานี 12000

ข้อมูลส่วนตัว

เกิดวันที่  12  กันยายน  พ.ศ. 2531

อายุ  21 ปี  10 เดือน

เชื้อชาติ ไทย                         สัญชาติ ไทย                         ศาสนา  พุทธ

น้ำหนัก  48  กิโลกรัม         ส่วนสูง  158  เซนติเมตร

สถานภาพการสมรส     โสด           

เบอร์โทรศํพท์ (บ้าน)  0-2975-3607   เบอร์โทรศํพท์ (มือถือ) 08-9443-7703

E-mail : [email protected]

งานอดิเรก    ฟังเพลง , ดูหนัง , อ่านหนังสือ

ประวัติการศึกษา                

จบชั้นประถมศึกษาตอนต้น และตอนปลาย   :  โรงเรียนบ้านแสงภา

ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น : โรงเรียนนาแห้ววิทยา  จังหวัดเลย

ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย  :  โรงเรียนปทุมธานี “นันทมุนีบำรุง”  จังหวัดปทุมธานี

ระดับปริญญาตรี  :  มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

มาตรฐานการสำเร็จการศึกษาของบัณฑิต   

ผ่านเกณฑ์ ICT และภาษาอังกฤษ

ผ่านเกณฑ์ การพัฒนาบุคลิกภาพ  คุณธรรม  และจริยธรรม

ความสามารถพิเศษอื่นๆ

สามารถใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ ได้ เช่น Microsoft Office

สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้

.......................................................................................

วิเคราะห์ SWOT

            บริษัท  ซี พี จำกัด มหาชน

การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม และสถานภาพขององค์กรโดยเน้นศักยภาพและความพร้อมขององค์กรที่มีอยู่ เพื่อจัดทำแผนยุทธศาสตร์ ทำให้ผู้บริหารได้เห็นภาพรวมขององค์กร ดังนั้นสภาพแวดล้อมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เข้ามามีอิทธิพลต่อการผลิตสินค้าต่าง ๆออกมาป้อนให้กับผู้บริโภค  จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญต่อการผลิตและมีผลกระทบต่อการดำเนินงาน หรือ การปรับเปลี่ยนองค์กรให้บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

                ดังนั้นจึงต้องมีการวิเคราะห์สถานการณ์และสภาพแวดล้อมในปัจจุบันเพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

จุดแข็ง (Strenght : S)  เป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมและการทำงานของบริษัทรวมถึงการบริหารจัดการต่าง ๆของผู้บริหารด้วย  โดยบริษัท ซี พี เป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่มีคุณภาพ ออกสู่ตลาดมากมาย  และสินค้าแต่ละชนิดนั้นได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก และสินค้าที่ผลิตนั้นก็มีแต่บริษัท ซี พีเท่านั้นที่เป็นผู้ผลิตสินค้านั้น ๆอาจเป็นเจ้าเดียวที่ผลิตสินค้ายี่ห้อนี้ออกมาโดยไม่มีคู่แข่งขันที่เป็นบริษัทใหญ่พอที่จะผลิตสินค้าออกมาเทียบเท่า  บริษัท ซีพี จึงเป็นบริษัทที่มีการบริหารจัดการที่ดีมากและถือเป็นจุดแข็งของบริษัทก็ว่าได้

จุดอ่อน (Weakness : Wจุดอ่อนของบริษัท ซีพี นั้นคือ ปัญหาด้านการผลิต    ขาดวิชาการและเทคโนโลยีในประเด็นของความครบถ้วนทั้งวงจร ในการผลิตอาหารสำเร็จรูปและสินค้าชนิดอื่นๆ ที่ออกสู่ตลาดมายังมือผู้บริโภค  โดยขั้นตอนการผลิตต่างๆนั้นก็มีขั้นตอนมากมายอาจเกิดการล่าช้าเนื่องจากเทคโนโลยีไม่ทันสมัยพอกับปัจจุบัน เพราะการเปลี่ยนเครื่องจักรแต่ละครั้งนั้นต้องใช้ต้นทุนในการซื้อมากขึ้น

                และขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมในแต่ละพื้นที่ของเกษตรกร ที่ต้องนำวัตถุดิบมาส่งให้กับทางบริษัทเพื่อนำเข้ากระบวนการผลิตต่อไป

โอกาสทางธุรกิจ (Opportunity : O)  สภาพแวดล้อมภายนอกประเทศที่ส่งผลต่อประเทศไทยในด้านการผลิตและการตลาด สินค้าเกษตรในทางบวก ได้แก่สถานการณ์สากลที่เกื้อหนุน เช่น สภาวะสงคราม ความแห้งแล้ง หรือภูมิประเทศที่จำกัดทำให้เกิดความต้องการสินค้าประเภทอาหาร กระแสสังคมด้านการรักษาสุขภาพ ทำให้เน้นความปลอดภัยของสินค้าอาหารและบริโภค

อุปสรรค (Threat : T)  ผลกระทบจากการปฏิวัติเขียว ทำให้หลายประเทศในโลกมุ่งเน้นการรักษา Food Security ของตน  และไม่เปิดให้สินค้าเกษตรบางอย่างเข้าประเทศ

            และผู้ที่เป็นเกษตรกรอาจเกิดการล่าช้าในการส่งวัตถุดิบการผลิตให้แก่บริษัทเพราะอาจเกิดจากสภาวะแวดล้อมในปัจจุบันและโรคระบาดต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยเราไม่อาจจะรู้ร่วงหน้าได้

 

 

 

 

นางสาวแสงระวี ศรีราปราน 50473010002 เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

Resume

ชื่อ นางสาวแสงระวี  นามสกุล  ศรีราปราน

ที่อยู่ 7 หมู่ 6 ตำบลหนองน้ำใหญ่ อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13280

สัญชาติ ไทย เชื้อชาติไทย ศาสนา พุทธ

เกิดวันที่ 30 กันยายน 2531

ส่วนสูง 165 น้ำหนัก 50

อายุ 21 ปี สถานภาพ โสด

อีเมล์ [email protected]

โทรศัพท์ 087-1085840

 

จุดมุ่งหมายในการทำงาน  ต้องการใช้ความรู้ทางด้านเศรษฐศาสตร์ไปวิเคราะห์เศรษฐกิจ เพื่อการพัฒนาทรัพยากร บุคคลขององค์การให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการปฏิบัติงาน

 

ประวัติการศึกษา

ประถมศึกษา              โรงเรียนลาดชะโด

มัธยมศึกษาตอนต้น    โรงเรียนลาดชะโดสามัคคี

มัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนอยุธยานุสรณ์

ระดับปริญญาตรี          มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

 

กิจกรรมระหว่างศึกษา

กิจกรรมสอบมาตรฐานภาษาอังกฤษ ICT

กิจกรรมอบรมสัมมนาต่างๆ

 

 

 

ทักษะและความสามารถอื่นๆ

-                   สามารถใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ ได้ เช่น Microsoft Office

-                   มีประสบการณ์ในการจัดอบรมสัมมนาและพัฒนาองค์กรเป็นอย่างดี

-                   มีความรับผิดชอบ และมีมนุษย์สัมพันธ์ดี

 

 

การวิเคราะห์ SWOT

กิจการที่เลือกในการให้กู้ คือ กิจการรถยนต์ TOYOTA

เหตุผลที่เลือกเพราะรถโตโยต้าส่วนใหญ่ประกอบด้วย ผู้ที่มีรายได้ปานกลาง ส่วนหนึ่งมีอาชีพรับราชการและต้องเดินทางจึงจำเป็นต้องการมีรถใช้ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวันสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการจากการซื้อรถ TOYOTA SOLUNA คือเป็นรถที่มีความทันสมัยและมีความคล่องตัวในการใช้ ข้อมูลใน ข้อนี้จะนำไปกำหนดกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ (Product strategies)ซึ่งเป็นเหตุจูงใจในการซื้อรถ TOYOTA SOLUNA คือราคาถูกแต่คุณภาพดี ข้อมูลในข้อนี้จะนำไปกำหนดกลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด (Promotion strategies)ทำให้คิดว่าน่าจะไม่มีความเสี่ยงมากนักด้วยความที่บริษัทมีความแข็งแกร่งและด้วยความชำนาญในการบริหารการตลาดจึงสมควรให้การกู้

การวิเคราะห์ SWOT (Strengths, weaknesses, opportunities and threats)

1. จุดแข็ง (Strengths) เป็นจุดเด่นของรถยนต์ TOYOTA SOLUNA ซึ่งวิเคราะห์จากสิ่งแวดล้อมภายในของบริษัท โดยมีรายละเอียดดังนี้

1.1 เป็นรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ขนาด 1500 cc แต่มีราคาถูกกว่ารถยนต์ที่มีขนาดเครื่องยนต์เท่ากัน

1.2 มีการสร้างความน่าเชื่อถือในคุณภาพ โดยการศึกษาอย่างละเอียดจากหุ่นจำลองยานยนต์ต้นแบบ (Clay model) โดยละเอียดเพื่อใช้ในการกำหนดวิศวกรรมโครงสร้างที่ให้ประโยชน์สูงสุดในทุกตารางนิ้ว

1.3 เป็นยี่ห้อรถยนต์ ที่มีคนรู้จักและเชื่อมั่นในคุณภาพ

1.4 เป็นรถยนต์ที่มีรูปแบบที่ทันสมัย มีการพัฒนารูปลักษณ์อยู่ตลอดเวลา

1.5 มีศูนย์บริการอยู่ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่

1.6 วัสดุ อุปกรณ์ทุกชิ้นของ TOYOTA SOLUNA ได้ผ่านการเลือกสรรพร้อมทั้งผ่านกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง (Hight technology)

2. จุดอ่อน (Weaknesses) เป็นจุดด้อยโดยวิเคราะห์จากสิ่งแวดล้อมภายในบริษัท ซึ่งมีดังนี้

2.1 เป็นรถยนต์ที่ให้กำลังแรงม้าต่ำ เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ขนาด 1500 cc ของรถยนต์ยี่ห้ออื่น ๆ

2.2 บริษัทไม่มี STOCK ของรถยนต์ TOYOTA SOLUNA เพียงพอกับปริมาณการสั่งจองรถยนต์

2.3 ผู้บริโภคไม่มั่นใจในคุณภาพของรถยนต์ตามที่โฆษณาว่าราคาไม่สูง แต่คุณภาพเท่าเดิม

2.4 บริษัทมีศักยภาพไม่เพียงพอในการผลิตรถยนต์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค

3. โอกาส (Opportunities) เป็นข้อได้เปรียบโดยวิเคราะห์จากสิ่งแวดล้อม ภายนอก (ทั้งสิ่งแวดล้อมมหภาคและจุลภาค) ซึ่งมีดังนี้

3.1 แนวโน้มที่ผู้บริโภคจะใช้รถยนต์มีสูงขึ้นในภาวะปัจจุบันที่ราคารถยนต์มีราคาถูกลง

3.2 ภาวะที่ขนส่งมวลชนล้มเหลวทำให้มีผู้สนใจที่จะมีรถยนต์ส่วนตัวมากขึ้น

3.3 แนวโน้มที่ผู้บริโภคให้ความสนใจในรถยนต์ราคาถูกสำหรับครอบครัวที่มีรายได้ไม่สูงนัก

3.4 ส่งเสริมต่อนโยบายการประหยัดของรัฐบาล โดยการเสนอรถที่มีราคา ไม่สูง แต่คุณภาพดี

4. อุปสรรค (Threats) เป็นข้อเสียเปรียบหรือข้อจำกัดโดยวิเคราะห์จาก สิ่งแวดล้อมภายนอก (ทั้งสิ่งแวดล้อมมหภาคและจุลภาค) ซึ่งมีดังนี้

4.1 มีคู่แข่งขันสูงในรถยนต์ระดับมาตรฐานที่ใกล้เคียงกัน

4.2 การนำเข้ารถยนต์จากประเทศเกาหลีที่มีราคาถูกกว่าเข้ามาสู่ตลาดหลายตรายี่ห้อ หลายแบบ หลายชนิด

4.3 การนำรถยนต์ TOYOTA ไปทำเป็นรถแท็กซี่ ทำให้ชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของ TOYOTA ลดลงซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ SOLUNA

4.4 มีรถยุโรปที่มีมาตรฐานสูงอยู่มาก

 

 

นางสาวน้ำฝน           เพาะจะโปะ

รหัสนักศึกษา 50473010009

คณะวิทยาการจัดการ  โปรแกรมวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ ปี 4

 โจทย์

1. RESUME

2. วิเคราะห์กิจการที่น่าให้เงินกู้  ให้วิเคราะห์ทั้ง MACRO  & MICRO  and SWOT Analysis

----------------------------------------------------------------------

RESUME

ชื่อ  นางสาวน้ำฝน   นามสกุล  เพาะจะโปะ

Miss   Numfon          Phochapo

ที่อยู่ปัจจุบัน   หมู่บ้านลดวัลย์ 21/129 หมู่10 ซ.13/1 เขตทวีวัฒนา

แขวงศาลาธรรมสพน์ ถนนบรมราชชนนี กรุงเทพมหานคร 10170

ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน    หมู่บ้านลดวัลย์ 21/129 หมู่10 ซ.13/1 เขตทวีวัฒนา

แขวงศาลาธรรมสพน์ ถนนบรมราชชนนี กรุงเทพมหานคร 10170

  สัญชาติ  ไทย         เชื้อชาติ  ไทย             ศาสนา  พุทธ

วันเกิด  16 มีนาคม  พ.ศ. 2532

อายุ  21 ปี  

ส่วนสูง   160  เซนติเมตร  น้ำหนัก  50  กิโลกรัม

เบอร์โทรศํพท์ (บ้าน)  02-4413287  เบอร์โทรศํพท์ (มือถือ) 083-2922100

E-mail  : [email protected]

งานอดิเรก   อ่านหนังสือ , ฟังเพลง , เล่นอินเตอร์เน็ต

ประวัติการศึกษา                

ชั้นประถมศึกษาตอนต้น และตอนปลาย   :  โรงเรียนพิบูลย์อุปถัมภ์

ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น : โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบวรนิเวศศาลายา

ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย  :  โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบวรนิเวศศาลายา

ระดับปริญญาตรี  :  มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

มาตรฐานการสำเร็จการศึกษาของบัณฑิต   

ผ่านเกณฑ์ ICT และภาษาอังกฤษ

ผ่านเกณฑ์ การพัฒนาบุคลิกภาพ  คุณธรรม  และจริยธรรม

ทักษะและความสามารถพิเศษอื่นๆ

สามารถใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ ได้ เช่น Microsoft Office

มีความรับผิดชอบ และมีมนุษยสัมพันธ์ดี

สามารถฟังและพูดภาษ่อังกฤษได้เป็นอย่างดี

-----------------------------------------------------------------------------------------

บริษัท โออิชิ เทรดดิ้ง จำกัด

กำเนิดธุรกิจใหม่ คือ “โออิชิ กรีนที” โดยนายตัน ภาสกรนที จากการบริหารการจัดการของนายตัน ภาสกรนที ทำให้มีธุรกิจหลากหลายแตกแขนงโยงใยเป็นใยแมงมุม (SPIDER ) ช่วยเหลือเกื้อกูลกันระหว่างธุรกิจในเครือที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ให้ธุรกิจเก่าอุ้มชูธุรกิจใหม่ ทั้งด้านลูกค้า การเงิน ช่วยเหลือธุรกิจที่เกิดใหม่ เป็นลักษณะการขยายธุรกิจแบบแนวนอน เช่นธุรกิจร้านสุกี้โออิชิ ภัตตาคารบุพเฟ่อาหารญี่ปุ่น อาหารฟาสต์ฟู๊ด ธุรกิจร้านกาแฟ ธุรกิจเบเกอรี่ ธุรกิจสตูดิโอถ่ายรูปแต่งงาน ฯลฯ เช่น เมื่อครั้งเปิดธุรกิจสตูดิโอถ่ายรูปแต่งงาน คุณตันใช้วิธีโฆษณาโดยการแจกคูปองกับลูกค้าที่กินอาหารที่ร้าน ภัตตาคารในเครือให้ไปถ่ายรูปที่สตูดิโอฟรี โดยมีกำหนดระยะเวลาว่าภายใน 7 วัน เมื่อเปิดธุรกิจเบเกอร์รี่ ร้านกาแฟ ก็ใช้วิธีแจกคูปอง โฆษณาในร้านหนังสือ ทีวายบุ้ค(ธุรกิจเริ่มแรก ) ด้วยการแทรกใบปลิวในหนังสือพิมพ์ นิตยสารทุกเล่ม ในถุงที่ลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้าในร้านกิ๊ปต์ช็อป และเริ่มนำมาขายในร้านของบริษัทในเครือ ตอนเปิดร้าน “ โออิชิ “ ก็เช่นกันแต่ครั้งนี้เพิ่มการโฆษณาลูกค้ากลุ่มใหม่ออกไปอีกคือลูกค้าที่ไปถ่ายรูปที่ สตูดิโอถ่ายรูปแต่งงาน ซึ่งตอนนั้นมี 16 สาขา ด้วยการให้คูปองกินฟรี ต่อไปเป็นการซื้อคูปองราคาพิเศษ และล่าสุดธุรกิจ “ ชาเขียว ” ก็เริ่มที่ร้านอาหารและธุรกิจในเครือก่อน เป็นการทำการตลาดแบบใยแมงมุม (SPIDER MARKETING ) ซึ่งนับว่าเป็นการทำวิจัยตลาดจากของจริงโดยไม่ต้องแจกแบบสอบถามแต่ใช้วิธีดูจากรายการสั่งเครื่องดื่มของลูกค้าในร้านโออิชิราเมน บางครั้งกินฟรีชอบ แต่เมื่อต้องจ่ายเงินซื้อเองไม่ซื้อ หรือราคาที่เท่าไรที่ลูกค้ายอมจ่าย รสชาติแบบไหนที่ลูกค้าสั่งมาก ในภัตตาคารบุพเฟ่อาหารญี่ปุ่นให้กินฟรีไม่อั้น รสชาติไหนคนกินฟรีชอบ รสไหนที่ลูกค้ายอมจ่าย นอกจากช่วยเรื่องการตลาดแล้ว ยังช่วยด้านการเงินตั้งต้นด้วย เกื้อหนุนทุกเรื่อง ทำให้ธุรกิจหลายธุรกิจเริ่มต้นด้วยข้อมูลภายในที่เชื่อถือได้ ประกอบกับการแสวงหาข้อมูลจากภายนอก

คุณตัน เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากคนหนึ่งในปัจจุบันโดยคุณตันจะมีกลยุทธ์การจัดการที่ดีโดยใช้ประสบการณ์ ถาม อ่าน ลงมือทำ กล้าคิด กล้าตัดสินใจชนิดเร็วก่อนใคร ไม่ลังเล โดยถือคติว่า ไปถึงก่อนได้ชัยก่อน การตัดสินใจแต่ละครั้งมีหลักการ โดยศึกษาจากอดีตของธุรกิจนั้นเสมอ อ่านและซักถามให้กระจ่างชัดจากผู้ทำธุรกิจเดิมทั้งใน และต่างประเทศโดย

1. การมองเห็นโอกาสในธุรกิจ ทำเล ความเป็นไปได้

2. ความเร็วโดยถือคติว่า “ ไปก่อนได้ส่วนแบ่งตลาดก่อน “ เสมอ

3. ความแม่นยำแน่นอนของข้อมูล ทุกครั้งจะหาฐานข้อมูล ศึกษาก่อนเสมอศึกษาทั้งจากภายใน และภายนอก

4. มอง และเห็นประเภทสินค้าให้ออกว่าเป็นสินค้าประเภทใด ระยะยาวหรือระยะสั้น

5. ศึกษาผู้บริโภคดูลูกค้าเป้าหมายว่ามีพฤติกรรมเช่นไร ความสามารถในการซื้อ

6. มีความเป็น Core Competency ในสินค้าที่ทำ เช่นกรณี ธุรกิจสตูดิโอถ่ายรูปแต่งงาน คุณตันเลือกถ่ายภาพอย่างเดียวไม่ทำห้องล้างทั้งที่มียอดการส่งล้างสูงถึงเดือนละ 3 – 5 ล้านบาทซึ่งเป็นยอดที่สูงที่สุดในเมืองไทย คุณตันได้ทำการหาข้อมูลจากผู้ที่ทำธุรกิจเดิม ( ถ่าย ล้าง อัดรูป )ในต่างประเทศพบว่าได้กำไรมากในรูปเครื่องอัดรูป เพราะเทคโนโลยี่เปลี่ยนตลอดเวลา ต้องลงทุนซื้อเครื่องใหม่ตลอด เครื่องเก่าต้องขายเป็นเศษเหล็ก ทำให้ตัดสินใจถ่ายรูปอย่างเดียวและใช้วิธีส่งอัด

7. มีความเชื่อมั่นในตรายี่ห้อ “ โออิชิ “ เสมอว่าจะไม่ทำให้ผิดหวัง ต้องได้รับการตอบรับอย่างดี

จากนิสัยส่วนตัวที่มีความมุ่งมั่น ทะเยอทะยาน (Ambition) มีความเป็นผู้ประกอบการสูง( อองเตอร์เพอเนอร์) จะไม่รีรอถ้าเห็นโอกาสและการเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนเสมอต้นเสมอปลายซึ่งเป็นลักษณะของคนเอเชียตะวันออกเป็นพ่อค้า “อุษาอาคเนย์วานิช”

คุณตัน ใช้กลยุทธ์ หลักๆ จากประสบการณ์ตัวเอง จากผู้ทำธุรกิจประเภทเดียวกันทั้งใน และต่างประเทศ จากการอ่าน ศึกษา แลซักถามผู้รู้ มาใช้ในการบริหารจัดการดังนี้

1. ด้านการเงิน จะทำธุรกิจที่ได้รับเงินสด และจ่ายเป็นเครดิต เพราะเชื่อว่ารับเงินไว้ก่อนดีกว่าถ้าให้เครดิต เกิดอนาคตมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเช่นไฟไหม้ วิกฤติเศรษฐกิจ เครดิตที่ให้ลูกค้าอาจไม่มีจ่ายได้ และยังสามารถนำเงินที่ไม่ต้องจ่ายสดไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในธุรกิจก่อน และนอกจากนี้ยังมีคุณพ่อเป็นนักบัญชีคอยชี้แนะสั่งสอนการทำบัญชีธุรกิจอยู่เสมอ

2. ด้านทรัพยากรมนุษย์ คุณตันใช้วิธี ” ให้ใจ ” ด้วย นอกเหนือจากให้เงิน ผลตอบแทน หรือการให้หุ้นโดยร่วมลงมือทำด้วยกันให้พนักงานเห็นว่า ไม่ได้สั่งอย่างเดียว เช่นถือหนังสือพิมพ์ขึ้นไปขายบนรถทัวร์เมื่อมีเวลาว่าง แม้กระทั่ง ขัดล้างห้องน้ำ ล้างจาน ซ่อมท่อน้ำชักโครก ลงมือทำด้วยกันว่าเราไปด้วยกันไม่ทิ้งกัน เหนื่อยไปด้วยกันโดยสอนพนักงานเสมอว่าให้ทำให้เต็มที่ ไม่มีการแบ่งชนชั้น หาอะไรใหม่ ๆ มาให้พนักงานเสมอเพื่อไม่ให้พนักงานหยุดนิ่ง ไม่ให้พนักงานหยุดคิด โดยการหาสิ่งใหม่ ๆ มาให้ทำ และคิดเรื่อย ๆ เช่นตั้งเป้าให้เพิ่มยอดขายเป็นสองเท่า พนักงานจะเริ่มคิดหาวิธี จะอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้แล้ว มีการจัดอบรม เล่าประสบการณ์ให้พนักงานฟังเพื่อศึกษา จัดไปดูงานทัศนศึกษา คุณตันว่าเราให้ใจเขา เขาก็ให้ใจเราด้วย นับว่าเป็นการบริหารและทำงานเป็นทีมที่ดี พนักงานเกิดความภาคภูมิใจที่ได้ร่วมงานด้วย คุณตันกล่าวกับพนักงานว่าปัจจุบันตนไม่ได้มีหน้าที่ดูแลแค่ครอบครัวเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว แต่ต้องดูแลพนักงานอีกหลายพันชีวิต

3. การตลาด ใช้การตลาดแบบ ใย แมงมุม (SPIDER MARKETING) คุณตันจะมีฐานข้อมูลของลูกค้าตลอด รู้ความคิด ความต้องการของลูกค้า ใช้เกมรุก มีการกระตุ้นจูงใจ บางครั้งใช้วิธีการยอมขาดทุนเพื่อกำไรในวันข้างหน้าและเป็นกำไรระยะยาวอย่างยั่งยืน มีการแจกคูปองใหม่ ๆ มาเรื่อย เช่น คูปองสไปเดอร์ของโออิชิ คูปองซีเนียร์เมมเบอร์ สำหรับคนอายุ 60 ปีขึ้นไป ฯลฯ การตลาดของโออิชิไม่หยุดนิ่ง เช่นในกรณีต้องเพิ่มยอดขายเนื่องจากกำลังการผลิตมาก จะมีการตั้งเป้าเป็น 2 เท่าเพื่อให้ทันกับกำลังการผลิต ทำให้เกิดแนวคิดร่วมกันใหม่ เช่นกรณีร้านอาหารในห้างที่มีโต๊ะ และเวลาจำกัด หรือร้านบุปเฟ่ ใช้วิธีลดราคาพิเศษแต่ให้ใช้เวลาอยู่ในร้านเพียง 1.30 ชั่วโมง ไม่นั่งแช่ทั้งวันทำให้มีจำนวนลูกค้าเข้ามาหมุนเวียนในร้านเพิ่มขึ้นสร้างบรรยากาศให้คึกคัก อาหารในร้านหมุนเวียนมากขึ้น

การลงทุนครั้งใหญ่ของ โออิชิ กรีนที คุณตันเริ่มศึกษาหาข้อมูลจากธุรกิจชาเขียวในต่างประเทศโดยถือว่า“อดีต”ของธุรกิจชาเขียวในประเทศอื่นจะเป็นข้อมูลหนึ่งที่จะบอก “อนาคต” ของธุรกิจนี้ในเมืองไทย บางประเทศมีชาเขียวขายมานานกว่า 20 ปี โดยที่ญี่ปุ่นดื่มชาเขียว 3,000 ล้านลิตรต่อปี ไต้หวันมีประชากร 20 ล้านคน ดื่มชาเขียว 300 ล้านลิตรต่อปี เมืองไทยมีประชากร 60 ล้านคน ดื่มชาเขียว 90 ล้านลิตรต่อปีทำให้คุณตันเริ่มมองอนาคต ว่าธุรกิจนี้ยังไปได้อีกไกลและนาน เริ่มศึกษาปัญหา โอกาสและตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่กับธุรกิจชาเขียวด้วยเหตุผล 4 ประการ คือ

1. เห็นยอดขายเครื่องดื่มที่ร้าน โออิชิราเมน ชัดเจนว่าลูกค้านิยม “ โออิชิ กรีนที “ มากกว่าน้ำอัดลมซึ่งราคาในขณะนั้นแพงกว่าน้ำอัดลมถึง 10 บาท เห็นรสชาติไหนที่ลูกค้าสั่งมาก

2 . ศึกษาจากต่างประเทศแล้วว่าเป็นธุรกิจอนาคต ประสบความสำเร็จในต่างประเทศ

3 . โออิชิ แสดงว่าได้เปรียบที่มีร้านจำหน่ายในเครือจำนวนมาก ตลอดจนรสชาติที่ลูกค้าคุ้นเคย ทำให้เขากลับมาซื้อซ้ำ

4 . เชื่อมั่นคำว่า “ โออิชิ “ แข็งแกร่ง โดยเฉพาะสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม เป็นการนำ แบรนด์ มาสร้างมูลค่าเพิ่ม

 

เมื่อเทียบกับการใช้การตลาดแบบ 4 P แล้ว

1 . Price ( ราคา ) สินค้าของโออิชิ เลือกใช้ราคาที่เหมาะสม ที่ลูกค้ารับได้ ซึ่งเห็นว่าบางครั้งไม่ได้หมายความว่าสินค้าราคาต่ำกว่าเท่านั้นถึงประสบความสำเร็จ โออิชิทำให้ลูกค้าสนใจด้านคุณภาพ ปริมาณและบริการมากกว่า

2 . Place ( ช่องทางจัดจำหน่าย ) แน่นอนว่าคำว่า “ โออิชิ “ นอกเหนือจาความอร่อยแล้ว ยังหมายถึงช่องทางจัดจำหน่ายที่มากกว่าของบริษัทอื่นในสินค้ารเภทเดียวกัน จากที่โออิชิ มีธุรกิจในเครือมากมายโยงใยเป็นใยแมงมุม โดยเฉพาะธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเกื้อหนุนกันโดยตรง นอกจากขายในธุรกิจในเครือแล้ว ยังมีการตั้งทีมขายตามจุดเทศกาลต่าง ๆ โดยใช้วิธีแช่ในกล่องโฟมถึงผู้บริโภคโดยตรง คุณตัน มองเห็นว่าสินค้าในตู้แช่ทั่วไปมีหลากหลายให้เลือกทำให้ โออิชิกรีนทีต้องรอให้ลูกค้าตัดสินใจเลือก สู้ใส่กล่องโฟมของเราเองดีกว่าช่วยตัดสินใจให้ลูกค้าเลยและต้องไม่ผิดหวังด้วยที่เราตัดสินใจให้

3 . Product ( ตัวสินค้า ) โออิชิจะสร้างคุณค่าในสินค้าและให้มีความแปลกใหม่เสมอ พยายามทำให้แตกต่าง ทำให้ลูกค้ารู้สึกได้ว่า โออิชินำสิ่งแปลกใหม่ ทันสมัยมาให้เสมอ สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ลูกค้าคอยติดตามว่ามีอะไรใหม่ ๆ มาอีก เช่นหลายธุรกิจ โออิชิจะเป็นเจ้าแรกเสมอ เช่น ภัตตาคารบุพเฟ่อาหารญี่ปุ่น ธุรกิจสตูดิโอถ่ายรูปแต่งงาน ฯลฯ การผลิตชาเขียว ก็เป็นเจ้าแรกที่มีการบรรจุโดยใช้ขวด ฮอตฟิลด์ คือบรรจุลงในขวดที่ทนความร้อน เรียกว่า บรรจุร้อน (สมัยนั้นทุกบริษัทใช้วิธีบรรจุเย็น ) ทำให้กรีนทีของโออิชิมีรสชาติที่ดีกว่าและอายุเก็บรักษายาวนานกว่าคือ 1 ปี ในอุณหภูมิปกติ( ถ้าบรรจุเย็นแค่ 3 เดือนในตู้แช่ ถ้าในอุณหภูมิปกติต้องใส่ยากันเสีย )โดยไม่ต้องใส่สารกันเสีย โออิชิจะเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่ ๆ เสมอให้กับสินค้า ยอมลงทุนเพิ่มในเรื่องขวด บรรจุ ฉลากติดข้างขวดให้ดูเด่น สะดุดตา

4 . Promotion ( การโฆษณา ) คุณตันมีวิธีโฆษณาที่ยอดเยี่ยมเมื่อมีการเปิดตัวธุรกิจใหม่ จะใช้ฐานลูกค้าเดิมของธุรกิจในเครือเช่น แทรกใบปลิวในหนังสือพิมพ์และนิตยสารทุกเล่มที่เข้ามาซื้อหนังสือในร้าน ทีวายบุค ใส่ในถุงที่ลูกค้ามาซื้อกิ๊ปชอปส์ที่ร้าน แจกคูปองกินฟรี แถมเด็ก 1 ที่ฟรี ลดครึ่งราคาพิเศษ กรณีผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เหล่านี้ คุณตันคิดและศึกษาแล้วว่ากรณีผู้สูงอายุไม่ได้มาคนเดียวแน่นอนอย่างน้อยมา 4 ที่ คิดแล้ว 3 ที่ราคาเต็มกับ 1 ที่ครึ่งราคา เมื่อมาหารเฉลี่ยแล้วน้อยมาก คุณตันเลือกให้มีการโฆษณาที่ต่อเนื่องเพื่อไม่ให้ชื่อโออิชิหายไปจากตลาดแม้เมื่อยามสินค้าขาดแคลนผลิตไม่ทันขาย

พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เช่น เมื่อครั้งเกิดไฟไหม้ที่ร้านโออิชิ ซึ่งชั้นบนเป็นสตูดิโอถ่ายภาพแต่งงาน ทำให้สต็อคสินค้าจำนวนมากต้องหายไปกับเพลิงไฟ ทำให้คิดได้ว่าไม่ควรตุนสินค้าไว้มาก ๆ ตุนให้พอใช้ไม่ต้องจมทุนมาก เอาทุนที่ต้องจมไปหารายได้ทางอื่นดีกว่า และทำให้ได้สินค้าใหม่เสมอ และจากกรณีล่าสุดที่ลูกค้าร้องเรียนเป็นข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งหลายฉบับ เรื่องมีสารพิษ คุณตันรีบเคลียร์และอัดโปรโมชั่นทันทีเป็นการคืนกำไรให้ลูกค้า แจกฟรีฝาขวดละล้านกับคนที่เปิดฝาขวดพบคำว่า 1 ล้านบาท เช่นเดิมคือมีกำหนดระยะเวลาภายใน ส.ค.นี้ทำให้ลูกค้าแห่ซื้อเป็นจำนวนมากเพราะถ้าซื้อช้าแล้วพบฝาฟรี 1 ล้านบาท ก็ไม่มีประโยชน์ ยอดขายที่มีท่าว่าจะตก กลับทะลุพรวดจนสินค้าขาดตลาดอย่างไม่คาดฝัน

ลูกค้า โออิชิกรีนที คุณตันไม่ได้มองลูกค้าเป้าหมายแค่คนที่ซื้อชาเขียวดื่มท่านั้น แต่มองลูกค้าที่ซื้อน้ำดื่มทุกคนไม่ว่าจะซื้อน้ำดื่มอะไร เมื่อไร ที่ไหน จะชักชวนลูกค้าที่ดื่มน้ำอัดลม น้ำสี น้ำผลไม้ น้ำที่ดื่มแล้วสดชื่น ให้หันมาดื่มโออิชิกรีนทีอย่างไร จึงพยายามสร้างคุณค่าให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่องว่าลูกค้าต้อง้รับสิ่งดี ๆใหม่ ๆ เสมอ สะดวกที่จะซื้อทุกที่

ด้านคู่แข่ง และคู่แข่งรายใหม่ที่คิดจะเข้ามาแข่งขันด้วยคุณตันมีวิธีสกัดกั้น หรือปิดประตูไม่ให้ใครมาแข่งขันแบ่งความเป็นเจ้าตลาดธุรกิจ กรีนที โดยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งต้องลงทุนเป็นเงินที่สูงมาก ( กำลังการผลิต 7 ล้านขวด และชนิดกล่อง ต่อเดือน ) ตลอดจนการศึกษา ความชำนาญ และการตลาดที่กว้างกว่าย่อมได้เปรียบกว่าด้านรสชาดที่เป็นเอกลักษณ์ของโออิชิกรีนที ทำให้คู่แข่งที่อยากจะเข้ามาต้องคิดหนักในหลาย ๆ ด้าน หรือถ้ามีเงินลงทุนซื้อเครื่องผลิด 7 ล้านขวดต่อเดือน จะขายได้อย่างไรให้หมดในแต่ละเดือน มีตลาดรองรับแค่ไหน มีการทำงานที่เป็นทีมอย่างไร ซึ่งในปัจจุบันโออิชิกรีนที มีกำลังผลิตถึงเดือนละ 21 ล้านขวด กลายเป็นเจ้าตลาดในปัจจุบันที่ใครจะเข้ามาเทียบเคียงต้องคิดและทำการบ้านหนัก และที่สำคัญ โออิชิ ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในไตรมาส 3 ของปี 2547 ซึ่งนับว่าเป็นความพยายามที่สำเร็จอย่างน่าภูมิใจ ซึ่งเริ่มต้นจากการเป็นเจ้าของแผงหนังสือเล็กๆ ( ไม่ใช่ร้านหนังสือ ) ที่ชลบุรี เพียงเวลาไม่กี่ปีที่ต้องฝ่าพัน ธุรกิจที่ล้มเหลวก็ไม่ดื้อดึงที่จะทำยอมตัดทิ้งไป หรือจ้างผู้ผลิดจากภายนอกแทน

 

นางสาวสุภาณี ขันสุข

นางสาวสุภาณี  ขันสุข

รหัสนักศึกษา 50473010042

คณะวิทยาการจัดการ  โปรแกรมวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ ปี 4

 

โจทย์

1. RESUME

2. วิเคราะห์กิจการที่น่าให้เงินกู้  ให้วิเคราะห์ทั้ง MACRO  & MICRO  and SWOT Analysis

RESUME

 

ชื่อ  นางสาวสุภาณี   นามสกุล  ขันสุข

Miss   Supanee  Khansuk

ที่อยู่ปัจจุบัน   86/15  หมู่ที่ 4  ตำบลบางกร่าง  ถนนบางกรวย-ไทรน้อย  อำเภอเมือง  จังหวัดนนทบุรี  11000

ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน  136/2  หมู่ที่ 4 ตำบลท่าเสา  ถนนอินใจมี  อำเภอเมือง  จังหวัดนนทบุรี  53000

สัญชาติ  ไทย         เชื้อชาติ  ไทย             ศาสนา  พุทธ

วันเกิด  19 ธันวาคม  พ.ศ. 2532

อายุ  21 ปี  6  เดือน

ส่วนสูง   168  เซนติเมตร  น้ำหนัก  57  กิโลกรัม

สถานภาพการสมรส     โสด           

เบอร์โทรศํพท์ (บ้าน)  0-2903-5756    เบอร์โทรศํพท์ (มือถือ) 085-074-1239

E-mail  :  [email protected]

งานอดิเรก   อ่านหนังสือ , ฟังเพลง , ปลูกต้นไม้

ประวัติการศึกษา                

ชั้นประถมศึกษา  :  โรงเรียนวัดอรัญญิการาม  จังหวัดอุตรดิตถ์

ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น : โรงเรียนอุตรดิตถ์ดรุณี  จังหวัดอุตรดิตถ์

ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย  :  โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการบางใหญ่  จังหวัดนนทบุรี

ระดับปริญญาตรี  :  มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

มาตรฐานการสำเร็จการศึกษาของบัณฑิต   

ผ่านเกณฑ์ ICT และภาษาอังกฤษ

ผ่านเกณฑ์ การพัฒนาบุคลิกภาพ  คุณธรรม  และจริยธรรม

ทักษะและความสามารถพิเศษอื่นๆ

สามารถใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ ได้ เช่น Microsoft Office

สามารถพิมพ์ดีดภาษาไทยได้  140  คำ/นาที  ภาษาอังกฤษได้  120  คำ/นาที

สามารถคิดเลขโดยใช้ลูกคิดได้

วิเคราะห์กิจการที่น่าให้เงินกู้  ให้วิเคราะห์ทั้ง MACRO  & MICRO  and SWOT Analysis

กิจการที่เลือก คือ โรงแรมดุสิตธานี

ผู้ก่อตั้ง :  ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย

ที่ตั้ง  :  เลขที่ 946 ถนนพระราม 4 แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร

มองในมุม  MACRO  และ  MICRO 

บริษัทยังคงใช้นโยบายการตลาดโดยระบบการส่งเสริมตลาดร่วม ณ ส่วนกลาง (Centralization) และระบบการส่งเสริมตลาดในแต่ละโรงแรมดำเนินการเอง (Decentralization) และการร่วมมือเป็นพันธมิตรทางการค้ากับกลุ่มโรงแรมในแถบเอเซียภายใต้ชื่อ เอเชี่ยน โฮเต็ล อัลไลแอนซ์ : เอ เอช เอ  โดยมีเวปไซต์ การสำรองห้องพักร่วมคือ www.ahahotels.com ทำให้เพิ่มศักยภาพทางการขายการตลาด สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการตลาด การโฆษณาและประชาสัมพันธ์   นอกจากนี้บริษัทยังมีนโยบายหาพันธมิตรกับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกันเช่นธุรกิจสายการบินเป็นต้น และได้พัฒนาช่องทางการขายผ่านระบบพาณิชย์อีเล็คทรอนิค (E-Commerce) สามารถทำการตลาด ส่งเสริมการขาย และสำรองห้องพักออนไลน์ผ่านระบบอินเตอร์เน็ทโดยมีเวปไซต์ Dusit.com ภาคภาษาอังกฤษ และภาษาญี่ปุ่น ผ่าน www.ahahotels.com  หรือศูนย์สำรองห้องพักส่วนกลาง ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ญี่ปุ่น จากการที่ธุรกิจ       โรงแรมในปัจจุบันมีการแข่งขันที่สูง บริษัทจึงต้องใช้กลยุทธ์ต่างๆ ในการตลาด  ส่งเสริมการขายเพื่อเพิ่มรายได้ การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ  และการให้บริการต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าประทับใจและกลับมาใช้บริการอีก         

          ด้านเทคโนโลยี่และสารสนเทศได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใหม่ในหลายด้าน เช่นการเปลี่ยนระบบคอมพิวเตอร์และเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบงาน การเปลี่ยนระบบงานส่วนหน้าระบบห้องอาหาร ระบบบัญชีและการเงินซึ่งเป็นระบบ Centralization  ในการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เพื่อลดการทำงานที่ซ้ำซ้อน ความล่าช้า ความไม่ถูกต้องตรงกันของข้อมูล เพื่อนำไปสู่การพัฒนาระบบงานให้ฝ่ายบริหารได้นำข้อมูลไปใช้ในการบริหารงาน การตัดสินใจได้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ

ในด้านการลงทุนและขยายกิจการโรงแรม บริษัทมีนโยบายเพิ่มจำนวนโรงแรมรับบริหารให้มากขึ้นเพื่อเป็นการเพิ่มเครือข่ายของกลุ่มโรงแรม ทำให้สามารถเพิ่มรายได้และลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการบริหาร  ส่วนการลงทุนจะพิจารณาในโครงการที่ดีได้รับผลตอบแทนสูง และความเสี่ยงต่ำ จากการที่บริษัทเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญในการบริหารกิจการโรงแรมจนเป็นที่ยอมรับและรู้จักทั่วโลกว่า “ดุสิตธานี” เป็นบริษัทของคนไทยที่บริหารโดยคนไทยที่ต้องแข่งขันกับเชนต่างประเทศ สำหรับในอนาคตนอกจากการตั้งเป้าหมายในการเพิ่มจำนวนโรงแรมที่รับบริหารภายใต้แบรนด์ “ดุสิต” แล้ว  บริษัทได้มองช่องทางการขยายตลาดการรับบริหารโรงแรมที่มีแนวความคิดใหม่แตกต่างจากที่มีอยู่เพื่อเป็นทางเลือกใหม่สำหรับลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่

การวิเคราะห์การตลาด (SWOT Analysis) 

 1) จุดแข็ง (Strength)- ทำเลที่ตั้งติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีทัศนียภาพที่สวยงาม- ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ที่เป็นศูนย์กลางทางธุรกิจ และนักท่องเที่ยวพัก อาศัยในเขตนี้มาก- มีอาคารที่ก่อสร้างขึ้นในสมัย ร.5 ที่ได้รับการอนุรักษ์ขึ้นทะเบียน เป็นโบราณสถาน - มีการเข้าถึงโครงการได้สะดวก - มีความพร้อมของสาธารณูปโภคพื้นฐานครบถ้วน

2) จุดอ่อน (Weakness) - มีอาคารเก่า จะต้องทำการปรับปรุง ถนนทางเข้าออกของโครงการแคบ พื้นที่โครงการมีขนาดเล็กและมีข้อจำกัดของรูปร่างที่ดิน ข้อกฎหมายมีมาก
3) โอกาส (Opportunity) บริเวณเขตบางรัก มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศผู้มีรายได้สูงอยู่มาก แสดงให้เห็นว่ายังมี Effective Demand อยู่ หากมีการสร้างคุณภาพของโรมแรมให้มีคุณภาพ และมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเฉพาะตัว และเน้นบริการลูกค้าเฉพาะกลุ่ม
4) อุปสรรค (Threat) มีคู่แข็งที่มีชื่อเสียงอยู่มาก ดังนั้นการที่จะเข้าไปแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดอาจทำได้ยาก

 

 

นางสาวน้ำฝน เพาะจะโปะ

รหัส 50473010009

อาจารย์ค่ะ  ของน้ำฝน เพาะจะโปะ เพิ่มการวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาสและอุปสรรค (SWOT Analysis) ของบริษัท โออิชิ ค่ะ

การวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาสและอุปสรรค (SWOT Analysis)

 จุดแข็ง

 1. เป็นเจ้าของสิทธิบัตรนวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีในกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มมูลค่าผลไม้ที่มีน้ำน้อย มากรองเป็นน้ำหวานเข้มข้นที่ยังคงคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน

 2. ด้วยนวัตกรรมในกระบวนการผลิตสามารถนำไปพัฒนาเพิ่มสายผลิตภัณฑ์อื่นๆได้ง่าย เพียงคัดสรรผลไม้ที่มีน้ำน้อยก็จะได้น้ำหวานที่มีความเข้มข้นสูง เหมาะที่จะใช้เป็นวัตถุดิบขั้นต้นในอุตสาหกรรมอาหารอื่นๆ เช่น น้ำผลไม้พร้อมดื่ม เบเกอรี่ ไอศครีม เป็นต้น

 3. วัตถุดิบ(กล้วย)หาง่าย มีผลผลิตทั้งปีไม่มีฤดูกาลราคาจึงไม่ผันผวน ง่ายต่อการควบคุมต้นทุนการผลิต

 4. ผลิตภัณฑ์น้ำกล้วยพร้อมดื่มมีกรดอมิโนที่มาจากธรรมชาติในขณะที่น้ำผลไม้ชนิดอื่นในตลาดไม่มี

 5. By Product จากกระบวนการผลิตสามารถนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆได้อีกอย่างหลากหลาย หากสามารถพัฒนาได้ครบวงจรจะทำให้ต้นทุนสินค้าต่อหน่วยต่ำลงเป็นอย่างมาก

 จุดอ่อน

 1. ผลิตภัณฑ์น้ำกล้วยพร้อมดื่มเป็นน้ำผลไม้รสชาติใหม่ซึ่งผู้บริโภคยังไม่คุ้นเคย จึงต้องทําการพัฒนาตลาดด้วยการให้ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เป็นอย่างมาก

 2. ผลิตภัณฑ์และตราสินค้าของบริษัทยังใหม่ในตลาดทำให้บริษัทต้องใช้งบประมาณมากในการสร้างตราสินค้าเพื่อให้ผู้บริโภครู้จักและเกิดความนิยมอย่างแพร่หลาย

 3. เนื่องจากเป็นสินค้าใหม่จึงขาดอำนาจในการต่อรองเพื่อเข้าสู่ช่องทางการจัดจำหน่ายในการค้าปลีก

 4. การผลิตและจำหน่ายในปริมาณที่น้อยกว่าคู่แข่งขัน ทำให้ขาดประโยชน์จาก Economic of Scale ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตอาจสูงกว่าคู่แข่งขัน

 5. ขาดความหลากหลายในด้านรสชาติของผลิตภัณฑ์

 6. วัตถุดิบอาจมีคุณภาพไม่สม่ำเสมอจากการที่มาจากหลายแหล่ง ส่งผลต่อการควบคุณต้นทุนและคุณภาพในกระบวนการผลิต

 โอกาส

 1. ตลาดน้ำผลไม้ไทยมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอัตรา 20% ต่อปี

 2. รัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพของประชาชน จึงมีนโยบายในการส่งเสริมด้วยการจัดกิจกรรมให้ประชาชนตื่นตัวในเรื่องการรักษาสุขภาพ

 3. กระแสความนิยมในการบริโภคน้ำผลไม้เป็นเครื่องดื่มแก้กระหายและเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ

 4. เกิดกระแสการดื่มน้ำผลไม้เพื่อทดแทนเครื่องดื่มชนิดอื่นๆที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น น้ำอัดลม ชาเขียว หรือ น้ำสมุนไพรที่มีน้ำตาลสูง เป็นต้น

 5. วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของคนเมืองที่เร่งรีบ การบริโภคน้ำผลไม้จึงเป็นทางเลือกที่สะดวกกว่ารับประทานผลไม้สด

 6. รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนผู้ผลิตรายย่อย (SME) โดยส่งเสริมและสนับสนุนทั้งทางด้านการลงทุนและการให้ความรู้และสิทธิประโยชน์ทางภาษี

 อุปสรรค

 1. แนวโน้มของราคาน้ำมันสูงที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ต้นทุนการผลิตและการขนส่งสูง

 2. พื้นที่การเกษตรถูกแบ่งไปปลูกพืชเพื่อพลังงานทดแทน ทำให้ผลผลิตเพื่อเป็นวัตถุดิบน้ำผลไม้ลดลง และอาจทำให้ราคาวัตถุดิบสูงขึ้น

 3. สภาวะโลกร้อนส่งผลให้ภูมิอากาศแปรปรวนหรือเกิดภัยธรรมชาติมากขึ้น จึงอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการขาดแคลนวัตถุดิบ หรือ วัตถุดิบมีราคาสูงขึ้น

 4. ธุรกิจนํ้าผลไม้เป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันกันค่อนข้างรุนแรงมีผู้ผลิตมากราย เนื่องจากการเข้าออกธุรกิจค่อนข้างง่ายเพราะเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เงินลงทุนไม่สูงนัก เทคโนโลยีการผลิตไม่ซับซ้อน

 5. สินค้าทดแทนมีหลายหลายประเภทเช่นน้ำสมุนไพร น้ำอัดลม นมเปรี้ยว ซึ่งมีราคาถูกกว่ามาก

6. ระบบและขั้นตอนการขออนุญาตทั้งในด้านการขอจัดตั้งโรงงานไปจนถึงการตรวจสอบวิเคราะห์และออกเอกสารรับรองคุณภาพสินค้ายังยุ่งยาก ซับซ้อน ขาดความเชื่อมโยงและขาดความราบรื่นในการประสานงานระหว่างหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกช

7. การปรับลดภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าเกษตรนำเข้า เอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร แต่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรที่ไม่สามารถปรับตัว

  สุภาพร มูลจันทร์

            Resume

ชื่อ      นางสาวสุภาพร     มูลจันทร์

Miss Supaporn   Moonjan

                     

ที่อยู่  :     ทีอยู่ 101/35  ซอย 10  ถนนรัตนาธิเบศร์  ตำบลไทรม้า   อำเภอเมือง  จังหวัดนนทบุรี 11000

เบอร์โทรศัพท์    :    084-3597002    

 E-mail        : [email protected]

วัน /เดือน/ ปีเกิด    :  22  ธันวาคม  พ.ศ. 2531

อายุ                    :   22  ปี              

เพศ                    :   หญิง

สถานภาพ            :   โสด

น้ำหนัก                :  46   กิโลกรัม

ส่วนสูง                 :  161  เซนติเมตร

ศาสนา                 :   พุทธ

สัญชาติ                :    ไทย

 

ประวัติการศึกษา

2550 - ถึงปัจจุบัน :        กำลังศึกษาระดับปริญญาตรีบริหารธุรกิจ

                                    สาขา  เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

                                    คณะวิทยาการจัดการ     มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา

  2544  -  2549      :       สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6

                                      จากโรงเรียนปทุมรัตต์พิทยาคม

                                        

บุคลิกภาพส่วนตัว    :    มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี   รักในงานบริการ

 

ความสามารถ :       -      สามารถพูดภาษาอังกฤษ และภาษาจีนกลางได้ปานกลาง

-  ใช้งาน Microsoft Office และระบบปฏิบัติการ Windows ได้เป็นอย่างดี

 

ตำแหน่งงานที่อยากทำ  : เจ้าหน้าที่ธนาคารฝ่ายการเงิน

 

นางสาวสุภาพร  มูลจันทร์

รหัส: 50473010020

เศรษฐศาสตรธุรกิจ

วิเคราะห์ SWOT

บริษัทกรีนสปอต จำกัด 

ที่อยู่   : 244 ถนนศรีนครินทร์ แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร
    รายละเอียดเกี่ยวกับบริษัท  :
  ผลิตเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์
    ลักษณะกิจการ   :
  การผลิตเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์และน้ำอัดลม
    ปีที่จดทะเบียน   :
  2496
     จากข้อมูลที่กล่าว หากนำมาวิเคราะห์ SWOT แล้วจะพบว่าบริษัท กรีนสปอต จำกัด มีส่วนที่เป็นจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และ อุปสรรค ดังนี้

S = Strength  (จุดแข็ง )
-  เป็นบริษัทเก่าแก่ ที่มีชื่อเสียงดีมาเป็นเวลายาวนาน มี brand Image ที่น่าเชื่อถือในการผลิตน้ำส้มไม่อัดลม และนมถั่วเหลืองซึ่งเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ
-  ใช้วัตถุดิบคุณภาพดีเป็นส่วนผสมในการผลิต ทำให้ นมถั่วเหลืองทุกชนิดของบริษัทฯ ไม่มีวัตถุกันเสีย เพราะได้เลือกสรรเฉพาะเมล็ดถั่วเหลืองคุณภาพสูง เลือกสรรเฉพาะเมล็ดถั่วเหลืองที่ผ่าน
กระบวนการผลิตอย่างมีคุณภาพ และถูกสุขลักษณะเพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพดีอยู่เสมอ จึงสามารถเก็บไว้ได้นานนานโดยไม่ต้องแช่เย็น
-  ผลิตภัณฑ์ของบริษัททุกชนิดผลิตด้วยเครื่องจักร และผ่านกระบวนการผลิตที่ทันสมัย
-  มีส่วนแบ่งการตลาดของเครื่องดื่มประเภทสุขภาพ ถึง 55 %
-  เครื่องประเภทน้ำส้มไม่อัดลมถึงแม้จะมีส่วนแบ่งการตลาดไม่มากแต่ก็มีกลุ่มลูกค้าชัดเจน
-  มีวิธีการสร้างความเชื่อมั่นต่อผลิตภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นหากพบสินค้าที่มีข้อบกพร่อง เช่นบูดเสีย ก็จะเรียกเก็บสินค้าดังกล่าวมาทำลายโดยมิได้นำมาจำหน่าย หรือแจกจ่ายในรูปแบบใด ๆ
-  มีการพัฒนาบุคลากรที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง จนได้ ISO 9000

W =  Weaknesses  (จุดอ่อน)
-  ผลิตภัณฑ์ดั้งเดิมของบริษัทคือเครื่องดื่มน้ำส้มไม่อัดลมมีส่วนแบ่งการตลาดน้อย 1 % และต้องใช้การลงทุนสูง เพราะต้องนำเข้าหัวน้ำส้มมาจากต่างประเทศ เมื่อเทียบกับสินค้าเครื่องดื่มน้ำส้มไม่อัดลมคู่แข่งที่มีการลงทุนสูง
-  เครื่องดื่มน้ำส้มไม่อัดลมกรีนสปอต มีคู่แข่งที่มี brand แข็ง และทุนสูง หลายตัว เช่น สแปลช ทรอปิคานา เซกิ

O =  Opportonites   (โอกาส)


- มีส่วนแบ่งทางการตลาดในต่างประเทศ
- วิกฤติการใช้เมลามีนเป็นส่วนผสมในการผลิตนม ทำให้มีโอกาสได้ส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มสุขภาพเพิ่มขึ้น
- ในช่วงภาวะวิกฤติทำให้ผู้มีรายได้น้อยเลือกดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เช่นนมถั่วเหลือง
ไวตามิ้ลค์ ที่มีราคา 10 บาท ทดแทนอาหารเช้า ซึ่งมีราคาแพงกว่า

w  = Thteats  ( อุปสรรค)
-  เศรษฐกิจทั่วโลกอยู่ในช่วงภาวะวิกฤติ ทำให้กำลังซื้อของประชาชนต่ำ

              จากการวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค ทำให้มองเห็นแนวทางหรือกลยุทธ์ของการประชาสัมพันธ์และการตลาดของบริษัททั้งนี้  บริษัทกรีนสปอต จำกัด ได้ใช้ส่วนผสมทางการตลาดในการวางสินค้า

ธุรกิจที่ข้าพเจ้าเลือก คือ บริษัททัวร์  In style travel

สาเหตุที่เลือกปล่อยเงินกู้ให้กับบริษัทนี้เพราะ เมื่อพิจารณาแล้วเทียบกับบริษัทอื่นบริษัทนี้ได้เปรียบ เพราะ กลุ่มลูกค้าที่เลือกจะไปทัวร์ต่างประเทศส่วนมากมักเป็น กลุ่มที่มีฐานะค่อนช้างดี และกลุ่มนี้มักชื่นชอบที่จะเลือกทัวร์ทางกลุ่มประเทศทางทวีปยุโรป

จุดแข็ง

  1. สายการบิน เราใช้สายการบินที่ตรงถึงจุดหมาย ที่ให้ความสะดวกสบาย
  2. โรงแรมที่เราเลือกให้ลูกค้าพักเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาวขึ้นไป
  3. อาหารที่คัดสรรให้ลูกค้าเป็นอาหารที่มีความหลากหลาย และเป็นชั้นดี
  4. รถโค้ช นอกเหนือจากรถใหม่ที่ไดมาตรฐานนั้น พนักงานขับรถทุกคนจะรู้จักเส้นทางเป็นอย่างดีรวมถึงเส้นทางลัดต่างๆด้วย
  5. เส้นทางการเดินทาง วางแผนเป็นระบบ ตรวจเช็คผ่านระบบ GPS
  6. หัวหน้าทัวร์ได้รับการอบรม พัฒนาให้มีความรู้ความสามารถ อีกทั้งยังสามารถแปลได้หลายภาษา และมีประสบการณ์ไม่ต่ำกว่า 20 ปี
  7. สามารถจองทัวร์ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต
  8. บริษัทมีการจัดตั้งมานาน และมีประสบการณ์ด้านนี้หลายปี ได้รับความเชื่อถือ

จุดอ่อน

  1. ประเทศที่มีการจัดทัวร์ยังไม่มีทางทวีปเอเชีย ส่วนมากเน้นเป็นทวีปยุโรป  แต่เนื่องจากประเทศในเอเชียก็มีหลายประเทศที่มีสถานที่ท่องเที่ยวมาก และคนไทยนิยมที่จะไปเที่ยว เช่น ประเทศจีน ประเทศสิงคโปร์ เป็นต้น
  2. ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของประเทศที่มีการจัดทัวร์

 

โอกาส

  1. ในอนาคตการที่จะเปิดทัวร์ในประเทศอื่นมีโอกาสเพิ่มขึ้น
  2. ทำให้มีการจ้างงานมากขึ้น คนที่มีความสามารถในภาษาจะมีงานมากขึ้น

อุปสรรค

  1. มีบริษัทคู่แข่งด้านนี้ค่อนข้างมาก
  2. บริษัทคู่แข่งอาจมีตัวเลือกในการให้ลูกค้าเลือกมากกว่า เช่นมีการจัดทัวร์หลายประเทศมากกว่า มีผู้เชี่ยวชาญมากกว่า
  3. บริษัทคู่แข่งอาจมีชื่อเสียง หรือ ประสบการณ์มากกว่า
  4. ธุรกิจประเภทนี้ บางครั้งสถานการณ์ต่างๆก็มีส่วนทำให้ลูกค้าตัดสินใจไปทัวร์ เช่นสถานการณ์การเมือง ในประเทศที่มีการจัดทัวร์อาจทำให้ลูกค้าเลือกไปที่อื่นที่ปลอดภัยกว่า

 

 

 

 

 

ตำแหน่งที่สมัคร: เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน

เงินเดือนที่ต้องการ : 10,000 บาท

ประวัติส่วนตัว ชื่อ - สกุล : นางสาว ฐิรดา สันทาลุนัย

ที่อยู่ปัจจุบัน : 162/105 ถ.ติวานนท์ ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000

เบอร์ โทรที่สามารถติดต่อได้ : 081-383-3866

ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน : 105 ซ.อัญชลี 8 ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000

อายุ : 21 ปี

เพศ : หญิง

น้ำหนัก : 45 กิโลกรัม

ส่วนสูง : 162 เซนติเมตร

วันเดือนปีเกิด : 25 ธันวาคม 2531

สถานที่เกิด : นนทบุรี

ศาสนา : พุทธ

สัญชาติ : ไทย

เชื้อชาติ : ไทย

สถานภาพ : โสด

เลขที่บัตรประชาชน : 1 1299 00042 70 8  วันออกบัตร 22 เม.ย.2553 วันหมดอายุ 24 ธ.ค.2559

ชื่อบิดา : นายแพง สันทาลุนัย อายุ 48 ปี อาชีพรับจ้าง

ชื่อมารดา : นางสุนันทา สันทาลุนัย อายุ 53 ปี อาชีพรับจ้าง

กรณีฉุกเฉินติดต่อ : 1. คุณสุนันทา สันทาลุนัย โทร.089-420-5099 2. คุณแพง สันทาลุนัย โทร 087-506-0203

ประวัติการศึกษาและคุณวุฒิ

ระดับการศึกษา

ชื่อสถานศึกษา

วุฒิที่ได้รับ

คะแนนเฉลี่ย

วิชาเอก

มัธยมศึกษา

รร.ชลประทานวิทยา

มัธยมศึกษาตอนปลาย

2.68

วิทย์-คณิต

อุดมศึกษา

มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

ปริญญาตรี

3.30

เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

บุคคลอ้างอิง
1. คุณกัญญาณัฐ จินพละ อาชีพ ตำแหน่ง เจ้าหน้าที่ฝ่ายวัสดุ ม.ราชภัฎสวนสุนันทา 081-911-4190
2. คุณกิตติศักดิ์ ภู่อมร อาชีพ อาจารย์ คณะ วิทยาศาสตร์ ม.ราชภัฎสวนสุนันทา 085-345-6224

ประสบการณ์การทำงาน

ระยะเวลา

ตำแหน่ง

บริษัท

เงินเดือน

มี.ค.-พ.ค.2553

ผู้ช่วยพนักงานขาย

บ.แลนด์แอนด์เฮาส์

300 บาท/วัน

มี.ค.-พ.ค. 2552

ผู้ช่วยพนักงานบัญชี

บ.ศูนย์การได้ยินดีเมด

250บาท/วัน

ก.พ.-มิ.ย.2551

พนักงานเสิร์ฟ

Swensen’s

35บาท/ชั่วโมง

นางสาว ณัฐธิดา สมยศ รหัส 50473010022 โปรแกรม เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

 

 

 

 

resume

ตำแหน่งที่สมัคร : เจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อ

เงินเดือนที่ต้องการ : 10,000 บาท

ประวัติส่วนตัว ชื่อ - สกุล : นางสาว ณัฐธิดา สมยศ

ที่อยู่ปัจจุบัน : 90/1068 หมู่ 6 ด.บางบัวทอง อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี

เบอร์ โทรที่สามารถติดต่อได้ : 085-3356421

ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน : 145 แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร

อายุ : 22 ปี

เพศ : หญิง

น้ำหนัก : 40 กิโลกรัม

ส่วนสูง : 156 เซนติเมตร

วันเดือนปีเกิด : 25 มกราคม 2532

สถานที่เกิด : นครปฐม

ศาสนา : พุทธ

สัญชาติ : ไทย

เชื้อชาติ : ไทย

สถานภาพ : โสด

เลขที่บัตรประชาชน : 1730300096927ออก ณ เขตบางซื่อ วันออกบัตร 27 พ.ย. 2550  วันหมดอายุ 24 ม.ค. 2557

ชื่อบิดา : นาย สราวุธ สมยศ อายุ 43 ปี  อาชีพค้าขาย

ชื่อมารดา : นางสาว อรุณึ แสนหาญ อายุ 42 ปี  อาชีพค้าขาย

กรณีฉุกเฉินติดต่อ : 1. คุณ อาภัสรา วงศ์สุทธิเวศ  โทร 084-9000193 2. คุณ ณัฐฐาทิพย์ วงศ์จันคำ โทร 087-0118271

ประวัติการศึกษาและคุณวุฒิ

ระดับการศึกษา

ชื่อสถานศึกษา

วุฒิที่ได้รับ

คะแนนเฉลี่ย

วิชาเอก

มัธยมศึกษา

รร.บางบัวทอง

มัธยมศึกษาตอนปลาย

3.05

ศิลป์-คณิต

อุดมศึกษา

มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

ปริญญาตรี

2.32

เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

บุคคลอ้างอิง
1. คุณ นิชาพร หินอ่อน อาชีพ พนักงานธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ตำแหน่ง เจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อ โทร 081-4548211

2.คุณ ศศิธร เพชรหึง อาชีพ พนักงานบริษัท ตำแหน่ง ฝ่ายบัญชี เจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชี โทร 085-8473169 บริษัท AC  จำกัด

ประสบการณ์การทำงาน

1.บริษัท ศูนย์การได้ยินดีเมด จำกัด เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่าย บุคคคล เงินเดือน 9,000 บาท

 หน้าที่รับผิดชอบ โทรนัดสัมภาษณ์งาน คีย์ประวัติพนักงาน ยื่นใบประกันสังคม

2.เป็น staff บริษัท บีอีชี เทโร

น้ำผลไม้ ตรามาลี

การวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาสและอุปสรรค (SWOT Analysis)

จุดแข็ง

1. เป็นเจ้าของสิทธิบัตรนวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีในกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มมูลค่าผลไม้ที่มีน้ำน้อย มากรองเป็นน้ำหวานเข้มข้นที่ยังคงคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน

2. ด้วยนวัตกรรมในกระบวนการผลิตสามารถนำไปพัฒนาเพิ่มสายผลิตภัณฑ์อื่นๆได้ง่าย เพียงคัดสรรผลไม้ที่มีน้ำน้อยก็จะได้น้ำหวานที่มีความเข้มข้นสูง เหมาะที่จะใช้เป็นวัตถุดิบขั้นต้นในอุตสาหกรรมอาหารอื่นๆ เช่น น้ำผลไม้พร้อมดื่ม เบเกอรี่ ไอศครีม เป็นต้น

3. วัตถุดิบ(กล้วย)หาง่าย มีผลผลิตทั้งปีไม่มีฤดูกาลราคาจึงไม่ผันผวน ง่ายต่อการควบคุมต้นทุนการผลิต

4. ผลิตภัณฑ์น้ำกล้วยพร้อมดื่มมีกรดอมิโนที่มาจากธรรมชาติในขณะที่น้ำผลไม้ชนิดอื่นในตลาดไม่มี

5. By Product จากกระบวนการผลิตสามารถนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆได้อีกอย่างหลากหลาย หากสามารถพัฒนาได้ครบวงจรจะทำให้ต้นทุนสินค้าต่อหน่วยต่ำลงเป็นอย่างมาก

จุดอ่อน

1. ผลิตภัณฑ์น้ำกล้วยพร้อมดื่มเป็นน้ำผลไม้รสชาติใหม่ซึ่งผู้บริโภคยังไม่คุ้นเคย จึงต้องทําการพัฒนาตลาดด้วยการให้ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เป็นอย่างมาก

2. ผลิตภัณฑ์และตราสินค้าของบริษัทยังใหม่ในตลาดทำให้บริษัทต้องใช้งบประมาณมากในการสร้างตราสินค้าเพื่อให้ผู้บริโภครู้จักและเกิดความนิยมอย่างแพร่หลาย

3. เนื่องจากเป็นสินค้าใหม่จึงขาดอำนาจในการต่อรองเพื่อเข้าสู่ช่องทางการจัดจำหน่ายในการค้าปลีก

4. การผลิตและจำหน่ายในปริมาณที่น้อยกว่าคู่แข่งขัน ทำให้ขาดประโยชน์จาก Economic of Scale ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตอาจสูงกว่าคู่แข่งขัน

5. ขาดความหลากหลายในด้านรสชาติของผลิตภัณฑ์

6. วัตถุดิบอาจมีคุณภาพไม่สม่ำเสมอจากการที่มาจากหลายแหล่ง ส่งผลต่อการควบคุณต้นทุนและคุณภาพในกระบวนการผลิต

โอกาส

1. ตลาดน้ำผลไม้ไทยมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอัตรา 20% ต่อปี

2. รัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพของประชาชน จึงมีนโยบายในการส่งเสริมด้วยการจัดกิจกรรมให้ประชาชนตื่นตัวในเรื่องการรักษาสุขภาพ

3. กระแสความนิยมในการบริโภคน้ำผลไม้เป็นเครื่องดื่มแก้กระหายและเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ

4. เกิดกระแสการดื่มน้ำผลไม้เพื่อทดแทนเครื่องดื่มชนิดอื่นๆที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น น้ำอัดลม ชาเขียว หรือ น้ำสมุนไพรที่มีน้ำตาลสูง เป็นต้น

5. วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของคนเมืองที่เร่งรีบ การบริโภคน้ำผลไม้จึงเป็นทางเลือกที่สะดวกกว่ารับประทานผลไม้สด

6. รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนผู้ผลิตรายย่อย (SME) โดยส่งเสริมและสนับสนุนทั้งทางด้านการลงทุนและการให้ความรู้และสิทธิประโยชน์ทางภาษี

อุปสรรค

1. แนวโน้มของราคาน้ำมันสูงที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ต้นทุนการผลิตและการขนส่งสูง

2. พื้นที่การเกษตรถูกแบ่งไปปลูกพืชเพื่อพลังงานทดแทน ทำให้ผลผลิตเพื่อเป็นวัตถุดิบน้ำผลไม้ลดลง และอาจทำให้ราคาวัตถุดิบสูงขึ้น

3. สภาวะโลกร้อนส่งผลให้ภูมิอากาศแปรปรวนหรือเกิดภัยธรรมชาติมากขึ้น จึงอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการขาดแคลนวัตถุดิบ หรือ วัตถุดิบมีราคาสูงขึ้น

4. ธุรกิจนํ้าผลไม้เป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันกันค่อนข้างรุนแรงมีผู้ผลิตมากราย เนื่องจากการเข้าออกธุรกิจค่อนข้างง่ายเพราะเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เงินลงทุนไม่สูงนัก เทคโนโลยีการผลิตไม่ซับซ้อน

5. สินค้าทดแทนมีหลายหลายประเภทเช่นน้ำสมุนไพร น้ำอัดลม นมเปรี้ยว ซึ่งมีราคาถูกกว่ามาก

6. ระบบและขั้นตอนการขออนุญาตทั้งในด้านการขอจัดตั้งโรงงานไปจนถึงการตรวจสอบวิเคราะห์และออกเอกสารรับรองคุณภาพสินค้ายังยุ่งยาก ซับซ้อน ขาดความเชื่อมโยงและขาดความราบรื่นในการประสานงานระหว่างหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน

7. การปรับลดภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าเกษตรนำเข้า เอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร แต่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรที่ไม่สามารถปรับตัว

นางสาว ณัฏฐาทิพย์ วงค์จันทร์คำ รหัส 50473010019 โปรแกรม เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

resume

 

 

 

 

 

ตำแหน่งที่สมัคร                   : เจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อ

เงินเดือนที่ต้องการ                : 10,000 บาท

ประวัติส่วนตัว ชื่อ - สกุล         : นางสาว ณัฏฐาทิพย์ วงค์จันทร์คำ

ที่อยู่ปัจจุบัน                         : 141/145 หมู่ 1 ตำบล ศาลายา อำเภอ พุทธมณฑล จังหวัด นครปฐม

เบอร์ โทรที่สามารถติดต่อได้     : 087-0118271

ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน              : 141/145 หมู่ 1 ตำบล ศาลายา อำเภอ พุทธมณฑล จังหวัด นครปฐม

อายุ                                     : 22 ปี

เพศ                                     : หญิง

น้ำหนัก                                 : 52 กิโลกรัม

ส่วนสูง                                  : 170 เซนติเมตร

วันเดือนปีเกิด                          : 20 เมษายน 2531

สถานที่เกิด                             : บุรีรัมย์

ศาสนา                                   : พุทธ

สัญชาติ                                  : ไทย

เชื้อชาติ                                  : ไทย

สถานภาพ                                : โสด

เลขที่บัตรประชาชน                    : 1319900141461ออก ณ อำเภอพุทธมณฑล วันออกบัตร 8 มิถุนายน 2552 วันหมดอายุ 19 เมษายน 2559

ชื่อบิดา                                    : นาย ไว วงค์จันทร์คำ อายุ 47 ปี อาชีพ รับจ้าง

ชื่อมารดา                                  : นาง เพ็ญประภา วงค์จันทร์คำ อายุ 45 ปี อาชีพ รับจ้าง

กรณีฉุกเฉินติดต่อ                        : 1. คุณ ไว วงค์จันทร์คำ โทร. 081-7634916 

                                               : 2. คุณ เพ็ญประภา วงค์จันทร์คำ โทร. 080-4395333

 

ประวัติการศึกษาและคุณวุฒิ

ระดับการศึกษา

ชื่อสถานศึกษา

วุฒิที่ได้รับ

คะแนนเฉลี่ย

วิชาเอก

มัธยมศึกษา

โรงเรียนสิรินธรราชวิทยาลัย

โรงเรียนบวรรัตนโกสินทร์สมโภชบวรนิเวชศาลายา

มัธยมศึกษาตอนต้น

มัธยมศึกษาตอนปลาย

3.28

2.67

-

ศิลป์-สังคม

อุดมศึกษา

มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

ปริญญาตรี

2.49

เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

บุคคลอ้างอิง
1. คุณ โอภาส หล่าเพลีย อาชีพ วิศวกรเครื่องกล บริษัท ปัญจพล ไฟเบอร์ คอนเทนเนอร์  จำกัด

2. คุณ  เมฆา   หล่าเพลีย อาชีพ  หัวหน้าวิศวกร  บริษัท ปัญจพล ไฟเบอร์ คอนเทนเนอร์  จำกัด

ประสบการณ์การทำงาน

1. บริษัท พูลเพิ่มไพศาล จำกัด ตำแหน่ง พนักงานฝ่ายธุรการ

 

 

 

บริษัท โคคาโคล่า ประเทศไทย จำกัด (มหาชน)

SWOT Analysis 

Strength
- Coke เป็นผู้ที่เข้ามาเปิดตลาดเป็นรายแรกทำเป็นที่สนใจและดึงดูดใจของผู้บริโภคซึ่งสร้างความรู้สึกให้กับตัว ผลิตภัณฑ์ว่า เป็น ของแท้

- เป็น Global Brand ที่สั่งสมความน่าเชื่อถือมายาวนาน

-มี Positioning ที่ชัดเจนทำให้ผู้บริโภคจดจำ Brand ได้อย่างแม่นยำ ไม่สับสนกับ Brand อื่น

-เป็น Brand ที่แข็งแกร่งมาก ซึ่งเกิดจากการรับรู้ของผู้บริโภค ทำให้คู่แข่งไม่สามารถเลียนแบบ และทำการแข่งขันได้อยาก

- เป็นผู้นำทางการตลาดมีสัดส่วนในการครองตลาดน้ำดื่ม CSD สูง ( Market share leadership)

- Brand Perception มียี่ห้อที่เป็นที่จดจำและอยู่ในใจของผู้บริโภคย่อมแสดงถึงความสามารถในการ
เข้าถึงลูกค้าได้เป็นอย่างดี รวมทั้งการมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์

- การที่ Coke เข้ามาในระยะเวลาที่ยาวนานและสามารถครองตลาดได้เป็นอย่างดีและต่อเนื่องนั้นทำ
ให้ Coke สร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจได้ดี ส่งผลให้มีอำนาจในการต่อรองกับคู่ค้าและธุรกิจที่
เกี่ยวข้องได้มาก

- Coke เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เนื่องจากการเปิดตลาดออกไปอย่างแพร่หลาย

- มีการตลาดที่ดี เช่น การทำ promotion ในช่วงเวลาต่างๆอย่างเหมาะสม การวางแผนการตลาดด้าน
ต่างๆรวมถึง Advertisement ด้วย

- เป็นผู้นำตลาดทางด้าน fountain market เนื่องจาก Coke เริ่มบุกตลาดทางด้านนี้ก่อน brand อื่นๆ
เช่น ในปี 2000 Coke มีสัดส่วนตลาดนี้ถึง 65%

- เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีฐานการผลิตกว้างขวาง ครอบคลุมทั่วโลก
- เป็น Brand ที่ผู้บริโภคมี Loyalty สูง เนื่องจากไม่เพียงแต่ทำให้ผู้บริโภคเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์ของตนเองเท่านั้นยังสามารถทำให้ผู้บริโภคมีความรักกับ Brand ได้อีกด้วย

-โค้กใช้ กลยุทธ์ Emotional Marketing และ Lifestyle "มีทัศนคติด้านบวกและมองโลกในแง่ดี" หรือ "ดื่มโค้กแล้วทำให้มีความสุข" จาก แคมเปญ Coke Slide of Life เป็นแคมเปญ ที่เน้นกันที่ Emotional ล้วนๆ เพื่อต้องการสร้างความรู้สึกขึ้นในใจของให้ผู้บริโภค และใช้อารมณ์ความรู้สึกในการตัดสินใจซื้อ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่มีความสร้างสรรค์และตรงใจผุ้บริโภคเป็นอย่างมาก

Weakness
- การที่ Coke จะเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ นั้นย่อมเป็นไปได้ยาก เนื่องจาก Coke เป็นที่รู้จักของ ผู้บริโภคในด้านน้ำดื่มโคล่า ซึ่งการที่จะขยายไปในด้านอื่นนั้นเป็นเรื่องที่ยากที่ผู้บริโภคจะให้ความสนใจและเชื่อถือ ซึ่งถ้าขยายความกว้างของผลิตภัณฑ์มากไปจะทำให้สินค้าโคล่านี้อ่อนกำลังไปด้วย-มีความเป็นนักอนุรักษ์(Conservative ทำให้การปรับตัวของบริษัทไม่ทันกับคู่แข่งรายอื่นๆ- มีสายการผลิตที่กว้างมากจนยากที่จะควบคุมการผลิต- โค้กมักถูกมองว่าไม่มี Innovation จะเห็นได้จาก Line สินค้าที่มีให้เลือกไม่มากนัก และยังถือว่าน้อยกว้าคู่แข่ง ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคหันไปทดลองสินค้าอื่นที่มีความแปลกใหม่ได้ง่าย-เป็นเครื่องดื่มที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

- ความสามารถในการขยายผลิตภัณฑ์มีค่อนข้างจำกัด เนื่องจากการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับ line สินค้าเดิมเป็นเรื่องที่ยาก และอาจทำให้ภาพ ความ Classic อ่อนลง

Oppornity

 - ตลาดยังเปิดกว้างสำหรับเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์

- การสื่อสารไร้พรมแดน ทำให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น

- ลักษณะของสินค้า เนื่องจากตัวผลิตภัณฑ์ที่เป็นเครื่องดื่มโคล่านั้นมีจุดต่างจากเครื่องดื่มอื่นซึ่ง ผู้บริโภคเชื่อว่าดื่มแล้วช่วยสร้างความสดชื่นซึ่งเป็นเสมือนจุดขายของสินค้านี้

- เทคโนโลยี ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องซึ่งในอนาคตข้างหน้าเทคโนโลยีย่อมพัฒนาขึ้นอย่างมากช่วยในด้านการผลิต การโฆษณาช่วยให้ผู้บริโภครู้จักได้มากขึ้น การกระจายสินค้า เป็นต้น

- การเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของผู้บริโภคมีมากขึ้นเพิ่มความสะดวกให้กับผู้บริโภค ซึ่งก็เนื่องมาจากการพัฒนาทางเทคโนโลยีด้วย

Treat
- มีสินค้าตัวแทน เนื่องจากตลาดเครื่องดื่มนี้มีการขยายออกอย่างแพร่หลายทำให้ผู้บริโภคมี
ทางเลือกมากขึ้นกว่าในอดีต

- ราคาของวัตถุดิบผันผวน เช่น ราคาน้ำตาลที่สูงขึ้นย่อมทำให้ส่งผลต่อราคาต่อหน่วยของสินค้าด้วย
หากราคาสูงขึ้น ความต้องการย่อมลดลง-เป็บซี่ใช้กลยุทธ์ In&Out คือ การสร้างโปรดักต์ ใหม่ๆ บนฐานของน้ำดำ เพื่อสร้างสีสันให้ตลาดมีทั้งเป๊ปซี่แม็กซ์, เป๊ปซี่ทวิสต์, เป๊ปซี่บลู, เป๊ปซี่ไฟร์, เป๊ปซี่ไอซ์ และเป๊ปซี่ลาเต้ ทำให้ผู้บริโภคเกิดทางเลือกที่มากขึ้นและมีความรู้สึกถึงความแปลกใหม่และอาจให้ความสนใจ และทดลองบริโภค จนอาจเกิดการ Switching Brand ได้

- ภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน เมื่อเศรษฐกิจแย่ลงย่อมมีผลต่อการบริโภคของประชาชนซึ่งจะบริโภคอย่างจำกัดมากขึ้น

- การแข่งขันที่รุนแรง ทั้งตลาดเดิมและเครื่องดื่มใหม่ๆที่พยายามเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้การจะครองส่วนแบ่งตลาดจำนวนมากนั้นยากขึ้น

- ค่านิยมของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลง คือให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพมากขึ้นทำให้ผู้บริโภคลดการบริโภคเครื่องดื่มโคล่าลง เนื่องจากไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และให้ความสนใจกับสินค้าที่ให้ผลดีกับสุขภาพมากขึ้น

- การแพร่ของข่าวความผิดพลาดในการผลิต ทำให้เกิดความเสียหายกับตราสินค้า ผุ้บริโภคอาจม่ายเชื่อถือและเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคได้

- จากผลสำรวจ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ชื่นชอบรสชาติของเป๊ปซี่มากกว่า

นางสาว ฐิรดา สันทาลุนัย รหัส 50473010052 โปรแกรม เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

ธุรกิจที่ข้าพเจ้าเลือก คือ บริษัททัวร์  In style travel

สาเหตุที่เลือกปล่อยเงินกู้ให้กับบริษัทนี้เพราะ เมื่อพิจารณาแล้วเทียบกับบริษัทอื่นบริษัทนี้ได้เปรียบ เพราะ กลุ่มลูกค้าที่เลือกจะไปทัวร์ต่างประเทศส่วนมากมักเป็น กลุ่มที่มีฐานะค่อนช้างดี และกลุ่มนี้มักชื่นชอบที่จะเลือกทัวร์ทางกลุ่มประเทศทางทวีปยุโรป

 

จุดแข็ง

  1. สายการบิน เราใช้สายการบินที่ตรงถึงจุดหมาย ที่ให้ความสะดวกสบาย
  2. โรงแรมที่เราเลือกให้ลูกค้าพักเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาวขึ้นไป
  3. อาหารที่คัดสรรให้ลูกค้าเป็นอาหารที่มีความหลากหลาย และเป็นชั้นดี
  4. รถโค้ช นอกเหนือจากรถใหม่ที่ไดมาตรฐานนั้น พนักงานขับรถทุกคนจะรู้จักเส้นทางเป็นอย่างดีรวมถึงเส้นทางลัดต่างๆด้วย
  5. เส้นทางการเดินทาง วางแผนเป็นระบบ ตรวจเช็คผ่านระบบ GPS
  6. หัวหน้าทัวร์ได้รับการอบรม พัฒนาให้มีความรู้ความสามารถ อีกทั้งยังสามารถแปลได้หลายภาษา และมีประสบการณ์ไม่ต่ำกว่า 20 ปี
  7. สามารถจองทัวร์ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต
  8. บริษัทมีการจัดตั้งมานาน และมีประสบการณ์ด้านนี้หลายปี ได้รับความเชื่อถือ

 

 

จุดอ่อน

  1. ประเทศที่มีการจัดทัวร์ยังไม่มีทางทวีปเอเชีย ส่วนมากเน้นเป็นทวีปยุโรป  แต่เนื่องจากประเทศในเอเชียก็มีหลายประเทศที่มีสถานที่ท่องเที่ยวมาก และคนไทยนิยมที่จะไปเที่ยว เช่น ประเทศจีน ประเทศสิงคโปร์ เป็นต้น
  2. ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของประเทศที่มีการจัดทัวร์

 

โอกาส

  1. ในอนาคตการที่จะเปิดทัวร์ในประเทศอื่นมีโอกาสเพิ่มขึ้น
  2. ทำให้มีการจ้างงานมากขึ้น คนที่มีความสามารถในภาษาจะมีงานมากขึ้น

 

อุปสรรค

  1. มีบริษัทคู่แข่งด้านนี้ค่อนข้างมาก
  2. บริษัทคู่แข่งอาจมีตัวเลือกในการให้ลูกค้าเลือกมากกว่า เช่นมีการจัดทัวร์หลายประเทศมากกว่า มีผู้เชี่ยวชาญมากกว่า
  3. บริษัทคู่แข่งอาจมีชื่อเสียง หรือ ประสบการณ์มากกว่า
  4. ธุรกิจประเภทนี้ บางครั้งสถานการณ์ต่างๆก็มีส่วนทำให้ลูกค้าตัดสินใจไปทัวร์ เช่นสถานการณ์การเมือง ในประเทศที่มีการจัดทัวร์อาจทำให้ลูกค้าเลือกไปที่อื่นที่ปลอดภัยกว่า

resume

 

 

 

 

 

ตำแหน่งที่สมัคร: เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน

เงินเดือนที่ต้องการ : 10,000 บาท

ประวัติส่วนตัว ชื่อ - สกุล : นางสาว ฐิรดา สันทาลุนัย

ที่อยู่ปัจจุบัน : 162/105 ถ.ติวานนท์ ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000

เบอร์ โทรที่สามารถติดต่อได้ : 081-383-3866

ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน : 105 ซ.อัญชลี 8 ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000

อายุ : 21 ปี

เพศ : หญิง

น้ำหนัก : 45 กิโลกรัม

ส่วนสูง : 162 เซนติเมตร

วันเดือนปีเกิด : 25 ธันวาคม 2531

สถานที่เกิด : นนทบุรี

ศาสนา : พุทธ

สัญชาติ : ไทย

เชื้อชาติ : ไทย

สถานภาพ : โสด

เลขที่บัตรประชาชน : 1 1299 00042 70 8  วันออกบัตร 22 เม.ย.2553 วันหมดอายุ 24 ธ.ค.2559

ชื่อบิดา : นายแพง สันทาลุนัย อายุ 48 ปี อาชีพรับจ้าง

ชื่อมารดา : นางสุนันทา สันทาลุนัย อายุ 53 ปี อาชีพรับจ้าง

กรณีฉุกเฉินติดต่อ : 1. คุณสุนันทา สันทาลุนัย โทร.089-420-5099 2. คุณแพง สันทาลุนัย โทร 087-506-0203

ประวัติการศึกษาและคุณวุฒิ 

ระดับการศึกษา

ชื่อสถานศึกษา

วุฒิที่ได้รับ

คะแนนเฉลี่ย

วิชาเอก

มัธยมศึกษา

รร.ชลประทานวิทยา

มัธยมศึกษาตอนปลาย

2.68

วิทย์-คณิต

อุดมศึกษา

มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

ปริญญาตรี

3.30

เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

 

บุคคลอ้างอิง
1. คุณกัญญาณัฐ จินพละ อาชีพ ตำแหน่ง เจ้าหน้าที่ฝ่ายวัสดุ ม.ราชภัฎสวนสุนันทา 081-911-4190
2. คุณกิตติศักดิ์ ภู่อมร อาชีพ อาจารย์ คณะ วิทยาศาสตร์ ม.ราชภัฎสวนสุนันทา 085-345-6224

ประสบการณ์การทำงาน

ระยะเวลา

ตำแหน่ง

บริษัท

เงินเดือน

มี.ค.-พ.ค.2553

ผู้ช่วยพนักงานขาย

บ.แลนด์แอนด์เฮาส์

300 บาท/วัน

มี.ค.-พ.ค. 2552

ผู้ช่วยพนักงานบัญชี

บ.ศูนย์การได้ยินดีเมด

250บาท/วัน

ก.พ.-มิ.ย.2551

พนักงานเสิร์ฟ

Swensen’s

35บาท/ชั่วโมง

                                                                                         

นางสาวประภัสสร จันทะวงษา รหัส 50473010031 โปรแกรมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

ตำแหน่งที่สมัคร: เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน

เงินเดือนที่ต้องการ : 10,000 บาท

ประวัติส่วนตัว ชื่อ - สกุล : นางสาว ประภัสสร จันทะวงษา

ที่อยู่ปัจจุบัน : 90/21-23 ซอย เปรมสมบัติแยก3

ถนนประชาสงเคราะห์ เขตดินแดง กทม. 10400

เบอร์ โทรที่สามารถติดต่อได้ : 084-9274647

ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน : 88/7 ซ.เปรมสมบัติแยก3

ถนนประชาสงเคราะห์ เขตดินแดง กทม. 10400

อายุ : 21 ปี

เพศ : หญิง

น้ำหนัก : 48กิโลกรัม

ส่วนสูง : 158 เซนติเมตร

วันเดือนปีเกิด : 24 พ.ย. 2531

สถานที่เกิด : กรุงเทพมหานคร

ศาสนา : พุทธ

สัญชาติ : ไทย

เชื้อชาติ : ไทย

สถานภาพ : โสด

เลขที่บัตรประชาชน : 1101401494754 

วันออกบัตร 11 มิ.ย. 2552 วันหมดอายุ 23 มิ.ย. 2558

ชื่อบิดา :  นายเพ็ญศรี จันทะวงษา  อายุ 48 ปี อาชีพ ค้าขาย

ชื่อมารดา :  นางระเบียบ สีนาหอม อายุ 51 ปี อาชีพ ค้าขาย

กรณีฉุกเฉินติดต่อ : นางสาวณัฎฐาทิพย์ วงค์จันทร์คำ

ประวัติการศึกษาและคุณวุฒิ

ระดับการศึกษา

ชื่อสถานศึกษา

วุฒิที่ได้รับ

คะแนนเฉลี่ย

วิชาเอก

มัธยมศึกษา

โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา

มัธยมศึกษาตอนปลาย

2.40

อังกฤษ - ฝรั่งเศส

อุดมศึกษา

มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

ปริญญาตรี

2.00

เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

 

บุคคลอ้างอิง


1. คุณกัญญาณัฐ จินพละ

อาชีพ ตำแหน่ง เจ้าหน้าที่ฝ่ายวัสดุ

ม.ราชภัฎสวนสุนันทา 081-911-4190


2. คุณกิตติศักดิ์ ภู่อมร

อาชีพ อาจารย์ คณะ วิทยาศาสตร์

ม.ราชภัฎสวนสุนันทา 085-345-6224

ประสบการณ์การทำงาน

ระยะเวลา

ตำแหน่ง

บริษัท

เงินเดือน

มี.ค. 2550 – ก.ค. 2552

แคชเชียร์

MINOR FOOD GROUP

(The pizza company)

33 บาท / ชม.

ก.ค. 2552 – ก.ค. 2553

แคชเชียร์

MINOR FOOD GROUP

( Swensen’s )

31 บาท / ชม.

 

จุดแข็ง
1. ผู้บริหารมีความรู้ และสูตรในการผลิตน้ำพริกเป็นอย่างดี

และดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับน้ำพริกมาเป็นเวลายาวนาน

2. มีช่องทางการจัดจำหน่ายที่แน่นอน โดยทำสัญญาส่ง

เป็นรายเดือนกับบริษัทตัวแทนจำหน่าย


3. ได้รับเครื่องหมายรับรองคุณภาพสินค้าจากองค์กรอาหารและยา

ตั้งแต่ปีแรกที่เริ่มดำเนินการ


4. มีต้นทุนการผลิตต่ำ ทำให้สามารถตั้งราคาขายได้ถูกกว่า

คู่แข่งระดับเดียวกันในตลาด


5. กิจการตั้งอยู่ใกล้แห่งวัตถุดิบที่จำเป็นในการผลิตน้ำพริก

ทำให้มีต้นทุนในการขนส่งด้านวัตถุดิบที่ต่ำ

รวมทั้งไม่จำเป็นต้องสำรองวัตถุดิบไว้มาก


6. เงินลงทุนเริ่มแรก เป็นเงินลงทุนของผู้ก่อตั้งเองทั้งหมด

ทำให้กิจการไม่มีปัญหาภาระหนี้สิน

จุดอ่อน
1. ตราสินค้าของกิจการยังไม่เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคมากนัก

เนื่องจากยังไม่มีการโฆษณาและประชาสัมพันธ์
ตราสินค้าให้ผู้บริโภครับรู้เท่าที่ควร


2. กิจการมีการดำเนินการในลักษณะ Labor Intensive

ทำให้การเพิ่มกำลังแรงงาน และกำลังการผลิต
เป็นได้ยาก

3. พนักงานส่วนใหญ่เป็นพนักงานระดับแรงงาน

ทำให้การพัฒนาทักษะฝีมือต้องใช้เวลามาก


4. สถานที่ผลิตสินค้าอยู่ในเขตที่พักอาศัยของชุมชน

ทำให้เกิดข้อจำกัดในด้านการขยายกำลังการผลิต


โอกาส
1. น้ำพริกเป็นอาหารที่อยู่คู่กับคนไทยมานาน

และเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมาโดยตลอด
ทำให้สินค้าสามารถขายได้อย่างสม่ำเสมอ


2. รัฐบาลมีนโยบายในการที่จะส่งเสริมธุรกิจขนาดกลาง

และขนาดเล็กอย่างจริงจัง ทำให้เป็นโอกาสในการ
ขยายการผลิต

อุปสรรค
1. เป็นอุตสาหกรรมที่ลงทุนไม่มาก ทำให้มีคู่แข่งในตลาดจำนวนมาก
2. สินค้าเลียนแบบได้ง่าย  ทำให้กิจการจำเป็นต้องสร้างความแตกต่าง
รวมทั้งสร้างการรับรู้ในตราสินค้า ให้กับกับผู้บริโภค
3. สูตรและฝีมือการทำน้ำพริกของผู้ผลิตแต่ละรายไม่แตกต่างกันมาก 
ทำให้ผู้บริโภคแยกความแตกต่างของสินค้าได้ยาก
4. น้ำพริกเป็นสินค้าที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบตามธรรมชาติเป็นหลัก
ดังนั้นทำให้มีความเสี่ยงในเรื่องของผลผลิตขาดตลาด
หรือความผันผวนของราคาวัตถุดิบ

นางสาวนิรมล สายวงษ์คำ  โปรแกรมเศรษศาสตร์ธุรกิจ

รหัสนักศึกษา 50473010005

 

บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ที่อยู่ : ดิออฟฟิศเศส แอท เซ็นทรัล เวิร์ด ชั้น 39-43 เลขที่ 999/9
ถนนพระราม 1 แขวงปทุมวัน กรุงเทพ 10330

การวิเคราะห์การตลาด (SWOT Analysis) 

Strangest : เป็นแบรนด์ที่มีมานานจึงให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจเรื่องคุณภาพของสินค้า  นอกจากนี้ยังเป็นแบรนด์ที่ดังในระดับโลก  ทำให้ช่วยในการส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้เป็นอย่างดีและด้วยรสชาติของกาแฟที่พัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญทำให้ได้รสชาติของกาแฟแท้  อีกทั้งเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับในด้านคุณภาพและการพัฒนาผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์และความต้องการของผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม  

Weakness : ด้วยความที่เนสกาแฟเป็นกาแฟที่มีรสที่เข้มข้น  และทางแบรนด์เนสกาแฟเองก็ได้ชูจุดนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างจากคู่แข่ง  แต่ในทางกลับกันการที่กาแฟมีรสที่เข้มข้นมากไปนั้นอาจจะทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มไม่สามารถที่จะบริโภคได้

Opportunity : กาแฟกลายเป็นอาหารหลักในตอนเช้าของคนยุคใหม่ เนื่องจากคนเมืองมีวิถีการใช้ชีวิตแบบเร่งรีบ   ในขณะที่เครื่องดื่มยามบ่าย หรือเครื่องดื่มแก้ง่วงนอน เพื่อความกระฉับกระเฉง ของกลุ่มคนทำงานก็คือกาแฟเช่นกัน  จึงถือเป็นโอกาสที่จะสามารถขยายตลาด ตลอดถึงครองส่วนแบ่งทางการตลาดได้มากขึ้น

Threat : มีคู่แข่งเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ได้แก่ เนสเปรสโซ่ มอกโคน้า เป็นต้น ซื่งมีคุณสมบัติและรสชาติใกล้เคียงกัน จึงอาจทำให้ผู้บริโภคเกิดการเปลี่ยนแบนด์ได้ง่าย (switching brand) รวมถึงทำให้ความภักดีต่อแบรนด์น้อยลงเช่นกัน

 

การวิเคราะห์ MACRO & MICRO

     ในปัจจุบัน การแข่งขันทางธุรกิจทวีความรุนแรงมากขึ้น ทางบริษัทจึงได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆอย่างต่อเนื่องและยังมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเพื่อรองรับความต้องงการของลูกค้าที่มีอยู่หลายกลุ่ม  ทางบริษัทได้รักษาคุณภาพของสินค้าที่ดีได้อย่างยาวนานจึงทำให้มีลูกค้าที่มีความซื่อสัตย์ต่อแบรนด์อยู่มากจึงทำให้สินค้ามีส่วนแบ่งครองตลาดอยู่มาก

     เนสท์เล่ประเทศไทย ให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านการพัฒนาการผลิต และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ขณะเดียวกันในโรงงานทุกแห่งของเนสท์เล่ ได้ดำเนินตามหลักเกณฑ์ในด้านสิ่งแวดล้อมอาชีวอนามัย และความปลอดภัยในโรงงานอย่างเคร่งครัด เพื่อเพิ่มผลผลิตสินค้าคุณภาพ แก่ตลาดไทยและตลาดอื่นๆ โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ได้ทุ่มทุนกว่า 4 พันล้านบาทในการสร้างและขยายโรงงาน

     เนสท์เล่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองเวเวย์ สวิตเซอร์แลนด์ ประกอบไปด้วย 3 บริษัท ซึ่งเป็นหน่วยงานหลัก คือ เนสท์เล่ เอส.เอ., เนสท์เล่ เวิร์ลเทรด คอร์ปอเรชัน และเนสเทค เอส.เอ. สำนักงานใหญ่แห่งนี้ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางประสานงาน ระหว่างเนสท์เล่ทั่วโลกทั้ง 84 ประเทศ โรงงานผลิต 468 แห่ง ศูนย์วิจัยใหญ่ 1 แห่ง รวมทั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาอีก 16 แห่ง ใน 4 ทวีป

     นโยบายในการดำเนินธุรกิจของเนสท์เล่ เน้นความเป็นอิสระคล่องตัว และกระจายอำนาจในการดำเนินงานในแต่ละประเทศ โดยอิงกลยุทธ์หลักร่วมกัน ทั้งนี้เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละตลาดได้อย่างแท้จริง

 

 

RESUME

ประวัติส่วนตัว

ชื่อ  นางสาวนิรมล   นามสกุล  สายวงษ์คำ

Miss   NIRAMON SAIVONGKUM

ที่อยู่ปัจจุบัน   111/206 หมู่ที่ 6 แขวงสีกัน ถนนนาวงประชาพัฒนา เขตดอนเมือง จังหวัดกรุงเทพฯ 10210

ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน  111/206 หมู่ที่ 6 แขวงสีกัน ถนนนาวงประชาพัฒนา เขตดอนเมือง จังหวัดกรุงเทพฯ 10210

สัญชาติ  ไทย         เชื้อชาติ  ไทย             ศาสนา  พุทธ

วันเกิด  14 พฤศจิกายน  พ.ศ. 2531

อายุ  21 ปี  8  เดือน

ส่วนสูง   168  เซนติเมตร  น้ำหนัก 48  กิโลกรัม

สถานภาพการสมรส     โสด           

เบอร์โทรศํพท์ (บ้าน)          ‑             เบอร์โทรศํพท์ (มือถือ) 085-074-1239

E-mail  :  [email protected]

งานอดิเรก   อ่านหนังสือ , ฟังเพลง ,ดูหนัง , ถักนิตติ้ง

ประวัติการศึกษา                

ชั้นประถมศึกษา  :  โรงเรียนพระหฤทัยดอนเมือง

ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น : โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ หอวังนนทบุรี

ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย  :  โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ หอวังนนทบุรี

ระดับปริญญาตรี  :  มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

มาตรฐานการสำเร็จการศึกษาของบัณฑิต   

ผ่านเกณฑ์ ICT และภาษาอังกฤษ

ผ่านเกณฑ์ การพัฒนาบุคลิกภาพ  คุณธรรม  และจริยธรรม

 

 

ประสบการณ์การทำงาน 

ระยะเวลา

ตำแหน่ง

บริษัท

เงินเดือน

มี.ค.-พ.ค.2553

พนักงานฝ่ายผลิต

บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล แลบบอราทอรีส์ จำ

250 บาท/วัน

มี.ค.-พ.ค. 2552 - 2551

พนักงาน

บริษัท ซี.พี. ออลล์ จำกัด (มหาชน)

206บาท/วัน

 

ผู้รับรอง           

ผศ. ศิวิไล ชยางกูร คณะวิทยาการจัดการ

มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

- สามารถใช้คอมพิวเตอร์ในโปรแกรมเบื้องต้นได้ เช่น Microsoft Office

- สามารถประเมินสถานการณ์หรือเข้าใจปัญหาได้เร็ว

- มีความรับผิดชอบ และมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ในการปฏิบัติงานร่วมกับบุคคลอื่น

 

 

น.ส. ญาณิศา แสงเพชร รหัส 50473010051

Resume

ชื่อ นางสาวญาณิศา นามสกุล แสงเพชร

Miss Yanisa seangpach

 ที่อยู่ปัจจุบัน 494/2 หมู่ที่ 1 ถนนประชาอุทิศ 37 แขวงบางมด เขตทุ่งครุ จังหวัดกรุงเทพมหานคร 10140

ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน 494/2 หมู่ที่ 1 ถนนประชาอุทิศ 37 แขวงบางมด เขตทุ่งครุ จังหวัดกรุงเทพมหานคร 10140

สัญชาติ ไทย เชื้อชาติ ไทย ศาสนา พุทธ

วันเกิด 17 พฤษภาคม 2532

อายุ 21 ปี 2 เดือน ส่วนสูง 164 เซนติเมตร น้ำหนัก 60 กิโลกรัม

สถานภาพการสมรส โสด

 เบอร์โทรศํพท์ (บ้าน) 0-2428-2504 เบอร์โทรศํพท์ (มือถือ) 081-285-0794 E-mail : [email protected]

งานอดิเรก อ่านหนังสือ , ฟังเพลง , ดูหนัง

 ประวัติการศึกษา ชั้นประถมศึกษา : โรงเรียนนาหลวง จังหวัดกรุงเทพมหานคร ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น : โรงเรียนวัดพุทธบูชา จังหวัด กรุงเทพมหานคร

ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย : โรงเรียนวัดพุทธบูชา จังหวัด กรุงเทพมหานคร ระดับปริญญาตรี : มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

มาตรฐานการสำเร็จการศึกษาของบัณฑิต ผ่านเกณฑ์ ICT และภาษาอังกฤษ ผ่านเกณฑ์ การพัฒนาบุคลิกภาพ คุณธรรม และจริยธรรม

ทักษะและความสามารถพิเศษอื่นๆ สามารถใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ ได้ เช่น Microsoft Office สามารถพิมพ์ดีดภาษาไทยได้ 140 คำ/นาที ภาษาอังกฤษได้ 120 คำ/นาที

มีความรับผิดชอบและมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี

วิเคราะห์กิจการที่น่าให้เงินกู้ ให้วิเคราะห์ทั้ง MACRO & MICRO and SWOT Analysis

กิจการที่เลือก คือ เอ็มเคเรสเตอร์เร้น

การวิเคราะห์การตลาด (SWOT Analysis)

Strangest : เป็นธุรกิจด้านอาหารที่มีมานานจึงให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจเรื่องคุณภาพของสินค้า อีกทั้งเป็นร้านอาหารที่ได้รับการยอมรับในด้านคุณภาพและการพัฒนาผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์และความต้องการของผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม

 Weakness : เป็นธุรกิจที่มีความใส่ใจในด้านคุณภาพของอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของผู้บริโภคโดยไม่คำนึงถึงราคา

 Opportunity :ในปัจจุบันที่ผู้คนหันมาสนใจสุขภาพมากขึ้นทั้งธุรกิจเองก็ยังคงรักษาคุณภาพของสินค้าเอาไว้ จึงถือเป็นโอกาสที่จะสามารถขยายตลาด ตลอดถึงครองส่วนแบ่งทางการตลาดได้มากขึ้น

Threat : มีคู่แข่งเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ได้แก่ ชาบูชิ บาร์บีคิวพลาซ่าซื่งมีคุณสมบัติและรสชาติใกล้เคียงกัน จึงอาจทำให้ผู้บริโภคเกิดการเปลี่ยนแบนด์ได้ง่าย (switching brand) รวมถึงทำให้ความภักดีต่อแบรนด์น้อยลงเช่นกัน การวิเคราะห์

MACRO & MICRO ในปัจจุบัน การแข่งขันทางธุรกิจทวีความรุนแรงมากขึ้น ทางบริษัทจึงได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆอย่างต่อเนื่องและยังมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเพื่อรองรับความต้องงการของลูกค้าที่มีอยู่หลายกลุ่ม ทางบริษัทได้รักษาคุณภาพของสินค้าที่ดีได้อย่างยาวนานจึงทำให้มีลูกค้าที่มีความซื่อสัตย์ต่อแบรนด์อยู่มากจึงทำให้สินค้ามีส่วนแบ่งครองตลาดอยู่มาก เอ็มเค ให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านการพัฒนาการผลิต และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ขณะเดียวกันในโรงงานทุกแห่งของเอ็มเค ได้ดำเนินตามหลักเกณฑ์ในด้านสิ่งแวดล้อมอาชีวอนามัย และความปลอดภัยในโรงงานอย่างเคร่งครัด เพื่อเพิ่มผลผลิตสินค้าคุณภาพ นโยบายในการดำเนินธุรกิจของเอ็มเค เน้นความเป็นอิสระคล่องตัว และกระจายอำนาจในการดำเนินงาน โดยอิงกลยุทธ์หลักร่วมกัน ทั้งนี้เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละตลาดได้อย่างแท้จริง

น.ส. พานุมาศ อุตตะรถ รหัส 50473010050

Resume

 

 ชื่อ  นางสาวพานุมาศ นามสกุล  อุตตะรถ

ที่อยู่ปัจจุบัน   109/68 ม.5 ถนน สุขุมวิท 48 ซอยปิยะเวท แขวง คลองเตย เขต พระขโนง กรุงเทพมหานคร 10110

ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน 156 ม. 6 ตำบล ยางอูม อำเภอ ท่าคันโท จังหวัดกาฬสินธุ์ 46190

  สัญชาติ  ไทย         เชื้อชาติ  ไทย             ศาสนา  พุทธ

วันเกิด  10 ตุลาคม 2531

อายุ  21 ปี  9 เดือน

ส่วนสูง   159 เซนติเมตร  น้ำหนัก 40  กิโลกรัม

สถานภาพการสมรส     โสด           

เบอร์โทรศํพท์ (บ้าน)  0-2428-2504   เบอร์โทรศํพท์ (มือถือ) 084-941-7047

E-mail  :  [email protected]

งานอดิเรก   อ่านหนังสือ , ฟังเพลง , ดูหนัง

ประวัติการศึกษา                

ชั้นประถมศึกษา  :  โรงเรียนบ้านชัยศรีสุข จังหวัดกาฬสินธุ์

ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น : โรงเรียนท่าคันโทวิทยาคาร จังหวัด กาฬสินธุ์

ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย  : โรงเรียนท่าคันโทวิทยาคาร จังหวัด กาฬสินธุ์

 ระดับปริญญาตรี  :  มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

 มาตรฐานการสำเร็จการศึกษาของบัณฑิต   

ผ่านเกณฑ์ ICT และภาษาอังกฤษ

ผ่านเกณฑ์ การพัฒนาบุคลิกภาพ  คุณธรรม  และจริยธรรม

ทักษะและความสามารถพิเศษอื่นๆ

สามารถใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ ได้ เช่น Microsoft Office

สามารถพิมพ์ดีดภาษาไทยได้  140  คำ/นาที  ภาษาอังกฤษได้  120  คำ/นาที

มีความรับผิดชอบและมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี

วิเคราะห์กิจการที่น่าให้เงินกู้  ให้วิเคราะห์ทั้ง MACRO  & MICRO  and SWOT Analysis

กิจการที่เลือก คือ ร้านกาแฟแบล็คแคนยอน

การวิเคราะห์การตลาด (SWOT Analysis) 

Strangest : เป็นร้านกาแฟที่มความหลากหลายในด้านของเครื่องดื่มทั้งกาแฟ ช็อคโกแลตและอาหารที่หลากหลาย นอกจากนี้ยังเป็นแบรนด์ที่ดังในระดับโลก  ทำให้ช่วยในการส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้เป็นอย่างดีและด้วยรสชาติของกาแฟที่พัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญทำให้ได้รสชาติของกาแฟแท้  อีกทั้งเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับในด้านคุณภาพและการพัฒนาผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์และความต้องการของผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม  

Weakness : ด้วยความที่เป็นกาแฟที่มีอยู่ทั่วโลกในด้านราคาที่อาจจะสูงกินไปทำให้ลูกค้าอาจมีเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้สูงไม่สามารถครอบคลุมลูกค้าทุกระดับได้

 Opportunity : กาแฟกลายเป็นอาหารหลักในตอนเช้าของคนยุคใหม่ เนื่องจากคนเมืองมีวิถีการใช้ชีวิตแบบเร่งรีบ   ในขณะที่เครื่องดื่มยามบ่าย หรือเครื่องดื่มแก้ง่วงนอน เพื่อความกระฉับกระเฉง ของกลุ่มคนทำงานก็คือกาแฟเช่นกัน  นอกจากนี้ยังสนองความต้องการของผู้ที่จะดื่มกาแฟพร้อมทั้งรับประทานอาหารด้วยจึงถือเป็นโอกาสที่จะสามารถขยายตลาด ตลอดถึงครองส่วนแบ่งทางการตลาดได้มากขึ้น

Threat : มีคู่แข่งเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ได้แก่ สตาร์บัคส์ เป็นต้น ซื่งมีร้านกาแฟและร้านอาหารที่คล้ายกัน จึงอาจทำให้ผู้บริโภคเกิดการเปลี่ยนแบนด์ได้ง่าย (switching brand) รวมถึงทำให้ความภักดีต่อแบรนด์น้อยลงเช่นกัน

 

การวิเคราะห์ MACRO & MICRO

     ในปัจจุบัน การแข่งขันทางธุรกิจทวีความรุนแรงมากขึ้น ทางบริษัทจึงได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆอย่างต่อเนื่องและยังมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเพื่อรองรับความต้องงการของลูกค้าที่มีอยู่หลายกลุ่ม  ทางบริษัทได้รักษาคุณภาพของสินค้าที่ดีได้อย่างยาวนานจึงทำให้มีลูกค้าที่มีความซื่อสัตย์ต่อแบรนด์อยู่มากจึงทำให้สินค้ามีส่วนแบ่งครองตลาดอยู่มาก

ทั้งนี้ให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านการพัฒนาการผลิต และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มผลผลิตสินค้าคุณภาพ แก่ตลาดไทยและตลาดอื่นๆ         นโยบายในการดำเนินธุรกิจของเนสท์เล่ เน้นความเป็นอิสระคล่องตัว และกระจายอำนาจในการดำเนินงานในแต่ละประเทศ โดยอิงกลยุทธ์หลักร่วมกัน ทั้งนี้เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละตลาดได้อย่างแท้จริง

 

 

 

 

วรนาถ สาธิตนิมิต 50473010047

ประวัติส่วนตัว

นาย วรนาถ สาธิตนิมิต
เกิดวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2531 อายุ 22 ปี
เชื้อชาติ ไทย สัญชาติ ไทย ศาสนา พุทธ
ที่อยู่ปัจจุบัน 206 ถนน ราชวงศ์ แขวง จักรวรรดิ์ เขต สัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ 10100
เบอร์โทรศัพท์บ้าน 02-2218241 มือถือ 085-125-8418
 

ประวัติการศึกษา
กำลังศึกษาในระดับ ปริญญาตรี
สถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
คณะวิทยาการจัดการ สาขาวิชา เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

ความสามารถ
คอมพิวเตอร์ โปรแกรม MS.Word , MS.Excel , Photoshop , Dreamweaver
เครื่องใช้สำนักงานอื่นๆ Fax , ถ่ายเอกสาร
ขับรถยนต์ และ จักรยานยนต์

 

บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

กิจการนี้น่าให้เงินกู้เพราะ มีชื่อเสียงในระดับประเทศประชาชนรู้จักเป็นจำนวนมากและสินค้าติดตลาด มีผู้บริโภคจำนวนมาก มีการขนส่งที่ดีสามารถส่งออกไปทั่วประเทศมีกำลังการผลิดสูง

SWOT

จุดแข็ง      1. มีช่องทางการจัดจำหน่าย และการส่งเสริมการตลาดที่ได้ผล

                2. มีการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับกลุ้มเป้าหมาย

                3. จับมือกับพันธมิตรในการกระจายสินค้า

                4. ให้บริษัท โออิชิ เทรดดิ้ง เป็นผู้จัดหาและป้อนวัตถุดิบให้กับร้านอาหาร

                5. การประเมินผลและติดตามการฝึกอบรม ของพนักงานเป็นรายบุคคล

                6. มีเวปไซด์ในการประชาสัมพันธ์สินค้า

จุดอ่อน

                1. ความเสี่ยงจากการพึ่งพิงบริษัทผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่ในการจำหน่ายและกระจายสินค้า

โอกาส

                1.  สังคมยังให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ

                2.  แนวโน้มชนชั้นกลางในวัยทำงานเพิ่มมากขึ้น

                3. การพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะการติดต่อสื่อสารด้านอินเตอร์เน็ต

อุปสรรค

                1 . ความเสี่ยงด้านความผันผวนของราคาวัตถุดิบ

                2. ความเสี่ยงในการจัดหาพื้นที่เช่าสำหรับขยายสาขาใหม่และรักษาพื้นที่เช่าเดิม

                3. คู่แข่งขันใช้กลยุทธ์ลดราคา

นายสัญชัย ภัทรพงศ์โอฬาร รหัส 50473010054 โปรแกรมวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

Resume

ชื่อ  นายสัญชัย   นามสกุล  ภัทรพงศ์โอฬาร

ที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้  เลขที่ 119/4 ม.2   ต.บางปรอก   อ.เมือง   จ.ปทุมธานี 12000

ข้อมูลส่วนตัว

เกิดวันที่  8  สิงหหาคม  พ.ศ. 2532

อายุ  20 ปี  11 เดือน

เชื้อชาติ ไทย                         สัญชาติ ไทย                         ศาสนา  พุทธ

น้ำหนัก  72  กิโลกรัม         ส่วนสูง  167  เซนติเมตร

สถานภาพการสมรส     โสด           

เบอร์โทรศํพท์ (บ้าน)  0-2978-0044   เบอร์โทรศํพท์ (มือถือ) 08-6007-8922

E-mail : [email protected]

งานอดิเรก    ฟังเพลง , ดูหนัง , เล่นกีฬา , ว่ายน้ำ

ประวัติการศึกษา                

จบชั้นประถมศึกษาตอนต้น และตอนปลาย   :  โรงเรียนวัดบางเดื่อ ปทุมธานี

ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น : โรงเรียนปทุมธานี “นันทมมุนีบำรุง”  จังหวัดปทุมธานี

ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย  :  โรงเรียนปทุมธานี “นันทมุนีบำรุง”  จังหวัดปทุมธานี

ระดับปริญญาตรี  :  มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

มาตรฐานการสำเร็จการศึกษาของบัณฑิต   

ผ่านเกณฑ์ ICT และภาษาอังกฤษ

ผ่านเกณฑ์ การพัฒนาบุคลิกภาพ  คุณธรรม  และจริยธรรม

ความสามารถพิเศษอื่นๆ

สามารถใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ ได้ เช่น Microsoft Office

สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดี

 .......................................................................................

วิเคราะห์ SWOT

 บริษัทโอสถสภา จำกัด (มหาชน)

เลือกผลิตภัณฑ์ เอ็ม - 150

บริษัทโอสถสภา จำกัด เครื่องดื่มชูกำลังคือเครื่องดื่มที่ให้พลังงาน มีส่วนผสมของคาเฟอีน (Caffeine) เทารีน (Taurine) อินโนซิทอล (Inositol) และซูโครสหรือน้ำตาลทราย (Sucrose) เป็นต้น ซึ่งมีกรรมวิธีในการผลิตที่ไม่ซับซ้อน และต้นทุนต่ำ ประกอบกับเครื่องดื่มประเภทนี้ยังมีช่องทางในการทำตลาดอยู่เพราะจากส่วนผสมที่สามารถก่อให้เกิดพลังในการทำงาน จึงเหมาะกับกลุ่มคนที่มีความต้องการทำงานอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานอย่างกลุ่มผู้ใช้แรงงาน (Blue Collar) จากแนวคิดนี้ทำให้ผู้ประกอบการมองเห็นโอกาสที่จะเข้ามาทำตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง

           ผู้ผลิตเครื่องดื่มชูกำลังสัญชาติไทยได้รับความนิยมสูงสุดจากผู้ดื่มชาวไทย อาทิ ผู้นำตลาดเครื่องดื่ม m-150, ลิโพวิตัน-ดี,ฉลามขาว และ.357 ปัจจุบันมีเครื่องดื่มชูกำลังเป็นที่ยอมรับจากคนไทยว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการผลิตเครื่องดื่มให้พลังงาน นอกจากนี้โอสถสภายังยังร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการมอบสิ่งดีๆสู่สังคมไทยเสมอมาเพื่อเสริมสร้างความภาคภูมิใจที่ได้เกิดเป็นคนไทย ภายใต้ผื่นแผ่นดินไทย และพร้อมรับใช้สังคมไทยตลอดไป

จุดแข็ง (Strenght : S)   จุดแข็งของ M-150 คือเป็นเครื่องดื่มชูกำลังที่ได้รับความนิยมจากคนไทยมาอย่างต่อเนื่อง

 

 

จุดอ่อน (Weakness : Wจุดอ่อนคือ m -150 มีราคาสูงกว่าเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้ออื่น

โอกาสทางธุรกิจ (Opportunity : O)  กาศ เป็นยี่ห้อที่เป็นที่รู้จัก มายาวนาน ภาพลักษณ์ติดตา ผู้บริโภคจำได้ และได้รับการสนับสนุนตลอดมา พร้อมยังมีพรีเซ็นเตอร์ที่เป็นนักร้องวัยรุ่น เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย

อุปสรรค (Threat : T)  สภาพเศรษฐกิจทรมเทรา ทำให้ยอดขายลดลงบ้างเล็กน้อย แต่ก็ยังได้รับความนิยมเพราะว่า m-150 มีราคาย่อมเยา หาซื้อได้สะดวก

 

 

 

 

 

 

 

 

นายกิตติวิทย์ ตั้งมงคลเลิศ

นายกิตติวิทย์  ตั้งมงคลเลิศ

รหัสนักศึกษา  50473010025

คณะวิทยาการจัดการ  โปรแกรมวิชา เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

1. RESUME

2. วิเคราะห์กิจการที่น่าให้เงินกู้  ให้วิเคราะห์ทั้ง MACRO  & MICRO  and SWOT Analysis 

RESUME

ชื่อ-นามสกุล  นาย กิตติวิทย์   ตั้งมงคลเลิศ

เกิด วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2532 อายุ 21 ปี

เชื้อชาติ ไทย สัญชาติ ไทย ศาสนา พุทธ

น้ำหนัก  64  กิโลกรัม         ส่วนสูง  173  เซนติเมตร

สถานภาพการสมรส     โสด

ที่อยู่ปัจจุบัน  99 ซอย จำเนียรสุข 3 แขวง วัดท่าพระ อำเภอ บางกอกใหญ่ ถนน เพชรเกษม กรุงเทพฯ 10600 เบอร์โทรศัพท์มือถือ 089-788-2416
ประวัติการศึกษา
กำลังศึกษาในระดับ ปริญญาตรี
สถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
คณะวิทยาการจัดการ สาขาวิชา เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

ความสามารถ
คอมพิวเตอร์ โปรแกรม MS.Word , MS.Excel
เครื่องใช้สำนักงานอื่นๆ Fax , ถ่ายเอกสาร
จักรยานยนต์

นายกิตติวิทย์ ตั้งมงคลเลิศ

นายกิตติวิทย์  ตั้งมงคลเลิศ

รหัสนักศึกษา  50473010025

คณะวิทยาการจัดการ  โปรแกรมวิชา เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

วิเคราะห์กิจการที่น่าให้เงินกู้  ให้วิเคราะห์ทั้ง MACRO  & MICRO  and SWOT Analysis 

บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด

ในการทำเบียร์นั้น วัตถุดิบสำคัญที่ใช้คือ ข้าวมอลต์ (Malt) น้ำ ดอกฮ็อพ (Hop) และ ยีสต์ (Yeast)
ข้าวมอลต์ ได้มาจากข้าวบาร์เลย์ ซึ่งเป็นธัญพืช ที่นิยมปลูกในประเทศ ที่มีภูมิอากาศเย็น จะมีการปลูกกันมาก ในประเทศทางทวีปยุโรป เช่น เยอรมนี ออสเตรีย อังกฤษ เดนมาร์ก และ ออสเตรเลีย ส่วนประเทศไทยมีการนำ สายพันธุ์ ข้าวบาร์เลย์เข้ามาปลูกในแถบ ภาคเหนือ ซึ่งมีภูมิอากาศเย็น มีการ ส่งเสริม การปลูกข้าวบาร์เลย์
น้ำ เป็นวัตถุดิบที่สำคัญอีกตัวหนึ่ง เนื่องจากเบียร์มีส่วนประกอบที่เป็น น้ำมากกว่า 90% คุณภาพของน้ำ ที่ใช้สำหรับการ ผลิตเบียร์ขึ้นอยู่กับ ลักษณะของเบียร์ที่จะผลิต ความอ่อน ความกระด้างของน้ำจะมีผลต่อ รสชาติของเบียร์ หรือมีผลต่อความ เปลี่ยนแปลง ที่จะเกิดขึ้นในกระบวน การผลิต

คุณภาพของสินค้าเป็นหัวใจสู่ความสำเร็จของกลุ่มบริษัทบุญรอด การให้ความสำคัญกับการผลิต สินค้าคุณภาพเยี่ยมทำให้บุญรอดสามารถรักษาปณิธานดั้งเดิมนี้ไว้ได้ โดยมีการเลือกสรรวัตถุดิบที่ดี ที่สุดจากธรรมชาติ ผ่านขั้นตอนการผลิตที่ทันสมัย และการตรวจสอบคุณภาพที่เข้มงวด ด้วยปัจจัยเหล่านี้ ทำให้สินค้าของบุญรอดเป็นสัญลักษณ์ของคุณภาพ ในทุกๆ วัน ผู้บริโภคนับล้านทั้งใน และต่างประเทศ ได้แสดงถึงความไว้วางใจในกลุ่มบริษัทของเรา โดยการเลือกซื้อสินค้าของบุญรอด ความเชื่อถือซึ่งมาจากการ ปูพื้นฐานภาพพจน์ด้านคุณภาพเป็นระยะเวลายาวนานถึง 6 ทศวรรษ

โซดา
น้ำดื่มตราสิงห์
เบียร์ลีโอ

จุดแข็ง
1.ผู้บริหารมีประสบการณ์ความรอบรู้ ความซื่อสัตย์และมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องอุตสาหกรรมเบียร์
2.พนักงานได้รับการส่งเสริม และพัฒนาความรู้ ความสามารถ ทักษะของพนักงานให้สามารถปฏิบัติงานได้
อย่างมีประสิทธิภาพ
3.ผู้บริหารของบริษัท มีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการ
4.มีการพัฒนาฝึกอบรมบุคลากรใหม่ๆให้มีทักษะความชำนาญ เพื่อทดแทนบุคลากรที่เปลี่ยนต้นสังกัดได้

จุดอ่อน
1.มีการแข่งขันกันภายในองค์กรสูง เพื่อแสดงผลงานของตนเองอาจทำให้เกิดการขัดแย้งกัน

โอกาส
1.บริษัทเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน ทำให้สามารถเลือกพนักงานที่มีคุณภาพมาทำงานในองค์กรได้

อุปสรรค
1.เกิดปัญหาสมองไหลถ้าเกิดการซื้อตัวพนักงานที่มีความรู้ความสามารถขององค์กร

นายเกียรติชัย เกียรติสูงส่ง

ธุรกิจที่เลือกวิเคราะห์ SWOT 

เบียร์ช้าง

S =    1.  จุดแข็งของเบียร์ช้างคือราคาถูกและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

         2.  ผู้บริหารมีประสบการณ์ความรอบรู้ ความซื่อสัตย์และมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องอุตสาหกรรมเบียร์

         3.  พนักงานได้รับการส่งเสริม และพัฒนาความรู้ ความสามารถ ทักษะของพนักงานให้สามารถปฏิบัติงานได้ อย่างมีประสิทธิภาพ

          4.  ผลิตจากเครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีสูงสุดเป็นอันดับต้นๆของโลก ( เฟสใหม่ที่กำแพงเพชร)

W =   1.  เบียร์ช้างรสชาติเบียร์มีลักษณะขม        

         2.  มีการแข่งขันกันภายในองค์กรสูง เพื่อแสดงผลงานของตนเองอาจทำให้เกิดการขัดแย้งกัน
   
O =     1.  โอกาสของเบียร์ช้าง สูงมากไปสู่สากลแล้วได้มาตรฐานระดับโลกหลายรางวัล

           2.  บริษัทเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน ทำให้สามารถเลือกพนักงานที่มีคุณภาพมาทำงานในองค์กรได้

T =     1.  อุปสรรคของเบียร์ช้าง คู่แข่งในประเทศอย่างเบียร์สิงห์และลีโอตีตลาด

     

Resume

ประวัติส่วนตัว ชื่อ - สกุล : นายเกียรติชัย เกียรติสูงส่ง

ที่อยู่ปัจจุบัน : 330/5 ถนนตรีมิตร เขตสัมพันธวงศ์ แขวงตลาดน้อย กทม. 10100

เบอร์ โทรที่สามารถติดต่อได้ : 085-047-5354

อายุ : 21 ปี

เพศ : ชาย

น้ำหนัก : 65 กิโลกรัม

ส่วนสูง : 175 เซนติเมตร

วันเดือนปีเกิด : 7 ธันวาคม 2531

สถานที่เกิด : กรุงเทพฯ

ศาสนา : พุทธ

สัญชาติ : ไทย

เชื้อชาติ : ไทย

สถานภาพ : โสด

เลขที่บัตรประชาชน : 1 1004 00368 31 2 

ความสามารถ

- โปแกรมคอมพิวเตอร์   Micfosoft Office  ,  Photoshop  ,  Dreamweaver  ,  Ws-Ftp    โดยมีเกียรติบัตรรับรอง จาก Net Design ทางด้าน Web Designer

-  ความสามารถ ทางด้านการขับขี่ยานพาหนะ  รถยนต์ , จักรยานยนต์

ประวัติการศึกษาและคุณวุฒิ 

ระดับการศึกษา

ชื่อสถานศึกษา

วุฒิที่ได้รับ

คะแนนเฉลี่ย

วิชาเอก

มัธยมศึกษา

รร.ไตรมิตรวิทยาลัย

มัธยมศึกษาตอนปลาย

2.88

ศิลป์-คำนวณ

อุดมศึกษา

มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

ปริญญาตรี

3.05

เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

 

น.ส. ชมพูนุช เอี่ยมจันทร์

รหัส 50473010038

RESUME

 

ชื่อ  นางสาวชมพูนุช  นามสกุล  เอี่ยมจันทร์

ที่อยู่ปัจจุบัน   144/49 ม. 4ถนนเอกชัย  ตำบล โคกขาม  อำเภอ เมือง จังหวัดสมุทรสาคร 74000

ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน   144/49 ม. 4ถนนเอกชัย  ตำบล โคกขาม  อำเภอ เมือง จังหวัดสมุทรสาคร 74000

 สัญชาติ  ไทย         เชื้อชาติ  ไทย             ศาสนา  พุทธ

วันเกิด  16 มีนาคม  พ.ศ. 2532

อายุ  21 ปี 4  เดือน

ส่วนสูง  155  เซนติเมตร  น้ำหนัก  38 กิโลกรัม

สถานภาพการสมรส     โสด           

เบอร์โทรศํพท์ (บ้าน)  034-833-071เบอร์โทรศํพท์ (มือถือ) 087-994-4109

E-mail  :  [email protected]

งานอดิเรก   อ่านหนังสือ , ฟังเพลง , ปลูกต้นไม้

ประวัติการศึกษา                

ชั้นประถมศึกษา  :  โรงเรียนวัดราษฎร์บูรณะ จังหวัดกรุงเทพมหานคร

ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น : โรงเรียนวัดพุทธบูชา  จังหวัดกรุงเทพมหานคร

ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย  :  ตั้งตรงจิตพาณิชยการ จังหวัดกรุงเทพมหานครระดับปริญญาตรี  :  มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

มาตรฐานการสำเร็จการศึกษาของบัณฑิต   

ผ่านเกณฑ์ ICT และภาษาอังกฤษ

ผ่านเกณฑ์ การพัฒนาบุคลิกภาพ  คุณธรรม  และจริยธรรม

ทักษะและความสามารถพิเศษอื่นๆ

สามารถใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ ได้ เช่น Microsoft Office

สามารถพิมพ์ดีดภาษาไทยได้  140  คำ/นาที  ภาษาอังกฤษได้  120  คำ/นาที

มีมนุษยสัมพันธ์ดี มีความรับผิดชอบ

วิเคราะห์กิจการที่น่าให้เงินกู้  ให้วิเคราะห์ทั้ง MACRO  & MICRO  and SWOT Analysis

กิจการที่เลือก คือ บริษัทไทยยามาซากิ(เบเกอรี่)

 การวิเคราะห์การตลาด (SWOT Analysis) 

Strangest : เป็นเบเกอรี่ต้นตำรับจากญี่ปุ่นทำให้มีชื่อสียงในด้านของคุณภาพทั้งความสะอาด ปลอดภัย และมีประโยชน์ต่อร่างกายจึงให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจ และด้วยควมาที่เป็นต้นตำรับจากญี่ปุ่นทำให้ช่วยในการส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับในด้านคุณภาพและการพัฒนาผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์และความต้องการของผู้บริโภค

 Weakness : ในปัจจุบันมีธุรกิจเบเกอรี่มากมาย มีความหลากหลายมากขึ้นผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ภักดีกับแบร์นมากนักอาจหันไปบริโภคสินค่ที่ถูกกว่าและหลากหลายมากกว่า

 Opportunity :เบเกอรี่ถือเป็นขนมที่คนไทยส่วนใหญ่นิยมเป็นอาหารในทุกๆมื้อของอาหาร และถือเป็นธุรกิจที่เปิดมาเป็นอันดับต้นๆของประเทศจึงทำให้มีผู้รู้จักมาก จึงถือเป็นโอกาสที่จะสามารถขยายตลาด ตลอดถึงครองส่วนแบ่งทางการตลาดได้มากขึ้น

Threat : มีคู่แข่งเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ได้แก่ กาโตว์เฮาส์ เป็นต้น ซื่งมีคุณสมบัติและรสชาติใกล้เคียงกัน จึงอาจทำให้ผู้บริโภคเกิดการเปลี่ยนแบนด์ได้ง่าย (switching brand) รวมถึงทำให้ความภักดีต่อแบรนด์น้อยลงเช่นกัน

 

การวิเคราะห์ MACRO & MICRO

     ในปัจจุบัน การแข่งขันทางธุรกิจทวีความรุนแรงมากขึ้น ทางบริษัทจึงได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆอย่างต่อเนื่องและยังมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเพื่อรองรับความต้องงการของลูกค้าที่มีอยู่หลายกลุ่ม  ทางบริษัทได้รักษาคุณภาพของสินค้าที่ดีได้อย่างยาวนานจึงทำให้มีลูกค้าที่มีความซื่อสัตย์ต่อแบรนด์อยู่มากจึงทำให้สินค้ามีส่วนแบ่งครองตลาดอยู่มาก

ยามาซากิไทย ให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านการพัฒนาการผลิต และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ขณะเดียวกันในโรงงานทุกแห่งของยามาซากิซึ่งมีทั้งหมด 2 โรงงาน และมีสาขาทั่วประเทศ 63 สาขา ได้ดำเนินตามหลักเกณฑ์ในด้านสิ่งแวดล้อมอาชีวอนามัย และความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด เพื่อเพิ่มผลผลิตสินค้าคุณภาพเพื่อให้ได้มาตรฐานตามหลักสากล     

 

นางสาวปัทมา พิมพ์ศรี รหัส 50473010034 เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

 

http://www.sermsukplc.com/common/img/logoSermsuk.png

ธุรกิจที่เลือกวิเคราะห์ SWOT เพื่อจะปล่อยกู้คือ

บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน)

      ซึ่งบริษัทที่เป็นผู้นำในการผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มแบบครบวงจรที่นำความสดชื่นมาสู่ผู้บริโภคและสามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายได้อย่างทั่วถึง

กลยุทธ์ที่บริษัทฯ นำมาใช้โดยเปรียบเทียบกับ SWOT

จุดแข็ง (Strenght : S)

       ความสำเร็จด้านการตลาด ด้วยกลยุทธ์สร้างความตื่นเต้น และปรากฎการณ์ใหม่ ๆ ในตลาดอย่างไม่หยุดยั้ง พร้อมๆ กับการเปิดช่องทางการตลาดใหม่ ๆ ทำให้ยอดขายโดยรวม และส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นอย่างน่าพอใจ ส่วนจุดแข็งของบริษัทฯ คือ การสร้างความตื่นเต้นแปลกใหม่ในตลาดเครื่องดื่มอย่างต่อเนื่องโดดเด่น ด้วยการนำกิจกรรมทางการตลาดที่เหนือชั้นมามอบให้กับผู้บริโภค เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและเพิ่มยอดขายให้แก่ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องรวมถึงเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้ใกล้ชิดกับบริษัทฯ และผลิตภัณฑ์ทุกตัวของบริษัทมากขึ้นด้วย

ด้านสิ่งแวดล้อม : ระบบบำบัดน้ำเสีย บริษัทตระหนักถึงความสำคัญของปัญหามลภาวะด้านสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก โดยน้ำระบบมาใช้ในโรงงานโดยเลือกระบบกำจัดน้ำเสียให้เหมาะกับสภาพแวดล้อม และภูมิประเทศของโรงงานแต่ละแห่งเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการกำจัดของเสียได้สูงสุด เป็นโรงงานผลิตน้ำอัดลมแห่งแรกในประเทศไทย ที่มีระบบการกำจัดน้ำเสียที่สมบูรณ์และทันสมัยที่สุด

การช่วยเหลือสังคม และตอบแทนสังคม : ทางบริษัทมีการจัดตั้งมูลนิธิ ทรง บุลสุข ด้วยเจตนารมย์ทางด้านการศึกษา ซึ่งทางบริษัทฯ ได้จัดสรรทุนจำนวนหนึ่งมอบให้มูลนิธช่วยนักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ช่วยนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยม ที่เรียนดีแต่ยากจน ให้ได้เข้าศึกษาต่อในชั้นมหาวิทยาลัย จนกว่าจะสำเร็จการศึกษา นอกเหนือจากการมอบทุนให้กับเยาวชนทั่วไป ทางคณะกรรมการ มูลนิธิ ทรง มูลนิธิ ยังได้ตระหนักถึงพนักงาน ที่มีบุตรที่มีผลการเรียนดีและทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม จึงได้มีการจัดสรรทุนให้กับบุตรของพนักงานบริษัท เสริมสุขมาอย่างต่อเนื่องทุกปี

จุดอ่อน (Weakness : W

       การจดจำในตราสินค้า : ผู้บริโภคจะจดจำตราสินค้าของบริษัทคู่แข่งได้มากกว่า เนื่องจากความคุ้นเคยในตัวสินค้าที่วางขายในท้องตลาดตั้งแต่ดังเดิมทำให้ผู้บริโภคจดจำในตราสินค้าน้ำดำที่มีซื้อ ว่า โค้ก มากกว่าเป๊ปซี่ (ตราสินค้าที่เรียกขานง่ายมากกว่าสินค้าบริษัท)

ทางบริษัทได้ว่างจำหน่ายสินค้าผลิตเครื่องบำรุงร่างกาย โดยใช้ชื่อผลิตภัณฑ์ “ เครื่องดื่ม โย ” แต่ไม่ได้รับความนิยมในตลาดผู้บริโภคเท่าที่ควร เมื่อเปรียบเทียบกับผู้นำตลาดอย่าง “ไวตามิลค์” ทำให้บริษัทต้องนำเครื่องดื่มโยออกจากตลาดไป

โอกาส (Opportunity : O) 

      ความสำเร็จด้านผลิตภัณฑ์ เสริมสุขประสบความสำเร็จในการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่หลากหลาย ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในตลาดเดิมก็เติบโตเช่นกันเพื่อเป็นการสร้างสีสัน และเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง

New Product

Pepsi : เป๊ปซี่ลาเต้

Lipton : ชาลิปตันฮันนี่

Redraow: : คาราบาวเอ็กซ์โอ

อุปสรรค์ (Threat : T)

       ในสภาวะเศรษฐกิจ ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น เช่น น้ำมันสูงขึ้น ส่งผลให้วัตถุดิบมีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย และส่งผลกระทบโดยตรงกับบริษัทฯ ในด้านการขนส่งสินค้า และความเสี่ยงต่าง ๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม สภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมน้ำอัดลมเกิดขึ้นตลาดทั้งปี ซึ่งในปัจจุบัน อัตราการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมน้ำอัดลมไม่สูงนัก เนื่องจากมีเครื่องดื่มประเภทอื่น เข้าสู่ตลาดเครื่องดื่มเป็นจำนวน อาทิเช่น น้ำผลไม้ น้ำแร่ – น้ำดื่ม ผลิตภัณฑ์ชาต่าง ๆ และอาหารนมเป็นต้น

 resume

http://photos4.hi5.com/0134/442/143/YREhWo442143-02.jpg

ชื่อ นางสาวปัทมา   นามสกุล พิมพ์ศรี

ที่อยู่ปัจจุบัน 1511-15/16 ซอยแขก ถนนลาดหญ้า เขตคลองสาน กรุงเทพ 10600

ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน  2/2 .สามขา อ.โพนทราย จ.ร้อยเอ็ด 45240

ข้อมูลส่วนตัว

เกิดวันที่   ธัวาคม  พ.. 2531

อายุ    21   ปี 

เชื้อชาติ ไทย                         สัญชาติ ไทย                         ศาสนา  พุทธ

น้ำหนัก  49  กิโลกรัม                ส่วนสูง  165  เซนติเมตร

สถานภาพการสมรส     โสด           

เบอร์โทรศัพท์ (บ้าน)    -             เบอร์โทรศํพท์(มือถือ) 080-0557511 

E-mail : [email protected]

งานอดิเรก    ฟังเพลง , ดูหนัง , อ่านหนังสือ

ประวัติการศึกษา

ระดับการศึกษา

ชื่อสถานศึกษา

วุฒิที่ได้รับ

คะแนนเฉลี่ย

วิชาเอก

มัธยมศึกษา

รร.สามขาวิทยา

มัธยมศึกษาตอนปลาย

2.98

ศิลป์-ภาษา

อุดมศึกษา

มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

ปริญญาตรี

2.44

เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ


มาตรฐานการสำเร็จการศึกษาของบัณฑิต

ผ่านเกณฑ์ ICT และภาษาอังกฤษ

ผ่านเกณฑ์ การพัฒนาบุคลิกภาพ  คุณธรรม  และจริยธรรม

ความสามารถพิเศษอื่นๆ

สามารถใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ ได้ เช่น Microsoft Office

สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้

มีมนุษยสัมพันธ์ดี มีความรับผิดชอบ

 





 

นางสาวจุฬารัตน์ เชื้อนิล

 

 

 

ประวัติส่วนตัว

นางสาว จุฬารัตน์ เชื้อนิล                                                                                                                                                       เกิดวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2531 อายุ 22 ปี
เชื้อชาติ ไทย สัญชาติ ไทย ศาสนา พุทธ
ที่อยู่ปัจจุบัน 408 89แมนชั่น ถนน จรัญสนิทวงค์ แขวง บางพลัด เขต บางพลัด กรุงเทพฯ 10700
 มือถือ 085-4888821
 

ประวัติการศึกษา
กำลังศึกษาในระดับ ปริญญาตรี
สถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
คณะวิทยาการจัดการ สาขาวิชา เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

ความสามารถ
คอมพิวเตอร์โปรมแกรม microsoft word โปรแกรม photoshop

 

ธุรกิจที่เลือกวิเคราะห์ SWOT 

เบียร์ช้าง

S =    1.  จุดแข็งของเบียร์ช้างคือราคาถูกและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

         2.  ผู้บริหารมีประสบการณ์ความรอบรู้ ความซื่อสัตย์และมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องอุตสาหกรรมเบียร์

         3.  พนักงานได้รับการส่งเสริม และพัฒนาความรู้ ความสามารถ ทักษะของพนักงานให้สามารถปฏิบัติงานได้ อย่างมีประสิทธิภาพ

          4.  ผลิตจากเครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีสูงสุดเป็นอันดับต้นๆของโลก ( เฟสใหม่ที่กำแพงเพชร)

W =   1.  เบียร์ช้างรสชาติเบียร์มีลักษณะขม        

         2.  มีการแข่งขันกันภายในองค์กรสูง เพื่อแสดงผลงานของตนเองอาจทำให้เกิดการขัดแย้งกัน
   
O =     1.  โอกาสของเบียร์ช้าง สูงมากไปสู่สากลแล้วได้มาตรฐานระดับโลกหลายรางวัล

           2.  บริษัทเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน ทำให้สามารถเลือกพนักงานที่มีคุณภาพมาทำงานในองค์กรได้

T =     1.  อุปสรรคของเบียร์ช้าง คู่แข่งในประเทศอย่างเบียร์สิงห์และลีโอตีตลาด

     

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เหมือนฝัน คำใจดี รหัส 50473010049 สาขาวิชา เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

 

 

 

 

Resume

Muanfan   thanaboonpong

111 Moo 8  Nongbua Subdistrict , Phurua District , Loei 42160

Tel. 0873228643  E-mail address : [email protected]

_____________________________________________________________

 

Identification Number  1 4099 00379 29 7

Nationality                  Thai

Religion                      Buddhism

Marital Status              Single

Sex                            Female

Birth  date                  06/10/1987

Age                           22

Height                       169 cm

Weight                      49 kg

Birth place                 khon-khaen

Family data

Father’s name            Mr.polsawat         thanaboonpong   Age  50  Occupation  Government Official  

Mother’s name           Mrs.phakakarn     thanaboonpong   Age  50  Occupation  Government Official

No. of brothers & sisters       2  person        What no. are you ?          3

Education        

2006-2010                          Bachelor of business SUASSUNANDHA RAJABHAT UNIVERSITY

2000-2005                          Matayom 6 from Princess Chulabhorn’s College Phitsanulok

Special  Skills

Computer Skill                    Microsoft  office 

English Language               Fair

Driving License     yes         Type       motorcycle          

Typing                              Thai       30 w/m   English   25 w/m

 

 

 SWOT Analysis วิเคราะห์ SWOT ของ Apple
.
บริษัท แอปเปิ้ล


เป็นบริษัท แอปเปิ้ล เป็นผู้ผลิต นวัตกรรมใหม่ ของวงการคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นด้านการทำงาน Computer iMac Mac book หรือ Mac book pro สำหรับ ผู้เชี่ยวชาญ และยังมีสินค้าที่เพิ่มการเอนเตอร์เทนมากมาย เช่น iPod ที่ไว้สำหรับดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม ในยามว่าง และ iPad ที่สามารถทำงานได้ไม่แพ้ Notebook เลยทีเดียว


ผลิตภัณฑ์ที่มักได้รับการกล่าวถึงและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน อาจแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่
1. เครื่องคอมพิวเตอร์ ทั้งที่เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดพกพา (MacBook, MacBook Pro, MacBook Air) และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (iMac, Mac Pro
2. ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ได้แก่ Mac OSX (แมคโอเอสเท็น)
3. อุปกรณ์ฟังเพลงขนาดพกพา ได้แก่ สายผลิตภัณฑ์ iPod และ iPhone
4. อุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น iSight, AirPort ฯลฯ
5. โปรแกรมและบริการเสริมต่างๆ อาทิ iTunes เป็นต้น


SWOT Analysis : iPhone and Apple as Apple Inc’s view

Strengths
• แบรนด์เป็นที่จดจำของผู้บริโภค
• เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียง
• ผสมลูกเล่นใน iPod เข้าไปใน iPhone ทำให้ลูกค้าเก่าของ iPod อยู่แล้วอยากใช้ iPhone
• กลยุทธในด้านธุรกิจ Apple มี app store + iTune เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนตลาด iPhone และ Apple เพิ่มการดึงดูดลูกค้าโดยมีการ ลดราคา 30%เมื่อลูกค้าซื้อเพลง หรือ application ผ่าน iTune และ ทาง Apple ยังมี Free download ให้เลือกอีกมากมาย (Apple มี 65,000 appication อยู่ใน App Store และมีการโหลด 1.5พันล้านครั้งใน 1 ปี)
• iPhone เป็นเจ้าแรกที่ใช้ ระบบปฏิบัติการ ของคอมพิวเตอร์อย่างเต็มรูปแบบ ทำให้ นักพัฒนาโปรแกรมต่างๆ คิดค้นหรือนำระบบปฏิบัติการนี้ไปสร้างสรรคต่อได้ ภายใต้ แบรนด์ Apple ทำให้เกิดธุรกิจสร้าง Application ขึ้นมามากมาย
• มีการโฆษณาที่ดี
• ในทุกๆปี Apple จะทุกปี Apple จะออกเทคโนโลยีใหม่ๆและคุณสมบัติใหม่ๆที่สามารถจะชนะคู่แข่งได้อย่างสบาย
• iPhone มี iTunes ที่สามารถดาวโหลดเพลงโดยตรง
• Apple มีเครือข่ายโทรศัพท์โดยตรงคือ iPhone AT&T ฉะนั้นใครอยากใช้เครื่องที่มีราคาถูก ก็หันมาใช้ เครือข่ายโทรศัพท์ได้ทันที

Weaknesses
• ราคาแพง
• ทาง Apple ได้ปลดล๊อค ระบบ SIM ทำให้ลูกค้า สามารถนำโทรศัพท์ไปใช้ในระบบเครือข่ายอื่นได้
• ขาดการดำเนินงานระหว่างประเทศ ในเรื่องช่องทางและการให้บริการ Apple มีแต่ App Store และ iTune เท่านั้น ในด้านการค้าปลีกก็ไม่เพียงพอสำหรับความต้องการของลูกค้า
• ในการซ่อม หรือ เปลี่ยนสินค้า จะต้องทำกับ Apple เท่านั้น ทำให้มีการเสียค่าใช้จ่ายในการขนส่ง
• ขาด พันธมิตรที่แข็งแกร่ง AT&T จะหมดสัญญาในปลายปี 2010 และ Google กำลังจะกลายมาเป็นคู่แข่งใหม่โดยการส่ง Android เข้าสู่ตลาด
• ข้อผูกมัดของ AT&T กับ iPhone ทำให้การขาย iPhone ไม่ดีเท่าที่ควร

Opportunities
• Trend สังคม (คนส่วนใหญ่มักจะเปลี่ยนโทรศัพท์ตามกระแส)
• ลูกค้าพิเศษโดยเฉพาะลูกค้าที่ซื้อสินค้าของ Apple ไปแล้ว พวกเขาจะประทับใจในสินค้าและบริการของ Apple
• ธุรกิจมีอัตราเติบโตสูงสุดในแต่ละปี เพิ่มขึ้นตั้งแต่ 2007 นั่นก็หมายความว่า ผู้บริโภคกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้นทุกปี
• Smartphone ในตลาดโลกมีการเติบโตขึ้นทุกปี

Threats
• มีวิธีการลักลอบ ติดตั้ง โปรแกรมโดยที่ไม่ต้องซื้อจาก App Store และยังสามารถปลดล็อค iPhone โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยข้อมูลหาทางอินเตอร์เน็ตสามารถทำได้โดยง่าย
• การกระจายสินค้าในต่างประเทศ เรื่องภาษีรัฐบาลที่ต้องนำเข้าสินค้า
• การเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนที่มีผลต่อการนำเข้า-ส่งออก
• การใช้สินค้าชดเชยโดยจากคู่แข่งอื่นๆ เช่น Nokia,Blackberry ,Microsoft
• ในตลาด Smartphone มีคู่แข่งมากเกินไป

 

นางสาวปวิตรา คลังทอง รหัส 50473010035 โปรแกรมเศรษศาสตร์ธุรกิจ

วิเคราะห์กิจการที่น่าให้เงินกู้  ให้วิเคราะห์ทั้ง MACRO  & MICRO  and SWOT Analysis

ธุรกิจที่เลือก คือ ธุรกิจโรงภาพยนตร์ ในเครือ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป

       

มองในมุม  MACRO  และ  MICRO 

เป็นการผสมผสานระหว่างโรงภาพยนตร์(Cinema) เข้ากับธุรกิจบันเทิง และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกัน เกิดเป็น "ศูนย์บันเทิง เมเจอร์ ซีนิเพล็กซ์" (MAJOR CINEPLEX) เป็นศูนย์บันเทิงที่รวมเอาความบันเทิงหลากหลายรูปแบบไว้ในที่เดียว โดยมีโรงภาพยนตร์ "เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์" เป็นบริการบันเทิงหลัก และธุรกิจโบว์ลิ่งเป็นธุรกิจรอง พร้อมเสริมด้วยบริการบันเทิงอื่นหลากหลายประเทศ เพื่อให้เกิดความสะดวกและความครบวงจรในการตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่เข้าใช้บริการชมภาพยนตร์ อาทิเช่น ร้านอาหาร ร้านหนังสือ ร้านจำหน่ายเทปเพลง วีดีโอ ร้านขายของที่ระลึก บริการอินเตอร์เน็ท เป็นต้น ทำให้ลูกค้าของโรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ สามารถเลือกหาความบันเทิงได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้ขยายเข้าสู่ธุรกิจศูนย์ออกกำลังกายโดยเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ บริษัท แคลิฟอร์เนีย ฟิตเนส จำกัด เพื่อการขยายธุรกิจของบริษัทฯ ด้วย กลุ่ม Major Cineplex ได้ควบรวมกิจการเข้ากับ EGV Entertainment เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในการดำเนินการทางธุรกิจ

การควบรวมเป็นโอกาสที่จะขยายธุรกิจไปสู่ต่างประเทศ ซึ่งมีแผนที่จะเปิดโรงภาพยนตร์ที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงมากโดยเลือกทำเลที่เมืองโฮจิมินห์ซิตี้ ปัจจุบันนี้มีธุรกิจที่เป็นของคนไทย 100% มีเพียง 2 ประเภทเท่านั้น คือธุรกิจบันเทิงและอสังหาริมทรัพย์ ส่วนธุรกิจอื่นๆ นั้นจะมีต่างประเทศเข้ามาถือหุ้นและมีบทบาทอย่างมาก ดังนั้นจุดนี้จึงถือเป็นโอกาสที่คนไทยจะสร้างจุดแข็งของธุรกิจ และด้วยประสบการณ์การทำงานของทั้ง 2 ฝ่ายทำให้เมื่อรวมกันแล้วมองว่าตลาดในเมืองไทยมีขนาดเล็กลง ดังนั้นจึงต้องยกระดับไปสู่ตลาดต่างประเทศ   

SWOT ANALYSIS

จุดแข็ง (STRENGTH)
• มีจำนวนโรงภาพยนตร์มากที่สุด
• ทำเลที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง และครอบคลุม 4 มุมเมือง
• อำนาจการต่อรองกับตัวแทนจำหน่ายภาพยนตร์ทั้งในและต่างประเทศ
• มี ECONOMIES OF SCALE ทำให้มีความได้เปรียบในด้านต้นทุน                                              

• การให้บริการที่ดีมีคุณภาพทั้งภาพและเสียง โดยผู้ประกอบการแต่ละรายพยายามสร้างความแตกต่างในบริการต่างๆที่มี ให้มีความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นการจองตั๋ว ซึ่งทางMajor จะมีความได้เปรียบสามารถจองตั๋วผ่าน Internet ผ่านตู้ATM ได้ ซึ่งจะทำให้ลูกค้ามีความสะดวกมากขึ้น
จุดอ่อน (WEAKNESS)
• จากการเป็นโรงภาพยนตร์เดี่ยว ทำให้เสียเปรียบคู่แข่งที่อยู่ในศูนย์การค้า ซึ่งเป็น ONE STOP ENTERTAINMENT
• เนื่องจากเป็นการขยายในลักษณะเป็นโรงภาพยนตร์เดี่ยว ทำให้ต้องใช้เงินลงทุนต่อสาขามากเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
• เนื่องจากเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ต้องมีการเปิดเผยข้อมูล ซึ่งอาจทำให้คู่แข่งนำไปใช้ในการกำหนดกลยุทธ์

โอกาส (OPPORTUNITY)
• มาตราการการสนับสนุนจากภาครัฐ ในอุตสาหกรรมสร้างภาพยนตร์ภายในประเทศ และลดกำแพงภาษีภาพยนตร์จากต่างประเทศ ทำให้มีภาพยนตร์ดีๆ เข้ามาฉายมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคหันมานิยมการชมภาพยนตร์ในโรงมากขึ้น
• LIFESTYLE ของคนรุ่นใหม่มีการเปลี่ยนแปลงมานิยมการชมภาพยนตร์เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเป็นแหล่งบันเทิงที่ราคาไม่แพง เมื่อเทียบกับแหล่งบันเทิงอื่นๆ
• ความสะดวกในการเดินทางจากการเปิดให้บริการของ Mass Transportation เช่น รถไฟฟ้า BTS และรถไฟใต้ดิน ส่งผลให้มีผู้บริโภคเดินทางมาชมภาพยนตร์มากขึ้น
• ในธุรกิจโรงภาพยนตร์จะมีรูปแบบโปรโมชั่นหลักๆ 2 ส่วน คือ การทำโปรโมชั่นเกี่ยวกับหนัง เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าสนใจหนังและมาดูหนังและ การทำโปรโมชั่นในส่วนของโรงภาพยนตร์เองเพื่อรักษาฐานลูกค้าและเพิ่มความถี่ในการชมภาพยนตร์ โดยจะมีรูปแบบเป็น บัตรต่างๆ สำหรับกลุ่มลูกค้าต่างๆ โดยมีรูปแบบสิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกันไป เช่น ส่วนลด สะสมยอด เป็นต้น โดยในส่วนของ Major ได้ทำการออกบัตรใหม่ คือ M Club ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ในตลาด ซึ่งเป็นบัตร LifeStyle

อุปสรรค (Threat)
• เทคโนโลยีด้านสื่อบันเทิงอื่นๆ และการเติบโตของคู่แข่งขันทางอ้อมที่นำเสนอความบันเทิงภายในบ้าน เช่น ร้านเช่า VCD DVD ซึ่งมีการขยายตัวเป็นอย่างมาก มีสาขาครอบคลุมทุกพื้นที่ ทำให้ผู้บริโภคหันไปนิยมใช้บริการมากขึ้น เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่า
• ปัญหา VCD DVD ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ที่ทำออกมาก่อนภาพยนตร์จะเข้าฉาย หรือเพิ่งนำออกฉาย ยังไม่สามารถควบคุมได้อย่างจริงจังทำให้โรงภาพยนตร์สูญเสียรายได้เป็นจำนวนมาก                                   

 • จะต้องใช้เงินลงทุนสูงในการเปิดโรงภาพยนตร์ และจะต้องมีเทคโนโลยีทั้งระบบภาพและเสียง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเทคโนโลยีจากเมืองนอก                                                                                                              
RESUME

ชื่อ  นางสาวปวิตรา     นามสกุล  คลังทอง

ที่อยู่ปัจจุบัน     40/2485 ถ.ติวานนท์ ต.ท่าทราย อ.เมือง จ. นนทบุรี  11000

ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน    40/2485 ถ.ติวานนท์ ต.ท่าทราย อ.เมือง จ. นนทบุรี  11000

สัญชาติ  ไทย       

เชื้อชาติ  ไทย            

ศาสนา   พุทธ

อายุ  23  ปี

สถานที่เกิด    นนทบุรี

ส่วนสูง   167 เซนติเมตร 

น้ำหนัก  53 กิโลกรัม

สถานภาพการสมรส     โสด      

เบอร์โทรศํพท์ ที่สามารถติดต่อได้ 080-6011233  

 E-mail  :  [email protected]

ประวัติการศึกษา                

ชั้นประถมศึกษา  :  โรงเรียนเพชรรรัตน์  ในพระอุปถัมภ์

ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย    : โรงเรียนเบญจมราชานุสรณ์

ระดับปริญญาตรี  :  มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

ทักษะและความสามารถอื่นๆ

-   สามารถใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ ได้ เช่น Microsoft Office  เป็นต้น

-   มีความรับผิดชอบ และมีมนุษย์สัมพันธ์ดี

พัฒนพล จารุวงศ์พันธ์

นายพัฒนพล จารุวงศ์พันธ์

รหัส 50473010044

เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

 

Resume

ชื่อ-นามสกุล นายพัฒนพล จารุวงศ์พันธ์

เกิด วันที่ 10 กรกฏาคม พ.ศ. 2532 อายุ 21 ปี

เชื้อชาติ ไทย สัญชาติ ไทย ศาสนา พุทธ

น้ำหนัก 62 กิโลกรัม ส่วนสูง 172 เซนติเมตร

สถานภาพ โสด

ที่อยู่ปัจจุบัน 778 ถ.บรมราชชนนี เเขวงบางบำหรุ เขตบางพลัด กทม. 10700

เบอร์โทรศัพท์มือถือ 085-048-5397

ประวัติการศึกษา กำลังศึกษาในระดับ ปริญญาตรี เกรดเฉลี่ย 2.65

สถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา(ssru)

คณะวิทยาการจัดการ สาขาวิชา เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

ความสามารถ

คอมพิวเตอร์ โปรแกรม MS.Word , Photoshop , มีความรู้การตลาดดี

 

วิเคราะห์กิจการที่น่าให้เงินกู้

ธุรกิจ ดีสวัสดิ์ เฟอร์นิเจอร์ ( Deesawat Furniture )

สินค้า / บริการ

บริษัทอุตสาหกรรมดีสวัสดิ์ ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่เน้นรูปแบบงานดีไซน์ โดยบริษัทซื้อโนฮาวการผลิตมาจากโรงงานเฟอร์นิเจอร์ในสิงคโปร์ของชาวอังกฤษ ชื่อ Rosewood Cabinetry ซึ่งเป็นบริษัทผุ้ผลิตเฟอร์นิเจอร์คุณภาพเพื่อส่งไปอังกฤษ ตั้งแต่ปี 2522 ในช่วงแรกดีสัวสดิ์ใช้ช่างชาวสิงคโปร์ทั้งหมด ต่อมาทยอยเปลี่ยนเป็นช่างฝีมือชาวไทยแทน
สำหรับ อุตสาหกรรมดีสวัสดิ์ ก่อตั้งปี 2515เป็นธุรกิจครอบครัวที่เริ่มจากทำโรงงานไม้เพื่อการส่งออกครบวงจร ตั้งแต่การเลื่อยไม้ อบไม้ แปรรูปไม้ และผลิตสินค้าที่ทำจากไม้ ทั้งไม้พื้นปาร์เก้ ประตูวงกบหน้าต่าง โดยมีพื้นที่โรงงาน 28,000 ตรม.ตั้งอยู่บริเวณหลักสี่ กรุงเทพฯ ซึ่งนำเข้าเครื่องจักรจากยุโรปและไต้หวั่น เพื่อให้การผลิตทันสมัยและมีประสิทธิภาพ
ปัจจุบันผลิตส่วนใหญ่เป็นแบบ OEM (Original Equipment Manufacturing) โดยรับผลิตตามแบบของลูกค้าเป็นหลัก ยอดส่งออกประมาณ 70% ของยอดภายในประเทศ ตลาดหลักที่สำคัญได้แก่ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และเยอรมัน

จุดเด่น

สินค้าที่ผลิตส่วนใหญ่ทำจากไม้สักและไม้เนื้อแข็ง ได้แก่ เฟอร์นิเจอร์สนาม จากไม้สัก สแตนเลส หวายเทียม เฟอร์นิเจอร์ภายนอกสำหรับงานโครงการต่างๆ ไม้พื้นสนาม ศาลาสำหรับใช้ภายนอก ประตูใช้

SWOT ANALYSIS

จุดแข็ง (STRENGTH)

-มีประสบการณ์การทำงานเป็นเวลากว่า 30 ปี

-มีการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์เเละปัจจัยภายนอกอย่างสม่ำเสมอ

-พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ต้องการของตลาดอยุ่ตลอดเวลา

-มีความพร้อมด้านการลงทุน การออกงานเเสดงสินค้าตามงานต่างๆ

-พัฒนาเอกลักษณ์ เเละสร้างเเบรนให้เป็นที่รู้จัก

จุดอ่อน (WEAKNESS)

-อัตราเเลกเปลี่ยนหรือค่าเงินมีผลต่อการทำธุรกิจเพราะทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออกเป็นหลัก

-ผลของการพัฒนาปรับตัวอาจจะเห็นผลในระยะยาว

โอกาส (OPPORTUNITY)

-สามารถปรับเปลี่ยนรูปเเบบการตลาดจากเน้นเเต่การส่งออกเป็นการหาตลาดจากภายในประเทศให้เพิ่มมากขึ้น

-มีพื้นฐานการตลาดเเละการผลิตที่เเข็งเเรงเพียงพอพร้อมที่จะเเข่งขัน

อุปสรรค (Threat)

-คู่เเข่งในตลาดมีมากมายทั้งจากภายในเเละภายนอกประเทศ

-อัตราเเลกเปลี่ยนเงินตราที่ผันผวนหนัก

       น.ส.ลัดดา   วงษ์สวาท

       รหัส 50473010060

       โปรเเกรม เศรษฐศาสตร์       

 

              วิเคราะห์กิจการทั้ง MACRO & MIC RO and SWOT Analysis

ธุรกิจที่เลือก คือ ธุรกิจการบริการตรวจสุขภาพเคลื่อนที่ Perfect  Care

                ในปัจจุบันร่างกายของเราต้องผจญกับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ อาทิ อาหาร น้ำ และเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เรามักจะมิได้คำนึงถึง การรับประทานอาหารบางอย่างมากเกินไปก็ทำให้เกิดโรคได้ เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคเก๊าท์ เป็นต้น หรือการรับประทานอาหารไม่ถูกสุขลักษณะก็เสี่ยงต่อการเกิดโรค อาทิ โรคตับอักเสบ โรคกระเพาะ และลำไส้ โรคพยาธิ ภาวะโลหิตจาง กระดูกผุจากการขาดแคลเซียม อาการของความเจ็บป่วยนั้นเป็นสิ่งช่วยบอกถึงความผิดปกติของร่างกายที่เรารับรู้ได้และอาจต้องไปพบแพทย์ แต่บางครั้งอาการความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นภายในและไม่แสดงอาการ เมื่อเรารับรู้ก็อาจจะสายเกินไปเสียแล้ว ดังนั้นการตรวจสุขภาพประจำปี จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการป้องกันโรค และยังช่วยในการรักษาโรคได้ทันท่วงทีอีกด้วย

                ด้วยเหตุนี้คนส่วนใหญ่จึงให้ความสำคัญด้านเกี่ยวกับสุขภาพมากขึ้น  ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่ดีที่บ่งบอกว่าคนส่วนใหญ่ใส่ใจสุขภาพและวิถีชีวิตตนเอง  ตลอดจนภาคอุตสาหกรรม บริษัทต่างๆ ก็ได้มีนโยบายที่ให้พนักงานได้รับการตรวจสุขภาพ ซึ่งเเสดงให้เห็นว่าสุขภาพถือเป็นปัญหาที่สำคัญต่อวิถีชีวิต    การทำงาน   เป็นต้น

                หากกล่าวถึงด้านเศรษฐกิจ ธุรกิจประเภทนี้ไม่ได้มุ่งเน้นที่ผลกำไร เเต่มีวัตถุประสงค์หลักที่ดูเเลเกี่ยวกับสุขภาพมากกว่า   การตลาดจึงมีผลต่อรายได้หรือผลกำไรทางด้านนี้  เเต่เป็นธุรกิจที่มีการรับรอง และปฎิบัติงานโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง  เจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกอบรมเป็นอย่างดี

จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้.

-  ส่งเสริมสุขภาพ ให้บุคคลทั่วไปเห็นความสำคัญของการป้องกันมากกว่าการรักษา และสามารถค้นหาความผิดปกติตั้งแต่อาการเริ่มต้นและรักษาได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และป้องกันการลุกลามของโรค

-  เพื่อให้บริการแบบครบวงจรที่จุดเดียว (One Stop Service) ตั้งแต่ต้อนรับ ลงทะเบียน ให้บริการตรวจสุขภาพ และรับรายงานผลการตรวจสุขภาพ โดยมีแพทย์ , พยาบาล , นักเทคนิคการแพทย์ , พนักงานประจำศูนย์ มีห้องเจาะเลือด ห้องตรวจคลื่นไฟฟ้า และห้อง X-Ray อยู่ในบริเวณเดียวกัน เพื่อให้บริการด้วยความสะดวกและรวดเร็ว

 

SWOT Analysis

จุดแข็ง (STRENGTH)

-มีประสบการณ์การทำงานเป็นเวลากว่า 10 ปี

-มีการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์เเละปัจจัยภายนอกอย่างสม่ำเสมอ

-มีความพร้อมด้านการบริการ  การออกตรวจสุขภาพในสถานที่ต่างๆ

-พัฒนาเอกลักษณ์ เเละสร้างเเบรนให้เป็นที่รู้จัก

- มีการบริการแบบครบวงจรที่จุดเดียว (One Stop Service) ตั้งแต่ต้อนรับ ลงทะเบียน ให้บริการตรวจสุขภาพ และรับรายงานผลการตรวจสุขภาพ โดยมีแพทย์ , พยาบาล , นักเทคนิคการแพทย์ , พนักงานประจำศูนย์ มีห้องเจาะเลือด ห้องตรวจคลื่นไฟฟ้า และห้อง X-Ray อยู่ในบริเวณเดียวกัน เพื่อให้บริการด้วยความสะดวกและรวดเร็ว

 

จุดอ่อน (WEAKNESS)

- ธุรกิจที่ให้การตรวจสุขภาพเคลื่อนที่ อาจมีหลายบริษัท    อนามัย  ตลอดจนโรงพยาบาลที่อำนวยความสะดวก อาจทำให้เกิดการเเข่งขันสูง

- บริษัทอาจมีประสบการณ์การทำงานน้อยเกินไปหากเทียบกับบริษัทอื่นๆ ในสายงานธุรกิจเดียวกันจึงอาจเกิดข้อเปรียบเทียบ

 

โอกาส (OPPORTUNITY)

- ควรเน้นการบริการให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากขึ้น เพราะการบริการที่ดีสามารถดึงดูดลูกค้าว่าจ้างบริษัทให้ออกงานนอกสถานที่มากขึ้น

- มีพื้นฐานการตลาดที่เเข็งเเรงเพียงพอพร้อมที่จะเเข่งขันได้

-มีความสะดวกในการให้บริการ เช่น มีการบริการแบบครบวงจรที่จุดเดียว (One Stop Service)

- ในอนาคตอาจปรับรูปแบบให้มีคุณภาพโดยยึดหลักผู้รับบริการเป็นสำคัญ ให้เป็นที่ประทับใจ และมีความสุข ครบทุกด้านจากบริษัทของเรา

 

อุปสรรค (Threat)

- คู่เเข่งในตลาดมีมากมายทั้งจากภายในเเละภายนอกประเทศ

- การบริการนอกสถานที่อาจมีความลำบากต่อผู้ให้บริการ  ตลอดจนทางด้านค่าใช้จ่ายที่อาจสูงเกินไป

 

RESUME

 

 ชื่อ  นางสาวลัดดา       นามสกุล  วงษ์สวาท

ที่อยู่ปัจจุบัน    95/26 ม.7  ต.สามพราน  อ.สามพราน   จ.นครปฐม  73110

ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน  95/26 ม.7  ต.สามพราน  อ.สามพราน   จ.นครปฐม  73110

  สัญชาติ  ไทย         เชื้อชาติ  ไทย             ศาสนา  พุทธ

วันเกิด  24  ธันวาคม  2530

อายุ     23 ปี

ส่วนสูง   156 เซนติเมตร  น้ำหนัก  44  กิโลกรัม

สถานภาพการสมรส     โสด           

เบอร์โทรศํพท์ (บ้าน)   -     เบอร์โทรศํพท์ (มือถือ) 085-916-7200

E-mail  :  JO-0724 @hotmail.com

งานอดิเรก   อ่านหนังสือ , ฟังเพลง , ดูหนัง

ประวัติการศึกษา    

ระดับการศึกษา

ชื่อสถานศึกษา

วุฒิที่ได้รับ

คะแนนเฉลี่ย

วิชาเอก

มัธยมศึกษา

รร.สามพรานวิทยา

มัธยมศึกษาตอนปลาย

 3.10

ศิลป์-ภาษา

อุดมศึกษา

มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

ปริญญาตรี

2.56

เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

       

 มาตรฐานการสำเร็จการศึกษาของบัณฑิต   

ผ่านเกณฑ์ ICT และภาษาอังกฤษ

ผ่านเกณฑ์ การพัฒนาบุคลิกภาพ  คุณธรรม  และจริยธรรม

ทักษะและความสามารถพิเศษอื่นๆ

สามารถใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ ได้ เช่น Microsoft Office

สามารถพิมพ์ดีดภาษาไทยได้  140  คำ/นาที  ภาษาอังกฤษได้  120  คำ/นาที

มีความรับผิดชอบและมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี

ประสบการณ์การทำงาน 

ระยะเวลา

ตำแหน่ง

บริษัท

เงินเดือน

มี.ค.-พ.ค. 2552

พนักงานตรวจงานฝ่ายห้องพัก

โรงเเรมโรสกาเด้นท์   สวนสามพราน

205 บาท/วัน

ก.พ.2553 -  ปัจจุบัน

เจ้าหน้าที่อนามัย

ศูนย์บริการตรวจสุขภาพเคลื่อนที่ Perfect  Care

300 - 500 บาท/วัน

ประวัติส่วนตัว

ชื่อ  นายอัครวัฒน์   นามสกุล  พฤกษชาติเจริญ

ที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้  เลขที่ 10/3 ซ.เพชรพลอย ถ.สี่พระยา แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กทม. 10500

ข้อมูลส่วนตัว

เกิดวันที่  22  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2531

อายุ  21 ปี  8 เดือน

เชื้อชาติ ไทย                         สัญชาติ ไทย                         ศาสนา  พุทธ

น้ำหนัก  55  กิโลกรัม         ส่วนสูง  165  เซนติเมตร

สถานภาพการสมรส     โสด           

เบอร์โทรศํพท์ (บ้าน)  0-2631-5939   เบอร์โทรศํพท์ (มือถือ) 08-7822-8876

E-mail : [email protected]

งานอดิเรก    ใช้งานคอมพิวเตอร์,ขับรถ

ประวัติการศึกษา                

จบชั้นประถมศึกษาตอนต้น และตอนปลาย   :  โรงเรียนกุหลาบวิทยา จังหวัดกรุงเทพฯ

ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น และตอนปลาย  : โรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัย  จังหวัดกรุงเทพฯ

ระดับปริญญาตรี  :  มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

มาตรฐานการสำเร็จการศึกษาของบัณฑิต   

ผ่านเกณฑ์ ICT และภาษาอังกฤษ

ผ่านเกณฑ์ การพัฒนาบุคลิกภาพ  คุณธรรม  และจริยธรรม

ความสามารถพิเศษอื่นๆ

-  สามารถใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ ได้ เช่น Microsoft Office, และโปรแกรมสำหรับคอมพิมเตอร์เบื้องต้น

-  ความสามารถ ทางด้านการขับขี่ยานพาหนะ  จักรยานยนต์

......................................................................................

ธุรกิจที่น่าให้เงินกู้

ธุรกิจน้ำยาปรับผ้านุ่ม
การวิเคราะห์สถานการณ์ ( SWOT Analysis )

จุดแข็ง (Strength)
• ผู้บริหารมีความรู้ด้านการผลิตเป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพมากขึ้น
• ที่ตั้งของกิจการอยู่ใกล้แหล่งชุมชน จึงสามารถกระจายสินค้าไปยังแหล่งต่างๆ ได้สะดวก
• ขั้นตอนการผลิตไม่ซับซ้อน ไม่ต้องใช้พนักงานที่มีประสบการณ์สูง ทำให้มีต้นทุนการผลิตต่ำ
• สินค้าราคาถูก

จุดอ่อน (Weakness)
• ลักษณะการบรรจุผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นสินค้าประเภทอุปโภคบริโภคมีลักษณะคล้ายคลึงกับบรรจุภัณฑ์
ของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรอื่น เช่น ปุ๋ยเคมี  ทำให้ขาดรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์
• ผลิตภัณฑ์ของกิจการ ยังไม่เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคมาก ดังนั้นจึงสามารถจำหน่ายได้เฉพาะในเขตจังหวัด
ใกล้เคียงและเฉพาะตลาดล่างเท่านั้น
• กิจการขาดระบบจัดการ และระบบบัญชีการเงินที่เป็นมาตรฐาน  ทำให้ขาดข้อมูลแสดงสถานะการผลิต
และการเงินที่ช่วยพิจารณาตัดสินใจด้านการจัดการได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

โอกาส (Opportunity)
• ยังไม่มีผู้ประกอบการที่ผลิตผลิตภัณฑ์ประเภทเดียวกันในเขตพื้นที่ อ.เมือง จึงไม่มีปัญหาการแข่งขัน
• การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่จะเพิ่มขึ้นในปี 2546 ทำให้อัตราการเติบโตในภาคการผลิตและบริโภค
เพิ่มขึ้น ส่งผลต่อการเติบโตของตลาดน้ำยาปรับผ้านุ่มด้วย

อุปสรรค (Threat)
• มีผู้ผลิตรายใหญ่ๆ หลายราย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นบริษัทข้ามชาติ ผู้ผลิตเหล่านี้มีกำลังในการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์มาก ซึ่งจะช่วยทำให้สินค้าของคู่แข่งเป็นที่รู้จักและมีภาพลักษณ์ที่ดี
• สภาวะการแข่งขันนอกเขต อ. เมือง จ. สระบุรีและพื้นที่จังหวัดใกล้เคียงค่อนข้างรุนแรงโดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ ทำให้ยากต่อการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายของกิจการได้
ในอนาคต

 เหตุผลที่ให้เงินกู้กับธุรกิจนี้เนื่องจาก

ประเทศไทยเป็นประเทศเขตร้อน ทำให้ประชาชนมีเหงื่อมากซึ่งจะทำให้เสื้อผ้าเหม็น ดังนั้นจึงต้องใส่น้ำยา เพื่อให้เสื้อมีกลิ่นหอม และเครื่องนุ่มห่มยังเป็นปัจจัยที่สำคัญในการดำรงค์ชีวิตประจำวัน จึงทำให้ธุรกิจนี้สามารถดำเนินต่อไปได้อย่างถาวร อัตราความเสี่ยงจึงน้อยมาก และยังเป็นบริษัทแนวหน้าอีกด้วย

นายอัครวัฒน์ พฤกษชาติเจริญ รหัส 50473010046

นายอัครวัฒน์ พฤกษชาติเจริญ รหัส 50473010046

คณะวิทยาการจัดการ โปรแกรมวิชาเศรษศาสตร์ธุรกิจ

ประวัติส่วนตัว

ชื่อ  นายอัครวัฒน์   นามสกุล  พฤกษชาติเจริญ

ที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้  เลขที่ 10/3 ซ.เพชรพลอย ถ.สี่พระยา แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กทม. 10500

ข้อมูลส่วนตัว

เกิดวันที่  22  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2531

อายุ  21 ปี  8 เดือน

เชื้อชาติ ไทย                         สัญชาติ ไทย                         ศาสนา  พุทธ

น้ำหนัก  55  กิโลกรัม         ส่วนสูง  165  เซนติเมตร

สถานภาพการสมรส     โสด           

เบอร์โทรศํพท์ (บ้าน)  0-2631-5939   เบอร์โทรศํพท์ (มือถือ) 08-7822-8876

E-mail : [email protected]

งานอดิเรก    ใช้งานคอมพิวเตอร์,ขับรถ

ประวัติการศึกษา                

จบชั้นประถมศึกษาตอนต้น และตอนปลาย   :  โรงเรียนกุหลาบวิทยา จังหวัดกรุงเทพฯ

ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น และตอนปลาย  : โรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัย  จังหวัดกรุงเทพฯ

ระดับปริญญาตรี  :  มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

มาตรฐานการสำเร็จการศึกษาของบัณฑิต   

ผ่านเกณฑ์ ICT และภาษาอังกฤษ

ผ่านเกณฑ์ การพัฒนาบุคลิกภาพ  คุณธรรม  และจริยธรรม

ความสามารถพิเศษอื่นๆ

-  สามารถใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ ได้ เช่น Microsoft Office, และโปรแกรมสำหรับคอมพิมเตอร์เบื้องต้น

-  ความสามารถ ทางด้านการขับขี่ยานพาหนะ  จักรยานยนต์

......................................................................................

ธุรกิจที่น่าให้เงินกู้

ธุรกิจน้ำยาปรับผ้านุ่ม
การวิเคราะห์สถานการณ์ ( SWOT Analysis )

จุดแข็ง (Strength)
• ผู้บริหารมีความรู้ด้านการผลิตเป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพมากขึ้น
• ที่ตั้งของกิจการอยู่ใกล้แหล่งชุมชน จึงสามารถกระจายสินค้าไปยังแหล่งต่างๆ ได้สะดวก
• ขั้นตอนการผลิตไม่ซับซ้อน ไม่ต้องใช้พนักงานที่มีประสบการณ์สูง ทำให้มีต้นทุนการผลิตต่ำ
• สินค้าราคาถูก

จุดอ่อน (Weakness)
• ลักษณะการบรรจุผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นสินค้าประเภทอุปโภคบริโภคมีลักษณะคล้ายคลึงกับบรรจุภัณฑ์
ของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรอื่น เช่น ปุ๋ยเคมี  ทำให้ขาดรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์
• ผลิตภัณฑ์ของกิจการ ยังไม่เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคมาก ดังนั้นจึงสามารถจำหน่ายได้เฉพาะในเขตจังหวัด
ใกล้เคียงและเฉพาะตลาดล่างเท่านั้น
• กิจการขาดระบบจัดการ และระบบบัญชีการเงินที่เป็นมาตรฐาน  ทำให้ขาดข้อมูลแสดงสถานะการผลิต
และการเงินที่ช่วยพิจารณาตัดสินใจด้านการจัดการได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

โอกาส (Opportunity)
• ยังไม่มีผู้ประกอบการที่ผลิตผลิตภัณฑ์ประเภทเดียวกันในเขตพื้นที่ อ.เมือง จึงไม่มีปัญหาการแข่งขัน
• การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่จะเพิ่มขึ้นในปี 2546 ทำให้อัตราการเติบโตในภาคการผลิตและบริโภค
เพิ่มขึ้น ส่งผลต่อการเติบโตของตลาดน้ำยาปรับผ้านุ่มด้วย


อุปสรรค (Threat)
• มีผู้ผลิตราย ใหญ่ๆ หลายราย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นบริษัทข้ามชาติ ผู้ผลิตเหล่านี้มีกำลังในการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์มาก ซึ่งจะช่วยทำให้สินค้าของคู่แข่งเป็นที่รู้จักและมีภาพลักษณ์ที่ดี
• สภาวะการแข่งขันนอกเขต อ. เมือง จ. สระบุรีและพื้นที่จังหวัดใกล้เคียงค่อนข้างรุนแรงโดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ ทำให้ยากต่อการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายของกิจการได้
ในอนาคต

 เหตุผลที่ให้เงินกู้กับธุรกิจนี้เนื่องจาก

ประเทศไทยเป็นประเทศเขตร้อน ทำให้ประชาชนมีเหงื่อมากซึ่งจะทำให้เสื้อผ้าเหม็น ดังนั้นจึงต้องใส่น้ำยา เพื่อให้เสื้อมีกลิ่นหอม และเครื่องนุ่มห่มยังเป็นปัจจัยที่สำคัญในการดำรงค์ชีวิตประจำวัน จึงทำให้ธุรกิจนี้สามารถดำเนินต่อไปได้อย่างถาวร อัตราความเสี่ยงจึงน้อยมาก และยังเป็นบริษัทแนวหน้าอีกด้วย

นางสาวปัทมา พิมพ์ศรี รหัส 50473010034 เศรษฐศาสตร์ธุกิจ

       วิเคราะห์กิจการที่จะให้กู้  โดยวิเคราะห์ทั้ง MACRO  & MICRO  and SWOT Analysis

http://www.notebookspec.com/web/wp-content/uploads/2009/11/acer12.jpg

ธุรกิจที่เลือกคือ  เอเซอร์ (Acer)

       ซึ่งเป็นบริษัทผลิตฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์สัญชาติไต้หวัน ปัจจุบันเป็นหนึ่งในห้าอันดับแรกของผู้ผลิตพีซีในโลก เอเซอร์เริ่มกิจการในชื่อบริษัท Multitech เมื่อ ค.ศ. 1976 และเปลี่ยนชื่อมาเป็นเอเซอร์ในปี ค.ศ. 1981 โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมือง Sijhih City ในไต้หวัน เอเซอร์มีพนักงานมากกว่า 39,000 คน และมีสาขาอยู่มากกว่า 100 ประเทศ มีรายได้มากกว่า 12,900 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยผลิตภัณฑ์ของเอเซอร์มีหลายหลายและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลิตภัณฑ์หลักประกอบด้วย
• คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ
o Aspire
• คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค
o TravelMate
o TabletPC TravelMate
o Aspire
o Extensa
o Ferrari - โน้ตบุ๊คที่ติดตราสัญลักษณ์ของบริษัทเฟอร์รารี
• PDA
• เซิร์ฟเวอร์
o Altos
• มอนิเตอร์
• เครื่องฉายภาพ (Projector)

การวิเคราะห์ด้วย SWOT
จุดแข็ง (Strength)
จุดแข็งของเอเซอร์ สรุปได้ดังนี้
- เอเซอร์เป็นตรายี่ห้อที่ผู้บริโภครู้จักเป็นอย่างดี ทั้งผู้บริโภคในไทยและต่างประเทศ ปัจจุบันเป็นหนึ่งในห้าอันดับแรกของผู้ผลิตพีซีในโลก
- ผลิตภัณฑ์มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ เช่น โน้ตบุ๊คตระกูล Aspire โฉมใหม่ภายใต้รหัส Gemstone ซึ่งได้รับการออกแบบร่วมกับทีมงานออกแบบรถยนต์ BMW โดย Gemstone
- ผู้แต่งตั้งเอเซอร์ นาย Stan Shih มีความสามารถและได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จในด้านการสร้างตรายี่ห้อ (Brand Building)
- โมเดลการดำเนินธุรกิจของเอเซอร์ ที่เรียกว่า Channel Business Model เป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้เอเซอร์ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ โมเดลนี้ให้ความสำคัญกับการบริหารห่วงโซ่อุปทาน (Supple Chain Management) ทำให้เอเซอร์สามารถตอบสนองลูกค้าด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้ได้เปรียบคู่แข่งในด้านราคาและคุณภาพการให้บริการ (Service Quality)
- มีระบบการผลิตที่ผ่านมาตรฐาน ISO 9001, 14001 ทำให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพดี ลูกค้ามีความมั่นใจในผลิตภัณฑ์ที่จำหน่าย และความตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมที่บริษัทให้ความสำคัญ

จุดอ่อน (Weakness)
จุดอ่อนของเอเซอร์ ได้แก่
- เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมีกำไรต่อหน่วยต่ำลงเรื่อยๆ ทำให้การผลิตสินค้าในแต่ละครั้งของเอเซอร์ต้องผลิตในปริมาณมาก เพื่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาดการผลิต ซึ่งการผลิตจำนวนมากนั้นก็มีความเสี่ยงต่อการผลิตเกินความต้องการของตลาด
- กระบวนการผลิตต้องใช้แรงงานเป็นหลัก (Labor Intensive) การขยายตัวของอุตสาหกรรมอื่น เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อาจส่งผลให้เกิดการแย่งแรงงานที่มีทักษะ อาจทำให้เอเซอร์เกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงานได้ด้วยเช่นกัน
- ผู้ผลิตไทยและผู้รับจ้างประกอบคอมพิวเตอร์ มีความยืดหยุ่นในการผลิตมากกว่าเอเซอร์ ประเทศไทย

โอกาส (Opportunity)
โอกาสของเอเซอร์ ได้แก่
- คอมพิวเตอร์เป็นสิ่งจำเป็นในการทำงานในปัจจุบัน
- การพัฒนาเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ การสนับสนุนจากรัฐบาลและข้อตกลง ITA ทำให้ราคาต้นทุนชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ลดลง การผลิตคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ส่วนประกอบต้องใช้วัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศในสัดส่วนประมาณร้อยละ 65-90 ของต้นทุนการผลิต
- การเปิดเสรีทางการค้าของไทย ทำให้ต้นทุนการผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ลดลง จากราคาชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่นำเข้าที่ถูกลง อันเนื่องจากการได้รับการยกเว้นการจัดเก็บภาษี
- การพัฒนาและประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์เข้ากับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ต่างๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ ทีวี รถยนต์ เป็นต้น ทำให้เกิดโอกาสที่จะขยายการดำเนินธุรกิจไปยังผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เหล่านี้
- อินเทอร์เน็ตทำให้เกิดช่องทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสาร เปิดโอกาสให้ดำเนินธุรกิจได้หลากหลายมากขึ้น

อุปสรรค (Threat)
อุปสรรคของเอเซอร์ ได้แก่
- ในสภาวะเศรษฐกิจที่ราคาน้ำมันยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อน้อยลง โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือยอย่างคอมพิวเตอร์
- อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์มีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีการแข่งขันค่อนข้างสูง คู่แข่งขันในอุตสาหกรรมที่มีเป็นจำนวนมาก
- สภาพการแข่งขันของตลาดคอมพิวเตอร์ที่เริ่มอิ่มตัว
- การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี ทำให้สินค้าในอุตสาหกรรมนี้มีวงจรชีวิตค่อนข้างสั้น
- อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์มีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อย่างมาก เกิดความเสี่ยงทางธุรกิจจากการพึ่งพาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การเปลี่ยนแปลงของสภาพการค้าและการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลก ย่อมมีผลกระทบต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และอุตสาหกรรมขคอมพิวเตอร์อย่างหลีกเลี่ยงมิได้
- ความเสี่ยงจากการแข่งขันทางด้านราคาค่อนข้างสูง
- การกำหนดมาตรฐานสินค้าใหม่ ๆ ที่ส่งผลให้ผู้ผลิต มีต้นทุนมากขึ้น
- ค่าจ้างแรงงานไทยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ

...........................................................................................................................

RESUME

http://photos4.hi5.com/0134/442/143/YREhWo442143-02.jpg

ชื่อ นางสาวปัทมา   นามสกุล พิมพ์ศรี

ที่อยู่ปัจจุบัน    1511-15/16 ซอยแขก ถนนลาดหญ้า เขตคลองสาน กรุงเทพ 10600

ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน    2/2 ต.สามขา อ.โพนทราย จ.ร้อยเอ็ด 45240

ข้อมูลส่วนตัว

เกิดวันที่   6  ธัวาคม  พ.ศ. 2531

อายุ    21   ปี 

เชื้อชาติ ไทย                            สัญชาติ ไทย                         ศาสนา  พุทธ

น้ำหนัก  49  กิโลกรัม                  ส่วนสูง  165  เซนติเมตร

สถานภาพการสมรส     โสด           

เบอร์โทรศัพท์ (บ้าน)    -            เบอร์โทรศํพท์(มือถือ)  080-0557511 

E-mail : [email protected]

งานอดิเรก    ฟังเพลง , ดูหนัง , อ่านหนังสือ

ประวัติการศึกษา

ระดับการศึกษา

ชื่อสถานศึกษา

วุฒิที่ได้รับ

คะแนนเฉลี่ย

วิชาเอก

มัธยมศึกษา

รร.สามขาวิทยา

มัธยมศึกษาตอนปลาย

2.98

ศิลป์-ภาษา

อุดมศึกษา

มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

ปริญญาตรี

2.44

เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ


มาตรฐานการสำเร็จการศึกษาของบัณฑิต

ผ่านเกณฑ์ ICT และภาษาอังกฤษ

ผ่านเกณฑ์ การพัฒนาบุคลิกภาพ  คุณธรรม  และจริยธรรม

ความสามารถพิเศษอื่นๆ

สามารถใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ ได้ เช่น Microsoft Office

สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้

มีมนุษยสัมพันธ์ดี มีความรับผิดชอบ

 

 

นางสาว จิตรยา กันยา

                                 แม่หนู

                        

“จะขอกราบดินส่งรักขึ้นไปสู่ดาวแล้วส่งข่าวให้ลูกรู้เป็นอย่างไร ลูกคนเดิมคนนี้เป็นคนดีอย่างที่แม่ตั้งใจ แม่จงหลับสบายอยู่เคียงข้างจันทร์ ไม่เคยน้อยใจ เมื่อไม่มีแม่กอด แม่อยู่ในใจตลอด ฉันรู้สึกได้ หากมีพรอยู่จริงสิ่งที่ต้องการได้มา จะขอเกิดเป็นลูกแม่ทุกชาติไป” ตอนนี้ฉันกับแม่อยู่ไกลกันเหลือเกิน ฉันอยู่กรุงเทพ แม่อยู่อุบลราชธานี เราไม่เคยห่างกันแบบนี้เพราะแม่ต้องไปคุมคนงานที่กำลังสร้างบ้านหลังใหม่ คิดถึงแม่ใจจะขาด มีสิ่งหนึ่งที่แม่ให้ฉันโดยที่ไม่หวังผลตอบแทนใดๆ นั้นก็คือ “ความรัก” ฉันคิดว่าของขวัญปีนี้ที่จะให้แม่คือการที่ฉันกับแม่ได้เจอกัน กอดกัน หอมแก้มกัน แค่นี้คงไม่เท่ากับสิ่งที่แม่อยากได้หรอก ฉันเชื่อว่าสิ่งที่แม่ทุกคนต้องการมากที่สุดคือ การที่ได้เห็นลูกประสบความสำเร็จในชีวิต เรื่อง การเรียน การงาน ครอบครัว และฉันก็จะตั้งใจทำสิ่งที่แม่ต้องการคือตั้งใจเรียนให้จบ

นางสาว จิตรยา กันยา รหัสนักศึกษา 52127312064 ปี 2

น.ส.ศิรินันท์ กาญจนพันธุ์วงศ์ 50473010001 เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ             

1. กนง.ปรับขึ้น ดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ตามคาด ขึ้นไปอยู่ที่ 1.75% จากเดิมอยู่ที่ 1.50% ผู้ช่วยผู้ว่าธปท.ฟันธงยังเดินหน้าขึ้นต่อไปอีกในครั้งหน้า เหตุเศรษฐกิจไทยขยายตัวดีเกินคาด

             การที่ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มอีกเป็นครั้งที่สองเนื่องจากเศรษฐกิจมีการเจริญเติมโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการชะลอเศรษฐกิจ ธนาคารพาณิชย์ให้ความรวมมือในการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มขึ้นเป็นการช่วยชะลอการลงทุนและในทางกลับกันการขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากก็เป็นการลดปริมาณเงินในเศรษบกิจลงบ้างเพราะประชาชนหันมาฝากเงินเพิ่มขึ้น

              หากเศรษฐกิจยังต่ออยู่อย่างต่อเนื่องอาจต้องมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีกมีแนวโน้มว่าจะปรับถึง 2 %ภายในสิ้นปีเพื่อเพื่อเป็นการชะลอเศรษฐกิจไม่ให้โตเกินไป ถ้าเศรษฐกิจโตเกินไปจะส่งผลให้ราคาสิคค้าแพงขึ้น

              2.สันติ วิลาสศักดานนท์" ระบุ สินค้าอุตสาหกรรม อาจทยอยปรับขึ้นราคาสินค้าตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 นี้  5-10% จากปัจจุบัน โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่ไม่ได้อยู่ในบัญชีควบคุมราคาสินค้าของกระทรวงพาณิชย์  กรณีที่กระทรวงพาณิชย์จะไม่ต่อมาตรการขอความร่วมมือให้ผู้ผลิตสินค้าตรึงราคาสินค้าที่จะหมดลงในสิ้นเดือน ก.ย.

                ราคาต้นทุนสินค้าที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มมากขึ้นปรับเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะพืชผลทางการเกษตร และเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวส่งผลให้ประชาชนมีเงินจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น ทำให้มีความต้องการในการบริโภคเพิ่มขึ้นจึงเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ภาคอุตสาหกรรมปรับขึ้นราคาสินค้าในไตรมาสที่ 4 โดยเฉพาะสินค้าที่ไม่ได้อยู่ในมาตราการตรึงราคาสินค้าของกระทรวงพาณิชย์

                 แต่อย่างไรก็ตามการขึ้นราคาสินค้าต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบไม่ใช่ว่าจะขึ้นกันง่าย ต้องคำนึงถึงความเหมาะสม และและคู่แข่งขันทางการค้าถ้าปรับขึ้นราคาสูงมากเกินไปจะทำให้ผู้ปริโภคหันไปบริโภคสินค้าทดแทนกันแทนได้ ทำให้ยอดขายลดลงได้

นางสาวเหมือนฝัน คำใจดี 50473010049 สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

นางสาวเหมือนฝัน   คำใจดี

50473010049

สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

 

1."พาณิชย์" สั่งติวผู้ประกอบการโลจิสติกส์ไทย รับมือเปิดเสรีอาเซียน

                “อลงกรณ์”สั่งติวเข้มผู้ประกอบการโลจิสติกส์ไทย รับมือเปิดเสรีในอาเซียน หลังมีแผนให้ถือหุ้นได้ไม่ต่ำกว่า70% เตรียมจัดเวทีชี้แจงใหญ่อีกครั้ง 27 ส.ค.นี้  เมื่อวันที่ 25 ส.ค. นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ดำเนินการให้ความรู้และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการเปิดเสรีการค้าบริการสาขาโลจิสติกส์ภายใต้กรอบเขตการค้าเสรีอาเซียน (อาฟตา) เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถวางแผนปรับตัวเตรียมความพร้อมรับมือการเปิดเสรี และหาช่องทางการใช้ประโยชน์จากการเปิดเสรี รวมทั้งการนำเสนอปัญหาอุปสรรคของสาขาโลจิสติกส์ของไทยเพื่อให้ภาครัฐช่วย แก้ไขก่อนที่การเปิดเสรีจะเกิดขึ้น โดยในปี 2556 อาเซียนมีเป้าหมายการเปิดเสรีสาขาโลจิสติกส์ ที่จะอนุญาตให้นักลงทุนอาเซียนเข้ามาจัดตั้งธุรกิจ และถือหุ้นได้ไม่น้อยกว่า 70% ซึ่งได้เริ่มทยอยเปิดเสรีมาแล้วตั้งแต่ปี 2551 โดยให้ถือหุ้นได้ไม่น้อยกว่า 49% และปี 2553 ให้ถือหุ้นได้ไม่น้อยกว่า 51%

วิเคราะห์:

                เป็นข่าวดีสำหรับผู้ประกอบการทั้งหลาย และควรให้ความร่วมมือเนื่องจาก มีความจำเป็นที่จะต้องเตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการสาขาโลจิสติกส์ของไทย เพราะการเปิดเสรีมีทั้งโอกาส และผลกระทบ จึงต้องวางแผนรับมือให้ดี โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) ที่อาจได้รับผลกระทบ จึงต้องหาทางให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ปรับตัวแข่งขันได้

 

2.ดอกเบี้ยทะยาน!แบงก์ชาติปรับขึ้นแตะ1.75%

                กนง. ปรับขึ้น ดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ตามคาด ขึ้นไปอยู่ที่ 1.75% ผู้ช่วยผู้ว่าธปท.ฟันธงยังเดินหน้าขึ้นต่อไปอีกในครั้งหน้า เหตุเศรษฐกิจไทยขยายตัวดีเกินคาด เงินเฟ้อจ่อพุ่งเหนือเป้าหมายในช่วงปีหน้า...เมื่อวันที่ 25 ส.ค. นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สายนโยบายการเงิน แถลงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ว่า กนง.มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธปท. (อัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตรประเภท 1 วัน) ปรับขึ้นไปอยู่ที่ 1.75% ทันที

วิเคราะห์:

                แม้จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว 2 ครั้งแล้ว คือครั้งนี้ กับครั้งที่ผ่านมา แต่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยก็ยังเป็นอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นต่อไป เพราะเมื่อพื้นฐานเศรษฐกิจในขณะนี้ อัตราดอกเบี้ยของไทยยังอยู่ในระดับที่ต่ำมาก และเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริงในขณะนี้ยังคงติดลบ แสดงให้เห็นว่า อัตราดอกเบี้ยไทยยังอยู่ในระดับต่ำมาก

นางสาวพรพิมล พรหหมผาบ 50473010056 เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

นางสาวพรพิมล  พรหมผาบ 

50473010056  เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

 

1.  เงินไหลเข้าดันบาทแข็งในรอบ 26 เดือน เปิดตลาดที่ 31.44/45 บาท/ดอลลาร์ สวนทางค่าเงินในภูมิภาค คาดวันนี้อยู่ที่ 31.40-31.50 บาท/ดอลลาร์

นักบริหารเงินธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทวันนี้ (26 ส.ค.) ว่า เปิดตลาดที่ระดับ 31.47/49 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจากปิดตลาดเย็นวานนี้ที่ระดับ 31.48/50 บาท/ดอลลาร์

ล่าสุด เมื่อเวลา 08.37 น.ปรับตัวแข็งค่าลงมาอยู่ที่ระดับ 31.44/45 บาท/ดอลลาร์ ทำสถิติแข็งค่าสุดในรอบ 26 เดือน โดยยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่องสวนทางกับค่าเงินในภูมิภาค  โดยตลาดยังรอดูการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ ได้แก่ รายงานยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือน ก.ค., รายงานยอดขายบ้านใหม่เดือน ก.ค.และรายงานตัวเลขสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ ส่วนปัจจัยในประเทศเป็นเรื่องการเงินทุนไหลเข้าและการเทขายเพื่อทำกำไรหลังจากก่อนหน้านี้ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามาดูแลค่าเงินบาท

สำหรับความเคลื่อนไหวของค่าเงินสกุลหลักต่างประเทศ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 84.63/67 เยน/ดอลลาร์ ปรับตัวอ่อนค่าจากระดับ 84.45/49 เยน/ดอลลาร์ ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.2665/2667 ดอลลาร์/ยูโร ปรับตัวแข็งค่าจากระดับ 1.2600 ดอลลาร์/ยูโร

ส่วนแนวโน้มการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทในวันนี้คาดแกว่งตัวในกรอบ 31.40-31.50 บาท/ดอลลาร์

วิเคราะห์

                การที่ค่าเงินบาทแข็งค่านั้นทำให้ผู้ที่เป็นผู้นำเข้าสินค้าเป็นที่น่าพอใจ เพราะสามารถลดต้นทุนในการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศน้อยลง ทำให้นักลงทันจากต่างประเทศได้หันเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น  เงินในประเทศเพิ่มขึ้น  ทำให้ภาวะเงินเฟ้อเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและอาจจะสูงขึ้นจากเดิมอย่างต่อเนื่อง  อาจส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคที่ต้องเผชิญกับภาวะราคาสินค้าและบริการเพิ่มมากขึ้น  ผู้บริโภคจึงมีการจับจ่ายใช้สอยลดลง

                ด้านภาคการส่งออกนั้นทำให้เกิดผลกระทบมากเพราะการส่งออกนั้นต้องเสียต้นทุนมากขึ้น  อาจเกิดการชะลอการส่งออกของผู้ประกอบการก็เป็นได้

 

 

 

2.  วายแอลจี แนะนักลงทุนหาจังหวะทำกำไร ราคาทองคำที่ระดับ 1,243 ดอลลาร์ต่อออนซ์

นางสาวฐิภา  นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด  เปิดเผยว่า ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาการรายงาน ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส  2 ของญี่ปุ่นที่มีการขยายตัว เพียง 0.4% ต่อปี หรือ 0.1% ต่อไตรมาส ซึ่งต่ำกว่าที่คาดว่า จะขยายตัว 2.3% ต่อปี และ 0.6% ต่อไตรมาส ได้กลายเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น

ในขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจของฝั่งสหรัฐที่ออกมาล่าสุดยังสะท้อนถึงความอ่อนแออย่างต่อเนื่องของตลาดแรงงาน ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว หากสหรัฐยังไม่สามารถแก้ปัญหาการว่างงานที่มีอยู่ในระดับสูงได้แล้ว คงเป็นเรื่องยากที่เศรษฐกิจสหรัฐจะกลับมาขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง

ดังนั้นหากสถานการณ์ของตลาดแรงงานสหรัฐยังเป็นเช่นนี้ความเสี่ยงต่อการเกิดสภาวะถดถอยอีกครั้งของเศรษฐกิจสหรัฐ ก็ยังคงมีอยู่ ซึ่งก็จะเป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญของทองคำในฐานะแหล่งลงทุนที่ปลอดภัยให้สามารถขยับตัวเพิ่มสูงขึ้นในระยาวต่อไป

นอกจากนี้ แล้วเริ่มมีประเด็นการสะสมทองคำเพื่อรองรับช่วงเทศกาลแต่งงานในประเทศอินเดียเข้ามาจึงกลายเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในระยะนี้

สำหรับสัปดาห์นี้ทางวายแอลจีแนะนำให้นักลงทุนระยะกลางที่ได้ซื้อทองคำไว้แล้วให้หาจังหวะทำกำไรบริเวณแนวต้านสำคัญ   1,243  ดอลลาร์ต่อออนซ์  เพื่อออกมาดูความชัดเจนของตลาดก่อนเข้าลงทุนอีกครั้ง แต่หากราคาทองคำมีการย่อตัวลงมาก่อนก็ยังคงแนะนำให้นักลงทุนเข้าสะสมทองคำเพิ่มเติมได้ ในส่วนของกรอบการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในสัปดาห์นี้ทางวายแอลจีคาดว่าราคาทองคำจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,200 – 1,265 ดอลลาร์ต่อออนซ์  

วิเคราะห์

จากการที่ราคาทองคำมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นนั้น  ทำให้นักลงทุนที่ซื้อทองไว้เพื่อเก็งกำไรนั้นก็หันมาลงทุนในทองคำกันมากขึ้น โดยคาดว่าอนาคตราคาทองนคำจะเพิ่มสูงขึ้น

3.              พ่อค้าแห่ซื้อสต๊อกข้าวรัฐบาล

ส่งออกข้าวไทยพ้นวิกฤติครึ่งปีหลังสดใส  เหตุคู่แข่งประสบภัยธรรมชาติ สต๊อกเหลือน้อย ผู้ส่งออกรุมทึ้งซื้อข้าวสต๊อกรัฐบาลส่งมอบลูกค้า หลังราคาท้องตลาดปรับตัวสูงกว่าออร์เดอร์ที่รับไว้  "พรทิวา"ยอมรับได้ปล่อยข้าวออกแบบเงียบๆ ให้กับผู้ส่งออกที่มีออร์เดอร์ ด้าน"ข้าวไชยพร"ดี๊ด๊าชนะประมูลข้าวอิรักร่วมแสนตัน สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยโชว์ราคาขายข้าวทุกชนิดปรับตัวสูงขึ้น
นายชูเกียรติ  โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ในช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้มีแนวโน้มไทยจะส่งออกข้าวได้เพิ่มขึ้นทั้งด้านปริมาณ และราคา ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปากีสถานผู้ส่งออกข้าวอันดับ 3 ของโลก (รองจากไทยและเวียดนาม) ได้ประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ ส่งผลให้ผลผลิตข้าวได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมากผลกระทบต่อเนื่องตามมาในขณะนี้คือ บังกลาเทศซึ่งเป็นลูกค้ารายสำคัญของปากีสถานต้องหันมาซื้อข้าวจากเวียดนามแล้วประมาณ 200,000-300,000 ตัน และมีข่าวจะซื้อเพิ่มอีก
จากเหตุการณ์ดังกล่าวมีผลให้เวลานี้ราคาข้าวของเวียดนามได้ปรับสูงขึ้น โดยล่าสุดราคาข้าวขาว 5% จากตันละประมาณ 350 ดอลลาร์สหรัฐฯได้ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 400 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 50 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ดันให้ราคาข้าวในตลาดโลกทั้งระบบปรับตัวสูงขึ้น โดยล่าสุดราคาข้าวขาว 5% ของไทยในตลาดโลกเฉลี่ยที่ 450-460 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ห่างจากราคาข้าวเวียดนามเพียง 50-60 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน จากอดีตที่ผ่านมาราคาข้าวไทยจะสูงกว่าข้าวเวียดนามกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน
นอกจากนี้เป็นผลจากอินเดียคู่แข่งขันส่งออกข้าวนึ่งรายสำคัญของไทย เดิมได้ประกาศจะส่งออกข้าวนึ่งในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ แต่จากการที่ช่วงที่ผ่านมาอินเดียได้ประสบปัญหาภัยแล้งทำให้ผลผลิตข้าวได้รับความเสียหาย ส่งผลให้อินเดียต้องล้มเลิกแผนส่งออกทำให้เป็นโอกาสในการส่งออกข้าวนึ่งของไทย โดยเวลานี้มีคำสั่งซื้อข้าวนึ่งมายังผู้ส่งออกของไทยมากกว่า 350,000 ตันต่อเดือน ซึ่งคาดว่าจะส่งออกได้ระดับนี้ไปถึงสิ้นปี
"ทั้งปีนี้ไทยน่าจะส่งออกข้าวได้ประมาณ 8.5 ล้านตัน โดยเดือนที่เหลือของปีนี้ถือเป็นโอกาสของไทย ขณะที่เวียดนามคู่แข่งสำคัญปริมาณข้าวส่งออกเริ่มมีน้อย"
สอดคล้องกับนายสุเมธ  เหล่าโมราพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี.พี.อินเตอร์เทรด จำกัด ที่กล่าวว่า ในเดือนที่เหลือของปีนี้น่าจะเป็นโอกาสทองของการส่งออกข้าวไทย โดยมีเหตุผลจากหลายปัจจัย ที่สำคัญอาทิ จากกรณีที่เกิดภัยแล้ง และคลื่นความร้อนในหลายพื้นที่ปลูกข้าวสาลีสำคัญของยุโรปทั้งสเปน โปรตุเกส อิตาลี ยูเครน บางส่วน รวมถึงรัสเซีย ส่งผลให้ราคาข้าวสาลีปรับตัวสูงขึ้นมาก และส่งผลให้ราคาข้าวในภาพรวมของตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ผลจากการที่จีนได้ซื้อข้าวจากเวียดนามประมาณ 600,000 ตัน ทำให้ ณ เวลานี้เวียดนามได้เซ็นสัญญาขายข้าวให้กับต่างประเทศไปแล้วรวมมากกว่า 6 ล้านตัน ทำให้เวียดนามมีความกังวลว่าจะมีข้าวพอส่งให้ลูกค้าหรือไม่ เพราะส่วนหนึ่งเวียดนามต้องสำรองข้าวไว้บริโภคในประเทศเพื่อความมั่นคงด้านอาหาร หากส่งออกมากจะทำให้ราคาข้าวในประเทศปรับตัวสูงขึ้นกระทบต่อผู้บริโภค และจะมีผลต่ออัตราเงินเฟ้อในประเทศปรับตัวสูงขึ้น ทำให้เวียดนามต้องระมัดระวังในการส่งออก
นอกจากนี้ฟิลิปปินส์ประกาศที่จะนำเข้าข้าวเพิ่มอีก 2 ล้านตัน อินเดียไม่ส่งออกข้าวเพราะต้องสำรองความมั่นคงด้านอาหาร ส่วนอินโดนีเซียที่เคยบอกว่าปีนี้ผลผลิตข้าวจะมีเพียงพอบริโภคในประเทศ แต่ล่าสุดผลผลิตไม่มากอย่างที่คิด ส่วนกัมพูชาที่ประกาศจะส่งออกข้าวเพิ่มขึ้นยังต้องรอดูปริมาณผลผลิตในช่วงปลายปีว่าจะมีมากน้อยเพียงใด ขณะที่ในแถบอเมริกาใต้ยังขาดแคลนข้าวและยังต้องนำเข้า
" ณ เวลานี้สต๊อกข้าวของโลกในภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสต๊อกของประเทศผู้นำเข้าเพราะเขาได้ชะลอซื้อ หรือซื้อล็อตเล็กมาตั้งแต่ต้นปี แต่จากทุกปัจจัยที่กล่าวมาคาดว่าคำสั่งซื้อที่จะมีมายังประเทศไทยมากขึ้นในปลายเดือนสิงหาคมต่อเนื่องถึงเดือนตุลาคมเพราะไทยมีข้าวในสต๊อกรัฐบาลมาก และยังมีผลผลิตใหม่ที่กำลังจะออกมาอีกขณะที่ราคาข้าวในตลาดโลกเริ่มปรับตัวสูงขึ้น โดยมองว่าจากนี้ไปราคาข้าวในตลาดโลกจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างน้อย 6-7% จากราคาเดิม จากช่วงราคาต่ำสุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว ดังนั้นจึงมั่นใจว่าการส่งออกข้าวของไทยนับจากนี้ไปจะดีขึ้นๆ"
แหล่งข่าวในวงการค้าข้าวเปิดเผยเพิ่มเติมว่า จากแนวโน้มสถานการณ์ส่งออกข้าวของไทยมีทิศทางที่ดีนั้น ทำให้เวลานี้ผู้ส่งออกของไทยต่างติดต่อขอซื้อข้าวในสต๊อกรัฐบาลเพื่อส่งมอบให้กับลูกค้า โดยเหตุที่หันไปซื้อสต๊อกรัฐบาลเพราะราคาถูก เนื่องจากเวลานี้ปริมาณเปลือกและข้าวสารในท้องตลาดออกสู่ตลาดน้อยลงเพราะเป็นปลายฤดูแล้วและราคาอยู่ในระดับสูง เพราะมีการแข่งขันกันซื้อระหว่างโรงสีข้าวนึ่งและโรงสีข้าวขาว โดยราคาข้าวเปลือกแห้งที่โรงสีรับซื้อปัจจุบันตันละ 8,700-9,000 บาท หากขายเป็นข้าวสารข้าวขาว 5% อยู่ที่กก.ละ 14-15  บาท หรือตันละ 14,000-15,000  บาท  ขณะที่ราคาที่ผู้ส่งออกติดต่อขอซื้อข้าวจากสต๊อกรัฐบาล ข้าวขาว 5% ขอซื้อตันละประมาณ 12,000 บาท หอมปทุมธานีตันละ 17,000 บาท ข้าวเหนียวตันละ 20,000 บาท
แหล่งข่าวเผยเพิ่มเติมว่าเวลานี้ได้มีการเจรจาซื้อขายกันแบบเงียบๆ ระหว่างผู้ส่งออกกับรัฐบาล แต่ในข้อเท็จจริงได้มีการทยอยปล่อยออกไปแล้วหลายแสนตัน และผู้ส่งออกหลายรายได้ขนข้าวออกไปจากโกดังรับฝากสินค้าแล้ว บางรายยังไม่ได้ขนออก เพราะเจ้าของโกดังอ้างว่าเป็นช่วงเทศกาลสารทจีนขอให้ชะลอการขนออกไปก่อน
"ผู้ส่งออกส่วนใหญ่มีออร์เดอร์อยู่ในมือกันค่อนข้างมาก เช่นเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ประเทศอิรักได้เปิดประมูลซื้อข้าวขาว 100% 30,000-60,000 ตัน แต่สุดท้ายซื้อมากกว่าทั้งตั้งไว้โดยซื้อมากถึง 90,000 ตัน และในจำนวนนี้บริษัทข้าวไชยพรฯ ผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่รายหนึ่งของไทยสามารถชนะประมูลทั้งหมด จึงทำให้บริษัทข้าวไชยพรฯ มีความต้องการซื้อข้าวยิ่งถ้าเป็นข้าวจากสต๊อกรัฐบาลสามารถทำกำไรได้มาก เพราะเวลานี้ข้าวในท้องตลาดขยับสูงขึ้นมาก"
ด้านนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีที่มีผู้ส่งออกข้าวร้องเรียนว่าทางกระทรวงได้อนุมัติขายข้าวหอมปทุมธานีในโครงการรับจำนำของรัฐบาลให้กับผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่รวม 300,000 ตัน โดยผู้ส่งออกรายอื่นไม่ได้รับทราบข้อมูลการเปิดประมูลดังกล่าวทำให้ถูกมองไม่โปร่งใสว่า เป็นผลจากการที่นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติหรือ กขช.ได้มีแนวทางให้คณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวสารที่มีตนเองเป็นประธานได้ระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาลไปเรื่อยๆ แต่ที่สุดแล้วการตัดสินใจว่าจะขายหรือไม่ขายขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ กขช. ว่าจะอนุมัติตามที่เสนอหรือไม่
สำหรับการระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาลให้กับผู้ส่งออกจากนี้ไปจะเปิดให้ผู้ส่งออกที่มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศนำหลักฐานมายืนยันเพื่อเสนอประมาณ และราคาที่จะซื้อ ซึ่งผลดีคือจะไม่เป็นข่าวโด่งดัง และกระทบต่อราคาตลาดในภาพรวม
"เรื่องดังกล่าวเราได้รับนโยบายมา แต่วิธีการดังกล่าวก็ถูกมองว่าไม่โปร่งใส จากที่ผ่านมาการเปิดประมูลแบบออกประกาศเป็นการทั่วไปก็ถูกมองไม่โปร่งใส อย่างไรก็ดีขอรับรองว่าในการซื้อขายทุกครั้งเราจะเน้นเรื่องความโปร่งใส ทุกกระบวนการสามารถตรวจสอบได้ ส่วน 3-4 รายที่เป็นข่าวที่สุดแล้วก็ต้องเสนอให้รองนายกฯไตรรงค์(สุวรรณคีรี)เคาะว่าจะขายหรือไม่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณายังไม่ได้อนุมัติขาย"
สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยรายงานราคาข้าวสารส่งออก (เอฟโอบีราคาไม่รวมค่าขนส่ง) สัปดาห์นี้เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาข้าวทุกชนิดปรับตัวสูงขึ้น เช่น ข้าวหอมมะลิ 100% ปี2552/53 สัปดาห์ที่ผ่านมาตันละ 1,008 ดอลลาร์สหรัฐฯ สัปดาห์นี้ตันละ 1,017 ดอลลาร์สหรัฐฯ ข้าวหอมปทุมธานีจากตันละ 779 ดอลลาร์สหรัฐฯ สัปดาห์นี้ตันละ 787 ดอลลาร์สหรัฐฯ  ข้าวขาว100% จากตันละ 462 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นตันละ 479 ดอลลาร์สหรัฐฯ ข้าวขาว5% จากตันละ 446 ดอลลาร์สหรัฐฯเป็นตันละ 463 ดอลลาร์สหรัฐฯ  ข้าวเหนียว10% จากตันละ 996 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นตันละ 1,005 ดอลลาร์สหรัฐฯ  ข้าวนึ่ง 100% จากตันละ 516 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นตันละ 527 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ส่วนปริมาณการส่งออกตั้งแต่ 1 มกราคม-17 สิงหาคม 2553 ส่งออกได้ 4,978,105 ตัน เทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมาที่ส่งออกได้ 5,431,440 ตัน ลดลง 8.35%

 

นางสาวรัชนีกร นิยมทัศน์

นางสาวรัชนีกร  นิยมทัศน์  รหัส  50473010006

โปรแกรมวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

..................................................................................................................

1.สภาพัฒน์แนะยึดหลักจุดสมดุลดูแลค่าเงินบาท  เตือนอย่าฝืนกลไกตลาด

นายอำพน  กิตติอำพน  เลขาธิการคระกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  กล่าวว่า  การดูแลค่าเงินบาทควรจะหาจุดสมดุลที่เหมาะสมภายใต้หลักการสำคัญในขณะนี้  คือจะต้องไม่ฝืนกลไกตลาด โดยจะต้องไม่มองปัญหาเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเฉพาะในจุดใดจุดหนึ่ง  เช่นเดียวกันการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมก็ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสถานการณ์เงินทุนไหลเข้า  ออกในขณะนี้ด้วย  นอกจากนั้น  จะต้องพิจารณาว่าการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในขณะนี้เป็นการเกิดใหม่ในช่วงสั้นหรือไม่  เพราะเดือนก่อนดุลบัญชีเดินสะพัดติดลบ  เพราะราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นและมีการเร่งสั่งนำเข้าสินค้าทุน  รวมทั้งมีการลงทุนเพิ่มขึ้น  รวมทั้งต้องติดตามอัตราดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้ที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่มีการปรับดอกเบี้ยสูงขึ้น

วิเคราะห์ 

การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นจะทำให้ผู้ส่งออกได้รับความเดือดร้อน  โดยเฉพาะมีผลกระทบอย่างยิ่งต่อผู้ประกอบการ SME  ที่ไม่สามารถป้องกันความเสี่ยงได้เหมือนกับรายใหญ่  ฉะนั้นรัฐบาลควรดำเนินการในการสร้างกลไกเพื่อช่วยให้ธุรกิจรายย่อยเข้าถึงการป้องกันควายเสี่ยงของค่าเงินบาทได้มากขึ้น

2. ราคาน้ำมัน  NYMEX  ดีดขึ้น 32 เซนต์  จากแรงซื้อเก็งกำไร

สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX  เดือนตุลาคม  ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ตลาดสิงคโปร์  ดีดตัวขึ้น  32  เซนต์  หรือ  0.5% สู่ระดับ  71.95  ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อเวลา  10.30 น.  ตามเวลาสิงคโปร์(25 ส.ค.)  จากระดับปิดที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ที่  71.63 ดอลลาร์/บาร์เรล  ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นวันแรกในรอบ  5  วันทำการ  เนื่องจากนักลงทุนมองว่าการที่สัญญาน้ำมันดิบลงไปแตะที่ระดับต่ำสุดในรอบ  11  สัปดาห์ทำให้ราคามีมูลค่าจูงใจแก่การเข้าซื้อเก็งกำไร

วิเคราะห์ 

จากการที่นักลงทุนซื้อสัญญาน้ำมันดิบที่มีเพิ่มมากขึ้นนั้น  นักลงทุนควรคิดวิเคราะห์ให้รอบคอบ  เนื่องจากว่าราคาน้ำมันมีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นและต่ำลง  ดังนั้นนักลงทุนที่ซื้อไว้เพื่อเก็งกำไรในอนาคตควรศึกษาให้ดี  มิฉะนั้นอาจส่งผลให้ขาดทุนได้เช่นกัน

 

นางสาวนิสา พจนาท รหัส 50473010007

โปรแกรมวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

1.หุ้นกู้ดั๊บเบิ้ล เอ เนื้อหอมเปิดจองวันแรกเต็ม ส่งหุ้นกู้สำรองเพิ่มเติมอีก 1,000 ล้านบาท เปิดจองถึงเที่ยงวันที่ 24 ส.ค.นี้

หุ้นกู้ดั๊บเบิ้ล เอ ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม ทำให้การเปิดจองหุ้นกู้ดั๊บเบิ้ล เอ วงเงิน 1,500 ล้านบาทในวันแรกเต็มจำนวนอย่างรวดเร็ว ดั๊บเบิ้ล เอ จึงตัดสินใจประกาศเปิดจองหุ้นกู้สำรองเพิ่มเติมอีกในวงเงิน 1,000 ล้านบาท โดยจะเปิดรับแจ้งความจำนงตั้งแต่วันนี้ถึงเวลา 12.00 น.ของวันที่ 24 สิงหาคม 2553 ผ่านธนาคารกรุงไทย และธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) 

หุ้นกู้ดั๊บเบิ้ล เอ ที่เปิดจำหน่ายในครั้งนี้ เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกันและมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อจำหน่ายให้กับประชาชนทั่วไป และผู้ลงทุนสถาบัน เป็นครั้งที่ 2 โดยหุ้นกู้ตัวใหม่นี้จะมีอายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 6.10%ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2557 โดยผู้ออกหุ้นกู้สามารถไถ่ถอนได้ก่อนครบกำหนด วงเงินจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท

วิเคราะห์

กระดาษดั๊บเบิ้ล เอ มีตลาดส่งออกทั่วโลก หลังจากการเปิดจองหุ้นกู้ดั๊บเบิ้ล เอ ในวันแรกได้รับความสนใจจากนักลงทุนเกินความคาดหมายทำให้เต็มจำนวนวงเงินอย่างรวดเร็ว ทำให้นักลงทุนหลายท่านไม่สามารถจองหุ้นได้ทันบริษัทจึงตัดสินใจเปิดจองหุ้นกู้สำรองเพิ่มเติม สาเหตุที่ทำให้หุ้นดั๊บเบิ้ล เอ ต้องเปิดจองรอบ 2 ก็เพราะว่า มีนักลงทุนสนใจจำนวนมากอันเนื่องมาจากกระดาษดั๊บเบิ้ล เอ เป็นเจ้าใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จึงมีความมั่นคงและความน่าเชื่อถือ ที่จะตัดสินใจซื้อหุ้นกู้นั้น

2.บินไทยกู้2หมื่นล้าน   ตุนเงินทุนไว้ลุยธุรกิจ  จัดซื้อเครื่องบินใหม่  สร้างรายได้ในอนาคต

บอร์ดไฟเขียวการบินไทยกู้เงินเพิ่ม 2 หมื่นล้าน จากสถาบันการเงิน 4 แห่ง อ้างดอกเบี้ยต่ำ เงื่อนไขดี ไม่จำเป็นต้องออกหุ้นกู้ระดมเงินในช่วงนี้ "ปิยสวัสดิ์"ระบุเป็นการเตรียมเงินไว้รับมือการลงทุนในอนาคต และเผื่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน

โดยการจัดหาเงินกู้ดังกล่าว บริษัทฯจะดำเนินการกู้เงินจาก 4 สถาบันการเงิน ได้แก่ 1.ธนาคารกรุงเทพ 12,000 ล้านบาท ระยะเวลา 8 ปี 2.ธนาคารธนชาต 2,000 ล้านบาท ระยะเวลา 7 ปี 3.กู้เงินธนาคารทหารไทย 2,000 ล้านบาทระยะเวลา 7 ปี และวงเงินสินเชื่อหมุนเวียน ( Revolving Credit Line )อีก 1,000 ล้านบาท ระยะเวลา 5 ปี และ 4.กู้เงินธนาคารทิสโก้ 1,500 ล้าน ระยะเวลา 7 ปี และวงเงินสินเชื่อหมุนเวียน (Revolving Credit Line)อีก 1,500 ล้านบาท ระยะเวลา 7 ปี

วิเคราะห์

บริษัทการบินไทยจัดหาเงินกู้ 20,000 ล้านบาท จากสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อรองรับการลงทุนในอนาคต โดยเฉพาะการลงทุนจัดหาเครื่องบินใหม่ทดแทนเครื่องบินเก่าที่จำเป็นต้องปลดระวาง อันเนื่องมาจากเครื่องบินเก่าอาจเกิดอุบัติเหตุต่างๆ ได้สูงกว่า การซื้อเครื่องบินใหม่อาจต้องใช้เงินทุนมาก แต่ในอนาคตย่อมให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า

นางสาวอำพร ธนเสฎธากุล.

นางสาวอำพร  ธนเสฎธากุล.  รหัสนักศึกษา  50473010008

โปรแกรมวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ  คณะวิทยาการจัดการ

.....................................................................................................

1.  สินค้าจ่อขึ้นราคาสิ้นปีขยับ  5  -  10  %  ดันแม่  -  ลูกไก่เป็นสินค้าควบคุม

นายสันติ   วิลาสศักดิ์ดานนท์  ประธานท่ีปรึกษาคณะกรรมการบริหารสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย  (  ส.อ.ท.  )  กล่าวว่า  ตามกระทรวงพาณิชย์จะไม่ต่อมาตรการตรึงราคาสินค้าที่จะหมดในเดือนกันยายนนี้  ในส่วนของ  ส.อ.ท.  พบว่าขณะนี้ต้นทุนการผลิตภาพรวมของภาคอุตสาหกรรมมีทิศทางที่ปรับตัวเพิ่มขึ่้น  โดยเฉพาะวัตถุดิบทั้งพืชผลทางการเกษตร  และชิ้นส่วนภาคอุตสาหกรรม  จึงคาดว่าราคาสินค้าภาคอุตสาหกรรมจะมีการทยอยปรับขึ้นเฉลี่ย  5  -  10  %  ในช่วงไตรมาส  4  ของปีนี้

 

วิเคราะห์

-  สินค้าที่มีการแข่งขันสูง  ผู้ผลิตก็คงไม่ปรับราคาสินค้า  แต่จะใช้วิธีลดต้นทุนให้มากที่สุด  เพื่อชดเชยกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น  ซึ่งขณะนี้ต้นทุนขยับขึ้นลงตามทิศทางราคาน้ำมันที่จะสะท้อนไปยังค่าขนส่งสินค้า  และวัตถุดิบท่ีเกี่ยวข้อง  เช่น  ปิโตรเคมี  เพื่อนำไปผลิตบรรจุภัณฑ์ต่างๆ

 

2.  เอสเอ็มอีเริ่มฟื้นตัวได้  3  มาตรการถอนพิษเมือง

นายสุรศิษฏ์  บุญญาภิสันท์  รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม  (  กสอ.  )  เปิดเผยในพิธีเปิดงาน  เราคนไทย  ยิ้มไปด้วยกัน   ว่า  กสอ.  มีมาตรการ  3  แนวทาง  

1.  การสนับสนุนด้านการเงิน

2.  การปรับแนวทางการดำเนินงานของที่ปรึกษาแนะนำ

3.  การจัดจำหน่ายสินค้า

 

วิเคราะห์

-  งาน ( เราคนไทย  ยิ้มไปด้วยกัน  )  ช่วยในการบรรเทาและฟื้นฟูผู้ประกอบการอุตสาหกรรมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม  (  เอสเอ็มอี  )  ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติทางการเมือง  โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการระดับวิสาหกิจชุมชนที่เป็นผู้ผลิตสินค้าส่งต่อให้แก่ผู้ประกอบการนำมาขายในราชประสงค์หรือพื้นที่ใกล้เคียง

 

 ....................................................................................................

นายชัยนุกูล เสือเจริญ

นายชัยนุกูล  เสือเจริญ  รหัส  50473010017

โปรแกรมวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

................................................................................

1.  พาณิชย์ลุยค้าเสรีชงกรอบเกาหลีใต้ให้รัฐสภาไฟเขียวหวังช่วยดันศก.ไทย

นายอลงกรณ์  พลบุตร รมช.พาณิชย์ (พณ.)  กล่าวว่า  ตนจะผลักดันให้พิธีสารแก้ไขความตกลงสินค้าอาเซียน-เกาหลีใต้ เข้ารัฐสภาได้เร็วที่สุด  เพื่อให้ที่ประชุมร่วมมีความเห็นชอบพิธีสารดังกล่าว  ซึ่งถ้าผ่านความเห็นชอบแล้ว  ทางกระทรวงพาณิชย์จะร่วมลงนามกับอาเซียนและเกาหลีใต้ในการประชุมสุดยอดอาเซียนในเดือนตุลาคมนี้ที่เวียดนาม  สำหรับพิธีสารฉบับนี้จำทำให้ลาวสามารถเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเกาหลีใต้ภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลีใต้ได้อย่างเต็มที่  ซึ่งสินค้าของเกาหลีใต้ที่จะถูกเรียกเก็บภาษี  ได้แก่  เบียร์  วิสกี้  บุหรี่  ยานยนต์สำหรับขนส่งบุคคลและสิ่งของ  ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ยานยนต์  ส่านประกอบของตัวถังรถจักรยานยนต์และส่วนประกอบวิดีโอเกม  ตู้เล่นเกมส์ ของเล่นอื่นๆ  " พิธีสารฉบับนี้จะไม่ทำให้ไทยเสียประโยชน์ในการส่งสินค้าไปลาวแต่อย่างใด  เพราะไทยยังสามารถใช้สิทธิพิเศษภายใต้ข้อตกลงเขตการค้่เสรีอาเซียน  หรืออาฟต้า  ที่เสียภาศีต่ำมาก  และจะได้รับการยกเลิกการจัดเก็บภาษีจากลาวในปี 2558"

วิเคราะห์

การเข้าร่วมเป็นสมาชิกอาเซียนหรืออาฟต้า  ส่งผลให้ทุกประเทศที่เป็นสมาชิกได้รับผลประโยชน์ต่างๆ มากมาย  และพิธีสารฉบับนี้ยังสามารถช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับธุรกิจภาคอุตสาหกรรมการผลิตของไทยได้ดียิ่งขึ้น  และเมื่อได้มีการพัฒนาระบบการขนส่งที่ไทยเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคแล้ว ก็ยังสามารถช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจของไทยได้ เพื่อให้เศรษฐกิจของไทยมีความเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น

2.โบรกฯแนะลงทุนปูนฯ-เหล็กเส้นรับผลดีแนวโน้มราคาวัสดุก่อสร้างทยอยขึ้น

บล. โกลเบล็ก  ระบุว่า  การที่ผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่  หลายรายพร้อมใจปรับราคาขึ้นอีกเป็นครั้งที่  2  ในรอบหนึ่งเดือนนั้นมองว่าผู้ประกอบการปูนซีเมนต์จะได้รับประโยชน์จาเแนวโน้มราคาสินค้าวัสดุก่อสร้างในประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น  โดยล่าสุดผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่หลายรายพร้อมใจปรับราคาขึ้นอีกเป็นครั้งที่  2  ในรอบหนึ่งเดือน  นอกจากนั้น  ยังส่งผลให้แนวโน้มราคาสินค้าวัสดุก่อสร้างอื่นๆ  ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย  เช่น  สินค้าคอนกรีตผสมเสร็จ  และเหล็กเส้น  ฝ่ายวิเคราะห์คาดหุ้นที่จะได้รับประโยขน์  ได้แก่  SCC  ให้ราคาเป้าหมาย 324  บาท  SCCC  ให้ราคาเป้าหมาย 240  บาท  TSTH  ให้ราคาเป้าหมาย  1.97 บาท และBSBM ให้ราคาเป้าหมาย  1.74  บาท

วิเคราะห์

จากการปรับขึ้นราคาดังกล่าว  จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แต่ก็ไม่มากนัก  เนื่องจากต้นทุนหลักที่สำคัญของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะขึ้นอยู่กับราคาที่ดินมากกว่า   เพราะค่าก่อสร้างนั้นผู้ประกอบการสามารถผลักภาระไปให้ผู้บริโภคได้

แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการป้องกันต่อผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น ผู้ประกอบการควรหาวิธีการป้องกันความเสี่ยงไว้ล่วงหน้า  ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นอาจส่งผลที่ไม่รุนแรงมากนัก

นางสาวสุภาพร  มูลจันทร์

รหัส:50473010020

โปรแกรม:เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

โจทย์ : ให้หาข่าวเศรษฐกิจพร้อมการวิเคราะห์

1.)   ส่งออกอาหารไทยแรง 6 เดือนทะลุ 4 แสนล้าน

        สถานการณ์ส่งออกอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารไทย Q2 ขยายต่อเนื่อง โดย 6 เดือนแรก ส่งออกกว่า 4 แสนล้าน เพิ่มขึ้น 15.9% เทียบกับปีที่แล้ว คาดแนวโน้มครึ่งปีหลัง ชะลอตัว จากปัจจัย ศก.คู่ค้ายังไม่ฟื้น ต้นทุนการผลิตทิศทางปรับสูงขึ้นคาดทั้งปีนี้อัตราเติบโตอยู่ที่4-5%ส่งออกมูลค่า830,00ล้านบาท
        ภาพรวมภาวะอุตสาหกรรมอาหารของไทยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2553 อุตสาหกรรมอาหารไทยขยายตัวทั้งภาคการผลิตและส่งออก โดยดัชนีผลผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 56.1 เมื่อเทียบกับร้อยละ 51.4 ในช่วง 6 เดือนแรกของปีก่อน ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 122,488 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.0 ส่วนการส่งออกมีมูลค่า 411,463 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.9 เมื่อเทียบกับ 6 เดือนแรกของปีก่อน สินค้าที่มีมูลค่าส่งออกขยายตัวสูงกว่า ร้อยละ 40 ได้แก่ มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ น้ำตาลทราย อาหารสัตว์ น้ำมันปาล์ม และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ขณะที่การส่งออกเครื่องปรุงรส กุ้ง และน้ำผักผลไม้ มูลค่าส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นอยู่ในช่วงร้อยละ10-20ส่วนการส่งออกข้าวปลาแช่แข็งและผลไม้สดลดลงทั้งปริมาณและมูลค่า          

     ทั้งนี้อุตสาหกรรมอาหารของไทยได้รับปัจจัยสนับสนุนอยู่หลายประการด้วยกันเช่นมี  กระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน สินค้าอาหารจึงมีคุณภาพ ความปลอดภัย และได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้า ประกอบกับเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคเอเชีย ขยายตัวเพิ่มขึ้น เช่น จีน อินเดีย และอาเซียน 
      อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมอาหารของไทยอาจต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตและการส่งออก อาทิ เศรษฐกิจของประเทศผู้นำเข้าหลักยังไม่ฟื้นตัว เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น โดยสหรัฐฯ ยังมีอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับสูงถึงร้อยละ 9.7 การนำเข้าเริ่มชะลอตัว ยุโรปมีปัญหาการบริโภคลดลงจากมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาลหลายๆ ประเทศ  นอกจากนี้ยังมีปัจจัยด้านค่าขนส่งคือค่าระวางเรือปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะค่าระวางเรือในระยะทางไกล เช่น ยุโรป ตะวันออกกลาง ซึ่งค่าระวางเรือสำหรับตู้ขนาด 20 ฟุต เพิ่มสูงขึ้นกว่า 2-3 เท่าตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และปัจจัยสุดท้ายคืออัตราแลกเปลี่ยน (บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ) แข็งค่า เนื่องจากในช่วงกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าต่ำกว่าระดับ 32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งแข็งค่าขึ้นมากที่สุดในรอบ30เดือน

วิเคราะห์
          สำหรับภาพรวมตลอดปี 2553 คาดว่าอุตสาหกรรมอาหารไทยจะยังขยายตัวเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยภาคการผลิตจะขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 4-5 ขณะที่การส่งออกคาดว่าจะมีมูลค่า 830,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.0 การส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นแทบทุกกลุ่มสินค้า อาทิ น้ำมันปาล์ม ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง น้ำตาลทราย อาหารสัตว์ เครื่องปรุงรส กุ้งแช่แข็งและแปรรูป ไก่และสัตว์ปีก ทูน่ากระป๋อง ขณะที่สินค้าที่คาดว่าจะมีมูลค่าส่งออกลดลง ได้แก่ ผลไม้สดที่ประสบปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ และข้าวที่ประสบปัญหาไม่สามารถแข่งขันกับข้าวต่างประเทศได้

2.)  ธปท.ขึ้นดอกเบี้ย0.25%หวั่นตลาดถูกบิดเบือน

      ธปท.ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เป็น 1.75% หลังข้อมูลเศรษฐกิจไตรมาส 2 แกร่งเกินคาด และปัจจัยเสี่ยงไม่น่าห่วง ระบุหลังขึ้นครั้งล่าสุดดอกเบี้ยที่แท้จริงยังคงติดลบ หากปล่อยไว้นานไม่ดีต่อผู้ออมเงิน-นักลงทุน ทำให้เกิดการบิดเบือนจากความเป็นจริง ย้ำ 28 ต.ค.รู้ผลจะปรับเป้าจีดีพีหรือคงไว้ ส่วนแรงกดดันเงินเฟ้อในปัจจุบันยังมีไม่มาก คาดจะปี 2554 เงินเฟ้อพื้นฐานอาจสูงกว่ากรอบเป้าหมาย "ธาริษา"ชี้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มโตต่อเนื่อง คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาร์/พี 1 วัน 0.25% จากระดับ 1.50% มาที่ 1.75% ตามที่นักวิเคราะห์คาดไว้ หลังมองเงินเฟ้อพื้นฐานในปีหน้า จะเพิ่มขึ้นเกินกรอบเป้าหมายที่กำหนดไว้ ซึ่งทำให้คาดการณ์กันต่อว่า สิ้นปีนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะอยู่ไม่ต่ำกว่า 2% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยแท้จริงยังติดลบ โดยในปีนี้ กนง.จะมีการประชุมอีกสองครั้ง คือ ในวันที่ 20 ต.ค.และ 1 ธ.ค. 2553

     ภายหลังการประชุม ว่า ที่ประชุมได้มีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.5% ต่อปี เป็น 1.75% ต่อปี โดยให้มีผลทันที เพราะได้พิจารณาจาก เศรษฐกิจและเงินเฟ้อรวมทั้งแนวโน้มในระยะต่อไป  

วิเคราะห์

    สำหรับเศรษฐกิจไทย ถือว่ามีการขยายตัวได้ดีเกินคาด แม้จะมีการชะลอตัวบ้าง จากไตรมาสแรกจากผลกระทบของสถานการณ์ทางการเมือง แต่การบริโภคภาคเอกชนยังคงขยายตัวได้ดี ภาคท่องเที่ยวมีสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น การผลิตและอัตราการใช้กำลังการผลิตปรับสูงขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การลงทุนภาคเอกชนปรับเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป ขณะที่การส่งออกยังคงขยายตัวได้ดี ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แต่จะเริ่มชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปี"  แรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันยังมีไม่มาก แต่คาดว่าจะสูงขึ้นในปี 2554 ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิต และมีโอกาสที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะสูงกว่ากรอบเป้าหมายได้

3.)    โบรกฯเพิ่มเป้าดัชนีปีนี้ 849 จุด ห่วงปัญหาการเมือง-วิกฤตเศรษฐกิจยุโรป

      นักวิเคราะห์ปรับเพิ่มเป้าดัชนี ปี 53 เพิ่มเป็น 849 จุด จากเดิม 827 จุด จากเศรษฐกิจฟื้นตัวดี ผลประกอบการ บจ.เติบโตดี คาดเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้า แต่ปรับลดคาดการณ์ดัชนี ปี 54 ลดลง 914 จุด จากเดิม 946 จุด -ลดจีดีพีเหลือ4.3%จากเดิม4.5%เหตุปัญหาทางการเมือง-วิกฤตเศรษฐกิจยุโรป       
    เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยว่า ผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ครั้งที่ 2/2553 ได้มีการปรับเพิ่มคาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปี 2553 อยู่ที่ 849 จุด จากเดือนมีนาคมที่ 827 จุด เนื่องจากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ดีผลดีจากการที่ไตรมาส 1/53 มีการเติบโต สูงถึง 12% ทำให้เฉลี่ยทั้งปีปรับตัวดีขึ้น และ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก สภาพคล่องในไทยที่ยังอยู่ในระดับสูงและคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังนักลงทุนต่างประเทศจะไหลเข้ามาลงทุนหลังจากไหลออกไปจำนวนมากแล้ว       
     นอกจากนี้ แนวโน้มผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้น จึงทำให้นักวิเคราะห์ปรับเพิ่มประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 53 เป็น 5.2% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 4.0% และอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) 15.4% จากเดิมที่ 13.9% โดยกล่าที่มีการเติบโตสูงสุดคือ กลุ่มเดือนเรือ คาดว่าจะดตเฉลี่ย 52.19% กลุ่มปิโตรเคมีโตเฉลี่ย 47.26% และกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์คาดโต28.07%       
    นักวิเคราะห์ได้มีการปรับลดคาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 2554 ปรับตัวลดลงอยู่ 946 จุด เหลือ 914 จุด และมีการปรับลดการเติบโตเศรษฐกิจไทยเหลือ 4.3% จาก 4.5% เนื่องจากมองว่าสถานการณ์วิกฤตทางการเงินของยุโรปยังคงมีผลกระทบ และมองว่าปัญหาทางการเมืองยังไม่จบ จากที่จะต้องมีการเลือกตั้งใหม่ในปีหน้า จากเดิมที่นักวิเคราะห์มองว่าปีหน้าเศรษฐกิจจะมีการเติบโตที่ดี

วิเคราะห์
          นักลงทุนระยะกลาง-ยาว แนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีเงินปันผลดีสม่ำเสมอ มีแนวโน้มผลกำไรเติบโตต่อเนื่อง ราคายังไม่สูง โดยพิจารณาบทวิเคราะห์และข้อมูลพื้นฐาน ซึ่งรวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งในไทยและต่างประเทศ ภาวะ เศรษฐกิจของประเทศสำคัญ เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป เป็นต้น แนวโน้มผลประกอบการของทั้งอุตสาหกรรมและรายบริษัท และ สถานการณ์การเมืองในประเทศ นอกจากนี้ ควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงเหมาะสมกับที่ตนจะยอมรับได้และรอจังหวะซื้อสะสมเมื่อตลาดอ่อนตัว
        ส่วนนักลงทุนระยะสั้นนั้น ควรเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และควรใช้ความระมัดระวังในการลงทุน เนื่องจากตลาดใน ระยะนี้ยังมีความเสี่ยงและผันผวน อาจได้ผลตอบแทนไม่ สูงมากนัก

...............................................................................................................

 

นางสาวสุภาณี ขันสุข

นางสาวสุภาณี  ขันสุข

รหัส 50473010042

โปรแกรมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

-----------------------------------------------------

โจทย์ : ให้หาข่าวเศรษฐกิจพร้อมการวิเคราะห์

-----------------------------------------------

ข่าวที่  1  ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินธุรกิจบัตรเครดิตครึ่งปีหลังชะลอตัว

      บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ประเมินธุรกิจบัตรเครดิตครึ่งปีหลังชะลอตัว จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่อง และการแข่งขันที่เข้มข้น เตือนผู้ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพิ่มความระมัดระวัง และวางแผนการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมากขึ้น  เพราะผู้ประกอบการอาจยกเลิกหากลูกค้ามีความเสี่ยงสูงศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุสถานการณ์ธุรกิจบัตรเครดิตครึ่งแรกปี 2550 ว่า  ถูกรุมเร้าจากปัจจัยลบต่าง ๆ ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง  อาทิ  ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว  ความผันผวนทางการเมือง และการแข็งค่าของค่าเงินบาท ที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจส่งออกที่มีความเกี่ยวเนื่องกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ  ซึ่งอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อภาวะการจ้างงานได้   ปัจจัยลบรอบด้านส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค โดยผู้บริโภคมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจับจ่ายซื้อสินค้าอย่างระมัดระวัง นอกจากนี้ ยังมีตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจบัตรเครดิต ได้แก่ การปรับขึ้นยอดการผ่อนชำระขั้นต่ำของผู้ถือบัตรเดิมจากที่ชำระขั้นต่ำร้อยละ 5 ของยอดค้างชำระทั้งหมด เป็นชำระขั้นต่ำร้อยละ 10 ของยอดค้างชำระทั้งหมด ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตจากร้อยละ 18 เป็นร้อยละ 20 ซึ่งทั้งสองปัจจัยอาจส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต และความสามารถในการผ่อนชำระยอดคงค้างสินเชื่อบัตรเครดิตของผู้บริโภคบางกลุ่มด้วยส่วนครึ่งปีหลัง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่าการเติบโตของธุรกิจบัตรเครดิตน่าจะชะลอตัว จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่อง และการแข่งขันบัตรเครดิตที่ยังมีความเข้มข้น ซึ่งผู้ออกบัตรเครดิตจะต้องรักษาคุณภาพของบัตรเครดิตมากกว่าปริมาณ หรือการเน้นสร้างฐานบัตรเครดิตที่ใหญ่ โดยต้องพยายามรักษาลูกค้าไม่ให้ยกเลิกบัตร เพื่อเปลี่ยนไปใช้บริการผู้ออกบัตรเครดิตรายอื่น ขณะเดียวกัน ยังทำแคมเปญการตลาดเพื่อส่งเสริมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตไว้ให้ได้ นอกจากนี้ จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ย่อมส่งผลให้ผู้ออกบัตรเครดิตต้องดูแลคุณภาพสินเชื่อให้เคร่งครัดมากขึ้น ซึ่งย่อมจะกระทบปริมาณบัตร และการใช้จ่ายผ่านบัตรในระบบได้ ทั้งนี้ แม้ช่วงที่ผ่านมา การแข่งขันที่รุนแรงระหว่างผู้ประกอบการบัตรเครดิตจะทำให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากแคมเปญการตลาด แต่ผู้ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตควรเพิ่มความระมัดระวังและควรมีการวางแผนในการใช้จ่ายผ่านบัตรมากขึ้น เพราะการปรับตัวของผู้ประกอบการอาจจะพิจารณาติดตามพฤติกรรมของลูกค้าที่มีบัตรหลายใบ การตรวจสอบลูกหนี้ที่มีพฤติกรรมผิดปกติ เช่น ชำระสินเชื่อไม่สม่ำเสมอหรือเบิกถอนเงินสดเป็นประจำ รวมทั้งการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในบางช่วงที่สูงผิดปกติ หรือมีการขอสินเชื่อจากแหล่งอื่นในการหมุนหนี้ เช่น สินเชื่อบุคคลของสถาบันการเงินอื่น รวมทั้งการเบิกถอนเงินสดจากบัตรเครดิตใบอื่น ซึ่งล้วนเป็นสัญญาณบอกเหตุของปัญหาความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นต่อระบบสินเชื่อ ซึ่งผู้ประกอบการบัตรเครดิตส่วนใหญ่คงมีมาตรการดำเนินการต่างๆ ได้แก่ การพิจารณาปรับลดวงเงิน หรือยกเลิกบัตรล่วงหน้าก่อนเวลาต่ออายุบัตรจริง หากประเมินว่าลูกค้ามีความเสี่ยงสูง

วิเคราะห์ -จากข่าวนี้จะเห็นว่ามีหลายๆปัจจัยที่ทำให้ผลการวิเคราะห์การใช้บัตรเครดิตในครึ่งปีหลังนั้นจะชะลอตัวลง อันได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง การผันผวนทางการเมือง รวมทั้งการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งในจุดนี้เองจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจที่ต้องมีการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ซึ่งทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจน้อยลง และอีกปัจจัยหนึ่งก็คือ การที่บริษัทที่ออกบัตรเครดิตมีการปรับขึ้นของยอดการผ่อนชำระขั้นต่ำ รวมถึงการปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยของบัตรเครดิต ซึ่งส่งผลให้ผู้ใช้บัตรเครดิตต้องมีความระมัดระวังในการใช้บัตรเครดิตให้มากขึ้น แต่ในปัจจุบันก็ได้มีการออกสิทธิพิเศษต่างๆให้ผู้ใช้บัตรเครดิต เพื่อเป็นการกระตุ้นการใช้บัตรเครดิตให้มากขึ้น เช่น การมีส่วนลดให้กับผู้ใช้หากมีการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตกับร้านค้าหรือห้างต่างๆที่มีการร่วมรายการ แต่ถึงอย่างไรผู้ใช้บัตรเองก็ควรที่จะใช้อย่างระมัดระวัง เพราะ บริษัทผู้ออกบัตรเองก็มีมาตรการต่างๆเพื่อรับมือกับลูกหนี้ที่มีพฤติกรรมที่ผิดปกติไว้แล้วด้วยเช่นกัน

 

ข่าวที่  2ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง

     ตลาดหุ้นเอเชียนำโดยตลาดหุ้นกรุงโตเกียว พากันปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง ในทันทีที่เปิดตลาด เพราะนักลงทุนพากันเทขายหุ้น เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากวิกฤติสินเชื่อด้อยคุณภาพภาคอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ  ซึ่งนักลงทุนเชื่อว่าจะมีข่าวร้ายจากตลาดสินเชื่อของสหรัฐเข้ามาอีก  นักลงทุนจึงพากันย้ายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อย  เพราะเชื่อว่าวิกฤติสินเชื่อในสหรัฐจะรุนแรงและลุกลามมากขึ้น ปัจจัยนี้ทำให้ดัชนีนิกเคอิของตลาดหุ้นกรุงโตเกียว ในช่วงการซื้อขายทรุดลงไปต่ำกว่าระดับ  16,000 จุด เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ  9  เดือน โดยลงไปมากถึง  616 จุด  หรือ 3.74%  ก่อนจะดีดตัวขึ้นเล็กน้อยไปอยู่ที่ระดับ 15,911 จุด  หุ้นที่ตกหนักที่สุดคือ  หุ้นธนาคาร ธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือบีโอเจ  ประกาศหลังตลาดหุ้นเปิดไม่นานว่า จะทุ่มเงินเข้าระบบธนาคาร 3,400  ล้านดอลลาร์สหรัฐ  เพื่อสกัดไม่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น  แต่ก็ไม่สามารถฉุดให้ตลาดหุ้นดีดขึ้นได้มากนักตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เป็นตลาดหุ้นในเอเชีย ที่ตกมากที่สุดในช่วงการซื้อขายเช้านี้  โดยดัชนี KOSPI  ตกไป 116 จุด  หรือ  6.35%   ไปอยู่ที่ 1,702 จุด  ตามแรงฉุดของตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ฮ่องกง  สิงคโปร์ และออสเตรเลีย  ก็ล้วนปรับตัวลงอย่างรุนแรงเช่นกัน

วิเคราะห์ -  จากข่าวนี้จะเห็นว่านักลงทุนชาวญี่ปุ่นได้เล็งเห็นถึงผลกระทบจากวิกฤติสินเชื่อด้อยคุณภาพภาคอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ ทำให้นักลงทุนต่างพากันเทขายหุ้นเพื่อเอาไปลงทุนในด้านอื่นที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า ซึ่งจากข่าวนี้ถือว่าเป็นผลกระทบที่เกิดจากปัจจัยภายนอก นั่นก็คือ ด้านเศรษฐกิจของต่างประเทศ ในที่นี้หมายถึง วิกฤติสินเชื่อด้อยคุณภาพภาคอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ การตัดสินใจครั้งนี้อาจจะเป็นผลดีต่อนักลงทุนเอง ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการรู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ รวมถึงการมองเห็นถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากความเสี่ยงนี้ พร้อมทั้งยังมีวิธีรับมือกับปัญหานี้ ทำให้นักลงทุนตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดและรวดเร็ว

ข่าวที่  3  พิษเศรษฐกิจซบ-ค่าบาทแข็ง ฉุดกำไรการบินไทยลดฮวบ

          การบินไทยรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 พบว่า มีกำไรจากการขายและการให้บริการ 114 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 68 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนซึ่งมีกำไรจากการขายและบริการ 959 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 473 ล้านบาท เพราะว่าภาวะเศรษฐกิจและปัญหาสถานการณ์ในประเทศ รวมทั้งสถานการณ์เงินบาทแข็งค่า ทำให้มีผู้เดินทางลดลง

       การประชุมคณะกรรมการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) วานนี้ (10 ส.ค.) ฝ่ายบริหารได้รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปีบัญชี 2550 ให้คณะกรรมการรับทราบ โดยบริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการ 44,529 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีบัญชี 2549 ร้อยละ 5.7 และมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรวม 44,415 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9 ทำให้มีกำไรจากการขายและการให้บริการ 114 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีบัญชี 2549 ซึ่งมีกำไร 959 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 68 ล้านบาท ต่ำกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไร 473 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.04 บาท ส่วนผลการดำเนินงานรวม 9 เดือนแรกของปีบัญชี 2550 (1 ตุลาคม 2549 - 30 มิถุนายน 2550) บริษัทมีกำไรสุทธิ 8,327 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 2,160 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 20.6 โดยมีกำไรต่อหุ้น 4.90 บาท ลดลงจากปีก่อนซึ่งมีกำไรต่อหุ้น 6.17 บาท

       เรืออากาศโทอภินันทน์ สุมนะเศรณี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ การบินไทย กล่าวยอมรับว่า สาเหตุที่กำไรของบริษัทลดลงมาจากภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์ในประเทศที่กระทบต่อการท่องเที่ยว ทำให้คนเดินทางน้อยลง รวมทั้งปัญหาเงินบาทแข็งค่าทำให้รายได้ที่เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเปลี่ยนเป็นเงินบาทลดลงด้วย

       นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีมติแต่งตั้งโยกย้ายฝ่ายบริหารเพื่อปฏิบัติหน้าที่แทนผู้ที่จะเกษียณอายุและแทนตำแหน่งที่ว่างลง อาทิ เรืออากาศเอกประวิตร ชินวัตร ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายพัฒนาบุคลากรการบิน ดำรงตำแหน่ง รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายปฏิบัติการ นายปานฑิต ชนะภัย ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายพัฒนาและสนับสนุนการพาณิชย์ ดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการพาณิชย์ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2550 เป็นต้นไป  

วิเคราะห์ - จากข่าวนี้จะเห็นว่าจากภาวะเงินแข็งค่าขึ้น ทำให้การท่องเที่ยวในไทยซบเซาไปมาก ซึ่งจะเห็นได้จากกำไรสุทธิของบริษัท การบินไทย จำกัด มหาชน ที่ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วเยอะมาก เพราะค่าเงินบาทที่แข็งตัวขึ้น ทำให้เงินดอลล่าแลกเป็นเงินบาทได้น้อยลง และที่สำคัญขณะนี้มีสายการบินที่ราคาประหยัดเป็นคู่แข่งตัวสำคัญอีกด้วย ซึ่งทางการบินไทยนั้นจะเน้นในเรื่องของการบริการเป็นเลิศ ซึ่งเหมาะกับคนที่มีฐานะทางการเงิน แต่หากเป็นสายการบินราคาประหยัด ก็จะเน้นในเรื่องของราคาถูก ไม่ว่าใครก็สามารถโดยสารไปด้วยได้ จุดนี้เองก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ยอดของการบินไทยตกลง ดังนั้น การบินไทย ควรจะมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของบริษัท เพื่อให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งรายอื่นได้ ซึ่งตอนนี้ การบินไทย ก็ได้ลดอัตราค่าโดยสารลง แม้ว่าจะยังมีราคาสูงกว่าสายการบินราคาประหยัด แต่การบริการที่ดีของการบินไทยก็ยังคงไว้ เพื่อเป็นการจูงใจลูกค้าได้อีกวิธีหนึ่งเช่นกัน

 

นางสาวน้ำฝน เพาะจะโปะ

นางสาวน้ำฝน  เพาะจะโปะ

รหัส 50473010009

โปรแกรม  เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

****************************

1.) ตลาดต่างประเทศยังชี้นำหุ้นไทย แนวโน้มยังปรับตัวขึ้นได้

         คาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวขึ้น ตามตลาดต่างประเทศ พร้อมให้จับตาปัจจัยภายในประเทศ ซึ่งมีการกำหนดวันเลือกตั้ง ส่วนการประชุม กนง.ในวันพุธที่ 29 ส.ค.นี้ เชื่อว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย คาดแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ ปรับขึ้นได้ในลักษณะแกว่างตัว เชื่อว่ายังมีแรงขายทำกำไร โดยวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยอิงไปภาวะต่างประเทศเป็นหลัก พร้อมให้แนวรับ 784,780 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 797,805 จุด

       วันนี้ (27 ส.ค.) นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บีฟิท จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับตัวขึ้นได้ ตามตลาดต่างประเทศ เนื่องจากดาวโจนส์และตลาดในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ต่างปรับตัวอยู่ในแดนบวก ซึ่งทิศทางตลาดหุ้นไทยช่วงนี้จะสอดคล้องกับต่างประเทศ โดยให้น้ำหนักต่างประเทศเป็นตัวชี้นำตลาดไทย

       สำหรับปัจจัยในประเทศให้จับตาดูการประชุมในวันนี้ที่คาดว่าจะมีการกำหนดวันเลือกตั้ง ซึ่งหากมีความชัดเจนก็อยู่ในความคาดหมายของตลาดอยู่แล้ว นอกจากนี้ ในวันพุธนี้ (29 ส.ค.)จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งคาดหมายว่าจะมีการประกาศลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งหากเป็นจริงก็อยู่ในความหมาย ดังนั้นทิศทางตลาดหุ้นไทยจึงอิงไปที่ต่างประเทศเป็นหลักมากกว่า พร้อมให้แนวรับที่ 784,780 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 797,805 จุด

      ทั้งนี้ นักวิเคราะห์หลายค่ายยังมีมุมมองในเชิงลบ โดยเชื่อว่าจะมีแรงขายทำกำไรยังเป็นตัวฉุดรั้งดัชนีหุ้นในวันนี้ นักลงทุนควรใช้ความระมัดระวังในหุ้นบางกลุ่ม อาทิ พลังงาน แบงก์ และไฟแนนซ์

      ขณะที่ บล.นครหลวงไทย มีความเห็นเป็น Positive ต่อการลงทุนในวันนี้ โดยคาดว่าตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นตามตลาดหุ้นสหรัฐ และตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย หลังจากข้อมูลยอดขายบ้าน และคำสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐฯ ดีกว่าที่คาดการณ์ ช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ปรับขึ้น 142.99 จุด นอกจากนั้นบีเอ็นพี ปารีบาส์ มีแผนจะเปิดให้ซื้อหรือไถ่ถอนกองทุนได้จำนวน 3 กอง ซึ่งถูกระงับไปเมื่อต้นเดือน

      อย่างไรก็ตาม คาดว่าการปรับตัวขึ้นจะยังคงมีความผันผวน เนืองจากนักลงทุนยังคงมีความระมัดระวัง เนื่องจากปัญหา Subprime ยังคงมีความเสี่ยงหลงเหลืออยู่ โดยล่าสุดมีรายงานจากธนาคารจีนว่ามีการลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับ Subprime ส่วนปัจจัยในประเทศเริ่มมีพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ หลังจากในหลวงทรงลงปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 แล้ว จากนั้นจะมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลใช้บังคับทันที และในบ่ายวันจันทร์ ที่ 27 ส.ค. นายกรัฐมนตรีจะหารือกับประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อกำหนดวันเลือกตั้ง ซึ่งมีแนวโน้มว่าในวันที่ 23 ธ.ค.จะกำหนดให้เป็นวันเลือกตั้ง จึงประเมินดัชนีวันนี้มีโอกาสปรับขึ้นผ่าน 800 จุดได้

      วิเคราะห์-จากข่าวนี้เราจะเห็นได้ว่า มีการคาดการว่าตลาดหุ้นในเมืองไทยเช้านี้จะปรับตัวขึ้น เพราะช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยสอดคล้องกับตลาดต่างประเทศ โดยให้น้ำหนักต่างประเทศเป็นตัวชี้นำตลาดไทย ซึ่งในขณะนี้ ทั้งตลาดหุ้นของสหรัฐ และตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียต่างก็มีการปรับตัวขึ้น ซึ่งถือเป็นปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทย และอีกปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ตลาดหุ้นไทมีแนวโน้มสูงขึ้น นั่นก็คือ การมีการกำหนดวันเลือกตั้งที่แน่นอน ซึ่งจะทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของไทยนั่นเอง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามนักลงทุนควรมีความระมัดระวังในการตัดสินใจ ซึ่งการตัดสินใจที่ดี ก็ควรมีข้อมูลต่างๆ เพื่อใประกอบการตัดสินใจ

 2.) พาณิชย์ลั่นเอาผิด “เพรซิเดนท์ฯ” ยกเลิกสัญญารัฐ-เผยข้าวค้างสต๊อก 4-5 ล้านตัน

         รมช.พาณิชย์ สั่งติดตามความเสียหาย กรณีบริษัทค้าข้าวชื่อดัง “เพรซิเดนท์ อะกริฯ” ผิดสัญญาประมูลข้าวรัฐ เสียหายทันที 1 ล้านตัน ลั่นเอาผิด จนท.รัฐ สมคบโกง-ฟันทั้งวินัยและอาญา พร้อมยอมรับ ข้าวยุครัฐบาลขิงแก่ค้างสต๊อกบาน 4-5 ล้านตัน

       วันนี้ (27 ส.ค.) นางอรนุช โอสถานนท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ได้รับรายงานผลจาก นายพิสุทธิ์ ชลากรกุล ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) กรณีที่ทางบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด บอกเลิกสัญญาและผิดสัญญาการรับและส่งมอบข้าวของ อคส.กว่า 1 ล้านตันแล้ว ซึ่งเห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง และเป็นความผิดของบริษัท เพรซิเดนท์ฯ ที่บอกเลิกสัญญาไม่มารับมอบข้าวจำนวนดังกล่าวกับทาง อคส.โดยหลังจากนี้ไป อคส.จะดำเนินการตามสัญญา ก็มีทั้งปรับและยึดข้าวจำนวนดังกล่าวกลับมาและเปิดประมูลใหม่

        ทั้งนี้ เท่าที่ได้ตรวจสอบข้าวสารที่อยู่ในโกดังต่างๆ ที่ได้มีการบอกเลิกสัญญาในครั้งนี้ เห็นว่าข้าวจำนวนกว่า 1 ล้านตัน ยังเป็นข้าวที่มีคุณภาพดีเกินกว่าร้อยละ 90 ขึ้นไปอยู่เป็นจำนวนมาก โดยจะมีข้าวที่เสื่อมเพียง 70,000-80,000 ตันเท่านั้น ซึ่งเห็นว่า ปริมาณข้าวเสื่อมน้อย และน่าจะนำมาประมูลได้ คงไม่เป็นปัญหา แต่การนำข้าวที่ค้างและเสื่อมออกมาประมูลใหม่ เช่น ราคาข้าวที่ทางบริษัท เพรซิเดนท์ฯ ประมูลมาได้ก่อนหน้านี้ อยู่ที่ 10,000 บาท หากเปิดประมูลใหม่โดยผู้ชนะประมูลให้ราคาอยู่ที่ 8,000 บาทต่อตัน ส่วนต่างที่หายไป 2,000 บาทต่อตัน ทางบริษัท เพรซิเดนท์ฯ จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหายส่วนนี้

       อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ เห็นว่า การกระทำของบริษัท เพรซิเดนท์ฯ ที่ได้บอกเลิกสัญญา และไม่ยอมรับและส่งมอบข้าวจำนวนกว่า 1 ล้านตันครั้งนี้ ถือเป็นความผิดที่จะต้องดูกันต่อไปว่าจะมีการเรียกค่าเสียหายและดำเนินการส่งฟ้องศาลกันต่อไปหรือไม่ และกระทรวงพาณิชย์จะขึ้นบัญชีดำบริษัท เพรซิเดนท์ฯ ที่จะไม่ให้มีการเข้ามาประมูลหรือเข้าร่วมค้าขายกับทางภาครัฐอีกต่อไป

       นางอรนุช กล่าวอีกว่า จำนวนข้าวค้างสต๊อกของรัฐบาลขณะนี้ มีอยู่ประมาณ 4-5 ล้านตัน แม้ว่าจะเป็นปริมาณมากพอสมควร แต่ก็ไม่ได้ตกใจอะไร โดยได้สั่งการให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศไปดูในรายละเอียดและวิธีการเปิดประมูลข้าวของรัฐบาลแล้ว แต่การระบายข้าวจำนวนมากเช่นนี้ อาจทำให้เกิดปัญหาได้ ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์จะพยายามเร่งระบายข้าวค้างสต๊อกอย่างค่อยเป็นค่อยไป อาจจะเป็นครั้งละไม่เกิน 200,000-300,000 ตัน และจะไม่ทำให้ราคาข้าวภายในประเทศเกิดความบิดเบือนอย่างแน่นอน ขณะที่เจ้าหน้าที่ดูแลทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคมีปริมาณจำกัด ดังนั้น จะขอความร่วมมือไปยังกองทัพ เพื่อที่จะให้ทางเจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาช่วยดูแลปริมาณข้าวสตอกของรัฐบาลทุกพื้นที่ เพื่อป้องกันปัญหาการเวียนเทียนข้าว หรือมีการจงใจที่จะสร้างความปั่นป่วนข้าวของรัฐบาลอย่างเต็มที่

        ผู้อำนวยการ อคส.กล่าวว่า การบอกเลิกสัญญาและไม่มารับส่งมอบข้าวจำนวนกว่า 1 ล้านตัน ของบริษัท เพรซิเดนท์ฯ ครั้งนี้ ได้มีการรายงานให้ผู้บริหารของกระทรวงพาณิชย์ทราบทั้งหมดแล้ว โดยขั้นตอนต่อไป จะนำข้าวออกมาประมูล หากผู้ชนะประมูลรายใหม่ให้ราคาต่ำกว่าบริษัท เพรซิเดนท์ฯ ส่วนต่างเพรซิเดนท์ฯ จะต้องเป็นผู้ชดใช้ รวมถึงความเสียหายอื่นๆ ที่เกิดขึ้น หลังจากนี้บริษัทเพรซิเดนท์ฯ จะต้องรับผิดชอบทั้งสิ้น

           วิเคราะห์-จากข่าวนี้ที่บริษัทเพรซิเดนท์บอกเลิกสัญญาและไม่มารับส่งมอบข้าวจำนวนกว่าล้านตัน ทำให้รัฐได้รับความเสียหาย ซึ่งทางรัฐได้ตัดสินใจที่จะนำข้าวส่วนที่ยังดีอยู่มาทำการประมูลใหม่ และหากราคาที่ประมูลได้มีค่าต่ำกว่าตอนที่บริษัทเพรซิเดนท์ประมูลไป ส่วนต่างที่เหลือบริษัทเพรซิเดนท์จะต้องเป็นผู้จ่ายชดเชย ซึ่งจุดนี้เองก็เป็นปัญหาสำคัญอีกปัญหาหนึ่งที่บริษัทจะต้องประสบต่อไปหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ทั้งนี้อาจเกิดการบริหารงานที่ไม่ดีของบริษัท แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเหตุใดบริษัทเพรซิเดนท์ถึงยกเลิกสัญญาไปเฉยๆแบบนี้ แต่หากทางบริษัทมีการจัดการ การควบคุมดูแลที่ดี เชื่อว่าคงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นแน่ รวมหากมีการวางแผนตั้งรับที่ดี ก็คงสามารถรับมือกับปัญหาต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้จากสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

3.)ปตท.สบช่องบาทแข็ง ผุดโรงแยกก๊าซ6หมื่นล.

          ปตท.เตรียมชงบอร์ดลุยโรงแยกก๊าซฯ หน่วย 6 มูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท ในปลายเดือนนี้ หลังผ่านอีไอเอ เพราะเป็นช่วงจังหวะที่เหมาะสม หลังค่าเงินบาทแข็ง ชี้ไตรมาส 3 ทิศทางราคาน้ำมันสูง 65-70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และมาร์จินปิโตรเคมีจะยังคงดีอยู่

       นายจิตรพงษ์ กว้างสุขสถิตย์ รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าบริษัทเตรียมเดินหน้าก่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วย 6 ทันทีหลังจากได้รับอนุมัติผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) เมื่อเร็วๆ นี้ โดยจะเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯในปลายเดือนนี้ ซึ่งเป็นการลงทุนในจังหวะที่ดีในช่วงค่าเงินบาทแข็ง

       โรงแยกก๊าซฯ 6 จะมีกำลังการผลิต 800 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ใช้เงินลงทุนประมาณ 2 หมื่นกว่าล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2553 โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน โดยจะป้อนก๊าซฯใช้เป็นวัตถุดิบในโรงโอเลฟินส์ของบริษัท พีทีทีพีอี จำกัด ในเครือปตท.ที่มีกำลังการผลิตเอทิลีน 1 ล้านตัน/ปี

       นอกจากนี้ จะมีการเสนอขออนุมัติบอร์ดบริษัทฯเพื่ออนุมัติการจ่ายปันผลระหว่างกาล โดยคาดว่าจะจ่ายปันผลในอัตราใกล้เคียงกับปี 2549 ที่จ่ายปันผลระหว่างกาล 5 บาท/หุ้น เพื่อตอบแทนนักลงทุน

       นายพิชัย ชุณหวชิร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บัญชีและการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปีนี้ว่า ความต้องการใช้น้ำมันในประเทศน่าจะอ่อนตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจประเทศที่ชะลอตัว ทำให้ปตท.ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเกี่ยวกับการลงทุนใหม่ๆในอนาคต แต่ราคาน้ำมันตลาดโลกในช่วงนี้ถือว่าสูงกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ที่ 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 65-70 เหรียญสหรัฐ และค่าการกลั่นยังดีอยู่ ธุรกิจปิโตรเคมีก็ยังมีส่วนต่างราคาวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์(สเปรด)ที่สูงอยู่และความต้องการเม็ดพลาสติกยังดีอยู่

      "ปตท.มีแผนการลงทุนที่ชัดเจนใน 5ปีนี้ (2550-2554)อยู่แล้ว 2 แสนกว่าล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ซึ่งช่วงนี้ปตท.คงต้องพิจารณาว่าจะมีผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับไทยหรือไม่จากภาวะเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าคงไม่มีผลกระทบต่อปตท.มากนัก ซึ่งที่ผ่านมา การเติบโตของปตท.จะผูกกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ"

       นายจิตรพงษ์ กล่าวถึงการพิจารณาแต่งตั้ง ไม่น่ามีปัญหานายประเสริฐ น่าจะกลับเข้ามาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ปตท.ได้อีกวาระหนึ่ง เนื่องจากเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญและทำงานในตำแหน่งนี้มาเป็นเวลา 4 ปี ซึ่งน่าจะสานต่องานที่ทำอยู่นี้ได้ต่อไป ซึ่งนายประเสริฐก็มีสิทธิและคุณสมบัติครบถ้วน เพราะการดำเนินตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ปตท.สามารถดำรงตำแหน่งได้ 2 วาระๆ ละ 4 ปี ซึ่งตามกระบวนการน่าจะเร่งให้เร็วนี้ที่สุด เพื่อไม่ให้สุญญากาศในการทำงานของปตท.

         PTTCH ปรับสเปรดขึ้น666 เหรียญ/ตัน

       นายอดิเทพ พิศาลบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTCH)กล่าวว่าขณะนี้ราคาเม็ดพลาสติกHDPE ปรับตัวสูงขึ้นมากอยู่ที่ 1.4 พันเหรียญสหรัฐ/ตัน ขณะที่ส่วนต่างราคาแนฟทาและเม็ดพลาสติก(สเปรด)อยู่ที่ 666 เหรียญสหรัฐ สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิมเมื่อพ.ค.ที่ผ่านมาถึง 31 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากความต้องการใช้เม็ดพลาสติกยังขยายตัว และมีการหยุดซ่อมบำรุงโรงงานหลายแห่ง โดยในไตรมาส 4/2550 คาดว่าสเปรดจะอ่อนตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากโรงงานที่ปิดซ่อมบำรุงเปิดเดินเครื่องผลิต

       นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้สกุลบาทจำนวน 8,000 ล้านบาทในเดือนก.ย.นี้ อายุหุ้นกู้ 5-10 ปี โดยจะเสนอขายให้สถาบันประมาณ 80% ที่เหลือให้รายย่อย ทำให้อัตราหนี้สินต่อทุนเพิ่มขึ้นจาก 0.19 เท่าเป็น 0.4 เท่า โดยเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ จะนำมาใช้ลงทุนโครงการผลิตเอทิลีน 1 ล้านตันของบริษัท พีทีทีพีอี จำกัด

      อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสเปรดจะปรับตัวดีขึ้นแต่ปีนี้ คาดว่ารายได้ของบริษัทจะต่ำกว่าปีที่แล้ว 2-3% จากเดิมที่มีรายได้รวม 7 หมื่นล้านบาท เนื่องจากต้นปีบริษัทได้หยุดซ่อมบำรุงโรงงานทำให้กำลังการผลิตหายไป

       นายอดิเทพ กล่าวต่อไปว่า ในปี 2552-2553 เชื่อว่าราคาเอทิลีนจะอ่อนตัวลงมา เพราะมีกำลังการผลิตใหม่จากตะวันออกกลางเข้ามา แต่ราคาเม็ดพลาสติกยังดีอยู่ โดยมีความต้องการใช้เติบโตเฉลี่ย 4-5%ต่อปี และการก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมีในตะวันออกกลางสูงกว่าไทย 3เท่า เชื่อว่าผู้ผลิตตะวันออกกลางจะไม่ดัมป์ราคาผลิตภัณฑ์ ส่งผลให้สเปรดเม็ดพลาสติกHDPE อยู่ที่ตันละ 500 เหรียญสหรัฐ  

          วิเคราะห์-จากข่าวนี้จะเห็นว่าแม้ว่าการใช้น้ำมันในประเทศจะลดลงเนื่องภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ทำให้ ปตท. ต้องคิดตัดสินใจอย่างรอบคอบในการลงทุนใหม่ๆ ซึ่งทางปตท.ส่วนใหญ่ก็จะลงทุนไปกับก๊าซธรรมชาติ และมีแผนที่จะสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 6 ขึ้น ในขณะที่ค่าเงินบาทกำลังแข็งตัว แม้ว่าการใช้น้ำมันจะชะลอตัวลง แต่ตลาดเม็ดพลาสติกก็ยังขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทางบริษัทเองก็ยังมีแผนที่จะออกหุ้นกู้สกุลบาทจำนวน 8,000 ล้านบาทในเดือนก.ย.นี้ อายุหุ้นกู้ 5-10 ปี โดยจะเสนอขายให้สถาบันประมาณ 80% ที่เหลือให้รายย่อย ทำให้อัตราหนี้สินต่อทุนเพิ่มขึ้นจาก 0.19 เท่าเป็น 0.4 เท่า โดยเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ จะนำมาใช้ลงทุนโครงการผลิตเอทิลีน 1 ล้านตันของบริษัท พีทีทีพีอี จำกัด ซึ่งธุรกิจของ ปตท.นั้นก็มีข้อดีตรงที่มีความหลากหลายในการผลิตทำให้หากประสบปัญหาก็สามารถมีทางแก้ได้หลายทาง ดังเช่นในข่าวข้างต้นนี้

นางสาวจันทกานต์ ศรีมาวรรณ์

นางสาวจันทกานต์  ศรีมาวรรณ์ 

รหัสนักศึกษา  50473010040

คณะวิทยาการจัดการ 

โปรแกรมวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

 

ข่าวที่ 1  ส่งออกข้าวไทยฉลุยโกย 8.3 แสน ล.

ส่งออกข้าวไทยฉลุยโกย 8.3 แสน ล.

นาย อมร งามมงคลรัตน์ รองผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กล่าวถึงภาพรวมอุตสาหกรรมอาหารไทยปี 53 ว่า คาดว่าอุตสาหกรรมอาหารไทยจะยังขยายตัวเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยมูลค่าการส่งออกอาหารทั้งปี 53 น่าจะอยู่ที่ 8.3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10% แม้ว่าจะมีปัจจัยเสี่ยงในเรื่องเศรษฐกิจของประเทศผู้นำเข้าหลัก เช่น สหรัฐ อเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่นที่ยังไม่ฟื้นตัว ต้นทุนการผลิตที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามราคาปัจจัยการผลิต ค่าระวางเรือที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า รวมทั้งอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง

นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล ประธานคณะกรรมการธุรกิจเกษตรและอาหาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เบื้องต้นได้มีการประมาณการภาพรวมส่งออกอาหารไทยปี 53 ไว้ว่าจะมีมูลค่าส่งออกในรูปเงินบาทอยู่ที่ 8.3 แสนล้านบาท ขยายตัวเพิ่มจากปีก่อน 10% เป็นมูลค่าในรูปเงินเหรียญสหรัฐอยู่ที่ 25,943 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 17.9% โดยเป็นการคำนวณที่อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยทั้งปีที่ระดับ 32 บาทต่อเหรียญสหรัฐ แต่ขณะนี้เมื่อพิจารณาแล้วแนวโน้มค่าเงินบาทมีแต่จะแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ทำให้มีการประเมินระดับอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยทั้งปี 53 ใหม่มาอยู่ที่ระดับ 31 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะทำให้มูลค่าส่งออกหายไปประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท

“เรื่อง อัตราแลกเปลี่ยนผู้ประกอบการส่งออกเองก็มีความกังวลแต่คงต้องยอมรับสภาพ เพราะดูแล้วไม่มีปัจจัยอะไรที่จะทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลงเลย โดยประเมินว่าเฉลี่ยทั้งปีนี้จะแข็งค่าอยู่ที่ระดับ 31 บาทต่อเหรียญสหรัฐ และคิดว่าหากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ปีหน้าค่าเงินบาทมีโอกาสทะลุระดับ 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐได้ ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยลดลง ซึ่งหากจะให้สู้ได้ค่าเงินบาทไทยจะต้องอ่อนค่าลงอีก 10% หรืออ่อนค่าลง 3 บาทต่อเหรียญ ซึ่งเป็นไปไม่ได้”

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ กล่าวว่า การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นทำให้ผู้ประกอบการส่งออกข้าวจะต้องส่งออกข้าวใน ราคาที่สูงขึ้น โดยข้าวขาวต้องขายแพงขึ้น 20 เหรียญสหรัฐต่อตัน ข้าวหอมมะลิต้องขายแพงขึ้น 32-35 เหรียญสหรัฐต่อตัน ทำให้ศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลกลดลง โดยเฉพาะคู่แข่งอย่างเวียดนามที่มีแต่ประกาศลดค่าเงินด่องลง จนทำให้ส่วนต่างราคาต่างกันมากขึ้น แต่ถือว่าโชคดีที่ในช่วง 2-3 สัปดาห์ก่อนราคาข้าวของเวียดนามปรับสูงขึ้นจนอยู่ในระดับใกล้เคียงกับไทย เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาเวียดนามมีการขายข้าวออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมากแล้ว ทำให้ช่วยลดผลกระทบจากการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นได้ระดับหนึ่ง จึงถือเป็นช่วงที่ดีที่ไทยจะใช้โอกาสนี้ส่งออกในช่วง 1-2 เดือนนี้

ทั้ง นี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค.-20 ส.ค.53 ไทยส่งออกข้าวไปต่างประเทศแล้ว 5 ล้านตัน ลดลง 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ส่งออกได้ 5.6 ล้านตัน แต่จากการที่ราคาข้าวในเวียดนามปรับสูงขึ้นจนใกล้เคียงกับไทย จึงมองว่าแนวโน้มการส่งออกข้าวจากนี้ถึงสิ้นปีน่าจะดีขึ้น โดยคาดว่าการส่งออกข้าวทั้งปีน่าจะกลับมาอยู่ที่ระดับ 8.5 ล้านตันได้ จากเดิมที่คาดว่าส่งออกรวมได้แค่ 8 ล้านตันก็ดีแล้ว อย่างไรก็ตามยังมีกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารต่างๆ เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมแช่เยือกแข็งกุ้ง ไก่ ผักและผลไม้ที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องด้วย โดยเฉพาะกุ้งแช่แข็งที่ได้รับผลกระทบถึง 2-3 เด้ง เนื่องจากรายได้เท่าเดิมแต่ต้องส่งออกมากขึ้นและเมื่อนำมาคิดเป็นเงินบาท แล้วก็จะต้องเสียภาษีเพิ่ม เพราะมีเรื่องของมาตรการปกป้องการทุ่มตลาด

 

วิเคราะห์ 

                ในปัจจุบันนี้ค่าเงินบาทแข็งตัวมากขึ้นทำให้ธุรกิจการส่งออกแย่ไปตามๆกัน  รวมทั้งธุรกิจการส่งออกข้าวด้วย  การที่ค่าเงินบาทแข็งตัวขึ้น  ทำให้การส่งออกข้าวได้กำไรน้อยลง  ถ้าต้องการให้ได้กำไรเท่าเดิมก็ต้องส่งข้าวออกเป็นจำนวนที่มากขึ้น  และยังมีอุปสรรคอีกหลายๆอย่างที่จะมีผลกระทบต่อการส่งออก  ประเทศเวียดนามเป็นประเทศที่เป็นคู่แข่งในการส่งออกข้าวที่สำคัญกับประเทศไทยมาโดยตลอด  ทำให้การส่งออกข้าวของไทยส่งออกได้น้อยลงจากปีก่อน  เพราะว่าข้าวของไทยมีราคาที่สูงกว่าข้าวของเวียดนาม  แต่ในปัจจุบันเวียดนามได้ส่งข้าวออกไปเป็นจำนวนมากแล้วทำให้ต้องปรับราคาข้าวส่งออกมาเทียบเท่ากับราคาข้าวของไทย  การส่งออกข้าวไทยจะต้องใช้โอกาสนี้ในการทำกำไรในการส่งออกข้าวให้ได้มากที่สุด  เมื่อธุรกิจการส่งออกของไทยเป็นไปได้ด้วยดี  เศรษฐกิจภายในประเทศก็จะดีตามไปด้วย  แต่หากว่าเกิดส่งออกข้าวไปยังต่างประเทศเป็นจำนวนมากจนข้าวขาดตลาด  ก็จะส่งผลกระทบกับประชาชนในประเทศซึ่งราคาข้าวก็จะถีบตัวสูงขึ้น  ซึ่งจะทำให้เป็นปัญหาต่อไปในอนาคต

 

ข่าวที่ 2    บิ๊ก ส.อ.ท.เชื่อบึ้มคิงเพาเวอร์ ครั้งที่ 2   ไม่กระทบการค้า - การลงทุน

ปธ.กิตติมศักดิ์ ส.อ.ท.เชื่อ บึ้มคิงเพาเวอร์ ครั้งที่ 2 มีผลกระทบต่อภาคเอกชนน้อย แต่อาจมีผลต่อการท่องเที่ยวบ้าง ยันตอนนี้ การเมืองไม่ใช่ปัจจัยหลัก แต่ผู้ประกอบการห่วงปัญหาจากภายนอกมากที่สุด ส่วนปัจจัยภายใน กังวลค่าเงินบาท และปัญหามาบตาพุด

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานกิตติมศักดิ์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงเหตุระเบิดซอยรางน้ำใกล้ห้างคิงเพาเวอร์เป็นครั้งที่ 2 เมื่อคืนที่ผ่านมา โดยระบุว่า ภาคเอกชนประเมินว่า มีผลกระทบค่อนข้างน้อย เนื่องจากมีปัจจัยหลายตัวกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการส่งออก การลงทุนสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นไปด้วยดี ส่วนเรื่องการท่องเที่ยวแม้จะอยู่ในช่วงการฟื้นตัว แต่คงได้รับผลกระทบบ้าง เพราะเป็นช่วงฤดูการท่องเที่ยว ซึ่งภาครัฐจะต้องควบคุมสถานการณ์ให้ได้

วิเคราะห์

                จากการระเบิดในซอยรางน้ำใกล้ห้างคิงพาวเวอร์  อาจจะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจภายในประเทศไม่มากนักแต่ว่าจะมีผลกระทบกับด้านการท่องเที่ยวอย่างมาก  ซึ่งตอนนี้การท่องเที่ยวอยู่ในช่วงฟื้นตัวอาจจะส่งผลให้การท่องเที่ยวทรุดลงอีกครั้งก็เป็นได้  นักท่องเที่ยวทั้งในประเทศไทยและชาวต่างชาติต่างก็ไม่ไว้วางใจในสถานการณ์ที่เกิดความไม่สงบ  ทำให้นักท่องเที่ยวไม่ออกมาเที่ยวกัน  ทำให้ไม่มีการใช้จ่ายเงินจึงไม่มีเงินหมุนในระบบเศรษฐกิจ  และอาจจะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจอื่นๆภายในประเทศอีกด้วย  อาทิเช่น  ธุรกิจการเกษตร  การที่นักลงทุนจะไม่กล้าเข้ามาลงทุนในไทย  และอาจจะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงได้  แต่ก็เป็นผลดีเมื่อค่าเงินบาทอ่อนตัว  ทำให้ธุรกิจการส่งออกได้กำไรมากขึ้นจากที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน

 

ข่าวที่ 3   มาร์ค"ห่วงสินค้าขึ้นราคากระทบปชช. แย้มเพิ่มค่าแรงตาม

       นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวเมื่อวันที่ 27 ส.ค. ถึงกรณีจะมีการขยับราคาสินค้าหลายประเภท ว่า จะนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมครม.เศรษฐกิจในวันที่ 30 ส.ค.นี้ โดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) ไปดูต้นทุนราคาสินค้าแต่ละประเภท โดยจะต้องดูตัวเลขย้อนหลังไป เพราะมีบางช่วงที่รัฐบาลขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการไม่ให้ขึ้นราคา โดยจะต้องดูว่าสะสมมากน้อยแค่ไหนอย่างไร ทั้งนี้ เป็นห่วงว่าการขึ้นราคาสินค้าจะกระทบกับประชาชน อย่างไรก็ตาม เมื่อภาวะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้น แล้วผู้ประกอบการมองว่าต้นทุนได้สะสมขึ้น จึงได้ร้องขอมา เรื่องนี้จึงต้องดูด้วยความระมัดระวัง

                เมื่อถามว่าหากชะลอการขึ้นราคาสินค้าไม่ได้จริงๆ จะปรับค่าแรงในภาคเอกชนด้วยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราคาดการณ์อยู่แล้วว่าค่าแรงจะต้องขึ้น ในจังหวะก่อนหรือช่วงเดียวกับที่มีการขึ้นเงินเดือนของข้าราชการ โดยจุดอ่อนของการขึ้นเงินข้าราชการ คือต้องกำหนดไว้ในงบประมาณ จึงเป็นที่ทราบกันล่วงหน้า

เมื่อถามว่าหลายหน่วยงานออกมาเตือนว่าเศรษฐกิจไทยอาจเข้าสู่ภาวะชะลอตัว นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การขยายตัวอัตราจะลดลงเป็นธรรมชาติ เพราะช่วงแรกของการฟื้นตัว จะฟื้นจากฐานที่ต่ำ พอไปถึงระยะหนึ่งก็จะชะลอตัวลงมา แต่เป้าหมายของเราตัวเลขการขยายตัว น่าจะอยู่ที่ร้อยละ 7 แล้วปีหลังจากนี้ถ้าอัตราการขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 4-5 ก็ถือเป็นเรื่องปกติ

วิเคราะห์

                จากข่าวข้างต้นเราอาจจะรู้สึกดีและรูสึกแย่ไปพร้อมๆกัน  การที่สินค้าราคาขึ้นอาจจะทำให้ผู้ประกอบการได้กำไรน้อยลง  เพราะผู้บริโภคมักจะไม่จับจ่ายใช้สอยในช่วงที่สินค้ามีราคาแพง  แต่ถ้าค่าแรงเพิ่มขึ้นด้วย  ก็จะทำให้ประชาชนพอใจในส่วนนี้

                แต่ถ้ามองในภาพรวมทางเศรษฐกิจ  การที่เรามีค่าแรงที่เพิ่มขึ้น  ก็จะทำให้เรามีเงินมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น  ในกรณีที่สินค้านั้นเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค หรือสินค้าจำเป็น  เช่น ยารักษาโรค    ต่อให้ขึ้นราคา  ก็จะไม่มีผลอะไรมากนัก  เพราะยังไงผู้บริโภคก็มีความจำเป็นต้องใช้อยู่ดี

                ในเศรษฐกิจไทยจะมีวัฏจักรในตัวของมันเอง   เมื่อมันเข้าถึงภาวะที่ชะลอตัว  กลไกทางเศรษฐกิจก็จะทำงาน  จนในที่สุดก็จะกลับมาสู่ในภาวะปกติ  และรุ่งเรืองในที่สุด

 

ข่าวที่  4  นายกฯปลุก “นักวิจัย” ขยันปั๊มผลงาน เพิ่มมูลค่าศก. ยันพร้อมอัดงบฯช่วยหนุน

                 เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ห้องเวิลด์บอลรูม โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ย่านราชประสงค์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เดินทางมาเปิดการประชุมการนำเสนอผลงานวิจัยแห่งชาติประจำปี 2553 ที่จัดโดยสภาวิจัยแห่งชาติ (วช.) มอบรางวัล 2010 TWAS Prize for Young Scientists in Thailand แก่นักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ที่มีผลงานดีเด่น ได้แก่ นพ.วิศิษฎ์ ทองบุญเกิด จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “การวิจัยและการสร้างสรรค์เพื่อสังคมและเศรษฐกิจไทย” มีใจความตอนหนึ่ง ว่า ขอชื่นชม วช. และเครือข่าย ที่ร่วมกันจัดงานเพื่อสื่อให้ทุกฝ่ายมีความตั้งใจที่จะนำผลงานวิจัยที่มีคุณค่ามานำเสนอให้รับทราบ

                นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต.ค.ปีที่แล้ว ตนเดินทางไปร่วม วช. ครบรอบ 50 ปี และได้เสนอความเห็น ว่าการวิจัยถือเป็นหัวใจของการพัฒนาประเทศ เพราะการแก้ปัญหาของประเทศ จะต้องอาศัยองค์ความรู้เป็นหลักสำคัญ การวิจัยจึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลนี้ให้การสนับสนุน และผลักดันให้เกิดมากขึ้น เพราะปัจจุบันประเทศไทยต้องเผชิญความท้าทายใหม่ๆ ต้องมีการปรับตัว ปฏิรูปโครงสร้างต่างๆ ที่ต้องอาศัยฐานความรู้ความเข้าใจ มากกว่าฐานความเห็นหรืออารมณ์ เพราะการใช้ปัญญาจะทำให้การแก้ปัญหาของประเทศเกิดความสมดุล ดังนั้นในโอกาสที่ผู้ที่อยู่ในวงการความรู้และปัญญา มารวมกันอยู่ในที่นี่ จะได้ช่วยกันคิดหาหนทางพัฒนาประเทศด้วยปัญญาต่อไป

                นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ปัญหาที่ประเทศเราประสบมีหลายด้าน จึงต้อง 1.ส่งเสริมให้มีนักวิจัยอาชีพมากขึ้น เพราะในปี 2550 เรามีนักวิจัยที่ทำงานเต็มเวลาเพียง 21,392 คน หรือเท่ากับ 3.39 คนใน 10,000 คน และอยู่ในภาคอุดมศึกษาถึงร้อยละ 65 รัฐบาลจึงต้องสนับสนุนให้มีการสร้างบุคลาการด้านนี้อย่างต่อเนื่อง ทั้งสนับสนุนทางการศึกษา และสร้างแรงจูงใจให้คนหันมาสนใจ เพื่อให้มีส่วนสำคัญการสร้างงานวิจัยให้มากขึ้นในอนาคต โดยจะต้องมีการปรับโครงสร้างสถาบันการศึกษาและสถาบันการวิจัยต่างๆ เพราะปรากฏว่ามีงานวิจัยน้อยลงทุกวัน ซึ่งเท่าที่หารือกับหลายฝ่าย เห็นว่าต้องสังคายนาสถาบันอุดมศึกษา เพื่อแก้ปัญหานี้

                นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า 2.เรื่องงบประมาณ เพราะสัดส่วนงบสำหรับงานวิจัย ในภาพรวมยังอยู่ในระดับต่ำ ร้อยละ 0.21 สำหรับจีดีพีเท่านั้น แต่รัฐบาลตั้งเป้าหมายจะเพิ่มให้เป็นร้อยละ 0.5 ต่อจีดีพีให้ได้ ทั้งการผลักดันผ่านงบประมาณปกติและงบโครงการไทยเข้มแข็ง โดยจะต้องกระตุ้นให้ภาคเอกชนเข้ามาใช้จ่ายด้านการวิจัยมากขึ้น 3.ต้องมีกลไกที่ดีเชื่อมโยงภาครัฐกับเอกชน เพราะหากเชื่อมโยงไม่ดี คนที่ต้องการใช้งานวิจัย จะไม่สามารถรับรู้หรือเข้าถึงคนที่ทำวิจัยได้ ซึ่งจะทำให้เกิดความอ่อนแอในภาพรวม รัฐบาลพยายามแก้ปัญหานี้ โดยจัดทำคลังข้อมูลที่ทุกภาคส่วนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น หนึ่งในนั้นได้แก่โครงการนำร่อง 1 จังหวัด 1 มหาวิทยาลัย ที่จะทำให้ชุมชนเชื่อมโยงกับสถาบันการศึกษาได้ง่ายขึ้น

                นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้รัฐบาลกำลังดำเนินการให้มีการจัดตั้งหน่วยงานที่สังเคราะห์ความรู้เพื่อให้นำมาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น เพราะในหลายๆประเทศจะมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรงนี้ เพราะในอนาคต ถ้าเราไม่ส่งเสริมให้นำงานวิจัยหรือการพัฒนาความรู้ความคิดสร้างสรรค์เข้ามาใช้ในการแก้ไขปัญหาหรือเพิ่มมูลค่าในทางเศรษฐกิจ ประเทศไทยก็จะประสบขีดความสามารถในการแข่งขัน เพราะแม้ที่ผ่านมาเราจะได้เปรียบในปัจจัยด้านแรงงานและทรัพยากร แต่ขณะนี้สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป การเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจจะต้องมาพร้อมกับความคิดความรู้ความคิดสร้างสรรค์   จุดนี้เองที่จะทำให้งานวิจัยมีส่วนสำคัญในการช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

วิเคราะห์

            ในปัจจุบันประเทศไทยมีการแข่งขันที่สูง  และประสบกับปัญหาต่างๆนาๆ มากมาย  ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางการเมือง  ปัญหาทางเศรษฐกิจ  ล้วนแล้วแต่ทำให้บ้านเมืองเดือดร้อนทั้งนั้น  การที่งานวิจัยเข้ามามีบทบาทกับการพัฒนาประเทศ  ก็จะทำให้มีมุมมองใหม่ๆเกิดขึ้น การที่ผู้คนที่มีความรู้หลากหลายแขนงมารวมตัวกัน  เพื่อทำการวิจัยพัฒนาประเทศ  ก็จะทำให้ประเทศผ่านวิกฤตการณ์ที่เลวร้ายไปได้  เพราะความรู้เป็นสิ่งสำคัญที่สามารถช่วยเหลือประเทศได้  จากข่าวข้างต้นนี้  เราจะเห็นว่ารัฐบาลให้การสนับสนุนในเรื่องนี้มากพร้อมทั้งยังให้เงินเพื่อช่วยสนับสนุนงานวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ  สถาบันการศึกษาต่างๆ  ควรปลูกฝังเยาวชน  ให้ความรู้ความสามารถ สอนให้รู้จักนำความคิดใหม่ๆมาใช้ในห้องเรียน  เด็กจะได้มีพัฒนาการที่ต่อเนื่อง  และเป็นความหวังของประเทศต่อไป

                อย่ามองว่ามันเป็นปัญหาเล็กๆ  เพราะถ้าเราไม่รู้จักแก้ไขในวันนี้  ในอนาคตมันจะกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่ และแก้ไขลำบาก

นายณัฐพงศ์ พงศ์กิดาการ

นายณัฐพงศ์ พงศ์กิดาการ เอก เศรษฐศาสตร์ธรกิจ
รหัสนักศึกษา 50473010024
ข่าวที่ 1 จีน-อาเซียน ใช้เงินสกุลหยวนค้าขายระหว่างกัน
          จีนเสนอให้กลุ่มประเทศสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ใช้สกุลเงินหยวนในการซื้อขายสินค้าระหว่างกัน ซึ่งอาเซียนก็ขานรับข้อเสนอดังกล่าว           สำนักข่าวเกียวโดรายงานอ้างร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนว่า จีนได้ยื่นข้อเสนอให้กลุ่มอาเซียนใช้สกุลเงินหยวนในการซื้อขายสินค้า ซึ่งในช่วงแรก จีนจะจัดสัมนาร่วมกับตัวแทนของรัฐบาลและผู้เชี่ยวชาญจากกลุ่มประเทศอาเซียนที่กรุงปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และยูนนานในเดือนพ.ย.นี้ เพื่อหารือเรื่องการใช้เงินหยวนในการซื้อขายสินค้าภายใต้เป้าหมายที่จะกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้ามากขึ้น
          โดยผู้เข้าร่วมประชุมจะสามารถหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องแนวทางการขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างกัน รวมถึงสนับสนุนการใช้เงินหยวนสำหรับการซื้อขายแลกเปลี่ยนข้ามพรมแดน ซึ่งร่างแถลงการณ์ระบุว่า อาเซียนขานรับข้อเสนอของจีน
  การวิเคราะห์
           จาการที่อาเซียนนั้นขานรับข้อเสนอของจีนนั้น แสดงให้เห็นว่าประเทศจีนนั้นมีก่รเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว หรือ แบบก้าวกระโดด ส่งผลกระทบให้ประเทศไทยนั้นมีสกุลเงินที่เล็กลงไปอีก เพราะว่า ในอนาคตนั้นอาจจะมีการขานรับสกุลเงินของจีนมากขึ้นไปอีก
           แต่ปัจจุบันนี้ก็ส่งผลกระทบในด้านการส่งออกเช่นกัน เพราะ พ่อค้าจะรับเงินของสกุลจีน หรือเรียกว่า หยวน นั้นเป็นสกุลเงินที่เริ่มใช้กันมากขึ้น และ เราก็ได้สกุลเงินจีนมาซึ่งปัจจุบัน เงินหยวนของจีนนั้นยังไม่สูงเท่าไหรนักซึ่งอีกไม่นานจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยไปทุกด้านเพราะแรงงานจีนก็ถูก ค่าเงินก็เป็นที่ยอมรับจากอนาเขตที่น่าเชื่อถือต่อสังคมโลก เป็นอย่างมาก
ข่าวที่ 2  
           นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังการเดินทางทางเยือนเมืองปักกิ่ง และคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ในต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า
           โดยรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เข้าพบหารือกับผู้บริการ ระดับ อธิบดี กรมรถไฟของจีน และเยี่ยมชมโครงการ รถไฟความเร็วสูงเส้นทางจากปักกิ่ง ไปเมืองเทียนสิน ที่จีนเปิดให้บริการเมื่อปี 2551 ที่ผ่านมาโดยรัฐมนตรีว่าการะทรวงคมนาคมกล่าวว่า จากการรับฟังแผนการพัฒนาระบบรางในภูมิภาคของจีน จีนแสดงความสนใจเข้ามาลงทุน พัฒนาระบบราง ทั้งในไทย และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อประโยชน์ใจการเชื่อมโยงระบบขนส่งทางรางของจีนลงมาทางใต้ในอนาคต โดยจีนสนใจที่จะเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูงในไทย และพร้อมลงทุนให้ในเส้นทางจากเหนือ ไปสู่ภาคใต้ ระยะทาง1,600 กม.  นำร่องใน 2 เส้นทางคือ กรุงเทพ-หนองคาย. ระยะทาง 615 กม. และกรุงเทพ-ระยอง ระยะทาง 220กม.โดยพร้อมเข้ามาดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 5 ปี
     การวิเคราะห์
         จากการที่ประเสจีนร่วมลงทุน ไฮสปีดเทรน ด้วยนั้นจะทำให้ประเทศไทยมีการคมนาคมที่สะดวกมากขึ้นและเป็นมิตรสัมพันธ์อันดีต่อจีน ส่งผลดีต่อประเทศไทยเป็นอย่างมาก ทำให้เศรษฐกิจไทยที่อยู่ในช่วงกำลังฟื้นตัวนั้น มีความราบรื่นมากขึ้น เพราะการคมนาคมที่ดีเละเมื่อมีการคมนาคมที่ดีการติดต่อสื่อสารก็ต้องดีตามไปด้วยเหมือนลูกโซ่ และอาจทำให้ GDP ของประเทศไทยนั้นเพิ่มขึ้นอีกเป็นอย่างมาก

นางสาว ศิรินภา คำมา รหัส 50473010003 เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

นางสาว ศิรินภา  คำมา

รหัสนักศึกษา  50473010003

คณะวิทยาการจัดการ 

โปรแกรมวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

 

ข่าวที่ 1 หุ้นไทยดีดรอบ2ปี แตะ900จุด เงินบาทแข็งค่าสูง

หุ้นไทยปิดตลาดที่ระดับ 900.37 จุด เพิ่มขึ้น 14.27 จุด สูงสุดในรอบ 2 ปี 10 เดือน ซื้อขายกว่า 4.3 หมื่นล้าน ด้านโบรกฯ ฟันธงสาเหตุหุ้นพุ่ง มาจากเม็ดเงินไหลเข้าตลาดต่อเนื่อง และค่าเงินบาทแข็ง เชื่อสัปดาห์หน้ายังสดใส ให้แนวต้านใหม่ 905 จุด...

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประจำวันศุกร์ที่ 27 ส.ค.  2553 ปิดตลาดที่ระดับ 900.37 จุด เพิ่มขึ้น 14.27 จุด มูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 43,609.00 ล้านบาท หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลง เพิ่มขึ้น 293 หลักทรัพย์ ลดลง 93 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 120 หลักทรัพย์

ทั้งนี้ ดัชนีฯได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 2 ปี 10 เดือน นับจากวันที่ 1 พ.ย. 2550 ที่ระดับ 902.73 จุด

สำหรับ 5 อันดับซื้อขายสูงสุดประจำวันนี้ ได้แก่ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) , ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) , บริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) , บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทร่ีกรุ๊ป  จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยทะยานขึ้นแตะระดับ 900 จุดว่า มาจากเม็ดเงินที่ไหลเข้าตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าสูง จึงทำให้นักลงทุนสนใจในตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตาม หุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน ได้แก่ หุ้นในกลุ่มธนาคารเนื่องจาก ความมั่นใจต่อแนวโน้มผลประกอบการที่จะออกมาของธนาคารต่างๆ รวมถึงหุ้นกลุ่มที่ได้ผลประโยชน์จากโครงการต่างๆของรัฐบาล ทั้งนี้ ในช่วงต้นสัปดาห์หน้ายังเชื่อว่าตลาดหุ้นน่าจะสดใส โดยให้แนวต้านใหม่ที่ 905 จุด และแนวรับที่ 895 จุด

ส่วนตลาดหุ้นภูมิภาค ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ระดับ 20,597.35 จุด ลดลง 14.71 จุด ดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดตลาดที่ระดับ 8,991.06 จุด เพิ่มขึ้น 84.58 จุด และ ดัชนีเวทเต็ด ตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดตลาดที่ระดับ 7,722.91 จุด เพิ่มขึ้น 33.17 จุด.

 

วิเคราะห์

เนื่องจากภาวะค่าเงินบาทของไทยมีค่าแข็งตัวขึ้น นั้น ส่งผลให้เม็ดเงินที่ไหลเข้าตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าสูง จึงทำให้นักลงทุนสนใจในตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตาม หุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน ได้แก่ หุ้นในกลุ่มธนาคารเนื่องจาก ความมั่นใจต่อแนวโน้มผลประกอบการที่จะออกมาของธนาคารต่างๆ รวมถึงหุ้นกลุ่มที่ได้ผลประโยชน์จากโครงการต่างๆของรัฐบาล ทั้งนี้ ในช่วงต้นสัปดาห์หน้ายังเชื่อว่าตลาดหุ้นน่าจะสดใส

 

ข่าวที่ 2 ห่วงปัญหาปตท.สผ.กระทบธุรกิจในไทย

นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. กล่าวถึงกรณีที่บริษัท พีทีทีอีพี ออสตราเลเซีย บริษัทลูกของ ปตท.สผ. ถูกทางการอินโดนีเซียเรียกค่าชดเชยความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อม กว่า 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากผลกระทบที่ต่อเนื่องจากเหตุการณ์ไฟไหม้ที่แท่นมอนทารา ประเทศออสเตรเลีย เมื่อปลายปี 2552 ว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นประเด็นไปเชื่อมโยงกับกระแสต่อต้าน การดำเนินธุรกิจในไทยด้วย เนื่องจาก ปตท.สผ.มีแปลงสำรวจอยู่หลายแปลง ซึ่งจะเร่งชี้แจงและความเข้าใจ พร้อมเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องในกรณีดังกล่าว

 นายคุรุจิต นาครทรรพ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กล่าวว่า กรมอยู่ระหว่างการติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม การเรียกร้องความเสียหายต้องมีหลักฐาน เพื่อมาพิสูจน์ต่อไปว่าได้รับผลกระทบจากเหตุดังกล่าวจริงหรือไม่ เพราะเหตุการณ์ไฟไหม้เกิดตั้งแต่ปี 2552 ซึ่งปตท.สผ.ได้ดำเนินการแก้ไขทันท่วงที และมีหลักฐานข้อมูลประกอบต่างๆ อย่างชัดเจน ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นส่งผลให้เกิดความกังวลต่อสัมปทานในไทย แต่กรณีของ ปตท.สผ.แตกต่างจากกรณีน้ำมันรั่วในอ่าวเม็กซิโก เพราะกรณีอ่าวเม็กซิโกมีความชัดเจนว่ามีการรั่วไหลต่อเนื่องจริง ขณะที่ผลกระทบจากไฟไหม้ที่แหล่งมอนทารา ได้มีกระบวนการดูแลความเสียหายไปแล้ว

 ส่วนปัญหาการประท้วงการสำรวจปิโตรเลียมในอ่าวไทยนั้น กรมจะเป็นส่วนหนึ่งในการทำความเข้าใจกับประชาชน ซึ่งจะเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นร่วมกับจังหวัดในปลายเร็วๆ นี้ ยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีการขุดเจาะที่แปลงดังกล่าวอย่างแน่นอน ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการทำประชาพิจารณ์เท่านั้น ขณะนี้มีการคัดค้านการเจาะสำรวจปิโตรเลียมของบริษัทนิวคอสตอลแล้ว

 นายคุรุจิตกล่าวว่า ส่วนการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ซึ่งกำหนดเดิมจะเปิดในปี 2554 ยอมรับว่าต้องพิจารณาให้รอบคอบมากขึ้น ว่าจะนำแปลงใดมาให้สัมปทาน แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นแปลงเก่าที่ไม่มีผู้ประกอบการประมูลในรอบที่ผ่านมา เพื่อประมูลใหม่ก็ตาม แต่ก็ต้องรอบคอบมากขึ้นโดยต้องตัดพื้นที่ใกล้จุดที่มีความอ่อนไหวออกไป อาทิ พื้นที่อนุรักษ์ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้อนขึ้นมาอีก

 

วิเคราะห์

จากผลกระทบที่ต่อเนื่องจากเหตุการณ์ไฟไหม้ที่แท่นมอนทารา ประเทศออสเตรเลีย เมื่อปลายปี 2552 ว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นประเด็นไปเชื่อมโยงกับกระแสต่อต้าน การดำเนินธุรกิจในไทยด้วย เนื่องจาก ปตท.สผ.มีแปลงสำรวจอยู่หลายแปลง ซึ่งจะเร่งชี้แจงและความเข้าใจ พร้อมเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องส่วนการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ซึ่งกำหนดเดิมจะเปิดในปี 2554 ยอมรับว่าต้องพิจารณาให้รอบคอบมากขึ้น ว่าจะนำแปลงใดมาให้สัมปทานแต่ก็ต้องรอบคอบมากขึ้นโดยต้องตัดพื้นที่ใกล้จุดที่มีความอ่อนไหวออกไป อาทิ พื้นที่อนุรักษ์ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้อนขึ้นมาอีก

 

ข่าวที่ 3 EUร้อง "พาณิชย์"ค้านกทช. ประกาศร่างครอบงำกิจการ ชี้ปิดกั้นต่างชาติ-กระทบ3จี

"อียู" ร้อง รมว.พาณิชย์ ระบุร่างประกาศครอบงำกิจการของ กทช.ปิดกั้นต่างชาติเข้ามาลงทุนไทย และกระทบต่อการตัดสินใจประมูลไลเซ่นส์ 3จี ที่จะขึ้นจะวันที่30สิงหาคมนี้ ด้าน "บอร์ด กสท" ร่อนหนังสือถาม"คลัง-ไอซีที"ก่อนตัดสินใจฟ้อง กทช.ให้ระงับประมูล หวั่นทำค่าสัมปทานวูบ

นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27สิงหาคม ได้หารือกับ นา ย Karel De Cucht กรรมาธิการการค้าสหภาพยุโรป (อียู) ระหว่างการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (เออีเอ็ม ) ที่เมืองดานัง ประเทศเวียดนาม โดยทาง อียูแสดงความกังวลใจที่ไทยจะออกกฎระเบียบเกี่ยวกับการประกอบกิจการโทรคมนาคม เพราะนอกจากจะควบคุมความเป็นเจ้าของกิจการ คือต่างชาติถือหุ้นได้ไม่เกิน 49% แล้วยังมีเจตนาควบคุมอำนาจการบริหารกิจการด้วย ซึ่งจะทำให้มีบริษัทต่างชาติสนใจมาลงทุนลดลง ส่งผลให้ไทยมีโอกาสคัดเลือกผู้ประกอบการที่จะมาลงทุนได้น้อยลง และมูลค่าการลงทุนอาจไม่ดีเท่าที่ควร

"เราได้แจ้งให้อียูทราบว่า คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) อยู่ระหว่างการนำร่างประกาศดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการประชาพิจารณ์ โดยประกาศดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อกำกับดูแลธุรกิจ สร้างธรรมภิบาล เพื่อความมั่นคงของประเทศ ไม่ได้ต้องการกีดกันการเข้ามาลงทุนของต่างชาติ" นางพรทิวา กล่าว

มีรายงานข่าวจาก กทช.แจ้งว่า สำหรับร่างประกาศ กทช.ว่าด้วยการกำหนดข้อห้ามการกระทำที่มีลักษณะเป็นการครอบงำกิจการโดยคนต่างด้าวจะมีการกำหนดสิทธิออกเสียงของผู้ถือหุ้นต่างชาติ และห้ามต่างชาตินั่งในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงในบริษัทโทรคมนาคม

ก่อนหน้านี้บริษัทสื่อสารของไทยที่มีผู้ถือเป็นชาวต่างชาติออกมาคัดค้านเพราะเกรงว่ากระทบต่อการตัดสินใจประมูลใบอนุญาต3จีของ กทช.ที่จะเปิดให้ยื่นซองในวันที่ 30 สิงหาคมนี้ด้วย ขณะที่ทูตนอเวย์ออกมาคัดค้าน เพราะมีนักลงทุนนอร์เวย์ถือหุ้นในบริษัทสื่อสารของไทย

ด้านนายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) กล่าวว่าที่ประชุมคณะกรรมการ(บอร์ด) กสท ได้มีมติให้ทำหนังสือถาม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที และกระทรวงการคลัง ว่า กสท ควรฟ้องร้องกทช.ให้ล้มการประมูลใบอนุญาต 3จี หรือไม่ เนื่องจากกทช.ไม่มีอำนาจในการจัดสรรความถี่ใหม่ เพราะอำนาจดังกล่าวเป็นของคณะกรรมการกิจการกระเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เท่านั้น โดยอยู่ระหว่างเสนอพ.ร.บ.จัดองค์สรรคลื่นคามถี่ และกับการประกอบกิจการ กระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคม อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร
        ทั้งนี้การประมูล 3 จี ขอ งกทช.ยังส่งผลกระทบต่อ กสท ทำให้รายได้จากสัมปทานลดลง เพราะผู้รับสัมปทาน ทั้งบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ ดีแทค และ บริษัท ทรูมูฟ จำกัด จะต้องไปประมูลไลเซ่นส์ใหม่และโอนย้ายลูกค้าจากสัมปทานเดิมไปเป็นระบบ3จีแทน

วิเคราะห์

เนื่องจากไทยจะออกกฎระเบียบเกี่ยวกับการประกอบกิจการโทรคมนาคม เพราะนอกจากจะควบคุมความเป็นเจ้าของกิจการ คือต่างชาติถือหุ้นได้ไม่เกิน 49% แล้วยังมีเจตนาควบคุมอำนาจการบริหารกิจการด้วย ซึ่งจะทำให้มีบริษัทต่างชาติสนใจมาลงทุนลดลง ส่งผลให้ไทยมีโอกาสคัดเลือกผู้ประกอบการที่จะมาลงทุนได้น้อยลง และมูลค่าการลงทุนอาจไม่ดีเท่าที่ควร

 

ข่าวที่ 4 คมนาคมเดินหน้าเจรจาจีนลงทุนไฮสปีดเทรน

รมว.คมนาคม เดินหน้าเจรจาจีนร่วมลงทุนโครงการไฮสปีดเทรน คาดเริ่มประเดิม สายกรุงเทพ - หนองคาย. และ ระยอง - กรุงเทพ

นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังการเดินทางทางเยือนเมืองปักกิ่ง และคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ในต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เพื่อติดตามความคืบหน้าความร่วมมือ พัฒนาระบบราง ระหว่าง ไทยและจีน หลังจากก่อนหน้านี้จีนได้แสดงความสนใจ ในการเข้ามาช่วยไทย ลงทุนพัฒนาระบบรางโดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูง

โดยรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เข้าพบหารือกับผู้บริการ ระดับ อธิบดี กรมรถไฟของจีน และเยี่ยมชมโครงการ รถไฟความเร็วสูงเส้นทางจากปักกิ่ง ไปเมืองเทียนสิน ที่จีนเปิดให้บริการเมื่อปี 2551 ที่ผ่านมาโดยรัฐมนตรีว่าการะทรวงคมนาคมกล่าวว่า จากการรับฟังแผนการพัฒนาระบบรางในภูมิภาคของจีน จีนแสดงความสนใจเข้ามาลงทุน พัฒนาระบบราง ทั้งในไทย และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อประโยชน์ในการเชื่อมโยงระบบขนส่งทางรางของจีนลงมาทางใต้ในอนาคต โดยจีนสนใจที่จะเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูงในไทย และพร้อมลงทุนให้ในเส้นทางจากเหนือ ไปสู่ภาคใต้ ระยะทาง1,600 กม.  นำร่องใน 2 เส้นทางคือ กรุงเทพ-หนองคาย. ระยะทาง 615 กม. และกรุงเทพ-ระยอง ระยะทาง 220กม.โดยพร้อมเข้ามาดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 5 ปี ซึ่งการก่อสร้าง จะเป็นรางแบบสแตนดาร์ดเกจ หรือ ขนาดรางกว้าง 1.43 เมตร

สำหรับ ลักษณะการลงทุนที่เหมาะสมนั้น กระทรวงคมนาคม เห็นว่าควรมีลักษณะการลงทุนแบบรัฐต่อรัฐ โดยจีนเข้ามาลงทุนก่อสร้างรางโดยใช้ที่ดินเขตทางของไทย ซึ่งเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ มีการใช้ประโยชน์ในการขนส่งบนรางดังกล่าว เอกชนที่เดินรถก็จะเสียค่าใช้ประโยชน์บนรางต่อไป โดยวิธีดังกล่าวจะดำเนินการได้หรือไม่จะมีการศึกษาในประเด็นต่างๆเพิ่มเติม โดยเฉพาะข้อกฎหมายเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ที่ดินของ รฟท.

"การ ดำเนินการในเรื่องวิชาการและเทคนิคจะเป็นหน้าที่ของกระทรวงคมนาคมส่วนรูปแบบ การลงทุนนั้น จะเป็นเรื่องการพิจารณาของกระทรวงการคลัง ซึ่งการเจรจาระดับเจ้าหน้าที่ของกระทรวงคมนาคม ก็เคยเจรจาไว้อย่างต่อเนื่อง เช่น คณะกรรมการ ชุดที่มีนายถวัลรัฐย์ อ่อนศิระ รองปลัด กระทรวงคมนาคม และอดีตประธานบอร์ด รฟท. ได้เคยเจรจาไว้ คงไม่ใช่หน้าที่ของกรรมการชุดอื่น นอกจากนี้" นายโสภณกล่าว

ส่วน การดำเนินการหลังจากนี้ เมื่อจีนแสดงความสนใจในการเข้ามาลงทุนกระทรวงคมนาคม ก็จะเดินหน้าในการเจรจาระดับเจ้าหน้าที่และผู้บริการของกระทรวงคมนาคมเพื่อ ให้บรรลุข้อตกลง ที่นำไปสู่การลงนามใน MOU ร่วมกันในอนาคต อย่างไรก็ตามการจะลงนามร่วมกันนั้น ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญของไทยต้องได้รับชอบจากรัฐสภาด้วยซึ่งการจะลงนามได้ช้า เร็วนั้น ขึ้นอยู่กับการเห็นชอบของรัฐสภาในอนาคต

สำหรับโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่จีน สนใจเข้ามาลงทุนในไทยทั้ง  2 เส้นทาง คือ กรุงเทพ - หนองคาย. และระยอง - กรุงเทพ  ตามผลศึกษาของ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร. (สนข.) โครงการจะมีมูลค่ารวม 170,000 ล้านบาท หรือ คิดเป็นค่างานก่อสร้าง กม.ละ 280 ล้านบาท โดยสาเหตุที่ค่างานก่อสร้างต่ำกว่า การก่อสร้างรถไฟฟ้าอื่นๆ เมื่อคำนวณต่อ กม. เนื่องจากโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง.ไม่ต้องก่อสร้างโครงสร้างยกระดับ หรือค่างานขุดเจาะ เหมือนโครงการรถไฟฟ้าลอยฟ้าหรือรถไฟฟ้าใต้ดิน  หรือเป็นรางระดับพื้นดินส่วนแผนรายศืกษาแนวทางการก่อสร้างนั้น  สนข.ศึกษารายละเอียดในทั้ง 2 เส้นทาง เส้นทางรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพ-หนองคาย ถือเป็นเฟส ที่ 1 ของเส้นทางระยะไกลจาก หนองคายเชื่อมต่อลงใต้ ถึง ปาดังเบซาร์ ระยะทาง เฟสที่ 1 จำนวน 615 กม. ใช้เวลาเดินทาง  3 ชั่วโมง 8 นาที  ปริมาณผู้โดยสารต่อวัน อยู่ที่ 41,000 คน เก็บค่าโดยสารสูงสุดต่อเที่ยว 984 บาท  และหากจะมีการต่อเส้นทางจาก กรุงเทพฯ -ปาดังเบซาร์ ก็จะมีระยะทาง อีก 982 กม. ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง ปริมาณผู้โดยสารต่อวัน 44,200 คน ซี่งในส่วนนี้จะมีการลงทุนเพิ่มเติมอีก 240,000 ล้านบาท

ส่วน รถไฟความเร็วสูง กรุงเทพ-ระยอง สนข. มีการศึกษาเปรียบเทียบใน 2 เส้นทางคือการใช้เส้นทาง กรุงเทพ-ฉะเชิงเทรา - ระยอง กับอีกเส้นทาง กรุงเทพ-บางปะกง- ระยองโดยทั้ง 2 เส้นทาง จะมีระยะทางต่างกันคือ 221 กม. และ194. กม. ตามลำดับโดยเส้นทางที่มีความเป็นไปได้สูงสุด คือ กรุงเทพ-ฉะเชิงเทรา -ระยอง จะใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 11 นาที งบลงทุน 56,600 ล้านบาท จำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยต่อวัน 13,200 คนเก็บค่าโดยสารได้ 350 บาท ต่อเที่ยว โดยรถไฟฟ้าความเร็วสูง ที่เคยศึกษาไว้จะทำความเร็วสูงสุด อยู่ที่ 250 กม./ชั่วโมง ส่วนโครงการรถไฟความเร็วสูง ที่จีนอยากนำเสนอเป็นโครงการต้นแบบ มาดำเนินการในไทย เช่นเส้นทางรถไฟฟ้าความเร็วสูง จากปักกิ่งไปเทียนสิน ระยะทาง 120 กม.รถไฟฟ้าทำความเร็วได้สูงสุด 350 กม. ใช้เวลาเดินทางเพียง 29 นาที เก็บค่าโดยสาร คนละ 58  หยวน หรือประมาณ 290 บาท

 

วิเคราะห์ 

จากการรับฟังแผนการพัฒนาระบบรางในภูมิภาคของจีน จีนแสดงความสนใจเข้ามาลงทุน พัฒนาระบบราง ทั้งในไทย และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อประโยชน์ในการเชื่อมโยงระบบขนส่งทางรางของจีนลงมาทางใต้ในอนาคต โดยจีนสนใจที่จะเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูงในไทย และพร้อมลงทุนให้ในเส้นทางจากเหนือ ไปสู่ภาคใต้ จากสิ่งนี้คาดว่าจะส่งผลให้ไทยมีความสะดวกในเรื่องการคมนาคมมากยิ่งขึ้น

 

........................................................................................................................

นางสาวนิรมล สายวงษ์คำ โปรแกรมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

รหัสนักศึกษา 50473010005

วิเคราะห์ข่าวเศรษฐกิจ

1.หุ้นสื่อสารร้อนแทบทะคลั่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานการเคลื่อนไหวของกลุ่มสื่อสารเมื่อวันที่ 25 ส.ค. ได้แก่ บมจ. ทรู คอร์ป(TRUE) บมจ. จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล(JAS) บมจ. สามารถ(SAMART) และ บมจ. ล็อกซเล่ห์(LOXLEY) ปรับตัวขึ้นแรงต่อเนื่องเป็นผลจากการเก็งกำไรการประมูลใบอนุญาต  3 จี โดยหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดคือ JAS ที่มีมูลค่าการซื้อขายทะยานถึง 5,793.85 ล้านบาท ทั้งที่ก่อนหน้านี้แทบไม่มีสภาพคล่อง เพียง 15 วันทำการนับจากราคาหุ้นที่ปิดวันที่ 30 ก.ค.ที่ 0.79 บาทจนถึงวันที่ 24 ส.ค. ราคาหุ้นสูงสุดอยู่ที่ 1.74 บาท เพิ่มมากกว่า 120% แม้ล่าสุด 25 ส.ค. จะถูกเทขายทำกำไรออกมาปิดลบที่ 1.64 บาท

แหล่งที่มา: หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ วันที่ 26 สิงหาคม 2553

วิเคราะห์

การที่ราคาหุ้นขึ้นนั้นอาจจะเป็นการมองในภาคของผู้เก็งกำไรที่มองว่าบริษัทนี้อาจจะเป็นผู้ที่ได้การประมูล 3จี ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นย่อมหมายความว่าราคาของหุ้นตัวนี้จะสามารถสูงขึ้นไปได้อีกเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ย่อมหมายถึงว่านักลงทุนจะได้กำไรเมื่อเทขายหุ้นออกมา

และในทางบริษัทเองก็สามารถนำเงินนี้ไปปรับปรุงบริษัทของตนให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้นและนอกจากนั้นยังหมายถึงบริษัทจะเติบโตมากยิ่งขึ้น มีการจ้างงานมากยิ่งขึ้น ซึ่งเมื่อประชาชนมีงานทำก็จะมีเงินจับจ่ายใช้สอยมากยิ่งขึ้น ทำให้คุณภาพชีวิตของคนในสังคมดียิ่งขึ้นเพราะในระบบเศรษฐกิจมีเงินหมุนเวียนมากยิ่งขึ้น

2.  ประกันรายได้

นายอรรถกร อินทลักษณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการประกันรายได้ปีนี้ จะใช้ฐานข้อมูลเดิมที่เกษตรกรขึ้นทะเบียนในปีที่ผ่านมา ตัดยอดข้อมูล วันที่ 24 ส.ค. 53 โดยมีเกษตรกรผู้ปลูกข้าว 3,775,923 ครัวเรือน ขึ้นทะเบียนในระบบแล้ว 683,900 ครัวเรือน คิดเป็น 18.11% เกษาตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั้งประเทศ 423,832 ราย ขึ้นทะเบียนในระบบแล้ว 226,950 ครัวเรือน และเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังทั้งประเทศ 504,336 ราย ขึ้นทะเบียนในระบบแล้ว 169,536 ครัวเรือน คิดเป็น 33.61%

แหล่งที่มา: หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ วันที่ 26 สิงหาคม 2553                               

วิเคราะห์

การทำโครงการประกันรายได้ของรัฐบาลนี้จะทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่มากขึ้น และเพื่อเป็นการลดการถูกเอารัดเอาเปรียบของเกษตรกรได้  ซึ่งนอกจากนี้ยังช่วยแก้ปัญหาของโครงการที่ผ่านมา เช่น โครงการจำนำข้าว ซึ่งที่ผ่านมามักมีปัญหาการนำเอาข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาปน จำนำข้ามเขต และปัญหาการนำเอาข้าวดีออกและนำเอาข้าวที่มีคุณภาพที่แย่กว่ามาใส่แทน ซึ่งส่งผลให้ข้าวเสียเป็นจำนวนมาก

3. ชูจุดแข็ง “ตรงเวลา” ดึงคนใช้แอร์พอร์ตลิงค์

"ยุทธนา" ชวนประชาชนนั่งแอร์พอร์ตลิงค์ ชูจุดแข็ง รวดเร็ว ความตรงต่อเวลา ปลอดภัย หวังสร้างมิติใหม่ของการรถไฟด้านการบริการ ...

เมื่อวันที่ 23 ส.ค. นายยุทธนา ทัพเจริญ  ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการเปิดโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมือง หรือ แอร์พอร์ต เรล ลิงค์เชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการวันนี้เป็นวันแรกว่า เราเปิดเดินรถทั้งในส่วนของซิตี้ไลน์ และเอ็กซ์เพรสไลน์ตั้งแต่ 06.00 น. -24.00 น. โดยรถจะออกทุกๆ 15 นาที ส่วนตั๋วผู้โดยสารนั้น ในช่วงแรกจะใช้เป็นกระดาษ เนื่องจากต้นทุนของเบี้ย หรือ เหรียญอิเลคทรอนิกส์ มีราคาค่อนข้างสูง แต่การเปิดเดินรถในช่วงแรก เป็นการคิดค่าโดยสารในขั้นต่ำ ดังนั้น ต้องประเมินกันในทุกๆ เดือน และหลังจากที่ตั้งบริษัทลูกแล้ว ก็จะมาวิเคราะห์กันอีกครั้งหนึ่งว่า จะเปลี่ยนเป็นเบี้ย หรือ เหรียญอิเลคทรอนิกส์เมื่อไร และมีการลดราคาอย่างไร

ผู้ว่าการ รฟท.กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องของการบริการนั้น เราให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยมาเป็นอันดับหนึ่ง ขณะที่การเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า หรือจุดจอดรถต่างๆ อยู่ระหว่างการพัฒนา และการก่อสร้าง ส่วนสาเหตุที่มีช่องห่างระหว่างตัวรถและสถานีมากนั้น เพราะเป็นขบวนรถความเร็วสูง เที่ยววิ่งผ่าน ต้องเผื่อความยืดหยุ่นไว้นิดหน่อย ขณะเดียวกัน เรื่องระบบวิทยุสัญญาณในอุโมงค์ ที่สุวรรณภูมิ ตอนนี้อยู่ระหว่างการติดตั้ง น่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนนี้ ซึ่งจะสามารถทำให้คลื่นชัดเจนขึ้น อยู่ใต้อุโมงค์ก็สามารถโทรศัพท์ได้

นายยุทธนา กล่าวด้วยว่า อยากเชิญชวนประชาชนมาใช้บริการของแอร์พอร์ตลิงค์ เนื่องจากจุดแข็งของเราคือ ความรวดเร็ว ความตรงต่อเวลา ความสะดวก และความปลอดภัย ซึ่งเรายอมรับทุกคำติชม เพื่อปรับปรุงการบริการให้ดีที่สุด เพื่อก่อให้เกิดมิติใหม่ของการรถไฟในด้านบริการ.

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า การเปิดให้บริการแอร์พอร์ต เรล ลิงค์เชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการเป็นวันแรก ประชาชนยังให้ความสนใจเข้าใช้บริการอย่างหนาแน่นเหมือนทุกวันที่ผ่านมา.

แหล่งที่มา ไทยรัฐออนไลท์ วันที่ 29 สิงหาคม 2553

วิเคราะห์

แอร์พอร์ตลิงค์นั้นถือได้ว่าเป็นรถไฟที่สามารถรองรับกลุ่มคนได้หลายกลุ่ม ทั้งพนักงานที่ทำงานในสนามบิน นักเรียน นักศึกษา รวมไปถึงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ซึ่งค่อนข้างมีความสะดวกสบายเป็นอย่างมาก เพราะสถานีรถไฟนั้นได้ส่งคนถึงอาคารผู้โดยสาร

     ซึ่งย่อมเป็นแหล่งดึงเงินที่สำคัญได้เช่นกันเพราะนอกจากมีความตรงต่อเวลาและรวดเร็วแล้วรถไฟเองก็ยังจอดในสถานีที่เป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญ เช่น พญาไทย และ สถานีรถไฟต่างๆ เป็นต้น

4. หวั่นขึ้นเงินเดือน ขรก. กระทบเงินเฟ้อปีหน้า        

นักเศรษฐศาสตร์-นักบริหารเงินหวั่นขึ้นเงินเดือนขรก.กระทบราคาสินค้า "สมชัย" ทีดีอาร์ไอ" แนะเอกชนขึ้นเงินเดือน-ธปท.คุมอัตราเงินเฟ้อที่ 3%    ด้านซีไอเอ็มบีไทยคาดอาร์/พีสิ้นปีนี้อยู่ที่ 2.25% แนวโน้มสิ้นปีหน้า 3-3.5%

กรณีที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เตรียมปรับโครงสร้างเงินเดือนข้าราชการทั้งระบบในปีงบประมาณ 2554 ตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม. 22 มิถุนายน 2553) สำหรับการขึ้นเงินเดือนเพิ่ม 5% ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณจำนวน 30,000 ล้านบาท  โดยรัฐบาลได้เตรียมงบประมาณไว้สำหรับครึ่งปี  หลังคณะกรรมาธิการเห็นชอบจะขึ้นเงินเดือนตั้งแต่เดือนเมษายน 2554 นั้น  และโดยข้อกังวลว่าการปรับขึ้นเงินเดือนของข้าราชการครั้งนี้ อาจส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อของประเทศในปี 2554 ปรับสูงขึ้นตาม  ซึ่งจะส่งผลการตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ในการกำหนดทิศทางดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน หรือดอกเบี้ยนโยบาย(อาร์/พี) จากที่ผ่านมาตลาดคาดการณ์ว่ากนง.จะปรับเพิ่มดอกเบี้ยอาร์/พี 0.25% ในการประชุมวันพุธที่  25 ส.ค. 2553 นั้น และถึงสิ้นปีนี้อาร์/พีน่าจะยังอยู่ระดับไม่เกิน 2.00% จากปัจจุบันที่ 1.50%
 "ฐานเศรษฐกิจ" ได้สำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ นักบริหารเงิน พบว่า แนวโน้มครึ่งปีหลังภาพรวมของเศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทั้งสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและการค้าโลก  ประกอบกับการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศบวกความมั่นใจของผู้บริโภคมีการขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่อง  ส่วนแรงกดดันของเศรษฐกิจต่ออัตราเงินเฟ้อนั้นมีความเสี่ยงน้อยโดยทั้งปีเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ระดับ 3-3.5%
ดร.สมชัย จิตสุชน  ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาเศรษฐกิจส่วนรวมและการกระจายรายได้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ)กล่าวว่า การปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวย่อมมีผลต่ออัตราเงินเฟ้อในแง่ของระดับราคาที่สูงขึ้น ประกอบกับเป็นจังหวะการเพิ่มขึ้นของดีมานด์  หากเงินเดือนข้าราชการปรับเพิ่ม 5%ในส่วนของพนักงานเอกชนก็ควรจะขยับในอัตราใกล้เคียงกันประเด็นสำคัญคือธปท.ต้องควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับ 3% เพราะระดับดังกล่าวยังสะท้อนการมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม  ทีดีอาร์ไอคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั้งปีนี้น่าจะอยู่ในช่วง 3.2-3.5%
ในแง่การเร่งตัวของการปรับเพิ่มขึ้นดอกเบี้ยอาร์/พีนั้น  ดร.สมชัยระบุว่า  มีความเป็นไปได้ที่อาร์/พีจะเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจ  อัตราเงินเฟ้อ  ซึ่งธปท.คาดการณ์ไว้แล้ว  แต่ภายหลังจากที่ได้ปรับเพิ่มขึ้นเงินเดือนข้าราชการ 2-3เดือนนั้น กนง.คงจะติดตามสถานการณ์ว่าจะส่งผลให้ราคาสินค้าในระบบปรับตัวหรือไม่อย่างไรทั้งนี้เพื่อรวบรวมข้อมูลประกอบการพิจารณาปรับอาร์/พีในระยะต่อไป  
ขณะที่ ดร. บันลือศักดิ์ ปุสสะรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัยสายบริหารความเสี่ยง ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) หรือ CIMBT กล่าว การปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการนั้นไม่น่าจะมีผลให้ธปท.ต้องทบทวนนโยบายการเงิน คือ ไม่มีผลต่ออัตราเงินเฟ้อนัก  เพราะราคาน้ำมันเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่ออัตราเงินเฟ้อโดยตอนนี้ราคาน้ำมันปรับมาอยู่ที่ 73-74 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ไม่สูงเช่นครึ่งปีแรกดังนั้นแรงกดดันเงินเฟ้อจึงน้อยลง ทั้งนี้น่าจะต่ำกว่าหรืออยู่ที่ 3%
เช่นเดียวกับทิศทางดอกเบี้ยอาร์/พีที่ธปท.คาดการณ์ไว้แล้วและคงทยอยปรับขึ้นอาร์/พีที่  0.25% ต่อครั้ง สำหรับการประชุมกนง.ช่วงที่เหลือต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งปีหน้า (ยกเว้นยุโรปจะเกิดวิกฤติ)โดยสิ้นปีนี้คาดว่าอาร์/พีจะอยู่ที่ระดับ 2.25%และครึ่งปีหน้าอยู่ที่ 3-3.5%

แหล่งที่มา หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ วันที่ 26-28  สิงหาคม 2553

วิเคราะห์

การขึ้นเงินเดือนขรก.นั้นย่อมส่งผลต่อเงินเฟ้อแน่นอนซึ่งทางรัฐบาลเองก็ได้เตรียมมาตรการรองรับโดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเอาไว้แล้วแต่ถึงอย่างไรการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นก็ย่อมส่งผลต่อการ 

น.ส.ลัดดา วงษ์สวาท

รหัส 50473010060

โปรเเกรม เศรษฐศาสตร์

ธุรกิจ ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับ วันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

                                              วิเคราะห์ข่าวเศรษฐกิจ

1.ปรับเพิ่ม จีดีพีโลก

            หลังจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับการคาดการณ์ จีดีพีของเศรษฐกิจโลกใหม่หลายประเทศ  โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งได้รับการชี้นำจากว่าที่การธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่  นายประสาร  ไตรรัตน์วรกุล ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่คงระดับต่ำมานาน 1.25 % ต่อปี  ควรจะปรับขึ้นได้เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจมีแนวโน้มจะเติบโตได้ดี

            IMF ออกรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกฉบับปรับปรุงใหม่ โดยคาดว่าเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชียปีนี้  จะเติบโตในอัตราสูงถึง 7.5 % โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการส่งออกที่แข็งแกร่งและความต้องการบริโภคภายในประเทศ  ทั้งนี้ จีนจะป็นประเทศผู้นำในการขยายตัวที่ประมาณการว่า จีดีพีจะเติบโตถึง 10.5 % และอินเดียจะขยายตัว 9.4 %  ส่วนญี่ปุ่นคาดว่าจะขยายตัว 2.4 %

            IMF ยังปรับเพิ่มการคาดการณ์ จีดีพีโลก ปีนี้ด้วยว่า จะขยายตัวถึง 4.6 % จากที่คาดว่าจะขยายตัว 4.2%  อย่างไรก็ตาม IMF ยังคงเตือนให้รัฐบาลประเทศต่างๆ จับตาดูวิกฤติหนี้สาธารณะของประเทศในกลุ่มยูโรโซนซึ่งอาจจะบั่นทอนเศรษฐกิจโลก และอุตสาหกรรมการเงินของเอเชียได้ เพราะ ปัญหาหนี้ของยุโรปที่กำลังคุกคามระบบการเงินของโลก ในเวลานี้น่าจะมีความรุนแรงไม่แพ้วิกฤติซับไพร์มในสหรัฐฯ ทั้งนี้จีดีพีในกลุ่มยูโรโซนจะขยายตัวเพียง 1 % อย่างไรก็ตาม IMF คาดว่า จีดีพีปีหน้าของยุโรปจะหดตัวลง 0.2 % ขณะที่สหรัฐฯ ปีนี้ขยายตัว 3.3 % แต่ปีหน้าจะอยู่ที่ 2.9 %

ทองคำยังเป็นสิ่งที่น่าดึงดูดใจ

            สำนักงานสถิติการเงินระหว่างประเทศ ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยสถิติการถือครองทองคำของประเทศต่างๆในโลกว่า สหรัฐฯยังคงเป็นประเทศผู้ถือครองทองคำรายใหญ่ที่สุดในโลก หรือมีทั้งสิ้น 26.7% ของปริมาณการถือครองทองคำทั้งหมดในโลก รองลงมาเป็น เยอรมนี IMF อิตาลี  ฝรั่งเศส  จีน  สวิตเซอร์แลนด์  ญี่ปุ่น  รัสเซีย  และเนเธอร์แลนด์  ส่วนประเทศไทยถือครองทองคำหนุนหลังการพิมพ์ธนบัตรอยู่อันดับที่ 33 โดยมีปริมาณทองคำที่ถืออยู่ในมือ 84 ตัน หรือราว 2.2 % เมื่อเทียบกับทุนสำรอง

            สำหรับราคาทองคำยังคงทรงตัวหลังจากที่พุ่งขึ้นเกือบ 2 % ภายใต้ความกังวลเกี่ยวกับหนี้สินของประเทศในกลุ่มยูโรโซน  โดยราคาทองคำสปอตซื้อขายกันที่ราคา 1,212.10 เหรียญสหรัฐฯต่อออนซ์ แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตามจากเหตุนี้ คาดว่า ราคาที่ต่ำกว่า 1,200 เหรียญเป็นระดับราคาที่ดึงดูดการเข้าซื้อเก็งกำไรได้

 วิเคราะห์   จากการปรับตัวของ จีดีพี โลกจะส่งผลต่อหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทย  ที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่คงระดับต่ำมานาน ควรจะปรับขึ้นได้เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจมีแนวโน้มจะเติบโตได้ดี เเละได้รับแรงสนับสนุนจากการส่งออกที่แข็งแกร่งและความต้องการบริโภคภายในประเทศ   เเต่สิ่งที่ควรคำนึงถึง  คือ  วิกฤติหนี้สาธารณะของประเทศในกลุ่มยูโรโซนซึ่งอาจจะบั่นทอนเศรษฐกิจโลก และอุตสาหกรรมการเงินของเอเชียได้ เพราะ ปัญหาหนี้ของยุโรปที่กำลังคุกคามระบบการเงินของโลก

 

 

2.ปัญหาแรงงานฉุดอุตสาหกรรม 

ปัจจัยเสี่ยงหลักฉุดเศรษฐกิจไทย

            นางสุทธินีย์  พู่ผกา    ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เผยว่า ภาวะอุตสาหกรรมในช่วงครึ่งแรกปีนี้ขยายตัวได้ดีแม้ไทยจะมีปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง  แต่หลายภาคอุตสาหกรรม ก็ขยายตัว เช่น ยายยนต์  เครื่องใช้ไฟฟ้า  อิเล็กทรอนิกส์  สิ่งทอ  ส่งผลให้ไตรมาส 1 ปีนี้  ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ภาคอุตสาหกรรมขยายตัว  22.8 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว  สูงที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2546 ที่ขยายตัว 10.9 % และในไตรมาส 2 ปีนี้  คาดว่าจะขยายตัว 15-17 % ทำให้ สศอ. ปรับประมาณการจีดีพีอุตสาหกรรมปีนี้จาก 6-8 % เป็น 12-13 %

            สำหรับดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เอ็มพีไอ) ในไตรมาส 1 ขยายตัว 31.2 % ไตรมาส 2 ขยายตัว 17.7 % และคาดทั้งปีจะขยายตัว 15-16 % ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิตในไตรมาส 1 อยู่ที่ 63.1 % และคาดว่าทั้งปีการใช้กำลังการผลิตจะอยู่ที่ 63-64 % โดยอุตสาหกรรมที่มีการใช้กำลังการผลิตสูงอาจจะต้องลงทุนเพิ่มเพื่อไม่ให้กระทบกับการผลิตสินค้าในอนาคตและเพื่อให้ส่งสินค้าได้ทันเวลาที่ลูกค้ากำหนด

            ทั้งนี้  เมื่อพิจารณาในรายอุตสาหกรรมในช่วงครึ่งหลัง พบว่า อุตสาหกรรมยานยนต์จะมีการผลิตขยายตัวต่อเนื่องจากครึ่งแรกของปีนี้  โดยคาดว่าจะมีการผลิตรถยนต์ 830,000 คัน เพิ่มขึ้น 36 % และทั้งปีคาดว่าจะมีการผลิตรถยนต์ 1.6 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 60.1 % มีการจำหน่ายในประเทศ  700,000 คัน เพิ่มขึ้น 27.53 % และส่งออก 900,000 คัน เพิ่มขึ้น 68.05 % ส่วนอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ คาดว่าการผลิตจะเพิ่มขึ้น 9.07%

 

วิเคราะห์       ในช่วงครึ่งหลังยังมีหลายปัจจัยที่อาจส่งผลต่อภาวะอุตสาหกรรมและต้องติดตามอย่างใกล้ชิด   ทั้งนี้ความต่อเนื่องของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก  ปัญหาเสถียรภาพทางการเมือง  และปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรมที่มีมากขึ้น  ซึ่งเกิดจากผู้จบอาชีวศึกษาต้องการศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีมากขึ้น  โดยแรงงานภาคอุตสาหกรรมเปลี่ยนไปอยู่ภาคบริการมากขึ้น  และใน 3-5 ปีข้างหน้า  ซึ่งถ้าไม่เร่งแก้ปัญหาจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมในอนาคตได้

 

 

 

น.ส.ญาณิศา แสงเพชร

รหัสนักศึกษา 50473010051

1. สั่งสคบ.สุ่มตรวจโชว์รูมรถยนต์หวั่นผู้บริโภคถูกโกง

“องอาจ”สั่ง สคบ.สุ่มตรวจโชว์รูมรถยนต์ หวั่นผู้บริโภคที่จองซื้อรถถูกเอาเปรียบ ทั้งรับรถช้ากว่ากำหนดและได้ของแถมไม่เป็นไปตามข้อตกลง แถมบางรายเจอโบรกเกอร์ปิดบริษัทหนี เชิดเงินจอง...
เมื่อวันที่ 27 ส.ค. นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ของ สคบ.สุ่มตรวจโชว์รูมรถยนต์ต่างๆ เพื่อตรวจสอบผู้ประกอบการว่าได้ปฏิบัติตามประกาศว่าด้วยคณะกรรมการสัญญา ที่กำหนดให้ธุรกิจการขายรถยนต์ที่มีการจองเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา ภายหลังจากที่มีผู้บริโภคจำนวนมากได้เข้ามาร้องเรียนต่อ สคบ.กรณีของการทำสัญญาเพื่อจองซื้อรถยนต์แล้วไม่ได้รับรถยนต์ตามกำหนด
ขณะที่ตลอดทั้งปี 2553 จะมียอดจำหน่ายรถยนต์มากถึง 750,000 คัน ซึ่งรถยนต์บางยี่ห้อจองซื้อแล้วต้องใช้เวลานานมากกว่า 3 เดือน จึงจะได้รถ อีกทั้งการร้องเรียนของผู้บริโภคยังแจ้งด้วยว่า จำนวนของแถมไม่เป็นไปตามกำหนดและพนักงานขายออกใบเสร็จรับเงินดาวน์ให้ไม่ครบตามจำนวน อ้างว่าหักเป็นค่าอุปกรณ์
"ผู้บริโภคที่ได้จองซื้อรถยนต์จะต้องตรวจสอบสัญญาใบจองให้ชัดเจนด้วยและให้ตกลงกับพนักงานขายกรณีของแถมว่ามีให้หรือไม่ ถ้ามีต้องเป็นของฟรี และเมื่อจ่ายเงินดาวน์ไปแล้วต้องไม่มีการหักค่าใช้จ่ายเป็นอุปกรณ์ส่วนควบอีก ส่วนกรณีจองซื้อแล้วสถาบันการเงินไม่ปล่อยกู้ หรือได้รับรถไม่ตรงเวลา ทางบริษัทจะต้องคืนเงินจองให้ลูกค้าภายใน 15 วัน"
นายองอาจ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้มีผู้บริโภคร้องเรียนว่ามีโบรกเกอร์จำหน่ายรถยนต์ประกาศขายโดยลดแลก แจกแถม ดอกเบี้ยถูก เงินดาวน์ต่ำ ลูกค้าที่ประวัติการเงินไม่ดีก็สามารถจองซื้อได้ แต่เมื่อถึงเวลากลับมีเงื่อนไขต่างๆมากมาย จนไม่สามารถรับรถได้ และมีบางแห่งที่รับเงินจองแล้วปิดบริษัทหนีไปก็มี จึงขอเตือนให้ผู้ บริโภคระมัดระวังการจองซื้อรถยนต์และดูเงื่อนไขในใบสัญญา ให้ชัดเจน หากมีข้อตกลงใดนอกเหนือใบจอง ก็ให้บันทึกข้อตกลงไว้เป็นหลักฐาน หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาจะได้นำไปฟ้องบังคับต่อได้.

วิเคราะห์

                ปัจจุบันการผลิตรถยนต์ในประเทศเพิ่มขึ้นมากเห็นได้จากกำลังการผลิตทั้งส่งออกและจำหน่ายในประเทศเพิ่มมากขึ้นมีผู้มีกำลังซื้อรถยนต์มากขึ้นเรื่อยๆทำให้เกิดการค้าขายรถยนต์ในรูปแบบต่างๆทั้งถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมายดั้งนั้นถ้ารัฐบาลมีมาตรการในการควบคุมดูแลกิจการการขายรถยนต์ทั้งมือหนึ่งและมือสองก็จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากขึ้นทำให้อุตสาหกรรมการผลิตและการจำหน่ายรถยนต์สามารถดำเนินต่อไปได้

2. คมนาคมเดินหน้าเจรจาจีนลงทุนไฮสปีดเทรน

                รมว.คมนาคม เดินหน้าเจรจาจีนร่วมลงทุนโครงการไฮสปีดเทรน คาดเริ่มประเดิม สายกรุงเทพ - หนองคาย. และ ระยอง - กรุงเทพ

นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังการเดินทางทางเยือนเมืองปักกิ่ง และคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ในต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เพื่อติดตามความคืบหน้าความร่วมมือ พัฒนาระบบราง ระหว่าง ไทยและจีน หลังจากก่อนหน้านี้จีนได้แสดงความสนใจ ในการเข้ามาช่วยไทย ลงทุนพัฒนาระบบรางโดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูง

โดยรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เข้าพบหารือกับผู้บริการ ระดับ อธิบดี กรมรถไฟของจีน และเยี่ยมชมโครงการ รถไฟความเร็วสูงเส้นทางจากปักกิ่ง ไปเมืองเทียนสิน ที่จีนเปิดให้บริการเมื่อปี 2551 ที่ผ่านมาโดยรัฐมนตรีว่าการะทรวงคมนาคมกล่าวว่า จากการรับฟังแผนการพัฒนาระบบรางในภูมิภาคของจีน จีนแสดงความสนใจเข้ามาลงทุน พัฒนาระบบราง ทั้งในไทย และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อประโยชน์ใจการเชื่อมโยงระบบขนส่งทางรางของจีนลงมาทางใต้ในอนาคต โดยจีนสนใจที่จะเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูงในไทย และพร้อมลงทุนให้ในเส้นทางจากเหนือ ไปสู่ภาคใต้ ระยะทาง1,600 กม.  นำร่องใน 2 เส้นทางคือ กรุงเทพ-หนองคาย. ระยะทาง 615 กม. และกรุงเทพ-ระยอง ระยะทาง 220กม.โดยพร้อมเข้ามาดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 5 ปี ซึ่งการก่อสร้าง จะเป็นรางแบบสแตนดาร์ดเกจ หรือ ขนาดรางกว้าง 1.43 เมตร

ส่วน การดำเนินการหลังจากนี้ เมื่อจีนแสดงความสนใจในการเข้ามาลงทุนกระทรวงคมนาคม ก็จะเดินหน้าในการเจรจาระดับเจ้าหน้าที่และผู้บริการของกระทรวงคมนาคมเพื่อ ให้บรรลุข้อตกลง ที่นำไปสู่การลงนามใน MOU ร่วมกันในอนาคต อย่างไรก็ตามการจะลงนามร่วมกันนั้น ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญของไทยต้องได้รับชอบจากรัฐสภาด้วยซึ่งการจะลงนามได้ช้า เร็วนั้น ขึ้นอยู่กับการเห็นชอบของรัฐสภาในอนาคต

สำหรับโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่จีน สนใจเข้ามาลงทุนในไทยทั้ง  2 เส้นทาง คือ กรุงเทพ - หนองคาย. และระยอง - กรุงเทพ  ตามผลศึกษาของ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร. (สนข.) โครงการจะมีมูลค่ารวม 170,000 ล้านบาท หรือ คิดเป็นค่างานก่อสร้าง กม.ละ 280 ล้านบาท โดยสาเหตุที่ค่างานก่อสร้างต่ำกว่า การก่อสร้างรถไฟฟ้าอื่นๆ เมื่อคำนวณต่อ กม. เนื่องจากโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง.ไม่ต้องก่อสร้างโครงสร้างยกระดับ หรือค่างานขุดเจาะ เหมือนโครงการรถไฟฟ้าลอยฟ้าหรือรถไฟฟ้าใต้ดิน  หรือเป็นรางระดับพื้นดินส่วนแผนรายศืกษาแนวทางการก่อสร้างนั้น  สนข.ศึกษารายละเอียดในทั้ง 2 เส้นทาง เส้นทางรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพ-หนองคาย ถือเป็นเฟส ที่ 1 ของเส้นทางระยะไกลจาก หนองคายเชื่อมต่อลงใต้ ถึง ปาดังเบซาร์ ระยะทาง เฟสที่ 1 จำนวน 615 กม. ใช้เวลาเดินทาง  3 ชั่วโมง 8 นาที  ปริมาณผู้โดยสารต่อวัน อยู่ที่ 41,000 คน เก็บค่าโดยสารสูงสุดต่อเที่ยว 984 บาท  และหากจะมีการต่อเส้นทางจาก กรุงเทพฯ -ปาดังเบซาร์ ก็จะมีระยะทาง อีก 982 กม. ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง ปริมาณผู้โดยสารต่อวัน 44,200 คน ซี่งในส่วนนี้จะมีการลงทุนเพิ่มเติมอีก 240,000 ล้านบาท

ส่วน รถไฟความเร็วสูง กรุงเทพ-ระยอง สนข. มีการศึกษาเปรียบเทียบใน 2 เส้นทางคือการใช้เส้นทาง กรุงเทพ-ฉะเชิงเทรา - ระยอง กับอีกเส้นทาง กรุงเทพ-บางปะกง- ระยองโดยทั้ง 2 เส้นทาง จะมีระยะทางต่างกันคือ 221 กม. และ194. กม. ตามลำดับโดยเส้นทางที่มีความเป็นไปได้สูงสุด คือ กรุงเทพ-ฉะเชิงเทรา -ระยอง จะใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 11 นาที งบลงทุน 56,600 ล้านบาท จำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยต่อวัน 13,200 คนเก็บค่าโดยสารได้ 350 บาท ต่อเที่ยว โดยรถไฟฟ้าความเร็วสูง ที่เคยศึกษาไว้จะทำความเร็วสูงสุด อยู่ที่ 250 กม./ชั่วโมง ส่วนโครงการรถไฟความเร็วสูง ที่จีนอยากนำเสนอเป็นโครงการต้นแบบ มาดำเนินการในไทย เช่นเส้นทางรถไฟฟ้าความเร็วสูง จากปักกิ่งไปเทียนสิน ระยะทาง 120 กม.รถไฟฟ้าทำความเร็วได้สูงสุด 350 กม. ใช้เวลาเดินทางเพียง 29 นาที เก็บค่าโดยสาร คนละ 58  หยวน หรือประมาณ 290 บาท

วิเคราะห์

การดำเนินการลงทุนในรถไฟฟ้าจะทำให้เกิดคมนาคมที่สะดวกรวดเร็วการที่มีรถไฟความเร็วสูงจะทำให้เกิดการค้าที่ขยายวงกว้างสามารถค้าขายได้แม้จะระยะทางไกลกันมากทำให้เกิดการประหยัดค่าใช้จ่ายและรักษาคุณภาพของสินค้านอกจากนี้ถ้ามีรถไฟที่สามารถไปยังจีนและไทยได้ก็จะขยายเศรษฐกิจทำให้เกิดการค้าขายและกระจายรายได้ให้กับคนไทยและประเทศมากขึ้นเนื่องจากประเทศไทยก็ค้าขายกับจีนอยู่แล้ว

 

 

นางสาวปัทมา พิมพ์ศรี รหัส 50473010034 เศรษฐศาสตร์ธุกิจ

ทีเอ็มบีเขย่าวงการบัตรเครดิต

        ธนาคารทหารไทยออก "บัตรเครดิต ทีเอ็มบี โซชิลล์" โชว์จุดเด่นด้านสินเชื่อ หลังผลวิจัยระบุ พบลูกค้าบัตรเครดิต 2 ประเภท ชำระตรงเวลาเพราะหวั่นดอกเบี้ย กับเลือกชำระขั้นต่ำ ...
นางกาญจนา โรจวทัญญู ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานส่งเสริมการตลาดลูกค้ารายย่อย ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือทีเอ็มบีแบงก์ เปิดเผยว่า ธนาคารได้ออกบัตรเครดิต ทีเอ็มบี โซชิลล์ (TMB  So Chill Credit Card) ที่มีจุดเด่นต่างจากบัตรเครดิตในตลาดทั่วไป โดยหากลูกค้าผ่อนชำระ ในรอบ 4 รอบบัญชีแรก คิดอัตราดอกเบี้ย 9.5% จากปัจจุบันในท้องตลาดคิดดอกเบี้ย 20% ขณะที่รอบบัญชีที่ 5 ธนาคารคิดอัตราดอกเบี้ย 20% แต่จะได้รับเงินคืนกลับเข้าบัญชี 15% ของดอกเบี้ยที่เรียกเก็บ
นอกจากนี้ในกรณีที่มีการเบิกถอนเงินสดล่วงหน้า หรือ Cash Advance จากตู้เอทีเอ็ม ธนาคารจะไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียม ขณะที่บัตรเครดิตของสถาบันการเงินอื่นๆ หากจะถอนเงินสดผ่านตู้เอทีเอ็มจะถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในอัตรา 3% และไม่คิดค่าธรรมเนียมรายปีฟรีตลอดชีพ โดยธนาคารตั้งเป้าจนถึงสิ้นปีจะมียอดบัตรเครดิต ทีเอ็มบี โซชิลล์ จำนวน 40,000 บัตร จากปัจจุบันธนาคารมีฐานบัตรเครดิต 200,000 บัตร
        จากการวิเคราะห์  การที่ธนาคารทหารไทยออก "บัตรเครดิต ทีเอ็มบี โซชิลล์" เพื่อเป็นการโชว์จุดเด่นด้านสินเชื่อ เพราะธนาคารมุ่งเน้นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพ และเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริง เนื่องจากผลวิจัยข้อมูลทางการตลาดบ่งบอกว่า ลูกค้าบัตรเครดิตมีพฤติกรรมชำระค่าใช้จ่ายแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม

กลุ่มที่ 1 ลูกค้ามีพฤติกรรมชำระค่าใช้จ่ายบัตรเครดิตตรงเวลาและเต็มจำนวน เพราะมีความรู้สึกลึกๆที่กังวลเรื่องดอกเบี้ย และกลัวเป็นปัญหาหนี้สิน และ

กลุ่มที่ 2 ลูกค้านิยมที่จะเลือกชำระค่าใช้จ่ายบัตรเครดิตแบบขั้นต่ำบางส่วน เพราะชอบใช้ชีวิตอย่างมีอิสระ".

ดังนั้นธนาคารทหารไทยจึงได้มีการออก "บัตรเครดิต ทีเอ็มบี โซชิลล์" เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าและบริการลูกค้าได้อย่างทั่วถึง

 

กฟผ.ปรับแผนรับ IPP สะดุด เลื่อนปลดโรงไฟฟ้าบางปะกง 1-2 อีก 5 ปี
        นายมงคล สกุลแก้ว ผู้ช่วยผู้ว่าการแผนงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) กล่าวว่า กฟผ.เตรียมปรับการดำเนินงานตามแผนพัฒนากำลังไฟฟ้าระยะยาว(PDP 2010) เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องการสำรองไฟฟ้าให้เพียงพอต่อความต้องการ หลังผู้ผลิตโรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่(IPP) เลื่อนส่งไฟฟ้าเข้าระบบออกไปจากเดิม โดย กฟผ.จะเร่งดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าวังน้อย 4 และจะนะ 2 ให้เร็วขึ้นกว่าเดิม 3-4 เดือน พร้อมเลื่อนปลดโรงไฟฟ้าบางปะกง 1-2 ออกไปอีก 5 ปี
       ทั้งนี้ โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินของบริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด(NPS) กำลังผลิต 540 เมกะวัตต์ จะส่งไฟฟ้าเข้าระบบล่าช้าจากกำหนดเดิมช่วงเดือนพฤศจิกายน 2556-มิถุนายน 2557 เนื่องจากต้องปฎิบัติตามข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 วรรค 2 เกี่ยวกับการจัดทำรายงานผลกระทบด้านสุขภาพ(HIA) และรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA) ตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และก่อนหน้านี้โรงไฟฟ้าสยามเอ็นเนอร์ยี่ กำลังผลิต 1,600 เมกะวัตต์ ได้เปลี่ยนแปลงพื้นที่ก่อสร้าง และเลื่อนส่งไฟฟ้าเข้าระบบออกไปอีก 2 ปี
       จากการวิเคราะห์นี้   คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ได้มีมติให้โรงไฟฟ้าบางประเภทและบางขนาดเป็น 1 ใน 11 โครงการ หรือกิจการที่อาจมีผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ได้แก่ โรงไฟฟ้าถ่านหิน กำลังผลิตรวมตั้งแต่ 100 เมกะวัตต์ขึ้นไป โรงไฟฟ้าชีวมวล กำลังผลิตรวมตั้งแต่ 150 เมกะวัตต์ขึ้นไป โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ กำลังผลิตรวมตั้งแต่ 3,000 เมกะวัตต์ขึ้นไป และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทุกขนาด ซึ่งในส่วนของแผนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ กำลังผลิต 5,000 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าถ่านหิน กำลังผลิต 7,200 เมกะวัตต์ เป็นแผนระยะยาวที่จะเริ่มเข้าระบบในปี 2562 ถ้าจะทำ HIA และ ทาง กฟผ.ก็ยังมีระยะเวลาเพียงพอจึงไม่มีผลกระทบต่อแผน แต่จะก่อสร้างหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการยอมรับของภาคประชาชน และเพื่อทำการปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้า (Repowering) จำเป็นต้องปลดเร็วขึ้นเพื่อปรับปรุงใหม่และโรงไฟฟ้าที่ปลดมีอายุการใช้งาน ยาวนานมาก ค่าซ่อมบำรุงสูง อุปกรณ์บางอย่างเริ่มเสื่อม เมื่อมีแผนทำ Repowering จึงเป็นโอกาสที่จะหยุดเครื่องเพื่อรื้อใหม่ทั้งหมด  อีกทั้งเพื่อรองรับแผนท่อส่งก๊าซวงแหวนรอบกรุงเทพฯ ของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือปลดเนื่องจากหมดอายุการใช้งาน ได้แก่ โรงไฟฟ้าลานกระบือ กล่าวคือโรงไฟฟ้าพลังความร้อนจะมีอายุการใช้งานประมาณ 30 ปี โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมจะมีอายุการใช้งานประมาณ 25 ปี และโรงไฟฟ้ากังหันแก๊สมีอายุการใช้งานประมาณ 20 ปีและปลดเพื่อย้ายเครื่องไปใช้ที่โรงไฟฟ้าอื่น เช่น โรงไฟฟ้าหนองจอกย้ายไปโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ และโรงไฟฟ้าลานกระบือ

 

ประมูลไลเซ่นส์ 3จี โหวงเหวง เอกชนตบเท้ายื่นใบลา

       เช็กกระแสประมูล 3 จี ล่าสุดก่อนดีเดย์ยื่นซองจันทร์ 30 ส.ค. เอกชนรายเล็กถอดใจ ขณะที่ 3 ค่ายมือถือยังอยู่ครบ ปล่อย กทช. ลุ้นตัวโก่งว่าจะมีรายที่ 4 หรือไม่ "ดีแทค-เอไอเอส" เริงร่ายิ้มรับ กทช.เลื่อนบังคับใช้ประกาศห้ามต่างชาติครอบงำกิจการโดยคนต่างด้าว
        ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (บอร์ด กทช.) ได้เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปรับปรุงร่างประกาศ กทช.ว่าด้วยการกำหนดข้อห้ามการกระทำที่มีลักษณะเป็นการครอบงำกิจการโดยคนต่างด้าว ซึ่งจะใช้เวลา 2-3 เดือนในการปรับปรุงแก้ไข ก่อนเปิดรับฟังความเห็นสาธารณะ (ประชาพิจารณ์) อีกครั้ง ซึ่งมีผลให้ประกาศฉบับดังกล่าวต้องเลื่อนบังคับใช้ออกไปก่อนนั้น
       นายวิเชียร เมฆตระการ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ผู้บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส กล่าวว่า การเลื่อนประกาศของ กทช.ไม่ได้ส่งผลดีผลเสียต่อเอไอเอส เพราะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงการถือหุ้นแต่อย่างใด แต่จะส่งผลให้เกิดความถูกต้องชัดเจนและรอบคอบในการดำเนินการมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวควรจะดำเนินการในภาพรวมให้ครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรม น่าจะเป็นผลที่ดีกว่าการทำเฉพาะอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเท่านั้น และควรจะดำเนินการโดยภาครัฐ
       ขณะที่นายธนา เธียรอัจฉริยะ รองประธานเจ้าหน้าบริหาร กลุ่มกลยุทธ์และกิจการองค์กร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า การเลื่อนประกาศห้ามครอบงำโดยคนต่างด้าวถือเป็นผลดีต่อการประมูลใบอนุญาต (ไลเซ่นส์) 3 จี ที่จะเกิดขึ้น เพราะมีความชัดเจนสำหรับผู้ที่จะยื่นประมูล 3 จี ทั้งนี้ ดีแทคยังคาดหวังว่ากฎระเบียบของ กทช.จะมีความยืดหยุ่นมากกว่าที่ผ่านมา ซึ่งในระหว่างการแก้ไขปรับปรุงร่าง ดีแทคก็พร้อมที่จะเสนอความคิดเห็นต่อเนื่อง
       นายศักรินทร์ ร่วมรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า ขณะนี้มีหุ้นหลายตัวที่มีการเข้ามาซื้อขายเก็งกำไรกันสูงมาก รวมทั้งหุ้นในกลุ่มสื่อสารที่ใช้ข่าวความคืบหน้าในการประมูล 3 จีเข้ามาเป็นตัวกระตุ้น โดยตลาด หลักทรัพย์ได้ติดตามการซื้อขายหุ้นตามปกติอยู่แล้ว หากพบว่ามีพฤติกรรมที่เข้าข่ายกระทำความผิดก็จะติดตามการซื้อขายของนักลงทุนกลุ่มนี้เป็นการเฉพาะ "ขณะนี้พบว่าการเข้ามาไล่ราคาหรือเก็งกำไรส่วนใหญ่เป็นการคาดการณ์อนาคต เช่น กรณี 3 จี ซึ่งผลยังไม่เกิดขึ้นและพื้นฐานของบริษัทยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ จึงขอเตือนนักลงทุนให้ระมัดระวัง"
        นายศักรินทร์ยังกล่าวถึงกรณีที่นายพิชญ์ โพธารามิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ บมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) เข้ามาไล่ซื้อหุ้นจำนวนมากในช่วงนี้ว่า ไม่มีข้อห้ามให้ผู้บริหารซื้อหรือขายหุ้น แต่ต้องเปิดเผยการซื้อขายหุ้นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลัก ทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แต่การซื้อขายหุ้นของผู้บริหารต้องไม่เป็นการซื้อขายโดยใช้ข้อมูลภายในที่ยังไม่เปิดเผยต่อนักลงทุนทั่วไปมาเป็นประโยชน์ (อินไซเดอร์ เทรดดิ้ง) หากภายหลังมีการเปิดเผยข้อมูลที่มีผลถึงการเปลี่ยนแปลงถึงสถานะของบริษัทที่มีนัยสำคัญ ก็ต้องกลับมาพิจารณาว่าผู้บริหารได้ใช้ ประโยชน์จากข้อมูลภายในนี้มาซื้อขายหุ้นหรือไม่
        ผู้สื่อข่าวรายงานการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นกลุ่มสื่อสารวันที่ 26 ส.ค.ว่า ยังคงมีการซื้อขายเก็งกำไรกันอย่างคึกคัก แม้สุดท้ายจะมีการเทขายทำกำไรในหุ้น บมจ.ล็อกซเล่ย์ (LOXLEY) และ JAS ขณะเดียวกันหุ้นตัวอื่นในกลุ่มสื่อสารยังคงปรับตัวขึ้นได้ รวมทั้ง บมจ.ทรู (TRUE) ซึ่งได้แจ้งตลาดฯปฏิเสธข่าวการหารือกับเทเลคอมมาเลเซีย หลังจากที่เทเลคอมมาเลเซียปฏิเสธการเข้าร่วมประมูล 3 จีในไทย โดยบทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส คาดการณ์ว่า ทรู (TRUE), ดีแทค (DTAC), เอไอเอส (ADVANC) มีโอกาสชนะการประมูล เนื่องจากได้เปรียบทั้งฐานลูกค้าและแหล่งเงินทุน
        ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า จากการประเมินสถานการณ์ล่าสุด ก่อนที่จะมีการยื่นซองประมูล 3 จี ในวันที่ 30 ส.ค.นี้ นอกจากกลุ่มเทเลคอมมาเลเซีย ซึ่งถือเป็นทุนต่างชาติที่แสดงท่าทีสนอกสนใจเข้าร่วมประมูล 3 จี มากสุดรายหนึ่งได้แถลงยืนยันไม่เข้าร่วมประมูล 3 จี ในไทยไปแล้วนั้น ยังคาดว่ากลุ่มทุนไทยที่ถูกมองว่าอาจมีศักยภาพในการจับมือพันธมิตรต่างชาติไม่ว่าจะเป็น บมจ.สามารถคอร์ป บมจ.จัสมิน และ บมจ.ล็อกซเล่ย์ ซึ่งแต่ละรายได้มารับแบบฟอร์มการประมูลไปก่อนหน้านี้แล้ว จะไม่มีใครเข้ามายื่นซองประมูลในวันที่ 30 ส.ค.นี้ ท่ามกลางข่าวทางฝั่งทุนต่างชาติที่ยังคงเงียบกริบเช่นเดิม ขณะที่ค่ายมือถือ 3 ราย เอไอเอส ดีแทค และทรู มีความพร้อมที่จะยื่นประมูลอย่างแน่นอน ในวันเดียวกัน ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 ราย ได้แก่ เอไอเอส ดีแทค และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามในสัญญาเชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคม (ค่าไอซี) ระหว่างกันในอัตรานาทีละ 50 สตางค์ ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้ใช้บริการนอกจากค่าบริการจะถูกลงแล้ว ยังจะทำให้การติดต่อสื่อสารถึงกันได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย.

             จากการวิเคราะห์  การที่คณะกรรมการ กสทฯ มีมติยื่นหนังสือต่อกระทรวงการคลัง และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เพื่อขอความเห็นว่าควรยื่นฟ้อง คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช. หรือไม่ กรณีขาดอำนาจในการออกไลเซ่นส์ 3 จี ซึ่งขัดกฎหมายรัฐธรรมนูญ 2550 เพราะไม่รอให้ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ซึ่งมีหน้าที่ดำเนินการ จัดตั้งขึ้นมาก่อน ทำให้ กสทฯ ได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะผู้เข้าร่วมประมูลใบอนุญาต หรือ ไลเซ่นส์ 3 จี ของ กทช. ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่เป็นคู่สัญญาสัมปทานกับ กสทฯ หากได้รับไลเซ่นส์แล้ว ลูกค้าที่ใช้สัมปทานเดิมจะ
โอนย้ายไปใช้ระบบ 3 จี ทำให้ กสทฯ มีรายได้ลดลง
           นอกจากนี้ การที่ไม่เห็นด้วยกับการเชื่อมต่อโครงข่าย หรือโรมมิ่งที่กำหนดให้ 3 จี โรมมิ่ง 2 จี ได้ในขณะที่ 2จี ไม่สามารถทำได้ ซึ่งถือว่าไม่ยุติธรรม และความไม่ชัดเจนของประกาศ กทช.ว่าด้วยการ
ใช้โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมร่วมกัน หรือ Infrastructure Sharing ที่ยังไม่มีความชัดเจน ซึ่ง กสทฯ ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ ควรมีส่วนรับรู้ด้วยเช่นกัน

นายสัญชัย ภัทรพงศ์โอฬาร รหัส 50473010054 โปรแกรมวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ
  1. 1.              ธปท.เผยสินเชื่อบริโภคพุ่ง14.3%รับศก.ฟื้น

                ธปท.เผยสินเชื่อเพื่อการบริโภคในไตรมาส 2 พุ่ง 14.3% รับเศรษฐกิจฟื้น! คนกล้าจับจ่ายใช้สอย

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานการขยายตัวของสินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 2  ปีนี้ พบว่า สินเชื่อโดยรวมยังขยายตัวได้ 5.3% จากไตรมาสก่อนหน้า 2.5% โดยในจำนวนนี้ สินเชื่อเพื่อการบริโภคยังขยายตัวได้ดีที่สุด 14.3% จาก 11.6% ขณะที่สินเชื่อบริษัทธุรกิจและสินเชื่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ขยายตัวได้เพียง 2.1% เท่ากัน เพียงแต่สินเชื่อเอสเอ็มอีมีแนวโน้มที่ขยายตัวได้ดีขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

และหากพิจารณาจากยอดเงินสินเชื่อคงค้าง แยกตามประเภทธุรกิจทั้งระบบที่มีอยู่ 7.17 ล้านล้านบาท ในรายละเอียดของสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นทุกประเภท จะเห็นว่าสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นมากที่สุด 8.24 หมื่นล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 4.65% จาก 1.77 ล้านล้านบาทในไตรแรก เพิ่มเป็น 1.85 ล้านล้านบาท       

อย่างไรก็ตาม ในภาวะที่เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นสินเชื่อธุรกิจมีแนวโน้มที่จะปรับดีขึ้นตามการลงทุนที่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับสินเชื่อเพื่อการบริโภคก็น่าจะเพิ่มขึ้นตามรายได้ของภาคครัวเรือนที่ดีขึ้นด้วย

วิเคราะห์

                การที่ธนาคารแห่งประเทศไทยมีประกาศการขยายตัวของสินเชื่อที่มีเพิ่มขึ้นแสดงให้เห็นว่า  การบิโภคของประชาชนมีมากขึ้น และอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยดีขึ้น  ทำให้ส่งผลถึงการลงทุนของนักธุรกิจที่มีการลงทุนเพิ่มมากขึ้น เพราะเขามั่นใจในภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ส่งผลให้สินเชื่อของธนาคารมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ

  1. 2.              แบงก์ออมสินออก “เงินฝาก 8 เดือน" ดอกเบี้ย1.90 %ต่อปี

ธนาคารออมสิน ส่งเสริมการออมต่อเนื่อง ออกเงินฝากรูปแบบใหม่ “เงินฝาก 8 เดือน มีแต่ได้กับได้” ฝากครบกำหนดรับดอกเบี้ยร้อยละ 1.90 ต่อปี รับฝากเพียง 3 เดือน ตั้งแต่ 9 กันยายน ถึง 9 ธันวาคมนี้เท่านั้น เตรียมจัดแคมเปญ “ถอนโอนจ่ายได้ลุ้นรถ” มอบโชค 2 ชั้นตอบแทนลูกค้าเงินฝาก สลากออมสินในโอกาสครบ 1 ปีสลากออมสินพิเศษ 5 ปี แจกบัตรเอทีเอ็ม ฟรีค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปี พร้อมแจกรถยนต์กระบะ 6 คัน กับ รถจักรยานยนต์ 100 คัน

   นายเลอศักดิ์ จุลเทศ ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินในฐานะสถาบันที่ดำเนินภารกิจสำคัญคือ มุ่งมั่นทำหน้าที่ส่งเสริมการออม ด้วยการปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เงินฝาก ควบคู่ไปกับการดูแลด้านผลตอบแทนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดนี้ ธนาคารฯ ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์เงินฝากรูป แบบใหม่ “เงินฝาก 8 เดือน มีแต่ได้กับได้” อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.90 ต่อปี เมื่อฝากครบอายุ 8 เดือน แต่ถ้าฝากไม่ครบกำหนดจะได้รับอัตราดอกเบี้ยตามระยะเวลา โดยฝากครบ 3 เดือนแต่ไม่ถึง 6 เดือน จะได้รับอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.15 ต่อปี และฝากครบ 6 เดือนแต่ไม่ครบ 8 เดือน จะได้รับอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.25 ต่อปี ทั้งนี้ ธนาคารออมสินจะเปิดรับฝากเพียง 3 เดือนเท่านั้น ตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน ถึงวันที่ 9 ธันวาคม 2553

 “ธนาคารออมสินยังคงคำนึงถึง นโยบายสนับสนุนการออมในภาคประชาชนเป็นสำคัญ จึงเปิดรับฝากเงินฝาก 8 เดือน เพื่อตอบรับกับ ความต้องการผู้ฝากเงินในช่วงเวลานี้ ซึ่งคาดว่าจะได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก และจะมีเงินฝากรูปแบบใหม่ออกมารองรับความต้องการอีกในเร็วๆ นี้” นายเลอศักดิ์ กล่าว

นอกจากนี้ ธนาคารฯ เตรียมจัดกิจกรรมพิเศษสำหรับลูกค้า ในโอกาสที่ “สลากออมสิน 5 ปี” ครบรอบ 1 ปี ซึ่งเปิดรับฝากไปเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2552 ด้วยการมอบบัตรเอทีเอ็มให้แก่ลูกค้าสลากออมสินทุกราย ทั้งลูกค้ารายเดิมและลูกค้าที่จะฝากรายใหม่ โดยไม่คิดค่าธรรมเนียมแรกเข้าและค่าธรรมเนียมรายปี พร้อมกับการแจกของรางวัลให้แก่ผู้ใช้บริการฝาก-ถอน ชำระค่าสินค้าหรือบริการ ผ่านตู้เอทีเอ็มธนาคารออมสินในแคมเปญ “ถอนโอนจ่ายได้ลุ้นรถ” โดยนำสลิปรายการส่งชิงโชครถยนต์กระบะโตโยต้าวีโกจำนวน 6 คัน และรถจักรยานยนต์ฮอนด้าคลิกอีกจำนวน 100 คัน ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2553 เป็นต้นไป

วิเคราะห์

การที่ทางธนาคารออมสินมีการออกเงินฝากในรูปแบบใหม่ขึ้นมา  ทำให้ผู้ที่มีเงินออมหรือผู้ที่ฝากเงินออมเป็นประจำต้องการที่จะออมเงินกันมากขึ้น  หรือแม้กระทั่งผู้ที่ไม่ได้ออมเงินก็หันมาออมเงินกันมากขึ้น เพราะการที่ฝาก 8 เดือน ได้ดอกเบี้ยตั้ง 1.90% ต่อปี ซึ่งนับว่าเป็นดอกเบี้ยที่ค่อนข้างสูง ทำให้ผู้บริโภคหรือผู้ที่รักการออมอยู่แล้ว มีแรงจูงใจในการออมมากขึ้น  ถึงแม้ว่าจะฝากเงินไม่ถึง 8 เดือนก็สามารถได้รับดอกเบี้ยในอัตรา 1.25% ต่อปี นับว่าเป็นข่าวดีของผู้ที่รักการออมอย่างยิ่ง

 

 

 

 

นายอัครวัฒน์ พฤกษชาติเจริญ รหัส 50473010046

1. วาดฝัน "มาบตาพุด" เดินเครื่อง

"บีโอไอ" เตรียมชงเพิ่มการใช้แรง-งานต่างด้าวเข้าบอร์ด 13 ก.ย.นี้ ช่วยผู้ ประกอบการอิเล็กทรอนิกส์ขยายการลงทุนในไทย หลังรีรอเพราะแรงงานขาด ด้าน "ชัยวุฒิ" คาดคำตัดสินศาลปกครองโครงการมาบตาพุดไม่เข้าข่ายกิจการรุนแรง 5-6 เดือนข้างหน้า ฟ้าสดใสเริ่มมีโครงการเดินเครื่องจักรได้แน่...

บทวิเคราะห์ การที่มาบตาพุดจะเริ่มทำงาน ส่งผลให้เกิดการจ้างงาน ดั้งนั้นก็จะส่งให้เกิดการจ้างงาน และมีสินค้าไว้จัดจำหน่าย จากนั้นก็จะส่งผลให้เกิดการส่งออก ซึ่งเป็นผลดีกับธรุกิจการส่งออก เนื่องจากไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญในแทบเอเซีย

 

2. ชูจุดแข็ง"ตรงเวลา"ดึงคนใช้แอร์พอร์ตลิงค์

"ยุทธนา" ชวนประชาชนนั่งแอร์พอร์ตลิงค์ ชูจุดแข็ง รวดเร็ว ความตรงต่อเวลา ปลอดภัย หวังสร้างมิติใหม่ของการรถไฟด้านการบริการ ...

บทวิเคราะห์ การสร้างแอร์พอร์ตลิงค์มีผลทางด้านดีและเสีย ซึ่งผลทางด้านที่ดีจะตกอยู่ในส่วนของประชาชนผู้ใช้บริการ เนื่องจากการเดินทางใช้ค่าโดยสารที่ถูก เพียงแค่ 15 บาท และตรงต่อเวลา รวดเร็ว และมีระดับ ส่วนที่ได้รับผลกระทบจะอยู่กับผู้ประกอบการรถตู้ รถแทกซี่ เนื่องจาก ประชาชนมักจะนิยมนั่งจากสนามบินสุวรรณภูมิมาลงที่พยาไท แล้วต่อรถ เนื่องจากจะได้ประหยัดและรวดเร็ว

3.จ๊าก! 39 กลุ่มสินค้าจ่อขึ้นราคา 5-10%

"สันติ วิลาสศักดานนท์" ระบุ 39 สมาชิกส.อ.ท. อาจทยอยปรับขึ้นราคาสินค้าตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 นี้ประเภทละราคาสินค้า 5-10% จากปัจจุบัน โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่ไม่ได้อยู่ในบัญชีควบคุมราคาสินค้าของกระทรวงพาณิชย์...

บทวิเคราะห์ เนื่องจากปัจจุบันการเเข็งค่าขึ้นของเงิน และปัจจัยการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลให้ปัจจัยการผลิตสูงขึ้น ซึ้งก่อให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งควรดูแลอย่างเคร่งครัด

นางสาวปวิตรา คลังทอง รหัส 50473010035 โปรแกรมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

วิเคราะห์ข่าวเศรษฐกิจ

1.  กระทรวงพาณิชย์ ประกาศจะตรวจจับผู้จำหน่ายน้ำดื่มบรรจุขวด เกินราคาควบคุม

มีการเลื่อนกำหนดการตรวจจับออกไป เพราะพบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังไม่ทราบ เรื่องการออกราคาแนะนำหรือราคาควบคุมนี้เท่าที่ควร เมื่อผู้ประกอบการยังไม่รู้ว่ามีการควบคุมราคา จึงเกรงว่าหากมีการตรวจจับไป อาจเกิดปัญหา และกระทบต่อการทำมาหากินของพี่น้องประชาชนโดยรวมได้ ดังนั้น กรมจึงเลื่อนการตรวจจับออกไปก่อน เพื่อให้เวลาผู้ขายปรับตัว แต่ระหว่างนี้จะมีการตรวจเตือน และประชาสัมพันธ์ให้ร้านค้ารับทราบข้อมูล ราคาแนะนำมากขึ้น

กลุ่มร้านค้าที่ต้องจำหน่ายน้ำดื่มบรรจุขวดตามราคาแนะนำใหม่ จะเน้นกลุ่มร้านซื้อมาขายไป เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต มินิมาร์ท ห้างค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ ร้านสะดวกซื้อ ร้านโชห่วย สถานีขนส่ง โรงพยาบาล และศูนย์อาหาร เพราะต้นทุนการประกอบการน้อย และประชาชนนิยมซื้อเพื่อบริโภค ส่วนผู้ประกอบการรายย่อย เช่น รถเข็นขายน้ำดื่มจะอนุโลมยกเว้นให้ เพราะเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและเป็นร้านทางเลือก

ส่วนกลุ่มสถานบริการ เช่น โรงภาพยนตร์ ร้านอาหาร ภัตตาคาร ผับ คาราโอเกะ เธค โรงแรม ร้านอาหารแบรนด์เนม ฟาสต์ฟู้ด ยังไม่เข้าตรวจจับ เพราะผู้ประกอบการกลุ่มนี้ร้องเรียนว่ามีต้นทุนแฝง และต้นทุนการบริการอื่นๆ เช่น ค่าพนักงาน ค่าการตลาดที่สูงกว่าร้านขายน้ำดื่มทั่วไป ซึ่งกรมจะเรียกผู้ประกอบการกลุ่มนี้มาหารืออีกครั้ง เพื่อขอความร่วมมือ และความเป็นไปได้ในการลดราคาจำหน่ายน้ำดื่มดังกล่าว

วิเคราะห์

อย่างไรก็ตามการขอความร่วมมือในการเข้าตรวจสอบไม่ได้ครอบคลุมในพื้นที่ของโรงแรม หรือ ผู้ค้ารายย่อยที่จำหน่ายน้ำดื่มตามริมทางเท้า เพราะถือว่าเป็นตัวเลือกให้กับผู้บริโภค และที่สำคัญประเด็นการจำหน่ายน้ำดื่มราคาสูงนั้นได้รับการร้องเรียนจากเฉพาะห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เท่านั้น  ในเรื่องนี้กรมการค้าภายใน ควรเข้มงวดและจริงจัง เมื่อประกาศจะคุมราคา ก็ควรเด็ดขาดไม่ใช่ทำแล้วก็ลดระดับ แล้วค่อยดำเนินการต่อ ซึ่งจะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ทั้งกับคนทำธุรกิจและผู้บริโภค นอกจากสะท้อนวิธีปฏิบัติเดิมๆ ของระบบราชการ ที่มักเต็มไปด้วยระเบียบกฎเกณฑ์ แต่ขาดการบังคับใช้จริงจัง

2.  ชูจุดแข็ง"ตรงเวลา"ดึงคนใช้แอร์พอร์ตลิงค์

การเปิดโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมือง หรือ แอร์พอร์ต เรล ลิงค์เชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการ ซึ่งเปิดเดินรถทั้งในส่วนของซิตี้ไลน์ และเอ็กซ์เพรสไลน์ตั้งแต่ 06.00 น. -24.00 น. โดยรถจะออกทุกๆ 15 นาที ส่วนตั๋วผู้โดยสารนั้น ในช่วงแรกจะใช้เป็นกระดาษ เนื่องจากต้นทุนของเบี้ย หรือ เหรียญอิเลคทรอนิกส์ มีราคาค่อนข้างสูง แต่การเปิดเดินรถในช่วงแรก เป็นการคิดค่าโดยสารในขั้นต่ำ ดังนั้น ต้องประเมินกันในทุกๆ เดือน และหลังจากที่ตั้งบริษัทลูกแล้ว ก็จะมาวิเคราะห์กันอีกครั้งหนึ่งว่า จะเปลี่ยนเป็นเบี้ย หรือ เหรียญอิเลคทรอนิกส์เมื่อไร และมีการลดราคาอย่างไร

ขณะที่การเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า หรือจุดจอดรถต่างๆ อยู่ระหว่างการพัฒนา และการก่อสร้าง ส่วนสาเหตุที่มีช่องห่างระหว่างตัวรถและสถานีมากนั้น เพราะเป็นขบวนรถความเร็วสูง เที่ยววิ่งผ่าน ต้องเผื่อความยืดหยุ่นไว้ ขณะเดียวกัน เรื่องระบบวิทยุสัญญาณในอุโมงค์ ที่สุรรณภูมิ ตอนนี้อยู่ระหว่างการติดตั้ง ซึ่งจะสามารถทำให้คลื่นชัดเจนขึ้น อยู่ใต้อุโมงค์ก็สามารถโทรศัพท์ได้  โดยแอร์พอร์ตลิงค์ ชูจุดแข็ง รวดเร็ว  ตวามตรงต่อเวลา  ปลอดภัย  หวังสร้างมิติใหม่ของการรถไฟด้านการบริการ

วิเคราะห์

เรื่องของการบริการนั้น ให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยมาเป็นอันดับหนึ่ง การเปิดให้บริการแอร์พอร์ต เรล ลิงค์เชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการ ประชาชนยังให้ความสนใจเข้าใช้บริการอย่างหนาแน่น  และมีการร้องเรียนจากประชาชนจำนวนมาก ที่พบปัญหาในการใช้บริการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของป้ายชานชลา การเช็กกระเป๋า และจากสถานีปลายทางไปยังเคาน์เตอร์เช็กอิน มีระยะทางที่ไกล  ทำให้ต้องมีการไปตรวจสอบ และเร่งให้มีการปรับปรุง เพื่อประโยชน์ของประชาชน และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติต่อไป 

 

น.ส.แสงระวี ศรีราปราน 5047301002 เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

น.ส. แสงระวี ศรีรปราน 5047301002 เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ดอทคอม รวมข่าวเศรษฐกิจ

ข่าวที่ 1 ชู 3 แนวคิดพิชิตยากจน

รมช.ประดิษฐ์ เสนอ 3 แนวคิดพิชิตความยากจน พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลตั้งเป้าทำให้จีดีพีต่อหัวของคนไทยเพิ่มขึ้น 2 เท่าใน 10 ปี สนับสนุนภาคธุรกิจให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีการค้าโลกแบบไร้พรมแดน นักการเมือง ข้าราชการ และภาคธุรกิจ ควรร่วมมือกันให้มากขึ้นในการกำหนดนโยบายของประเทศ ส่งเสริมการลงทุนแบบ PPP เพื่อพัฒนาประเทศ และป้องกันการเกิดภาวะหนี้สาธารณะที่สูงเกินไป

นายประดิษฐ์ กล่าวเปิดการสัมมนาว่า ที่ผ่านมากว่า 20 เดือน รัฐบาลได้ดำเนินโครงการที่ดีมากมายเพื่อประชาชน แต่ก็มีบางอย่างที่จะต้องทำเพิ่มขึ้น ทำให้ดีขึ้น และเพียงพอที่จะแก้ปัญหาได้ โดย เสนอแนวคิด 3 ด้าน เพื่อทำให้เกิดการกระจายรายได้ และให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น คือ การสนับสนุนภาคธุรกิจให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีการค้าโลก ความร่วมมืออย่างจริงจังของทุกฝ่ายทั้งนักการเมือง ข้าราชการ และเอกชน รวมถึงสนับสนุนให้มีการลงทุนร่วมกันระหว่างภาครัฐ และเอกชนในรูปแบบ PPP

       นายประดิษฐ์ ยังได้เสนอแนวทางการแก้ปัญหาว่า “ทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้คุณภาพชีวิตของทุกคนดีขึ้น ก็คือ การทำให้ระบบเศรษฐกิจก้าวเดินต่อไป พร้อมกับปรับปรุงเครื่องยนต์ที่จะใช้ขับเคลื่อนเพื่อเพิ่มความร่ำรวยให้กับประชาชน ซึ่งก็คือ “ภาคธุรกิจ” นั่นเอง ที่ผ่านมาในอดีต ไม่เคยมีอะไรที่จะสร้างความมั่งคั่งให้กับคนไทยจำนวนมากได้เท่ากับความสำเร็จของภาคธุรกิจเลย โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา ดังนั้นเราต้องช่วยให้ภาคธุรกิจประสบความสำเร็จ และแข่งขันได้ในเวทีการค้าโลกแบบไร้พรมแดนนี้”

วิเคราะห์ ซึ่งจะส่งผลอาจตามแนวคิดที่ว่า ช่วยทำให้คนไทยมีรายได้เพิ่มขึ้น 2 เท่า ภายใน 10 ปี นั่นหมายความว่า GDP ต่อหัวของคนไทยก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า และสิ่งที่พูดนี้มีความเป็นไปได้ เพราะสิงคโปร์ได้ทำแล้ว คนสิงคโปร์มีรายได้เพิ่มขึ้น 2 เท่า เพียงแค่ 5 ปี เท่านั้น” แต่ทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างจริงจัง และมากขึ้น เพื่อกำหนดนโยบายของประเทศให้ชัดเจน  ประเทศไทยจะมีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจก็ด้วยการขยายการลงทุน “โครงการลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนในรูปแบบ PPP จะช่วยให้เราสามารถระดมเงินทุนได้อย่างมหาศาลและยังช่วยให้เราก้าวผ่านข้อจำกัดเรื่องงบประมาณด้านการลงทุนของประเทศ และหลีกเลี่ยงความเสี่ยงของจำนวนหนี้ที่สูงเกินไป การลงทุนแบบ PPP จึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่มีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ”

ข่าวที่ 2    รัฐอัด3.6หมื่นล.ประกันรายได้เกษตร เร่งตีทะเบียน-ขู่ตุกติกตัดสิทธิ์-ยันปีนี้เลิกบุกรุกป่า
นายอรรถ อินทลักษณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยถึงผลการรับขึ้นทะเบียนเกษตรกร ในปี"52/53 ว่า กำหนดเป้าหมายการรับขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจหลัก 3 ชนิดทั่วประเทศ จำนวน 4,476,863 ครัวเรือน มีเกษตรกรมาขึ้นทะเบียนประมาณ 4.4 ล้านครัวเรือน แต่ผ่านการประชาคม 4,256,011 ครัวเรือน ผู้ปลูกข้าว 3,411,835 ครัวเรือน ผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 398,396 ครัวเรือน ผู้ปลูกมันสำปะหลัง 445,780 ครัวเรือน โดยโอนเงินชดเชยรายได้ส่วนต่างจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เข้าบัญชีเกษตรกรแล้ว 3,954,643 ครัวเรือน คิดเป็นเงิน 36,474,162,178 บาท ส่วนความคืบหน้าโครงการประกันรายได้ ปี"53/54 ใช้ฐานข้อมูลเดิมที่เกษตรกรขึ้นทะเบียนในปีที่ผ่านมา ตัดยอดข้อมูลวันที่ 24 ส.ค.ที่ผ่านมา พบว่ามีเกษตรกรผู้ปลูกข้าวขึ้นทะเบียนในระบบแล้ว 683,900 ครัวเรือน ผ่านการประชาคม 30,580 ครัวเรือน ออกใบรับรองให้ 19,815 ครัวเรือน ผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ขึ้นทะเบียนแล้ว 226,950 ครัวเรือน ผ่านการประชาคม 25,305 ครัวเรือน ออกใบรับรองให้ 15,891 ครัวเรือน ผู้ปลูกมันสำปะหลังขึ้นทะเบียนแล้ว 169,536 ครัวเรือน ผ่านการประชาคม 16,433 ครัวเรือน ออกใบรับรองให้ 10,939 ครัวเรือน โดยเกษตรกรผู้มีสิทธิ์ขึ้นทะเบียน ต้องมีสัญชาติไทยและจะต้องมีพืชดังกล่าวยืนต้นอยู่ในแปลงในวันขึ้นทะเบียนและการประชาคมตรวจสอบพื้นที่ สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลังสามารถเข้าร่วมโครงการได้ปีละครั้งเท่านั้น

วิเคราะห์ การประกันรายไก้ต่อเกษตรกรเพื่อช่วยเกษตรมีสิทธิ์ทางกฎหมายได้เพราะการขึ้น ทะเบียนปีนี้ เน้นให้ตรวจสอบกรณีเกษตรกรเพาะปลูกในพื้นที่ป่าสงวน วนอุทยาน และได้เคยขึ้นทะเบียนในปีที่ผ่านมา สามารถขอขึ้นทะเบียนได้ตามจำนวนพื้นที่ที่เคยขอขึ้นทะเบียนไว้ในปีก่อนเท่านั้น (เฉพาะรายเก่า) ส่วนเกษตรกรรายใหม่ที่เพาะปลูกในพื้นที่ป่าสงวน วนอุทยาน ไม่มีสิทธิ์ขอขึ้นทะเบียน เพื่อป้องกันและลดปัญหาการบุกรุกทำลายพื้นที่ป่า ขณะเดียวกันยังเน้นให้คณะกรรมการตรวจสอบระดับตำบล กำกับดูแลขั้นตอนการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล เพราะที่ผ่านมามีเกษตรกรบางกลุ่มร่วมกันบิดเบือนข้อมูล ให้ข้อมูลเท็จหากตรวจพบจะถูกตัดสิทธิ์ทันทีและถูกดำเนินคดีตามกฎหมายด้วย

 ข่าวที่ 3 แบงก์ขอส่ง0.1%ส.ประกันเงินฝาก
นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า หลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เป็น 1.75% จะมีผลให้ธนาคารพาณิชย์ปรับขึ้นดอกเบี้ยตาม โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ส่วนจะปรับขึ้นในอัตราเท่าใดขึ้นอยู่กับธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่ง เพราะมีต้นทุนแตกต่างกัน ยืนยันว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยจะขึ้นทั้งเงินฝากและเงินกู้ และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยก็ไม่สูงอย่างที่เข้าใจกัน โดยการคิดส่วนต่างดอกเบี้ยที่นำดอกเบี้ยเงินกู้เอ็มแอลอาร์มาลบกับดอกเบี้ยเงินฝากเป็นการคำนวณที่ผิด เพราะต้นทุนทางการเงินของธนาคารพาณิชย์มีหลายส่วน และการปล่อยกู้ของสถาบันการเงินในช่วงปีแรกก็ไม่ได้คิดดอกเบี้ยเอ็มแอลอาร์เต็มจำนวน โดยจะมีส่วนลดให้กับลูกค้าเพราะมีการแข่งขันที่รุนแรง ส่วนต้นทุนเงินฝากของธนาคารก็เพิ่มขึ้นหลังผ่านวิกฤตการเงินปี"40 เพราะอัตราการนำเงินส่งเข้าสถาบันประกันเงินฝากเพิ่มขึ้นจาก 0.1% เป็น 0.4% ของเงินฝากรวม ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นๆ เพราะต้องการคุ้มครองเงินฝากให้ลูกค้า
"ขณะนี้ระบบการเงินและภาพรวมเศรษฐกิจกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว เห็นควรที่จะลดอัตราเงินนำส่งให้กลับมาอยู่ที่ 0.1% เพื่อลดต้นทุนการเงินให้ธนาคารพาณิชย์และจะได้มีส่วนในการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับลูกค้าได้ โดยจะเสนอเรื่องนี้ไปยังนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ซึ่งกำกับดูแลสถาบันประกันเงินฝาก" นายธวัชชัยกล่าว
วิเคราะห์ ส่วนค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น มาจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศ ทำให้ทุนสำรองระหว่างประเทศในรูปเงินสกุลเหรียญสหรัฐสูงขึ้น ซึ่งหากดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลต่อเนื่อง เงินบาทก็ยังคงมีทิศทางแข็งค่าต่อไป ส่วนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและมีผลทำให้เงินทุนต่างประเทศเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาทนั้น เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้น

 ข่าวที่ 4 ทีเอฟตะลุยขายของภารตะปีหน้า
นางศรีรัตน์ รัษฐปานะ อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เปิดเผยภายหลังการนำทีมไทยแลนด์ เทรด ฟอร์ซ (ทีทีเอฟ) ร่วมประชุมกับสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ ภูมิภาคเอเชียใต้ ทั้ง 4 สำนักงาน (อินเดีย 3 สำนักงาน และบังกลาเทศ 1 สำนักงาน) ว่า เพื่อพิจารณาเป้าหมายการส่งออก รวมทั้งแผนส่งเสริมและพัฒนาการส่งออกภูมิภาคเอเชียใต้ ปี"54 ในการสร้างความเชื่อมั่นและปรับทิศทางการค้าให้สามารถขยายตัว พร้อมทั้งแก้ไข ลดอุปสรรคทางการค้า และแสวงหาช่องทางการค้าในตลาดอินเดีย เนื่องจากอินเดียเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยในภูมิภาคเอเชียใต้และเป็นตลาดส่งออกใหม่ของไทยในลำดับที่ 11 มีมูลค่าส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตลอดทุกปี และจากรายงานของธนาคารกลางแห่งชาติอินเดียคาดการณ์ว่าปีนี้ อินเดียจะนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศรวมมูลค่า 711 พันล้านเหรียญสหรัฐ โต 38.1% จากปี"52 และสินค้ายอดนิยมที่ได้รับความสนใจซื้อในงานไทยแลนด์ เทรด เอ็กซิบิชั่น 2010 ซึ่งมียอดสั่งซื้อถึง 550,000 เหรียญสหรัฐ อาทิ อาหารประเภทซอสปรุงรส ผลไม้แห้ง ผลิตภัณฑ์ธัญพืช ผลิตภัณฑ์สปา งานหัตถกรรมแกะสลักเป็นรูปพระพิฆเนศ

วิเคราะห์ การส่งออกมากขึ้นช่วยสร้างความเชื่อมั่นทางการค้าและสามารถขยายตัวและช่วยลดอุปสรรคทางการค้า และแสวงหาช่องทางการค้าในตลาด ลอาจทำให้สินค้าของไทยเป็นที่นิยมสนใจมากขึ้น

นางสาวจุฬารัตน์ เชื้อนิล

ข่าวที่ 1 ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง

ตลาดหุ้นเอเชียนำโดยตลาดหุ้นกรุงโตเกียว พากันปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง ในทันทีที่เปิดตลาด เพราะนักลงทุนพากันเทขายหุ้น เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากวิกฤติสินเชื่อด้อยคุณภาพภาคอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ ซึ่งนักลงทุนเชื่อว่าจะมีข่าวร้ายจากตลาดสินเชื่อของสหรัฐเข้ามาอีก นักลงทุนจึงพากันย้ายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อย เพราะเชื่อว่าวิกฤติสินเชื่อในสหรัฐจะรุนแรงและลุกลามมากขึ้น ปัจจัยนี้ทำให้ดัชนีนิกเคอิของตลาดหุ้นกรุงโตเกียว ในช่วงการซื้อขายทรุดลงไปต่ำกว่าระดับ 16,000 จุด เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 9 เดือน โดยลงไปมากถึง 616 จุด หรือ 3.74% ก่อนจะดีดตัวขึ้นเล็กน้อยไปอยู่ที่ระดับ 15,911 จุด หุ้นที่ตกหนักที่สุดคือ หุ้นธนาคาร ธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือบีโอเจ ประกาศหลังตลาดหุ้นเปิดไม่นานว่า จะทุ่มเงินเข้าระบบธนาคาร 3,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสกัดไม่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น แต่ก็ไม่สามารถฉุดให้ตลาดหุ้นดีดขึ้นได้มากนักตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เป็นตลาดหุ้นในเอเชีย ที่ตกมากที่สุดในช่วงการซื้อขายเช้านี้ โดยดัชนี KOSPI ตกไป 116 จุด หรือ 6.35% ไปอยู่ที่ 1,702 จุด ตามแรงฉุดของตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ฮ่องกง สิงคโปร์ และออสเตรเลีย ก็ล้วนปรับตัวลงอย่างรุนแรงเช่นกัน

วิเคราะห์ - จากข่าวนี้จะเห็นว่านักลงทุนชาวญี่ปุ่นได้เล็งเห็นถึงผลกระทบจากวิกฤติสินเชื่อด้อยคุณภาพภาคอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ ทำให้นักลงทุนต่างพากันเทขายหุ้นเพื่อเอาไปลงทุนในด้านอื่นที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า ซึ่งจากข่าวนี้ถือว่าเป็นผลกระทบที่เกิดจากปัจจัยภายนอก นั่นก็คือ ด้านเศรษฐกิจของต่างประเทศ ในที่นี้หมายถึง วิกฤติสินเชื่อด้อยคุณภาพภาคอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ การตัดสินใจครั้งนี้อาจจะเป็นผลดีต่อนักลงทุนเอง ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการรู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ รวมถึงการมองเห็นถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากความเสี่ยงนี้ พร้อมทั้งยังมีวิธีรับมือกับปัญหานี้ ทำให้นักลงทุนตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดและรวดเร็ว

ข่าวที่2 ประกันรายได้

นายอรรถกร อินทลักษณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการประกันรายได้ปีนี้ จะใช้ฐานข้อมูลเดิมที่เกษตรกรขึ้นทะเบียนในปีที่ผ่านมา ตัดยอดข้อมูล วันที่ 24 ส.ค. 53 โดยมีเกษตรกรผู้ปลูกข้าว 3,775,923 ครัวเรือน ขึ้นทะเบียนในระบบแล้ว 683,900 ครัวเรือน คิดเป็น 18.11% เกษาตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั้งประเทศ 423,832 ราย ขึ้นทะเบียนในระบบแล้ว 226,950 ครัวเรือน และเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังทั้งประเทศ 504,336 ราย ขึ้นทะเบียนในระบบแล้ว 169,536 ครัวเรือน คิดเป็น 33.61%

แหล่งที่มา: หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ วันที่ 26 สิงหาคม 2553

วิเคราะห์

การทำโครงการประกันรายได้ของรัฐบาลนี้จะทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่มากขึ้น และเพื่อเป็นการลดการถูกเอารัดเอาเปรียบของเกษตรกรได้ ซึ่งนอกจากนี้ยังช่วยแก้ปัญหาของโครงการที่ผ่านมา เช่น โครงการจำนำข้าว ซึ่งที่ผ่านมามักมีปัญหาการนำเอาข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาปน จำนำข้ามเขต และปัญหาการนำเอาข้าวดีออกและนำเอาข้าวที่มีคุณภาพที่แย่กว่ามาใส่แทน ซึ่งส่งผลให้ข้าวเสียเป็นจำนวนมาก

      นางสาว พานุมาศ  อุตตะรถ

รหัส 50473010050 เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

1. ไทย-จีน ร่วมลงทุนรถไฟความเร็วสูง

         "กรณ์" เผย รัฐบาลจีนสนใจลงทุนกับรัฐบาลไทยใน 2 เส้นทางรถไฟความเร็วสูงคือ กรุงเทพ-เชียงใหม่ และ กรุงเทพ-ระยอง หลังแสดงความสนใจพร้อมร่วมลงทุนในเส้นทางกรุงเทพ-หนองคาย และกรุงเทพ-ปาดังเบซาร์ ไปก่อนหน้าแล้ว...
          ทั้งนี้ รัฐบาลมีแผนที่จะพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงใน 4 เส้นทาง โดยนอกจาก 2 เส้นทางดังกล่าวแล้ว ยังมีอีก 2 เส้นทางคือ เส้นทางกรุงเทพ-หนองคาย และกรุงเทพ-ปาดังเบซาร์ ซึ่งสองเส้นทางหลังนี้ ทางรัฐบาลจีนได้แสดงความสนใจเข้าร่วมลงทุนกับรัฐบาลไทยแล้ว
 “ก็ชัดเจนว่ามี 2 เส้นทางที่รัฐบาลจีนสนใจเข้าร่วมลงทุนกับไทย ส่วนอีกสองเส้นทางนั้น ยังเป็นประเด็นที่ท่านสุเทพ เทือกสุบรรณ ระบุว่า รัฐบาลจีนมีความสนใจที่จะร่วมลงทุนด้วย อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมครม.เศรษฐกิจ ก็ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมติดต่อกับภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งระหว่างนี้ กระทรวงการคลังก็ต้องคิดต่อด้วยว่า รัฐจะเข้าถือหุ้นในโครงการดังกล่าวสัดส่วนเท่าใด เพื่อให้การกำหนดราคาค่าโดยสารนั้นเป็นธรรมต่อประชาชน” รมว.คลัง กล่าว

      วิเคราะห์ ไทย-จีน ร่วมลงทุนรถไฟความเร็วสูง ส่งผลให้เกิดการยกระดับในการให้บริการรถไฟแห่งประเทศไทย รวมถึงด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อส่งเสริมให้คนทั้งในประเทศและต่างประเทศ หันมาใช้บริการและให้ความสำคัญกับรถไฟมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงมีการเจรจาและรู้ถึงความคิดเห็นของผู้นำในการเข้าร่วมลงทุนกับภาครัฐของไทย ในการดำเนินนโยบายรถไฟความเร็วสูง ทำให้เกิดความสะดวกสบายต่อผู้ใช้บริการมากขึ้น

2. พาณิชย์ ลงตรวจพื้นที่บริการน้ำดื่มในฟาสต์ฟู้ดและซุเปอร์มาเก็ต

         กรมการค้าภายใน ลงพื้นที่ตรวจจุดบริการน้ำดื่มในฟาสต์ฟู้ดและซูเปอร์มาร์เก็ต พร้อมสั่งเพิ่มขนาดภาชนะให้ใหญ่ขึ้น ส่วนราคาน้ำดื่มบรรจุขวดหากแช่เย็น ใส่แก้ว สามารถปรับราคาได้ เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภค...
        ราคาจำหน่ายน้ำดื่มบรรจุขวดนั้น กรมการค้าภายในต้องการให้จำหน่ายในราคาที่เหมาะสม โดยให้ทุกร้านค้าที่จำหน่ายแบบไม่แช่เย็นควรจำหน่ายสำหรับขนาดบรรจุขวด 500-600 ซี.ซี. ในราคาขวดละ 7 บาท แต่ละร้านหากมีบริการเสริมเช่น แช่เย็น ใส่แก้ว สามารถปรับราคาได้ ทั้งนี้เพื่อเป็นทางเลือกแก่ผู้บริโภค สำหรับมาตรการดูแลราคาจำหน่ายน้ำดื่มนี้ จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนนี้เป็นต้นไป หากผู้ประกอบการให้ความร่วมมือ กรมการค้าภายในก็ไม่มีแนวคิดที่จะนำน้ำดื่มมารวมไว้ในรายการสินค้าควบคุมแต่ อย่างใด

        วิเคราะห์  พาณิชย์ลงตรวจพื้นที่บริการน้ำดื่มในฟาสต์ฟู้ดและซุปเปอร์มาเก็ต จากการตรวจสอบแล้วนั้น รัฐบาลได้มีการปรับราคาน้ำดื่ม 500-600ซี.ซี ในราคาขวดละ 7 บาท และสามารถปรับราคาเพิ่มขึ้นได้ในแบบแช่เย็น ใส่แก้ว ซึ่งมีการขยายออกไปยังโรงภาพยนตร์ สถานีรถโดยสาร สถานีรถไฟ ท่าอากาศยาน โรงแรม ซึ่งแสดงถึงความเป็นธรรมแก่ประชาชน เพราะ มีการคลอบคลุมในที่ต่างๆมากยิ่งขึ้น ไม่เฉพาะแต่ในห้างสรรพสินค้า เท่านั้น

 

 

นางสาว ชมพนุช  เอี่ยมจันทร์

รหัส 50473010038 เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

 

1.วงการข้าวแนะนำส่งออก คุณภาพดีกว่าเน้นปริมาณ

วงการข้าว แนะส่งออกข้าวคุณภาพดี สร้างมูลค่าเพิ่ม ทั้งข้าวหอมมะลิ ข้าวนึ่ง ข้าวกล้อง อย่าหวังเอาแต่ปริมาณ และส่งออกคุณภาพต่ำแข่งเวียดนาม คาดเพิ่มมูลค่าส่งออกได้ 10-20% พร้อมเสนอรัฐจัดหาพันธ์ข้าวคุณภาพดีให้เพียงพอ สร้างความเชื่อมั่นลูกค้า

เมื่อวันที่ 26 ส.ค. นายสุพจน์ วงศ์จิรัฐิติกาล นายกสมาคมค้าข้าวไทย เปิดเผยภายหลังงานเสวนาและนิทรรศการ : การเพิ่มมูลค่าข้าวไทยเพื่อการแข่งขันในตลาดสากล จัดโดยกรมทรัพย์สินทางปัญญาว่า ไทยต้องเร่งพัฒนาหานวัตกรรมเข้ามาเพิ่มมูลค่าข้าวไทย โดยคาดว่าจะสามารถทำให้มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นได้ 10-20% ของมูลค่าการส่งออกปัจจุบันที่ประมาณ 180,000-200,000 ล้านบาทต่อปี และต้องเน้นการส่งออกข้าวที่มีคุณภาพ ไม่ใช่เน้นส่งออกข้าวคุณภาพต่ำแข่งกับเวียดนาม โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิไทย ข้าวนึ่ง หรือข้าวกล้องที่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น ขณะเดียวกันต้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้ข้าวดังกล่าวเป็นที่รู้จักมากขึ้น รักษาคุณภาพให้ลูกค้าเชื่อมั่น เพราะข้าวหอมมะลิของเวียดนามเริ่มมีบ้างแล้ว

วิเคราะห์   ข้าวไทยที่ส่งออกในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นข้าวเกรดพรีเมี่ยม เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวหอมปทุม ข้าวพันธุ์ชัยนาท ที่นำไปทำข้าวนึ่ง รัฐบาลจึงต้องมีการส่งเสริมการขายข้าวแบบนี้ให้มากขึ้น เน้นมูลค่าไม่ใช่ปริมาณ โดยการแนะนำให้ผู้บริโภครู้จักการบริโภค รวมถึงเปลี่ยนคู่แข่งมาเป็นพันธมิตรทางการค้า โดยอาเซียนควรจะรวมตัวกันในประเทศผู้ปลูกข้าว ทำให้อาเซียนเป็นแหล่งอาหารของโลก เพื่อยกระดับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวภายในประเทศด้วย ส่งผลให้การส่งออกและนำเข้ามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 2.    39 กลุ่มสินค้าจ่อขึ้นราคา 5-10%

สันติ วิลาสศักดานนท์" ระบุ 39 สมาชิกส.อ.ท. อาจทยอยปรับขึ้นราคาสินค้าตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 นี้ประเภทละราคาสินค้า 5-10% จากปัจจุบัน โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่ไม่ได้อยู่ในบัญชีควบคุมราคาสินค้าของกระทรวงพาณิชย์... 

     นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานกิตติมศักดิ์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผย กรณีที่กระทรวงพาณิชย์จะไม่ต่อมาตรการขอความร่วมมือให้ผู้ผลิตสินค้าตรึงราคาสินค้าที่จะหมดลงในสิ้นเดือนก.ย.ว่า ขณะนี้ต้นทุนการผลิตภาพรวมของภาคอุตสาหกรรมมีทิศทางที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะวัตถุดิบทั้งในแง่ของพืชผลทางการเกษตรและชิ้นส่วนภาคอุตสาหกรรม ดังนั้นในภาพรวมคาดว่าผู้ผลิตสินค้าที่อยู่เป็นสมาชิกของส.อ.ท.ทั้ง 39 กลุ่มอุตสาหกรรม อาจจะต้องทยอยปรับขึ้นราคาจำหน่ายสินค้า ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 นี้ประมาณประเภทละราคาสินค้า 5-10% จากปัจจุบัน โดยเฉพาะในส่วนของกลุ่มสินค้าที่ไม่ได้อยู่ในบัญชีควบคุมราคาสินค้าของกระทรวงพาณิชย์

    วิเคราะห์ ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยและโลกอยู่ในภาวะฟื้นตัว ทำให้ มีความต้องการบริโภคสินค้าของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น แต่ผู้ผลิตสินค้าต้องพิจารณาให้รอบคอบเช่นกัน แม้ว่าจะไม่มีการต่อมาตรการตรึงราคาสินค้าก็อาจไม่สามารถปรับขึ้นราคาได้ตามใจชอบมากนัก เพราะตลาดยังมีการแข่งขันสูง หากรายใดชิงปรับราคาโดยไม่มีความเหมาะสมหรือสูงกว่าคู่แข่งขัน อาจทำให้ยอดขายตกลงมาได้ส่งผลต่อภาพรวมของเศรษฐกิจในทางลบ

นางสางณัฐฎาทิพย์ วงค์จันทร์คำ รหัส 50473010019 โปรแกรมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

ขสมก.ลดค่าโดยสารครึ่งราคาวันลงประชามติ 19 ส.ค.นี้ นายพิเณศวร์ พัวพัฒนกุล ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)เปิดเผยว่าตามที่ พล.ร.อ.ธีระ ห้าวเจริญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มีนโยบายให้หน่วยงานบริการขนส่งสาธารณะในสังกัดพิจารณาอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับประชาชนไปลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญวันที่ 19 สิงหาคมนี้ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนนโยบายดังกล่าว ขสมก.จะลดค่าโดยสารทั้งรถโดยสารประจำทางของ ขสมก. รถเอกชนร่วมบริการและรถปรับอากาศทุกสาย ในวันที่ 19 สิงหาคม ระหว่างเวลา 07.00-17.00 น. ให้กับประชาชนร้อยละ 50 จากราคาปกติหน้าตั๋วทุกราคา ซึ่งประชาชนที่ใช้บริการไม่ต้องแสดงบัตรใด ๆ โดยผู้โดยสารจะได้รับตั๋วในราคาเต็ม แต่จ่ายค่าโดยสารเพียงครึ่งราคาเท่านั้น.-สำนักข่าวไทย

วิเคราะห์-จากข่าวนี้จะเห็นได้ว่าการลดราคาค่าโดยสารลง ก็เพื่อที่จะให้ประชาชนได้ใช้บริการของ ขสมก.ในการเดินทางไปลงประชามติให้มากขึ้น ซึ่งเป็นการจูงใจประชาชนที่ดีวิธีหนึ่ง แม้วิธีนี้อาจจะไม่ได้เป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่มันก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถลดปัญหาการไม่ไปลงประชามติได้และยังเป็นการจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้รถร่วมบริการสาธารณะมากขึ้น ซึ่งเป็นการลดการจราจรที่ติดขัดได้อีกด้วย

 

 

ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง วันนี้ ตลาดหุ้นเอเชียนำโดยตลาดหุ้นกรุงโตเกียว พากันปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง ในทันทีที่เปิดตลาด เพราะนักลงทุนพากันเทขายหุ้น เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากวิกฤติสินเชื่อด้อยคุณภาพภาคอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ ซึ่งนักลงทุนเชื่อว่าจะมีข่าวร้ายจากตลาดสินเชื่อของสหรัฐเข้ามาอีก นักลงทุนจึงพากันย้ายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อย เพราะเชื่อว่าวิกฤติสินเชื่อในสหรัฐจะรุนแรงและลุกลามมากขึ้น ปัจจัยนี้ทำให้ดัชนีนิกเคอิของตลาดหุ้นกรุงโตเกียว ในช่วงการซื้อขายทรุดลงไปต่ำกว่าระดับ 16,000 จุด เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 9 เดือน โดยลงไปมากถึง 616 จุด หรือ 3.74% ก่อนจะดีดตัวขึ้นเล็กน้อยไปอยู่ที่ระดับ 15,911 จุด หุ้นที่ตกหนักที่สุดคือ หุ้นธนาคาร ธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือบีโอเจ ประกาศหลังตลาดหุ้นเปิดไม่นานว่า จะทุ่มเงินเข้าระบบธนาคาร 3,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสกัดไม่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น แต่ก็ไม่สามารถฉุดให้ตลาดหุ้นดีดขึ้นได้มากนักตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เป็นตลาดหุ้นในเอเชีย ที่ตกมากที่สุดในช่วงการซื้อขายเช้านี้ โดยดัชนี KOSPI ตกไป 116 จุด หรือ 6.35% ไปอยู่ที่ 1,702 จุด ตามแรงฉุดของตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ฮ่องกง สิงคโปร์ และออสเตรเลีย ก็ล้วนปรับตัวลงอย่างรุนแรงเช่นกัน 

 วิเคราะห์- จากข่าวนี้จะเห็นว่านักลงทุนชาวญี่ปุ่นได้เล็งเห็นถึงผลกระทบจากวิกฤติสินเชื่อด้อยคุณภาพภาคอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ ทำให้นักลงทุนต่างพากันเทขายหุ้นเพื่อเอาไปลงทุนในด้านอื่นที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า ซึ่งจากข่าวนี้ถือว่าเป็นผลกระทบที่เกิดจากปัจจัยภายนอก นั่นก็คือ ด้านเศรษฐกิจของต่างประเทศ ในที่นี้หมายถึง วิกฤติสินเชื่อด้อยคุณภาพภาคอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ การตัดสินใจครั้งนี้อาจจะเป็นผลดีต่อนักลงทุนเอง ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการรู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ รวมถึงการมองเห็นถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากความเสี่ยงนี้ พร้อมทั้งยังมีวิธีรับมือกับปัญหานี้ ทำให้นักลงทุนตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดและรวดเร็ว

นางสาว ฐิรดา สันทาลุนัย 50473010052 เศรษฐศษสตร์ธุรกิจ

ข่าวที่ 1

พิษเศรษฐกิจซบ-ค่าบาทแข็ง ฉุดกำไรการบินไทยลดฮวบ

          การบินไทยรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 พบว่า มีกำไรจากการขายและการให้บริการ 114 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 68 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนซึ่งมีกำไรจากการขายและบริการ 959 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 473 ล้านบาท เพราะว่าภาวะเศรษฐกิจและปัญหาสถานการณ์ในประเทศ รวมทั้งสถานการณ์เงินบาทแข็งค่า ทำให้มีผู้เดินทางลดลง
       การประชุมคณะกรรมการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) วานนี้ (10 ส.ค.) ฝ่ายบริหารได้รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปีบัญชี 2550 ให้คณะกรรมการรับทราบ โดยบริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการ 44,529 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีบัญชี 2549 ร้อยละ 5.7 และมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรวม 44,415 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9 ทำให้มีกำไรจากการขายและการให้บริการ 114 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีบัญชี 2549 ซึ่งมีกำไร 959 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 68 ล้านบาท ต่ำกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไร 473 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.04 บาท ส่วนผลการดำเนินงานรวม 9 เดือนแรกของปีบัญชี 2550 (1 ตุลาคม 2549 - 30 มิถุนายน 2550) บริษัทมีกำไรสุทธิ 8,327 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 2,160 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 20.6 โดยมีกำไรต่อหุ้น 4.90 บาท ลดลงจากปีก่อนซึ่งมีกำไรต่อหุ้น 6.17 บาท
       เรืออากาศโทอภินันทน์ สุมนะเศรณี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ การบินไทย กล่าวยอมรับว่า สาเหตุที่กำไรของบริษัทลดลงมาจากภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์ในประเทศที่กระทบต่อการท่องเที่ยว ทำให้คนเดินทางน้อยลง รวมทั้งปัญหาเงินบาทแข็งค่าทำให้รายได้ที่เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเปลี่ยนเป็นเงินบาทลดลงด้วย
       นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีมติแต่งตั้งโยกย้ายฝ่ายบริหารเพื่อปฏิบัติหน้าที่แทนผู้ที่จะเกษียณอายุและแทนตำแหน่งที่ว่างลง อาทิ เรืออากาศเอกประวิตร ชินวัตร ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายพัฒนาบุคลากรการบิน ดำรงตำแหน่ง รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายปฏิบัติการ นายปานฑิต ชนะภัย ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายพัฒนาและสนับสนุนการพาณิชย์ ดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการพาณิชย์ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2550 เป็นต้นไป  

         วิเคราะห์-จากข่าวนี้จะเห็นว่าจากภาวะเงินแข็งค่าขึ้น ทำให้การท่องเที่ยวในไทยซบเซาไปมาก ซึ่งจะเห็นได้จากกำไรสุทธิของบริษัท การบินไทย จำกัด มหาชน ที่ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วเยอะมาก เพราะค่าเงินบาทที่แข็งตัวขึ้น ทำให้เงินดอลล่าแลกเป็นเงินบาทได้น้อยลง และที่สำคัญขณะนี้มีสายการบินที่ราคาประหยัดเป็นคู่แข่งตัวสำคัญอีกด้วย ซึ่งทางการบินไทยนั้นจะเน้นในเรื่องของการบริการเป็นเลิศ ซึ่งเหมาะกับคนที่มีฐานะทางการเงิน แต่หากเป็นสายการบินราคาประหยัด ก็จะเน้นในเรื่องของราคาถูก ไม่ว่าใครก็สามารถโดยสารไปด้วยได้ จุดนี้เองก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ยอดของการบินไทยตกลง ดังนั้น การบินไทย ควรจะมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของบริษัท เพื่อให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งรายอื่นได้ ซึ่งตอนนี้ การบินไทย ก็ได้ลดอัตราค่าโดยสารลง แม้ว่าจะยังมีราคาสูงกว่าสายการบินราคาประหยัด แต่การบริการที่ดีของการบินไทยก็ยังคงไว้ เพื่อเป็นการจูงใจลูกค้าได้อีกวิธีหนึ่งเช่นกัน

 ข่าวที่ 2

ปตท.สบช่องบาทแข็ง ผุดโรงแยกก๊าซ6หมื่นล.

          ปตท.เตรียมชงบอร์ดลุยโรงแยกก๊าซฯ หน่วย 6 มูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท ในปลายเดือนนี้ หลังผ่านอีไอเอ เพราะเป็นช่วงจังหวะที่เหมาะสม หลังค่าเงินบาทแข็ง ชี้ไตรมาส 3 ทิศทางราคาน้ำมันสูง 65-70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และมาร์จินปิโตรเคมีจะยังคงดีอยู่
       นายจิตรพงษ์ กว้างสุขสถิตย์ รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าบริษัทเตรียมเดินหน้าก่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วย 6 ทันทีหลังจากได้รับอนุมัติผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) เมื่อเร็วๆ นี้ โดยจะเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯในปลายเดือนนี้ ซึ่งเป็นการลงทุนในจังหวะที่ดีในช่วงค่าเงินบาทแข็ง
       โรงแยกก๊าซฯ 6 จะมีกำลังการผลิต 800 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ใช้เงินลงทุนประมาณ 2 หมื่นกว่าล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2553 โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน โดยจะป้อนก๊าซฯใช้เป็นวัตถุดิบในโรงโอเลฟินส์ของบริษัท พีทีทีพีอี จำกัด ในเครือปตท.ที่มีกำลังการผลิตเอทิลีน 1 ล้านตัน/ปี
       นอกจากนี้ จะมีการเสนอขออนุมัติบอร์ดบริษัทฯเพื่ออนุมัติการจ่ายปันผลระหว่างกาล โดยคาดว่าจะจ่ายปันผลในอัตราใกล้เคียงกับปี 2549 ที่จ่ายปันผลระหว่างกาล 5 บาท/หุ้น เพื่อตอบแทนนักลงทุน
       นายพิชัย ชุณหวชิร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บัญชีและการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปีนี้ว่า ความต้องการใช้น้ำมันในประเทศน่าจะอ่อนตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจประเทศที่ชะลอตัว ทำให้ปตท.ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเกี่ยวกับการลงทุนใหม่ๆในอนาคต แต่ราคาน้ำมันตลาดโลกในช่วงนี้ถือว่าสูงกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ที่ 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 65-70 เหรียญสหรัฐ และค่าการกลั่นยังดีอยู่ ธุรกิจปิโตรเคมีก็ยังมีส่วนต่างราคาวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์(สเปรด)ที่สูงอยู่และความต้องการเม็ดพลาสติกยังดีอยู่
      "ปตท.มีแผนการลงทุนที่ชัดเจนใน 5ปีนี้ (2550-2554)อยู่แล้ว 2 แสนกว่าล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ซึ่งช่วงนี้ปตท.คงต้องพิจารณาว่าจะมีผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับไทยหรือไม่จากภาวะเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าคงไม่มีผลกระทบต่อปตท.มากนัก ซึ่งที่ผ่านมา การเติบโตของปตท.จะผูกกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ"
       นายจิตรพงษ์ กล่าวถึงการพิจารณาแต่งตั้ง ไม่น่ามีปัญหานายประเสริฐ น่าจะกลับเข้ามาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ปตท.ได้อีกวาระหนึ่ง เนื่องจากเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญและทำงานในตำแหน่งนี้มาเป็นเวลา 4 ปี ซึ่งน่าจะสานต่องานที่ทำอยู่นี้ได้ต่อไป ซึ่งนายประเสริฐก็มีสิทธิและคุณสมบัติครบถ้วน เพราะการดำเนินตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ปตท.สามารถดำรงตำแหน่งได้ 2 วาระๆ ละ 4 ปี ซึ่งตามกระบวนการน่าจะเร่งให้เร็วนี้ที่สุด เพื่อไม่ให้สุญญากาศในการทำงานของปตท.
          PTTCH ปรับสเปรดขึ้น666 เหรียญ/ตัน
       
นายอดิเทพ พิศาลบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTCH)กล่าวว่าขณะนี้ราคาเม็ดพลาสติกHDPE ปรับตัวสูงขึ้นมากอยู่ที่ 1.4 พันเหรียญสหรัฐ/ตัน ขณะที่ส่วนต่างราคาแนฟทาและเม็ดพลาสติก(สเปรด)อยู่ที่ 666 เหรียญสหรัฐ สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิมเมื่อพ.ค.ที่ผ่านมาถึง 31 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากความต้องการใช้เม็ดพลาสติกยังขยายตัว และมีการหยุดซ่อมบำรุงโรงงานหลายแห่ง โดยในไตรมาส 4/2550 คาดว่าสเปรดจะอ่อนตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากโรงงานที่ปิดซ่อมบำรุงเปิดเดินเครื่องผลิต
       นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้สกุลบาทจำนวน 8,000 ล้านบาทในเดือนก.ย.นี้ อายุหุ้นกู้ 5-10 ปี โดยจะเสนอขายให้สถาบันประมาณ 80% ที่เหลือให้รายย่อย ทำให้อัตราหนี้สินต่อทุนเพิ่มขึ้นจาก 0.19 เท่าเป็น 0.4 เท่า โดยเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ จะนำมาใช้ลงทุนโครงการผลิตเอทิลีน 1 ล้านตันของบริษัท พีทีทีพีอี จำกัด

      อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสเปรดจะปรับตัวดีขึ้นแต่ปีนี้ คาดว่ารายได้ของบริษัทจะต่ำกว่าปีที่แล้ว 2-3% จากเดิมที่มีรายได้รวม 7 หมื่นล้านบาท เนื่องจากต้นปีบริษัทได้หยุดซ่อมบำรุงโรงงานทำให้กำลังการผลิตหายไป
       นายอดิเทพ กล่าวต่อไปว่า ในปี 2552-2553 เชื่อว่าราคาเอทิลีนจะอ่อนตัวลงมา เพราะมีกำลังการผลิตใหม่จากตะวันออกกลางเข้ามา แต่ราคาเม็ดพลาสติกยังดีอยู่ โดยมีความต้องการใช้เติบโตเฉลี่ย 4-5%ต่อปี และการก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมีในตะวันออกกลางสูงกว่าไทย 3เท่า เชื่อว่าผู้ผลิตตะวันออกกลางจะไม่ดัมป์ราคาผลิตภัณฑ์ ส่งผลให้สเปรดเม็ดพลาสติกHDPE อยู่ที่ตันละ 500 เหรียญสหรัฐ  

          วิเคราะห์-จากข่าวนี้จะเห็นว่าแม้ว่าการใช้น้ำมันในประเทศจะลดลงเนื่องภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ทำให้ ปตท. ต้องคิดตัดสินใจอย่างรอบคอบในการลงทุนใหม่ๆ ซึ่งทางปตท.ส่วนใหญ่ก็จะลงทุนไปกับก๊าซธรรมชาติ และมีแผนที่จะสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 6 ขึ้น ในขณะที่ค่าเงินบาทกำลังแข็งตัว แม้ว่าการใช้น้ำมันจะชะลอตัวลง แต่ตลาดเม็ดพลาสติกก็ยังขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทางบริษัทเองก็ยังมีแผนที่จะออกหุ้นกู้สกุลบาทจำนวน 8,000 ล้านบาทในเดือนก.ย.นี้ อายุหุ้นกู้ 5-10 ปี โดยจะเสนอขายให้สถาบันประมาณ 80% ที่เหลือให้รายย่อย ทำให้อัตราหนี้สินต่อทุนเพิ่มขึ้นจาก 0.19 เท่าเป็น 0.4 เท่า โดยเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ จะนำมาใช้ลงทุนโครงการผลิตเอทิลีน 1 ล้านตันของบริษัท พีทีทีพีอี จำกัด ซึ่งธุรกิจของ ปตท.นั้นก็มีข้อดีตรงที่มีความหลากหลายในการผลิตทำให้หากประสบปัญหาก็สามารถมีทางแก้ได้หลายทาง ดังเช่นในข่าวข้างต้นนี้

 

นางสาวประภัสสร จันทะวงษา รหัส 50473010031 โปรแกรมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินธุรกิจบัตรเครดิตครึ่งปีหลังชะลอตัว บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ประเมินธุรกิจบัตรเครดิตครึ่งปีหลังชะลอตัว จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่อง และการแข่งขันที่เข้มข้น เตือนผู้ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพิ่มความระมัดระวัง และวางแผนการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมากขึ้น เพราะผู้ประกอบการอาจยกเลิกหากลูกค้ามีความเสี่ยงสูงศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุสถานการณ์ธุรกิจบัตรเครดิตครึ่งแรกปี 2550 ว่า ถูกรุมเร้าจากปัจจัยลบต่าง ๆ ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ความผันผวนทางการเมือง และการแข็งค่าของค่าเงินบาท ที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจส่งออกที่มีความเกี่ยวเนื่องกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ซึ่งอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อภาวะการจ้างงานได้ ปัจจัยลบรอบด้านส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค โดยผู้บริโภคมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจับจ่ายซื้อสินค้าอย่างระมัดระวัง นอกจากนี้ ยังมีตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจบัตรเครดิต ได้แก่ การปรับขึ้นยอดการผ่อนชำระขั้นต่ำของผู้ถือบัตรเดิมจากที่ชำระขั้นต่ำร้อยละ 5 ของยอดค้างชำระทั้งหมด เป็นชำระขั้นต่ำร้อยละ 10 ของยอดค้างชำระทั้งหมด ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตจากร้อยละ 18 เป็นร้อยละ 20 ซึ่งทั้งสองปัจจัยอาจส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต และความสามารถในการผ่อนชำระยอดคงค้างสินเชื่อบัตรเครดิตของผู้บริโภคบางกลุ่มด้วยส่วนครึ่งปีหลัง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่าการเติบโตของธุรกิจบัตรเครดิตน่าจะชะลอตัว จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่อง และการแข่งขันบัตรเครดิตที่ยังมีความเข้มข้น ซึ่งผู้ออกบัตรเครดิตจะต้องรักษาคุณภาพของบัตรเครดิตมากกว่าปริมาณ หรือการเน้นสร้างฐานบัตรเครดิตที่ใหญ่ โดยต้องพยายามรักษาลูกค้าไม่ให้ยกเลิกบัตร เพื่อเปลี่ยนไปใช้บริการผู้ออกบัตรเครดิตรายอื่น ขณะเดียวกัน ยังทำแคมเปญการตลาดเพื่อส่งเสริมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตไว้ให้ได้ นอกจากนี้ จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ย่อมส่งผลให้ผู้ออกบัตรเครดิตต้องดูแลคุณภาพสินเชื่อให้เคร่งครัดมากขึ้น ซึ่งย่อมจะกระทบปริมาณบัตร และการใช้จ่ายผ่านบัตรในระบบได้ ทั้งนี้ แม้ช่วงที่ผ่านมา การแข่งขันที่รุนแรงระหว่างผู้ประกอบการบัตรเครดิตจะทำให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากแคมเปญการตลาด แต่ผู้ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตควรเพิ่มความระมัดระวังและควรมีการวางแผนในการใช้จ่ายผ่านบัตรมากขึ้น เพราะการปรับตัวของผู้ประกอบการอาจจะพิจารณาติดตามพฤติกรรมของลูกค้าที่มีบัตรหลายใบ การตรวจสอบลูกหนี้ที่มีพฤติกรรมผิดปกติ เช่น ชำระสินเชื่อไม่สม่ำเสมอหรือเบิกถอนเงินสดเป็นประจำ รวมทั้งการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในบางช่วงที่สูงผิดปกติ หรือมีการขอสินเชื่อจากแหล่งอื่นในการหมุนหนี้ เช่น สินเชื่อบุคคลของสถาบันการเงินอื่น รวมทั้งการเบิกถอนเงินสดจากบัตรเครดิตใบอื่น ซึ่งล้วนเป็นสัญญาณบอกเหตุของปัญหาความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นต่อระบบสินเชื่อ ซึ่งผู้ประกอบการบัตรเครดิตส่วนใหญ่คงมีมาตรการดำเนินการต่างๆ ได้แก่ การพิจารณาปรับลดวงเงิน หรือยกเลิกบัตรล่วงหน้าก่อนเวลาต่ออายุบัตรจริง หากประเมินว่าลูกค้ามีความเสี่ยงสูง

 วิเคราะห์-จากข่าวนี้จะเห็นว่ามีหลายๆปัจจัยที่ทำให้ผลการวิเคราะห์การใช้บัตรเครดิตในครึ่งปีหลังนั้นจะชะลอตัวลง อันได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง การผันผวนทางการเมือง รวมทั้งการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งในจุดนี้เองจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจที่ต้องมีการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ซึ่งทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจน้อยลง และอีกปัจจัยหนึ่งก็คือ การที่บริษัทที่ออกบัตรเครดิตมีการปรับขึ้นของยอดการผ่อนชำระขั้นต่ำ รวมถึงการปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยของบัตรเครดิต ซึ่งส่งผลให้ผู้ใช้บัตรเครดิตต้องมีความระมัดระวังในการใช้บัตรเครดิตให้มากขึ้น แต่ในปัจจุบันก็ได้มีการออกสิทธิพิเศษต่างๆให้ผู้ใช้บัตรเครดิต เพื่อเป็นการกระตุ้นการใช้บัตรเครดิตให้มากขึ้น เช่น การมีส่วนลดให้กับผู้ใช้หากมีการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตกับร้านค้าหรือห้างต่างๆที่มีการร่วมรายการ แต่ถึงอย่างไรผู้ใช้บัตรเองก็ควรที่จะใช้อย่างระมัดระวัง เพราะ บริษัทผู้ออกบัตรเองก็มีมาตรการต่างๆเพื่อรับมือกับลูกหนี้ที่มีพฤติกรรมที่ผิดปกติไว้แล้วด้วยเช่นกัน

 

 

 

โรงงานรองเท้าเลิกจ้างคนงานเกือบ 700 ชีวิต พิษเศรษฐกิจค่าเงินส่งผลโรงงานรองเท้า “ บ้านไผ่ ยูเนี่ยน ชูส์ ” เมืองบุรีรัมย์ สั่งเลิกจ้างคนงานกว่า 700 ชีวิต หลัง “ ยูเนี่ยน ฟุทแวร์ ” ปิดกิจการ ส่งผลกระทบออเดอร์สั่งซื้อหดหาย เพราะเป็นโรงงานรับช่วงตัดเย็บหน้ารองเท้ายี่ห้อดังให้ “ ยูเนี่ยน ” ด้านนายจ้างยอมจ่ายชดเชย ตามกฎหมาย ประธานแรงงานไทยออกโรงเรียกร้องขึ้นค่าแรงวันละ 300 บาททั่วประเทศเมื่อวันที่ 15 ส.ค. นายสุวิทยา จันทวงศ์ สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดบุรีรัมย์ เปิดเผยว่า ภายหลังบริษัท ยูเนี่ยน ฟุทแวร์ จำกัด มหาชน ตั้งอยู่ที่ อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา ได้ประกาศปิดกิจการและเลิกจ้างพนักงาน กว่า 5,000 คน เนื่องจากประสบปัญหาขาดทุน โดยให้มีผลภายในสิ้นปี 50 นั้น ขณะนี้ผลพวงจากปัญหาดังกล่าวได้ส่งผลกระทบกับ บริษัท บ้านไผ่ ยูเนี่ยน ชูส์ จำกัด ตั้งอยู่ อ.พุทไธสง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งประกอบกิจการตัดเย็บหน้ารองเท้า มีลูกจ้าง 670 คน ได้แจ้งขอปิดกิจการภายในวันที่ 31 ส.ค.นี้ โดยให้เหตุผลว่า บริษัท ยูเนี่ยน ฟุทแวร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่และบริษัทรับชิ้นงานมาตัดเย็บก่อนจะประกอบ ผลิตเป็นรองเท้ายี่ห้อไนกี้ มียอดการสั่งซื้อลดลง และปิดกิจการ ส่งผลให้บริษัท บ้านไผ่ฯ ต้องลดและปิดกิจการในสิ้นปีนี้ นายสุวิทยา กล่าวอีกว่า เจ้าหน้าที่สวัสดิการในพื้นที่ได้เข้าไปเจรจาให้นายจ้างปฏิบัติตามกฎหมาย และทำบันทึกข้อตกลงกับนายจ้างเป็นลายลักษณ์อักษร โดยนายจ้างรับปากจะทยอยเลิกจ้างเป็นรายงวดผลิตและจ่ายค่าชดเชย ตลอดจนสิทธิประโยชน์ให้กับลูกจ้างทุกประการ ซึ่งเรื่องนี้ได้มีหนังสือแจ้งไปยังนายผดุงศักดิ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน รับทราบเรียบร้อยแล้วที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ ในเวทีสาธารณะ เรื่อง "ทิศทางการปฏิรูปการเมืองและสังคม เพื่อประโยชน์ต่อคุณภาพชีวิตลูกจ้าง" โดย น.ส.วิไล วรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย กล่าวว่า จากการตรวจสอบที่ผ่านมาพบว่าปัญหาการเลิกจ้างบางครั้งก็ไม่ใช่เพราะเศรษฐกิจขาลงเพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดจากนายจ้างต้องการย้ายฐานการผลิตที่มีค่าแรงราคาถูกกว่า สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ลูกจ้างได้รับผลกระทบไปเต็มๆ ที่ผ่านมารัฐมักโทษแต่ปัญหาค่าเงินบาท แต่กลับไม่เสนอแนวทางแก้ไขที่ชัดเจน และการที่กระทรวงแรงงานออกมาแต่งตั้งคณะทำงานติดตามสถานการณ์ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากมาย เป็นเพียงสร้างภาพเท่านั้น ดังนั้น ขอเรียกร้องให้รัฐตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีเลิกจ้าง พร้อมทั้งจัดตั้งกองทุนประกันความเสี่ยงกรณีเลิกจ้างด้วย"กองทุนประกันความเสี่ยงเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยรัฐต้องเรียกเก็บจากนายจ้าง ซึ่งสัดส่วนให้พิจารณาตามขนาดของโรงงานและความเสี่ยงต่าง ๆ เพราะหากเกิดการเลิกจ้างขึ้นมา ลูกจ้างจะได้มีเงินชดเชยจากกองทุนดังกล่าวได้ ที่สำคัญรัฐต้องให้ความคุ้มครองในสิทธิแรงงานอย่างครบถ้วน อย่างในเดือนตุลาคมนี้จะมีการปรับค่าจ้างในหน่วยงานราชการทั่วประเทศ ก็ควรมีการปรับค่าแรงขั้นต่ำให้ลูกจ้างด้วย โดยจากปัจจุบันอยู่ที่ 191 บาทปรับเป็น 250-300 บาทเท่ากันทั่วประเทศ ไม่เช่นนั้นจะเป็นการเลือก ปฏิบัติ" น.ส.วิไลวรรณ กล่าว.

วิเคราะห์-จากข่าวนี้จะเห็นว่าปัญหาขอค่าเงินบาทที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ทำให้โรงงานหลายๆโรงงานต้องลดคนงานลง หรือบางครั้งอาจปิดกิจการไปเลย ดังเช่นข่าวนี้ ซึ่งจากข่าวนี้ ส่งผลกระทบถึง 2 โรงงานด้วยกัน นั่นคือ “ บ้านทิวไผ่ ชูส์ ” และ “ ยูเนี่ยนฟุตแวร์ ” จากการที่ “ยูเนี่ยนฟุตแวร์ ” ได้ปิดกิจการลง ส่งผลให้ “ บ้านทิวไผ่ ชูส์ ” ต้องปิดการตามไปด้วยภายใน 31 ส.ค นี้ เนื่องจาก “ บ้านทิวไผ่ ชูส์ ” เป็นโรงงานเย็บหน้ารองเท้า ซึ่งต้องรับงานต่อจาก “ ยูเนี่ยนฟุตแวร์ ” และเนื่องจากยอดการสั่งซื้อที่ลดลงด้วย ผลจากปัญหานี้อาจเกิดมาจากการที่ทางโรงงานทั้ง 2 ไม่ได้มีการวางแผนต่างๆเพื่อรับมือกับปัญหาต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้จากปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน ซึ่งทำให้ต้องปิดกิจการไปตามๆกัน อย่างที่เป็นอยู่ ซึ่งทางโรงงานก็ได้รับปากว่าจะมีการจ่ายค่าชดเชยให้ลูกจ้าง แม้ว่าจะเป็นการแก้ปัญหานี้จะไม่ตรงจุดเท่าไหร่นัก เพราะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่ก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในขณะนี้ที่สามารถสร้างความพอใจให้ทั้งกับนายจ้างและลูกจ้างได้ แต่จากเหตุการณ์นี้ทางประธานกรรมการสมานฉันท์ก็ไม่ได้คิดว่าปัญหานี้เกิดจากเศรษฐกิจขาลงเพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดจากการที่นายจ้างต้องการย้ายฐานการผลิตไปที่ ที่มีค่าแรงถูกกว่า ซึ่งรัฐก็มักโทษแต่ปัญหาค่าเงินบาท ซึ่งทั้งที่จริงแล้วรัฐควรมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบโรงงานที่จะปิดกิจการอย่างจิงจังกว่านี้ เพื่อเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุไม่ใช้แก้ที่ปลายเหตุอย่างที่เป็นอยู่

นางสาว ณัฐธิดา สมยศ 50473010022 เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

ข่าวที่ 1

นายแบงก์ยอมรับ "เอ็นพีแอล" พุ่ง "กรุงไทย" เจอแล้ว 7%

         นายธนาคารเผย "เอ็นพีแอล" ย้อนกลับเพิ่ม หลังเศรษฐกิจชะลอตัว "กรุงไทย" ยอมรับพุ่งขึ้นแล้ว 7% ส่วนลูกหนี้ที่ปรับโครงสร้างแล้ว กลับมาเป็นเอ็นพีแอลอีกถึง 30%
      
วันนี้(6 ส.ค.) นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ทำให้ตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยในช่วงที่เหลือของปี ทิศทางของเอ็นพีแอลจะไปในทิศทางที่ทรงตัว หรือปรับเพิ่มขึ้นได้อีกเล็กน้อย โดยปัจจุบัน เอ็นพีแอลสุทธิของธนาคารฯ อยู่ที่ร้อยละ 7
      นอกจากนี้ จากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ยังทำให้ลูกหนี้ที่ได้ปรับโครงสร้างจนเป็นหนี้ปกติแล้ว กลับมาเป็นเอ็นพีแอลย้อนกลับอีกถึงร้อยละ 30 ซึ่งมาจากทุกอุตสาหกรรม ซึ่งถือว่ามีอัตราสูงกว่าปีก่อนๆ แต่จะไม่มีผลกระทบต่อธนาคารฯ มากนัก เนื่องจากได้ทำการตั้งสำรองไว้ครอบคลุมหมดแล้ว
      ส่วนทิศทางเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง เป็นเรื่องที่เดาได้ยาก แต่น่าจะปรับตัวดีขึ้น หากไม่มีปัจจัยกระทบเพิ่มเติม รวมถึงภาวะการเมืองต้องนิ่ง และมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น   

          สำนักข่าวไทย 06/08/2550

    

      วิเคราะห์-จากข่าวนี้จะเห็นว่าจากภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวลง ส่งผลให้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น และยังทำให้ลูกหนี้ที่ได้ปรับโครงสร้างจนเป็นหนี้ปกติแล้ว กลับมาเป็น เอ็นพีแอล ย้อนกลับอีกถึงร้อยละ 30 แต่จากปัญหานี้ก็คงไม่ส่งผลกระทบต่อทางธนาคารมากนัก เพราะทางธนาคารได้มีแผนรับมือกับปัญหานี้ไว้แล้ว นี่เป็นตัวอย่างที่ดีอีกตัวอย่างหนึ่งของการรู้จักการวางแผน เพราะ จะทำให้สามารถรับมือกับปัญหาต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นได้ จากปัจจัยต่างๆ ทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน

 ข่าวที่ 2

หวั่น ศก.ไทยเกิดวิกฤตรอบ 2 ซ้ำรอยฝรั่งเศส

         ดร.สมชาย ชี้ต้นเหตุ ตลาดหุ้น-ศก.โลกผันผวน เกิดจากเงินสกุลดอลลาร์ อ่อนค่าจนไร้เสถียรภาพ ซัดเปรี้ยง! เป็นความจงใจของสหรัฐฯ เพื่อแก้ปัญหาขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ยันซ้ำเงินบาท 2 ตลาด ต้องมีส่วนต่างไม่ห่างกันมากนัก หวั่นพิษเงินบาทกัดเซาะ ศก.ไทย นำไปสู่วิกฤตรอบ 2 เหมือนกับฝรั่งเศส
       นักวิชาการแนะออกมาตรการดูแลเงินบาทเพิ่มเติม ขณะที่ภาคธุรกิจต้องเร่งเปลี่ยนแปลงการผลิต ไม่เช่นนั้นจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจรอบ 2 เหมือนฝรั่งเศส ขณะที่เอกชนมองว่า เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่องอีก 2 ปี แนะให้ขยาย 6 มาตรการให้คล่องตัวมากขึ้น
        ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ อาจารย์พิเศษคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนักวิชาการชื่อดัง กล่าวในงานสัมมนา “เจาะลึกวิกฤตเศรษฐกิจ หุ้นไทยในภาวะค่าเงินบาทแข็ง” วันนี้ (27 ก.ค.) โดยระบุว่า เงินบาทที่แข็งขึ้นมาจากปัจจัยทั้งภายใน และนอกประเทศ ที่สำคัญเป็นความจงใจของสหรัฐฯที่ต้องการให้ดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า เพื่อแก้ปัญหาขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
      ดังนั้น ในส่วนของไทยจะต้องรับมือแนวโน้มการอ่อนตัวของดอลลาร์สหรัฐฯ ที่สำคัญควรดูแลค่าเงินบาท 2 ตลาดทั้งในและต่างประเทศให้ใกล้กันมากที่สุด ที่สำคัญ ผู้ประกอบการต้องเร่งปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง เพราะไม่เช่นนั้นพิษเงินบาทแข็งค่าจะค่อยกัดเซาะปัญหาเศรษฐกิจ และนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจรอบ 2 เหมือนฝรั่งเศส ที่สำคัญ 6 มาตรการดูแลค่าเงินบาทของรัฐบาลควรมีการปรับปรุงเพิ่มเติม แม้จะมาถูกทางแล้ว เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการถือเงินสกุลต่างประเทศ
       ด้าน นายธนิต โสรัตน์ รองเลขาธิการสายงานเศรษฐกิจ ส.อ.ท.กล่าวว่า 6 มาตรการแก้ไขปัญหาเงินบาทของรัฐบาล ถือว่าสอดคล้องข้อเสนอภาคเอกชน แต่มองว่า การให้บุคคลธรรมดาฝากเงินสกุลต่างประเทศ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และ 200,000 ดอลลาร์สหรัฐฯสำหรับนิติบุคคล ควรผ่อนผันให้มากขึ้นให้สามารถดำเนินธุรกิจได้ เพราะจะเพิ่มปริมาณผู้ถือดอลลาร์สหรัฐฯในประเทศมากขึ้น ซึ่งจะทำให้กองทุนต่างชาติมีความลำบากในการเข้ามาเก็งกำไรและโจมตีค่าเงินบาท เนื่องจากต้องเล่นกับคนกลุ่มใหญ่
       ขณะนี้กองทุนต่างชาติรู้ว่าต่อสู้เงินบาทกับแบงก์ชาติเพียงผู้เดียว จึงรู้ที่มาที่ไปของแบงก์ชาติ ส่วนแนวทางการแนะนำให้ผู้ประกอบการหันไปทำธุรกรรมซื้อขายสินค้าด้วยสกุลเงินตราอื่นแทนดอลลาร์สหรัฐฯจะทำได้ยาก เพราะผู้ซื้อสินค้ายังต้องการซื้อด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐฯ โดยยังมองว่า จากภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เงินดอลลาร์สหรัฐฯยังมีโอกาสอ่อนลงอย่างต่อเนื่องในอีก 2 ปีข้างหน้า แต่การส่งออกยังจะขยายตัวได้ถึงร้อยละ 18 และยังไม่มีสัญญาณบ่งบอกว่าการขยายตัวของการส่งออกจะลดลงมากนัก  

       วิเคราะห์-จากข่าวนี้จะเห็นว่า จากการที่ค่าเงินดอลล่าสหรัฐที่ลดลง ทำให้มีการเสนอให้มีการผ่อนผันให้มากขึ้น โดยให้ผู้ประกอบการสามารถถือเงินดอลล่าสหรัฐในประเทศได้มากขึ้น ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้กองทุนต่างชาติเข้ามาเก็งกำไรและโจมตีค่าเงินบาทได้ เพราะหากจะทำก็ต้องเล่นกับคนกลุ่มใหญ่ แต่ในขณะนี้กองทุนต่างชาติต่อสู้เงินบาทกับเพียงแบงค์ชาติเพียงผู้เดียว ดังนั้น แนวทางที่เสนอมา ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่น่าจะทำให้การเก็งกำไรนั้นทำได้ยากขึ้น ซึ่งหากเทียบกับวิธีที่จะให้คนหันไปใช้เงินสกุลอื่นแทนเงินดอลล่าสหรัฐก็คงจะทำได้ยาก ดังนั้นการเสนอให้มีการผ่อนผันให้ผู้ประกอบการสามารถถือเงินดอลล่าสหรัฐในประเทศได้มากขึ้น จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในขณะนี้

 

 

นางสาว สุรัตนา ศรีกระภา 50473010032 เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

ข่าวที่1

ตลาดต่างประเทศยังชี้นำหุ้นไทย แนวโน้มยังปรับตัวขึ้นได้

         คาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวขึ้น ตามตลาดต่างประเทศ พร้อมให้จับตาปัจจัยภายในประเทศ ซึ่งมีการกำหนดวันเลือกตั้ง ส่วนการประชุม กนง.ในวันพุธที่ 29 ส.ค.นี้ เชื่อว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย คาดแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ ปรับขึ้นได้ในลักษณะแกว่างตัว เชื่อว่ายังมีแรงขายทำกำไร โดยวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยอิงไปภาวะต่างประเทศเป็นหลัก พร้อมให้แนวรับ 784,780 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 797,805 จุด
       วันนี้ (27 ส.ค.) นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บีฟิท จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับตัวขึ้นได้ ตามตลาดต่างประเทศ เนื่องจากดาวโจนส์และตลาดในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ต่างปรับตัวอยู่ในแดนบวก ซึ่งทิศทางตลาดหุ้นไทยช่วงนี้จะสอดคล้องกับต่างประเทศ โดยให้น้ำหนักต่างประเทศเป็นตัวชี้นำตลาดไทย
       สำหรับปัจจัยในประเทศให้จับตาดูการประชุมในวันนี้ที่คาดว่าจะมีการกำหนดวันเลือกตั้ง ซึ่งหากมีความชัดเจนก็อยู่ในความคาดหมายของตลาดอยู่แล้ว นอกจากนี้ ในวันพุธนี้ (29 ส.ค.)จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งคาดหมายว่าจะมีการประกาศลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งหากเป็นจริงก็อยู่ในความหมาย ดังนั้นทิศทางตลาดหุ้นไทยจึงอิงไปที่ต่างประเทศเป็นหลักมากกว่า พร้อมให้แนวรับที่ 784,780 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 797,805 จุด
      ทั้งนี้ นักวิเคราะห์หลายค่ายยังมีมุมมองในเชิงลบ โดยเชื่อว่าจะมีแรงขายทำกำไรยังเป็นตัวฉุดรั้งดัชนีหุ้นในวันนี้ นักลงทุนควรใช้ความระมัดระวังในหุ้นบางกลุ่ม อาทิ พลังงาน แบงก์ และไฟแนนซ์
      ขณะที่ บล.นครหลวงไทย มีความเห็นเป็น Positive ต่อการลงทุนในวันนี้ โดยคาดว่าตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นตามตลาดหุ้นสหรัฐ และตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย หลังจากข้อมูลยอดขายบ้าน และคำสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐฯ ดีกว่าที่คาดการณ์ ช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ปรับขึ้น 142.99 จุด นอกจากนั้นบีเอ็นพี ปารีบาส์ มีแผนจะเปิดให้ซื้อหรือไถ่ถอนกองทุนได้จำนวน 3 กอง ซึ่งถูกระงับไปเมื่อต้นเดือน
      อย่างไรก็ตาม คาดว่าการปรับตัวขึ้นจะยังคงมีความผันผวน เนืองจากนักลงทุนยังคงมีความระมัดระวัง เนื่องจากปัญหา Subprime ยังคงมีความเสี่ยงหลงเหลืออยู่ โดยล่าสุดมีรายงานจากธนาคารจีนว่ามีการลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับ Subprime ส่วนปัจจัยในประเทศเริ่มมีพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ หลังจากในหลวงทรงลงปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 แล้ว จากนั้นจะมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลใช้บังคับทันที และในบ่ายวันจันทร์ ที่ 27 ส.ค. นายกรัฐมนตรีจะหารือกับประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อกำหนดวันเลือกตั้ง ซึ่งมีแนวโน้มว่าในวันที่ 23 ธ.ค.จะกำหนดให้เป็นวันเลือกตั้ง จึงประเมินดัชนีวันนี้มีโอกาสปรับขึ้นผ่าน 800 จุดได้

          Manager online      27/08/2550

     

       วิเคราะห์-จากข่าวนี้เราจะเห็นได้ว่า มีการคาดการว่าตลาดหุ้นในเมืองไทยเช้านี้จะปรับตัวขึ้น เพราะช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยสอดคล้องกับตลาดต่างประเทศ โดยให้น้ำหนักต่างประเทศเป็นตัวชี้นำตลาดไทย ซึ่งในขณะนี้ ทั้งตลาดหุ้นของสหรัฐ และตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียต่างก็มีการปรับตัวขึ้น ซึ่งถือเป็นปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทย และอีกปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ตลาดหุ้นไทมีแนวโน้มสูงขึ้น นั่นก็คือ การมีการกำหนดวันเลือกตั้งที่แน่นอน ซึ่งจะทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของไทยนั่นเอง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามนักลงทุนควรมีความระมัดระวังในการตัดสินใจ ซึ่งการตัดสินใจที่ดี ก็ควรมีข้อมูลต่างๆ เพื่อใประกอบการตัดสินใจ

ข่าวที่ 2

พาณิชย์ลั่นเอาผิด เพรซิเดนท์ฯยกเลิกสัญญารัฐ-เผยข้าวค้างสต๊อก 4-5 ล้านตัน

         รมช.พาณิชย์ สั่งติดตามความเสียหาย กรณีบริษัทค้าข้าวชื่อดัง เพรซิเดนท์ อะกริฯผิดสัญญาประมูลข้าวรัฐ เสียหายทันที 1 ล้านตัน ลั่นเอาผิด จนท.รัฐ สมคบโกง-ฟันทั้งวินัยและอาญา พร้อมยอมรับ ข้าวยุครัฐบาลขิงแก่ค้างสต๊อกบาน 4-5 ล้านตัน
       วันนี้ (27 ส.ค.) นางอรนุช โอสถานนท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ได้รับรายงานผลจาก นายพิสุทธิ์ ชลากรกุล ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) กรณีที่ทางบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด บอกเลิกสัญญาและผิดสัญญาการรับและส่งมอบข้าวของ อคส.กว่า 1 ล้านตันแล้ว ซึ่งเห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง และเป็นความผิดของบริษัท เพรซิเดนท์ฯ ที่บอกเลิกสัญญาไม่มารับมอบข้าวจำนวนดังกล่าวกับทาง อคส.โดยหลังจากนี้ไป อคส.จะดำเนินการตามสัญญา ก็มีทั้งปรับและยึดข้าวจำนวนดังกล่าวกลับมาและเปิดประมูลใหม่
        ทั้งนี้ เท่าที่ได้ตรวจสอบข้าวสารที่อยู่ในโกดังต่างๆ ที่ได้มีการบอกเลิกสัญญาในครั้งนี้ เห็นว่าข้าวจำนวนกว่า 1 ล้านตัน ยังเป็นข้าวที่มีคุณภาพดีเกินกว่าร้อยละ 90 ขึ้นไปอยู่เป็นจำนวนมาก โดยจะมีข้าวที่เสื่อมเพียง 70,000-80,000 ตันเท่านั้น ซึ่งเห็นว่า ปริมาณข้าวเสื่อมน้อย และน่าจะนำมาประมูลได้ คงไม่เป็นปัญหา แต่การนำข้าวที่ค้างและเสื่อมออกมาประมูลใหม่ เช่น ราคาข้าวที่ทางบริษัท เพรซิเดนท์ฯ ประมูลมาได้ก่อนหน้านี้ อยู่ที่ 10,000 บาท หากเปิดประมูลใหม่โดยผู้ชนะประมูลให้ราคาอยู่ที่ 8,000 บาทต่อตัน ส่วนต่างที่หายไป 2,000 บาทต่อตัน ทางบริษัท เพรซิเดนท์ฯ จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหายส่วนนี้
       อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ เห็นว่า การกระทำของบริษัท เพรซิเดนท์ฯ ที่ได้บอกเลิกสัญญา และไม่ยอมรับและส่งมอบข้าวจำนวนกว่า 1 ล้านตันครั้งนี้ ถือเป็นความผิดที่จะต้องดูกันต่อไปว่าจะมีการเรียกค่าเสียหายและดำเนินการส่งฟ้องศาลกันต่อไปหรือไม่ และกระทรวงพาณิชย์จะขึ้นบัญชีดำบริษัท เพรซิเดนท์ฯ ที่จะไม่ให้มีการเข้ามาประมูลหรือเข้าร่วมค้าขายกับทางภาครัฐอีกต่อไป
       นางอรนุช กล่าวอีกว่า จำนวนข้าวค้างสต๊อกของรัฐบาลขณะนี้ มีอยู่ประมาณ 4-5 ล้านตัน แม้ว่าจะเป็นปริมาณมากพอสมควร แต่ก็ไม่ได้ตกใจอะไร โดยได้สั่งการให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศไปดูในรายละเอียดและวิธีการเปิดประมูลข้าวของรัฐบาลแล้ว แต่การระบายข้าวจำนวนมากเช่นนี้ อาจทำให้เกิดปัญหาได้ ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์จะพยายามเร่งระบายข้าวค้างสต๊อกอย่างค่อยเป็นค่อยไป อาจจะเป็นครั้งละไม่เกิน 200,000-300,000 ตัน และจะไม่ทำให้ราคาข้าวภายในประเทศเกิดความบิดเบือนอย่างแน่นอน ขณะที่เจ้าหน้าที่ดูแลทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคมีปริมาณจำกัด ดังนั้น จะขอความร่วมมือไปยังกองทัพ เพื่อที่จะให้ทางเจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาช่วยดูแลปริมาณข้าวสตอกของรัฐบาลทุกพื้นที่ เพื่อป้องกันปัญหาการเวียนเทียนข้าว หรือมีการจงใจที่จะสร้างความปั่นป่วนข้าวของรัฐบาลอย่างเต็มที่
        ผู้อำนวยการ อคส.กล่าวว่า การบอกเลิกสัญญาและไม่มารับส่งมอบข้าวจำนวนกว่า 1 ล้านตัน ของบริษัท เพรซิเดนท์ฯ ครั้งนี้ ได้มีการรายงานให้ผู้บริหารของกระทรวงพาณิชย์ทราบทั้งหมดแล้ว โดยขั้นตอนต่อไป จะนำข้าวออกมาประมูล หากผู้ชนะประมูลรายใหม่ให้ราคาต่ำกว่าบริษัท เพรซิเดนท์ฯ ส่วนต่างเพรซิเดนท์ฯ จะต้องเป็นผู้ชดใช้ รวมถึงความเสียหายอื่นๆ ที่เกิดขึ้น หลังจากนี้บริษัทเพรซิเดนท์ฯ จะต้องรับผิดชอบทั้งสิ้น

         Manager Online     27/08/2550
       

            วิเคราะห์-จากข่าวนี้ที่บริษัทเพรซิเดนท์บอกเลิกสัญญาและไม่มารับส่งมอบข้าวจำนวนกว่าล้านตัน ทำให้รัฐได้รับความเสียหาย ซึ่งทางรัฐได้ตัดสินใจที่จะนำข้าวส่วนที่ยังดีอยู่มาทำการประมูลใหม่ และหากราคาที่ประมูลได้มีค่าต่ำกว่าตอนที่บริษัทเพรซิเดนท์ประมูลไป ส่วนต่างที่เหลือบริษัทเพรซิเดนท์จะต้องเป็นผู้จ่ายชดเชย ซึ่งจุดนี้เองก็เป็นปัญหาสำคัญอีกปัญหาหนึ่งที่บริษัทจะต้องประสบต่อไปหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ทั้งนี้อาจเกิดการบริหารงานที่ไม่ดีของบริษัท แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเหตุใดบริษัทเพรซิเดนท์ถึงยกเลิกสัญญาไปเฉยๆแบบนี้ แต่หากทางบริษัทมีการจัดการ การควบคุมดูแลที่ดี เชื่อว่าคงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นแน่ รวมหากมีการวางแผนตั้งรับที่ดี ก็คงสามารถรับมือกับปัญหาต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้จากสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

 

 

นาย วรนาถ สาธิตนิมิต 50473010047 เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

ข่าวที่ 1

"พาณิชย์" เร่งเพิ่มอาสาสมัครธงฟ้า เพื่อตรวจสอบและดูแลราคาสินค้าให้เป็นไปตามกำหนด ไม่ให้ผู้บริโภคได้รับความเดือดร้อนหรือถูกเอาเปรียบ

เมื่อวันที่ 31 ส.ค. นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า กระทรวงพาณิชย์เตรียมจัดตั้งอาสาสมัครกระทรวงพาณิชย์อีกเป็นจำนวนมาก เพื่อเข้าไปช่วยตรวจสอบและดูแลราคาสินค้าต่าง ๆ ให้เป็นไปตามที่กำหนด เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคได้รับความเดือดร้อนหรือถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ ประกอบการมากเกินไป หลังจากที่ก่อนหน้านี้กระทรวงพาณิชย์ได้จัดทำสมาชิกเครือข่ายธงฟ้า ซึ่งมีทั้งแม่บ้านธงฟ้า อาสาสมัครธงฟ้า เป็นต้น ที่ช่วยตรวจสอบดูแลราคาสินค้าและแจ้งมาให้กระทรวงพาณิชย์เพื่อเข้าไปแก้ไข ปัญหาได้ทันท่วงที จึงถือว่าเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้กระทรวงพาณิชย์ดูแลราคาสินค้าไม่ ให้ผู้ประกอบการฉวยโอกาสหรือเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค หากผู้บริโภครายใดเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือถูกเอารัดเอาเปรียบก็ขอ ให้แจ้งเบาะแสและรายละเอียดเข้ามที่สายด่วน 1569

อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าในการดูแลราคาสินค้าต้องพิจารณาต้นทุนของผู้ประกอบการ ด้วยไม่เช่นนั้นผู้ประกอบการก็ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้เช่นกัน ยืนยันว่ากระทรวงพาณิชย์จะดูแลให้เกิดความเป็นธรรมทั้งต่อผู้ประกอบการและ ผู้บริโภคเพื่อให้เกิดความสมดุล ซึ่งกระทรวงพาณิชย์มีกฎระเบียบที่ดูแลเรื่องนี้อย่างชัดเจนอยู่แล้วและจนถึงขณะนี้ยังไม่มีผู้ประกอบการขอปรับต้นทุนเพิ่มมาแต่อย่างใด

ส่วน กรณีการดูแลราคาสินค้าที่ศูนย์ราชการแห่งใหม่ ที่มีการร้องเรียนเข้ามาเป็นจำนวนมากและนายกรัฐมนตรีได้หยิบยกขึ้นมาหารือใน การประชุมครม.เศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมานั้น จะเร่งสั่งการให้กรมการค้าภายในเข้าไปดูแลโดยไปขอความร่วมมือจากผู้ประกอบ การให้ลดราคาสินค้าลงมาและอาจใช้วิธีการเดียวกับที่ดำเนินการในห้างฟาสต์ฟู้ดโดยให้มีราคาแนะนำร่วมอยู่ในรายการอาหารที่จำหน่ายด้วย เป็นต้น

วิเคราะห์
ธงฟ้าเร่งเพิ่มอาสาสมัครเพื่อเข้าไปตรวจสอบและดูแลราคาสินค้าเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ไม่เอารัดเอาเปรียบทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการ
เหตุที่ธงฟ้าต้องออกมาตรวจสอบ ผมคิดว่าเกิดจาก ค่าเงินบาทแข็งค่าทำให้สินค้าต่างๆต้องปรับราคาขึ้นตามภาวะค่าเงินบาทแข็งจึงอาจทำให้ของมีราคาแพงเกินไป

ข่าวที่ 2

ธปท.เผยปี 52 ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าขึ้นเร็วเกินไป 18,000 ล้านบาท ขณะที่เงินบาทที่แข็งค่า ทำให้การตีราคาสินทรัพย์มีมูลค่าหายไปกว่า 27,000 ล้านบาท ทำให้ทั้งปีขาดทุนสุทธิ 7,600 ล้านบาท ส่งผลให้ขาดทุนสะสมเพิ่มเป็น 82,000 ล้านบาท... 

ผู้สื่อข่าวรายงานจากธนาคารแห่งประเทศ ไทย (ธปท.) ว่า เมื่อกลางเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ธปท. ได้ออกรายงานเศรษฐกิจประจำปี 52 ซึ่งมีการรายงานงบดุลของ ธปท.ประจำปี 52 ที่ผ่านมาด้วย โดยพบว่า ในปี 52 ผลการดำเนินงานของ ธปท.เป็นการขาดทุนสุทธิทั้งสิ้น 7,661.5 ล้านบาท เทียบกับผลกำไรสุทธิ 30,642 ล้านบาท ในปี 51 และการขาดทุนของ ธปท.ในปี 52 เป็นผลขาดทุนจากการเข้าแทรกแซงดูแลค่าเงินบาท ซึ่งแข็งค่าต่อเนื่องตลอดทั้งปี 52  โดยในงบกำไร และขาดทุนของ ธปท.สิ้นปี 52 รายงานว่าด้านรายได้ ธปท.มีรายได้ทั้งสิ้น 66,638.14 ล้านบาท เป็นรายได้ที่มาจากดอกเบี้ยรับทั้งสิ้น 38,099.13 ล้านบาท และเป็นรายได้จากค่าธรรมเนียมการให้บริการทางการเงินทั้งสิ้น 677.32 ล้านบาท ที่เหลือเป็นรายได้อื่นๆ 27,861.70 ล้านบาท ด้านรายจ่าย ธปท.มีรายจ่ายปี 52 ทั้งสิ้น 74,229.66 ล้านบาท เป็นรายจ่ายจากการชำระดอกเบี้ยพันธบัตร ธปท. ที่ออกมาเพื่อดูดซับสภาพคล่องเงินบาทในระบบ 50,200.67 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายเพื่อการพนักงาน 3,401.90 ล้านบาท และเป็นรายจ่ายอื่นๆอีก 1,822.79 ล้านบาท  ทั้งนี้ ธปท.ได้ลงรายการผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 18,874.29 ล้านบาท ไว้ในด้านรายจ่ายในปี 2552 ที่ผ่านมาด้วย โดยผลขาดทุนที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากการเข้าซื้อดอลลาร์ต่อเนื่องในปีที่ผ่านมา เพื่อลดความผันผวนและการแข็งค่าที่เร็วเกินไปของค่าเงินบาท ทั้งนี้ ในงบดุลยังแสดงด้วยว่า การแข็งค่าของเงินบาทในปี 52 ที่ผ่านมา ทำให้การตีราคาสินทรัพย์ และหนี้สินของ ธปท.ในทุนสำรองทางการระหว่างประเทศเป็นเงินบาทลดลงไป 27,613.88 ล้านบาท 

ในรายงานงบดุลปี 52 ยังรายงานด้วยว่า เมื่อรวมผลขาดทุนในปี 52 แล้ว ณ ต้นปี 53 ธปท. มีผลขาดทุนสะสมทั้งสิ้น 82,096.63 ล้านบาท จากผลขาดทุนสะสม 74,434.71 ล้านบาท ในปี 51 อย่างไรก็ตาม ณ สิ้นปี 52 ธปท.มีสินทรัพย์ทั้งสิ้น 3.217 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 729,000 ล้านบาท ซึ่งมาจากการเพิ่มขึ้นของทุนสำรองทางการระหว่างประเทศ ทั้งจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด และการซื้อดอลลาร์เข้าทุนสำรองเพื่อแทรกแซงเงินบาท ขณะที่ ธปท.มีหนี้สินทั้งสิ้น 3.299 ล้านล้านบาท ทำให้มีส่วนทุนติดลบ 81,758.10 ล้านบาท เนื่องจากมีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน 

สำหรับแนวโน้มในปี 53 ธปท.ประเมินว่า การไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศ และการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ทำให้ค่าเงินบาทปีนี้แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลตลอด 8 เดือนที่ผ่านมา ธปท.ได้เข้าไปซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐฯในตลาดการเงินเพื่อพยุงไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วเกินไปเป็นระยะๆ นอกจากนั้นค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นยังส่งผลต่อการตีราคาสินทรัพย์ และหนี้สินในทุนสำรองทางการของ ธปท. ณ สิ้นปี 53 นี้ด้วย ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดผลขาดทุนเพิ่มเติมจากปีที่ผ่านมาได้ แต่ยังไม่สามารถสรุปตัวเลขจริงได้ เพราะค่าเงินบาทในช่วงต่อไปจากนี้ยังสามารถเปลี่ยนแปลงแข็งค่าหรืออ่อนค่าได้ตลอดเวลา

โดย ณ วันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมา สินทรัพย์รวมของ ธปท.ได้เพิ่มขึ้นเป็น 3.611 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 393,000 ล้านบาท จากสิ้นปี 52 ซึ่งมีสินทรัพย์ รวม 3.217 ล้านล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ต่างประเทศในทุนสำรองทางการ

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ยอดเงินทุนเคลื่อนย้ายจากต่างประเทศสุทธิ สิ้นเดือน มิ.ย.53 ธปท.รายงานว่า เป็นยอดการไหลเข้าสุทธิ 8,860 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 279,090 ล้านบาท (31.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ) โดยเป็นการเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ของภาครัฐทั้งสิ้น 1,713 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 53,959.5 ล้านบาท ขณะที่เป็นการเข้ามาลงทุนในภาคเอกชน 4,571 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 143,986.5 ล้านบาท เช่น มาจากการลงทุนโดยตรงและลงทุนในตลาดพันธบัตร 79,663 ล้านบาท และตลาดหุ้น 21,136.5 ล้านบาท ที่เหลือ 80,703 ล้านบาท ลงทุนในธนาคารพาณิชย์ 

อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งหลังปี 53 มีเงินทุนจากต่างประเทศไหลกลับเข้ามาลงทุนในประเทศ ไทยค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ เนื่องจากเริ่มมั่นใจในสถานการณ์การเมืองของไทยที่นิ่งขึ้น และเริ่มเห็นทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. โดยเดือน ก.ค.และเดือน ส.ค.มีเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศรวมกันในตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้นทั้งสิ้น 62,000-63,000 ล้านบาท โดยลงทุนในตลาดพันธบัตรสุทธิ 50,000 ล้านบาท และตลาดหุ้นสุทธิ 12,000-13,000 ล้านบาท.

วิเคราะห์
ธปท.ขาดทุนจากการแลกเปลี่ยนจากการเข้าแทรกแซงไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วเกินไป ส่งผลให้ขาดทุนสะสมเพิ่ม 82,000 ล้านบาท ในปี 2552

 

 

นาย กิตติวิทย์ ตั้งมงคลเลิศ

นายกิตติวทย์  ตั้งมงคลเลิศ

50473010025  เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

 

ข่าวที่ 1 EUร้อง "พาณิชย์"ค้านกทช. ประกาศร่างครอบงำกิจการ ชี้ปิดกั้นต่างชาติ-กระทบ3จี

"อียู" ร้อง รมว.พาณิชย์ ระบุร่างประกาศครอบงำกิจการของ กทช.ปิดกั้นต่างชาติเข้ามาลงทุนไทย และกระทบต่อการตัดสินใจประมูลไลเซ่นส์ 3จี ที่จะขึ้นจะวันที่30สิงหาคมนี้ ด้าน "บอร์ด กสท" ร่อนหนังสือถาม"คลัง-ไอซีที"ก่อนตัดสินใจฟ้อง กทช.ให้ระงับประมูล หวั่นทำค่าสัมปทานวูบ

นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27สิงหาคม ได้หารือกับ นา ย Karel De Cucht กรรมาธิการการค้าสหภาพยุโรป (อียู) ระหว่างการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (เออีเอ็ม ) ที่เมืองดานัง ประเทศเวียดนาม โดยทาง อียูแสดงความกังวลใจที่ไทยจะออกกฎระเบียบเกี่ยวกับการประกอบกิจการโทรคมนาคม เพราะนอกจากจะควบคุมความเป็นเจ้าของกิจการ คือต่างชาติถือหุ้นได้ไม่เกิน 49% แล้วยังมีเจตนาควบคุมอำนาจการบริหารกิจการด้วย ซึ่งจะทำให้มีบริษัทต่างชาติสนใจมาลงทุนลดลง ส่งผลให้ไทยมีโอกาสคัดเลือกผู้ประกอบการที่จะมาลงทุนได้น้อยลง และมูลค่าการลงทุนอาจไม่ดีเท่าที่ควร

"เราได้แจ้งให้อียูทราบว่า คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) อยู่ระหว่างการนำร่างประกาศดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการประชาพิจารณ์ โดยประกาศดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อกำกับดูแลธุรกิจ สร้างธรรมภิบาล เพื่อความมั่นคงของประเทศ ไม่ได้ต้องการกีดกันการเข้ามาลงทุนของต่างชาติ" นางพรทิวา กล่าว

มีรายงานข่าวจาก กทช.แจ้งว่า สำหรับร่างประกาศ กทช.ว่าด้วยการกำหนดข้อห้ามการกระทำที่มีลักษณะเป็นการครอบงำกิจการโดยคนต่างด้าวจะมีการกำหนดสิทธิออกเสียงของผู้ถือหุ้นต่างชาติ และห้ามต่างชาตินั่งในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงในบริษัทโทรคมนาคม

ก่อนหน้านี้บริษัทสื่อสารของไทยที่มีผู้ถือเป็นชาวต่างชาติออกมาคัดค้านเพราะเกรงว่ากระทบต่อการตัดสินใจประมูลใบอนุญาต3จีของ กทช.ที่จะเปิดให้ยื่นซองในวันที่ 30 สิงหาคมนี้ด้วย ขณะที่ทูตนอเวย์ออกมาคัดค้าน เพราะมีนักลงทุนนอร์เวย์ถือหุ้นในบริษัทสื่อสารของไทย

ด้านนายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) กล่าวว่าที่ประชุมคณะกรรมการ(บอร์ด) กสท ได้มีมติให้ทำหนังสือถาม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที และกระทรวงการคลัง ว่า กสท ควรฟ้องร้องกทช.ให้ล้มการประมูลใบอนุญาต 3จี หรือไม่ เนื่องจากกทช.ไม่มีอำนาจในการจัดสรรความถี่ใหม่ เพราะอำนาจดังกล่าวเป็นของคณะกรรมการกิจการกระเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เท่านั้น โดยอยู่ระหว่างเสนอพ.ร.บ.จัดองค์สรรคลื่นคามถี่ และกับการประกอบกิจการ กระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคม อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร
        ทั้งนี้การประมูล 3 จี ขอ งกทช.ยังส่งผลกระทบต่อ กสท ทำให้รายได้จากสัมปทานลดลง เพราะผู้รับสัมปทาน ทั้งบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ ดีแทค และ บริษัท ทรูมูฟ จำกัด จะต้องไปประมูลไลเซ่นส์ใหม่และโอนย้ายลูกค้าจากสัมปทานเดิมไปเป็นระบบ3จีแทน

 

วิเคราะห์

เนื่องจากไทยจะออกกฎระเบียบเกี่ยวกับการประกอบกิจการโทรคมนาคม เพราะนอกจากจะควบคุมความเป็นเจ้าของกิจการ คือต่างชาติถือหุ้นได้ไม่เกิน 49% แล้วยังมีเจตนาควบคุมอำนาจการบริหารกิจการด้วย ซึ่งจะทำให้มีบริษัทต่างชาติสนใจมาลงทุนลดลง ส่งผลให้ไทยมีโอกาสคัดเลือกผู้ประกอบการที่จะมาลงทุนได้น้อยลง และมูลค่าการลงทุนอาจไม่ดีเท่าที่ควร

 

ที่ 2 แบงก์ขอข่าวส่ง0.1%ส.ประกันเงินฝาก
นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า หลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เป็น 1.75% จะมีผลให้ธนาคารพาณิชย์ปรับขึ้นดอกเบี้ยตาม โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ส่วนจะปรับขึ้นในอัตราเท่าใดขึ้นอยู่กับธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่ง เพราะมีต้นทุนแตกต่างกัน ยืนยันว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยจะขึ้นทั้งเงินฝากและเงินกู้ และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยก็ไม่สูงอย่างที่เข้าใจกัน โดยการคิดส่วนต่างดอกเบี้ยที่นำดอกเบี้ยเงินกู้เอ็มแอลอาร์มาลบกับดอกเบี้ยเงินฝากเป็นการคำนวณที่ผิด เพราะต้นทุนทางการเงินของธนาคารพาณิชย์มีหลายส่วน และการปล่อยกู้ของสถาบันการเงินในช่วงปีแรกก็ไม่ได้คิดดอกเบี้ยเอ็มแอลอาร์เต็มจำนวน โดยจะมีส่วนลดให้กับลูกค้าเพราะมีการแข่งขันที่รุนแรง ส่วนต้นทุนเงินฝากของธนาคารก็เพิ่มขึ้นหลังผ่านวิกฤตการเงินปี"40 เพราะอัตราการนำเงินส่งเข้าสถาบันประกันเงินฝากเพิ่มขึ้นจาก 0.1% เป็น 0.4% ของเงินฝากรวม ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นๆ เพราะต้องการคุ้มครองเงินฝากให้ลูกค้า
"ขณะนี้ระบบการเงินและภาพรวมเศรษฐกิจกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว เห็นควรที่จะลดอัตราเงินนำส่งให้กลับมาอยู่ที่ 0.1% เพื่อลดต้นทุนการเงินให้ธนาคารพาณิชย์และจะได้มีส่วนในการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับลูกค้าได้ โดยจะเสนอเรื่องนี้ไปยังนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ซึ่งกำกับดูแลสถาบันประกันเงินฝาก" นายธวัชชัยกล่าว
 

วิเคราะห์

ส่วนค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น มาจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศ ทำให้ทุนสำรองระหว่างประเทศในรูปเงินสกุลเหรียญสหรัฐสูงขึ้น ซึ่งหากดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลต่อเนื่อง เงินบาทก็ยังคงมีทิศทางแข็งค่าต่อไป ส่วนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและมีผลทำให้เงินทุนต่างประเทศเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาทนั้น เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้น

พัฒนพล จารุวงศ์พันธ์

นายพัฒนพล จารุวงศ์พันธ์ รหัส 50473010044

ข่าวที่ 1

ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)แถลง ภาวะเศรษฐกิจเดือน ก.ค.53 ว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล  1,134 ล้านดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากดุลการค้าขาดดุล 791 ล้านดอลลาร์สรอ.เป็นผลจากการส่งออกมีมูลค่า 15,475 ล้านดอลลาร์สรอ. เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน 21.2% เป็นอัตราที่ชะลอตัวจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้น 47.1%

การส่งออกยังขยายตัวดีในทุกหมวด ยกเว้นการส่งออกสินค้าเกษตร ซึ่งแม้โดยรวมจะขยายตัวได้ดี แต่เป็นผลจากด้านราคาที่ขยายตัวสูง ขณะที่ปริมาณส่งออกหดตัว โดยเฉพาะข้าว เนื่องจากการแข่งขันที่สูงขึ้นจากเวียดนาม

ขณะที่การนำเข้าในเดือนนี้มีมูลค่า 16,266 ล้านดอลลร์สรอ.เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อน 36.5% ขยายตัวดีทุกหมวด โดยเฉพาะการนำเข้ายานยนต์และชิ้นส่วน และวัตถุดิบที่ขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งจะนำมาใช้ผลิตเพื่อการส่งออกในระยะต่อไป

วิเคราะห์

     เศรษฐกิจไทยในเดือน ก.ค. ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล เพราะ สินค้่าการเกษตรส่งออกได้ลดลง เเละมีการเเข่งขันสูงขึ้นจากประเทศเพื่อนบ้านในสินค้าเกษตร เเละอีำกปัจจัยคือการนำเข้ายานยนต์ ชิ้นส่วน และวัตถุดิบที่ขยายตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตต่อไป

 

ข่าวที่ 2

นาย ปราโมทย์ เตชะสุพัฒน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์ จำกัด ในกลุ่ม SCG เปิดเผยว่า ความต้องการใช้ปูนซิเมนต์ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่คาดว่า อัตราการเติบโตจะชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งคาดว่าน่าจะโตได้เพียงร้อยละ 5 โดยสรุปรวมทั้งปี ตลาดขยายตัวประมาณร้อยละ 10 ซึ่งเป็นการขยายตัวในอัตราเดียวกับยอดขายของบริษัท และคาดว่าความต้องการใช้ปูนซิเมนต์จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 3 ปีข้างหน้า หลังจากผ่านจุดต่ำสุดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาไปแล้ว โดยเฉลี่ยอัตราการขยายตัวต่อปีที่ร้อยละ 5

สำหรับในปีนี้ บริษัทคาดว่าจะมียอดส่งออกปูนซิเมนต์ไปต่างประเทศ ประมาณ 7 ล้านตัน ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ในขณะที่กำลังการผลิตในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 75 เป็นร้อยละ 85-90 โดยตั้งงบลงทุนในช่วง 5 ปีข้างหน้า ไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท สำหรับการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ

วิเคราะห์

     ความต้องการใช้ปูนซิเมนต์ในช่วงครึ่งปีแรกมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 เเต่ในช่วงครึ่งปีหลังจะชะลอตัวลงเหลือเพียงร้อยละ 5  สรุปทั้งปีจะขยายตัวร้อยละ 10 ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่เเล้วได้ชะลอตัว คาดว่าในอนาคตจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องใน 3ปีต่อไปเเละได้มีการเพิ่มกำลังการผลิตในปีนี้ จากร้อยละ 75 เพิ่มเป็น ร้อยละ 85-90 โดยตั้งงบไว้ 5 ปีข้างหน้า กว่า 20,000 ล้านบาทของตลาดทั้งในและต่างประเทศ

นางสาวเหมือนฝัน คำใจดี

50473010049

สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

1.ดร.ธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึง เงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขณะนี้ว่า เป็นไปตามพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่ยังดีอยู่ ไม่ได้เป็นผลจากการเข้ามาถล่มเก็งกำไร ซึ่งธปท.ไม่จำเป็นต้องมีมาตรการเสริม เพื่อดูแลการแข็งค่าของเงินบาท เพราะไม่ได้เกิดกับเราคนเดียว โดยธปท.พร้อมเข้าดูแลค่าเงินบาทหากเกิดความผันผวนขึ้น ซึ่งเชื่อว่าภาคเอกชนจะสามารถปรับตัว รับกับการแข็งค่าของเงินบาทได้เช่นกัน ผู้ว่าการธปท. กล่าวถึง กรณีที่นายกฯเรียกประชุมเพื่อหารือถึงสถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่าในวันพรุ่งนี้ว่า ธปท.พร้อมชี้แจงการทำหน้าที่ดูแลค่าเงินบาทและเงินทุนไหลเข้าตามข้อเท็จจริง ซึ่งในการทำหน้าที่ดูแลค่าเงินบาท ธปท.จะดูไม่ให้ค่าเงินผันผวน แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปกำหนดไว้ที่อัตราใดอัตราหนึ่งได้ เพราะขึ้นกับอุปสงค์และอุปทานของเงินด้วย หมายถึงถ้าเศรษฐกิจดี ส่งออกดี เงินทุนก็เลือกจะเข้ามา ส่งผลให้ค่าเงินปรับแข็งค่าขึ้นบ้าง และเป็นการแข็งค่าตามพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยที่ดีขึ้นด้วย ธปท.ยังคงมีมาตรการดูแลเงินทุนไหลที่เหมาะสมไว้รับมืออยู่แล้ว เช่น มาตรการกันสำรองเงินทุนนำเข้าเข้าระยะสั้น 30% ที่เคยใช้ก่อนหน้านี้ หรืออีกหลายๆมาตรการก็มีการศึกษาอยู่ เพียงขณะนี้ไม่คิดว่าควรจะใช้เครื่องมือใด เพระการไหลเข้าเงินทุนไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะไทยเท่านั้นแต่เป็นทั้งภูมิภาค ซึ่งหากเกิดเหตุการเงินไหลเข้าไทยฝ่ายเดียวก็คงต้องหันกลับมาคิดหนักว่าไทยมีจุดอ่อน หรือจุดแข็งใดที่ดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศเข้ามา

วิเคราะห์:

เนื่องจากการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงนี้แข็งค่าเร็ว จากเดิมแข็งค่าประมาณ 3.5% แต่พอมาเดือน มิ.ย.แข็งขึ้นประมาณ 6.4% เนื่องจากก่อนหน้านี้เรามีปัญหาภายใน ทำให้ตอนนี้เราแข็งเป็นอันดับ 2 ของภูมิภาค รองจากมาเลเซีย แต่การแข็งค่าเป็นไปตามพื้นฐานเศรษฐกิจ ไม่ใช่แข็งจากเงินทุนไหลเข้ามาเก็งกำไรซะทีเดียว เพราะเงินทุนย่อมหาที่ที่ผลตอบแทนดีกว่าซึ่งเป็นกันทั้งภูมิภาค ไม่ใช่เฉพาะไทย

2.วันนี้ (1 ก.ย.) นายทิม ลี ประธานกรรมการ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ อินเตอร์เนชั่นเนล โอเปอเรชั่น เข้าเยี่ยมคารวะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางมาเยือนไทย โดยมีนายเกียรติ สิทธีอมร ประธานผู้แทนการค้าไทย เข้าร่วมสนทนาด้วย นายกฯ กล่าวชื่นชมบริษัท ฯ ที่มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยกำหนดเป้าหมายที่จะขอเพิ่มส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ในไทยให้มากขึ้น สอดคล้องกับบรรยากาศเศรษฐกิจทั่วโลกที่มีการปรับตัวดีขึ้น ทำให้ตลาดรถยนต์ในภูมิภาคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา หรือภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมีการขยายตัว ซึ่งรัฐบาลไม่เพียงสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ ยังมีนโยบายชัดเจนในการส่งเสริมการพัฒนาพลังงานทางเลือกในประเทศไทย โดยเล็งเห็นประโยชน์ในการลดการใช้พลังงานจากน้ำมันและการรักษาสภาพแวดล้อมควบคู่กัน ประธานกรรมการ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ อินเตอร์เนชั่นเนล โอเปอเรชั่น กล่าวขอบคุณรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงการคลัง ที่ให้คำแนะนำในการดำเนินกิจกรรมของบริษัทฯเป็นอย่างดี โดยยืนยันว่า บริษัท ฯ มีแผนขยายการลงทุนในไทย โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตและส่วนแบ่งการตลาด ซึ่งจะก่อให้เกิดกิจกรรมทางธุรกิจเพิ่มมากขึ้น เป็นผลให้เพิ่มการจ้างงานจากจำนวนพนักงาน 2,000 คนในปัจจุบัน เป็น 4,000 คนในอนาคต และจะผลักดันให้พนักงานไทยที่มีศักยภาพขึ้นมาดำรงตำแหน่งบริหารในองค์การเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

ทั้งนี้ ประธานกรรมการ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ อินเตอร์เนชั่นเนล โอเปอเรชั่น ยังได้กล่าวสนับสนุนรัฐบาลไทย ที่เห็นความสำคัญของพลังงานทางเลือก ซึ่งรถยนต์หลายรุ่นจะมีการออกแบบเครื่องยนต์เพื่อตอบสนองการใช้เอทานอล ทั้งในรูปแบบ E20 หรือ E 85 ขณะนี้ ในสหรัฐ ฯ ก็มีการขยายสถานีบริการ เพื่อรองรับรถยนต์เหล่านี้ด้วย

วิเคราะห์:

เนื่องจากมีการขอเพิ่มส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ในไทยมากขึ้น และยังสอดคล้องกับบรรยากาศเศรษฐกิจทั่วโลกที่มีการปรับตัวดีขึ้น ทำให้ตลาดรถยนต์ในภูมิภาคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา หรือภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมีการขยายตัว ซึ่งรัฐบาลไม่เพียงสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ ยังมีนโยบายชัดเจนในการส่งเสริมการพัฒนาพลังงานทางเลือกในประเทศไทย ทำให้ได้ประโยชน์ในการลดการใช้พลังงานจากน้ำมัน และยังช่วยรักษาสภาพแวดล้อมควบคู่กัน ทำให้สภาพแวดล้อมไม่ถูกทำลายเหมือนกับรถที่ใช้น้ำมันทั่วไป ทั้งยังก่อให้เกิดกิจกรรมทางธุรกิจเพิ่มมากขึ้น ช่วยให้ประชาชนที่กำลังว่างงานมีการจ้างงานเกิดขึ้นและเป็นผลให้เพิ่มการจ้างงาน ส่งผลให้มีเงินหมุนเวียนในประเทศมากขึ้นทำให้ภาวะเศรษฐกิจดี พร้อมทั้งผลักดันให้พนักงานไทยที่มีศักยภาพขึ้นมาดำรงตำแหน่งบริหารในองค์การเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

นางสาวจันทกานต์ ศรีมาวรรณ์

นางสาวจันทกานต์  ศรีมาวรรณ์ 

รหัสนักศึกษา 50473010040 

คณะวิทยาการจัดการ 

โปรแกรมวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ 

 

งานชิ้นที่ 2 ของการวิเคราะห์ข่าวนะคะ 

 

สำนักข่าวอิน โฟ เควสท์ (IQ) -- พุธที่ 1 กันยายน 2553 17:20:47 น.

ข่าวที่ 1  เงินบาทปิด 31.17/19 แนวโน้มยังแข็งค่า-เงินทุนไหลเข้าไม่หยุด

นักบริหาร​เงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยาปิด​เผยว่า ​เงินบาทปิดตลาด​เย็นนี้อยู่ที่ระดับ 31.17/19 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัว​แข็งค่าต่อ​เนื่องจากช่วง​เช้าที่​เปิดตลาดที่ระดับ 31.26/27 บาท/ดอลลาร์

ปิดตลาดวันนี้​เงินบาทปรับตัว​แข็งค่าขึ้นอีกจากช่วง​เช้า ​โดยยังคงมาจากปัจจัย​เดิมคือ ​เงินทุน​ไหล​เข้าตลาดหุ้นอย่างต่อ​เนื่อง จากสา​เหตุที่นักลงทุน​ให้​ความ​เชื่อมั่นที่จะมาลงทุน​ในตลาด​เอ​เชีย มากกว่า ​เพราะมองว่า​เศรษฐกิจของประ​เทศ​ใน​เอ​เชียฟื้นตัว​เร็วกว่าประ​เทศ​ใน​แถบ ยุ​โรป ​และสหรัฐอ​เมริกา

"ยัง​ไม่มีปัจจัยอื่น นอกจาก Flow ที่​เข้ามา​ในตลาดหุ้น ​เพราะนักลงทุนมองว่า​เศรษฐกิจ​ใน​เอ​เชียฟื้นตัว​เร็วกว่าทางยุ​โรป ​และอ​เมริกา ประกอบกับ exporter ยังมี​แรงขายดอลลาร์ต่อ​เนื่อง" นักบริหาร​เงิน ระบุ

                ทั้งนี้ ระหว่างวันธนาคาร​แห่งประ​เทศ​ไทย(ธปท.) ​ได้​เข้ามาดู​แลค่า​เงินบาท ​โดย​เข้ามาซื้อดอลลาร์​ไว้ ​เพื่อ​ไม่​ให้​เงินบาท​แข็งค่ามาก​ไปกว่านี้

ส่วน​ความ​เคลื่อน​ไหวของสกุล​เงินต่างประ​เทศ​ในช่วงปิดตลาด​เย็นนี้ ​เงิน​เยนอยู่ที่ระดับ 84.06/09 ​เยน/ดอลลาร์ ส่วน​เงินยู​โรอยู่ที่ระดับ 1.2786/2788 ดอลลาร์/ยู​โร

นักบริหาร​เงิน คาดว่า ​เงินบาทวันพรุ่งนี้ยังมี​โอกาส​แข็งค่า​ได้อีก มองกรอบ​ไว้ที่ 31.10-31.25 บาท/ดอลลาร์


วิเคราะห์

                จากการที่เงินบาทในประเทศเราแข็งค่า  ส่งผลให้นักลงทุนเข้ามาร่วมลงทุนกับไทยเป็นจำนวนมาก  เนื่องจากประเทศไทยมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้เร็วกว่าประเทศในแถบยุโรป และสหรัฐอเมริกา  นักลงทุนส่วนใหญ่จึงมีความเชื่อถือในการนำเงินมาลงทุนในประเทศไทย

                จากการที่นักลงทุนมาลงทุนในประเทศไทยทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจภายในประเทศมากยิ่งขึ้น  ทำให้เกิดเงินสะพัดมากขึ้นด้วย  ส่งผลให้มีเงินจากต่างประเทศไหลเข้ามาในไทยเป็นจำนวนมาก  เมื่อประเทศไทยมีการฟื้นตัวก็จะทำให้เกิดการจ้างงาน  ประชากรภายในประเทศมีการเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

                อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่าการที่ประเทศไทยมีความน่าเชื่อถือและมีความพร้อมในหลายๆด้าน  จะสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นคง  ส่งผลให้นักลงทุนกล้าเข้ามาลงทุนในประเทศไทย  เงินบาทจึงแข็งค่าขึ้น

 

สำนักข่าวอิน​โฟ​เควสท์ (IQ) -- พุธที่ 1 กันยายน 2553 17:40:02 น. 

ข่าวที่ 2  ผู้บริหาร GM เผย เตรียมขยาย การลงทุนผลิตรถยนต์ ใน ไทยหวัง เพิ่มมาร์ ก็ต ชร์

นายทิม ลี ประธานกรรม​การบริษัท ​เจน​เนอรัล มอ​เตอร์ อิน​เตอร์​เนชั่น​เนล ​โอ​เปอ​เรชั่น ​เผยมี​แผนขยาย​การลงทุน​ใน​ไทย ​โดยตั้ง​เป้าหมาย​เพิ่มกำลัง​การผลิต​และส่วน​แบ่ง​การตลาด ​ซึ่งจะก่อ​ให้​เกิดกิจกรรมทางธุรกิจ​เพิ่มมากขึ้น​และ​เพิ่ม​การจ้างงานจาก จำนวนพนักงาน 2,000 คน​ในปัจจุบัน ​เป็น 4,000 คน​ในอนาคต ​และผลักดัน​ให้พนักงาน​ไทยที่มีศักยภาพขึ้นมาดำรงตำ​แหน่งบริหาร​ในองค์​ การ​เพิ่มมากขึ้น

พร้อมกันนี้ ประธานกรรม​การบริษัท ​เจน​เนอรัล มอ​เตอร์ฯ ยังสนับสนุนน​โยบายของรัฐบาลที่​เห็น​ความสำคัญของพลังงานทาง​เลือก ​ซึ่งรถยนต์หลายรุ่นของบริษัทฯ จะออก​แบบ​เครื่องยนต์​เพื่อตอบสนอง​การ​ใช้​เอทานอล ​ทั้ง​ในรูป​แบบ E20 ​และ E85

ทั้งนี้ ประธานกรรม​การบริษัท ​เจน​เนอรัล มอ​เตอร์ฯ ​ได้​เข้า​เยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีที่​ทำ​เนียบรัฐบาล ​ใน​โอกาส​เดินทางมา​เยือน​ไทย

 วิเคราะห์

                บริษัท GM ซึ่งเป็นบริษัทผลิตยานยนต์ยักษ์ใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีความตั้งใจที่จะขยายตลาดในประเทศไทย  ซึ่งจะส่งผลดีมากมายต่อประเทศไทย  อาทิเช่น  มีการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น  ส่งผลให้ประชากรมีรายได้  จำนวนประชากรว่างงานลดน้อยลง  อีกทั้งพนักงานคนไทยยังสามารถที่จะขึ้นเป็นผู้บริหารของบริษัทได้  เมื่อประชากรมีรายได้จะนำเงินมาใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจ  ทำให้ระบบเศรษฐกิจมีเงินหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา 

                การที่บริษัทฯดำ​เนินธุรกิจ​ใน​ไทย ​โดยมี​เป้าหมายที่จะ​เพิ่มส่วน​แบ่งตลาดรถยนต์​ให้มากขึ้น​ซึ่งสอดคล้องกับ  บรรยากาศ​เศรษฐกิจทั่ว​โลกที่มี​การปรับตัวดีขึ้น ​ทำ​ให้ตลาดรถยนต์​ในภูมิภาคต่างๆ ​ไม่ว่าจะ​เป็นสหรัฐอ​เมริกา ​หรือภูมิภาค​เอ​เชีย-​แปซิฟิก มี​การขยายตัว ​ทั้งนี้รัฐบาล​ไม่​เพียงสนับสนุน​การลงทุน​ในอุตสาหกรรมยานยนต์​เท่านั้น ​แต่ยังมีน​โยบายชัด​เจน​ใน​การส่ง​เสริม​การพัฒนาพลังงานทาง​เลือก ​โดย​เล็ง​เห็นประ​โยชน์​ใน​การลด​การ​ใช้พลังงานจากน้ำมัน​และ​การรักษา สภาพ​แวดล้อมควบคู่กัน

นางสาว สุภาพร  มูลจันทร์ 

รหัส: 50473010020

โปรแกรม: เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

……………………………………………………………………………………………………………………

 

งานชิ้นที่ 2 ของการวิเคราะห์ข่าวเศรษฐกิจ

 แหล่งที่มา : ไทยรัฐ  พฤหัสบดีที่  2  กันยายน  2553 

  ข่าวที่ 1 :   ครม.เศรษฐกิจไร้มาตรการแก้บาทแข็งชี้ส่งออกยังแข่งได้

              "กรณ์" ชี้ค่าเงินบาทแข็งค่าในระดับกลางเมื่อเทียบกับเอเชียด้วยกัน ผู้ส่งออกไทยยังมีขีดความสามารถในการแข่งขันได้ พร้อมสั่ง ธปท. จับตาแรงเก็งกำไรในตราสารหนี้เป็นพิเศษ
              เมื่อวันที่ 2 ก.ย.  กรณ์ กล่าวในที่ประชุม   ได้หารือกันหลายประเด็นโดยเฉพาะเรื่องของค่าเงินบาทที่แข็งค่า เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีข้อเท็จจริงว่าการแข็งค่าดังกล่าวเป็นไปในแนวทางเดียวกับทุกสกุลใน เอเชียที่แข็งมากขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่อ่อนแอและยังมีภาระหนี้สินที่สูงมาก ทำให้ความเชื่อมั่นต่อเงินดอลลาร์สหรัฐลดลง อย่างไรก็ตามเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นยังถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ โดยหลายประเทศสูงกว่า เช่น มาเลเซีย ส่วนอินโดนีเซียใกล้เคียงหรืออ่อนค่ากว่าบาทเล็กน้อยแต่ถ้ามองโดยรวมในช่วง ปี ที่ผ่านมาค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นใกล้เคียงประเทศในเอเชียด้วยกัน 
             
“ผลกระทบตลอดปีที่ผ่านมาค่าเงินบาทแข็งขึ้น 6% แต่การส่งออกสูงมากสะท้อนให้เห็นขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย ซึ่ง สศช.ได้รายงานข้อมูลด้วยว่าครึ่งหนึ่งของการส่งออกเป็นการส่งออกใน อุตสาหกรรมที่ต้องสั่งซื้อสินค้าทุนและวัตถุดิบเข้ามาแม้จะเสียโอกาสในการ ส่งออกแต่ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นทำให้เงินที่นำไปซื้อวัตถุดิบลดน้อยลง ก็หักลบกันไป ฉะนั้นยังไม่เห็นปัญหาที่กระทบกับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกโดย เฉพาะรายใหญ่มีการต่อรองราคาขายสินค้าเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐที่สูงขึ้นส่วน ผู้ส่งออกรายเล็กอาจจะไม่มีอำนาจการต่อรองตรงนี้ จึงต้องหาทางบริหารความเสี่ยงให้ได้” รมว.คลัง กล่าว

วิเคราะห์
               จากข่าวนี้จะเห็นได้ว่า มาตรการที่ ธปท. ใช้ในการสกัดไม่ให้มีการเข้ามาเก็งกำไรเกินควร  ถึงจะมีอยู่เพียงพอแล้ว  ธปท.ควรระมัดระวังเป็นพิเศษหากมีการเข้ามาเก็งกำไร หรือมีสัญญาณให้จับตาดู  โดยเฉพาะทางตลาดตราสารหนี้ ที่อาจจะมีแรงกดดันที่เกิดขึ้นจากปัจจัยอื่นนอกจากด้านเศรษฐกิจที่แท้จริง รวมทั้งมาตรการดูแลผู้ส่งออกให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน

 

แหล่งที่มา : กรุงเทพธุรกิจ  พฤหัสบดีที่  2  กันยายน  2553 

ข่าวที่ 2 :    กรมสรรพากรเก็บรายได้ 11 เดือนแรก ปีงบประมาณ 53 เกินเป้า  ร้อยละ 10

               เมื่อวันที่ 2 ก.ย. นายวินัย  วิทวัสการเวช อธิบกรมสรรพากร เปิดเผยภายหลังเป็นประธานร่วมงานสถาปนาวันครบรอบ ปีที่ 95 ของกรมสรรพากร ว่าในปีนี้ กรมสรรพากรมีการเปิดศูนย์บริการสำหรับผู้เสียภาษีทุกราย พร้อมทั้งเปิดคอลเซ็นเตอร์ เบอร์ใหม่ 1161 เพื่ออำนวยความสะดวกด้านข้อมูลการเสียภาษีแก่ประชาชน และช่วยให้การจัดเก็บภาษีเป็นไปตามเป้าหมาย  โดยในปีนี้ ตั้งเป้าหมายการขยายฐานผู้เสียภาษีไว้ 350,000 ราย  แต่ทำได้เกินเป้าหมายแล้ว และคาดว่าทั้งปีฐานผู้เสียภาษีน่าจะเกิน 400,000  ราย
              สำหรับการจัดเก็บภาษีรายได้ของกรมสรรพากรในช่วง 11 เดือนแรก ปีงบประมาณ 2553 สามารถจัดเก็บรายได้ได้เกินเป้าหมายแล้ว  เนื่องจากภาษีเงินได้ภาษีนิติบุคคลในเดือนสิงหาคม สูงเกินคาดหมาย โดยคาดว่าการจัดเก็บรายได้ทั้งปีงบประมาณ 2553 จะเกินเป้าหมายประมาณร้อยละ 10  จาก 1.189 ล้านล้านบาท มาอยู่ที่ 1.518 ล้านล้านบาท  และคาดว่าในปีงบประมาณ 2554  น่าจะจัดเก็บรายได้ตามเป้าหมายที่ 1.305 ล้านล้านบาท  เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และน่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง
               กรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)  เสนอให้กรมสรรพากรลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ประกันสุขภาพและประกันบำนาญ ว่า ขณะนี้กรมสรรพากรอยู่ระหว่างการศึกษาพิจารณาผลดีและผลเสีย 

วิเคราะห์

               จากข่าวนี้จะเห็นได้ว่า หากมีการลดหย่อนภาษีอาจมีผลต่อการจัดเก็บรายได้  ถึงแม้ว่าจะเป็นผลดีต่อการออมเงินของประชาชน  เพื่อให้มีเงินจับจ่ายใช้สอย ทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้นควรจะโดยต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

 

 

 

 

 

 

 

 

นางสาวรัชนีกร นิยมทัศน์

นางสาวรัชนีกร  นิยมทัศน์  50473010006

โปรแกรมวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

...............................................................................................

ข่าวที่  1  ทริสเรทติ้งจัดสัมมนาใหญ่ประจำปี สะท้อนภาพรวมและมุมมองแนวโน้มอนาคตธุรกิจสำคัญของไทย

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จัดสัมมนาใหญ่ประจำปี 2553 หัวข้อ “In the Midst of the Mist, Where Are We Heading?” เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2553 ที่โรงแรมดุสิตธานี โดยมีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยแสดงปาฐกถาพิเศษเรื่อง “การพัฒนาระบบสถาบันการเงิน: ความท้าทายและบทบาทต่อเศรษฐกิจไทย” พร้อมทั้ง Mr. Aninda Mitra, Vice President, Senior Analyst จาก Moody’s Investors Service บรรยายเรื่อง “Moody’s Mid-Year Outlook for Asia-Pacific Sovereign Ratings” รวมทั้งกรรมการผู้จัดการทริสเรทติ้งบรรยายเรื่อง “ตรวจสุขภาพของภาคธุรกิจจริง”

ปัจจุบัน ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตให้แก่องค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนจำนวนรวมทั้งสิ้น 95 ราย โดยมีมูลค่าตราสารหนี้ที่จัดอันดับเครดิตรวมกว่า 544,579 ล้านบาท จากการประเมินธุรกิจของผู้ประกอบการที่จัดอันดับเครดิตกับทริสเรทติ้งในปี 2552 พบว่าได้รับผลกระทบจากวิกฤติการเงินโลกไม่มากนัก ในขณะที่ปัญหาความรุนแรงภายในประเทศในเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมบางประเภท เช่น โรงแรม และสายการบิน อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการส่วนมากเริ่มกลับมามีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศเนื่องจากความเชื่อมั่นที่เริ่มกลับคืนมา

วิเคราะห์   จากปัญหาการเมืองที่ผ่านมาส่งผลกระทบให้ธุรกิจหลายธุรกิจซบเซา  แต่หลังจากนั้นก็เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น  แต่ก็มีธุรกิจบางกลุ่มซบเซาอยู่  เช่น  ธุรกิจหลักทรัพย์ที่สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพที่เกิดขึ้นในสหรัฐ  ฯ  ที่ก่อให้เกิดวิกฤตการเงินที่ลุกลามไปทั่วโลก

ข่าวที่  2  นายกฯ เผยซักซ้อมกลไก-มาตรการเพื่อเตรียมพร้อมรับมือหากมีเก็งกำไรค่าบาท

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจชุดเล็กในช่วงเช้าวันนี้ได้มอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)จับตาอย่างใกล้ชิดในส่วนของเงินทุนที่ไหลเข้ามามากจนทำให้เงินบาทแข็งค่าอย่างหนัก พร้อมทั้งซักซ้อมกลไกและมาตรการต่างๆ ที่จะนำมาใช้ป้องกันการเก็งกำไรและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งถือว่า ธปท. มีความพร้อมที่จะดูแลตรงจุดนี้ได้อยู่แล้ว

ธปท. จับตาดูอยู่อย่างใกล้ชิด ซึ่งก็มีความพร้อมที่จะรับมือได้ ขณะนี้คงไม่สามารถบอกเหตุได้ว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น" นายกฯ กล่าว

แต่ทั้งนี้ยืนยันว่าค่าเงินบาทในขณะนี้ ยังเป็นไปในทิศทาเดียวกับภูมิภาค และการออกมาตรการต่างๆ ยังถือว่ามีความคล้ายคลึงกัน โดยสิ่งที่ทางการกำลังดำเนินการในขณะนี้ คือ ดูแลไม่ให้ค่าเงินบาทเกิดความผันผวนมากจนเกินไป

สำหรับอัตราเงินเฟ้อในขณะนี้ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ถือว่าไม่อยู่ในช่วงที่ตื่นตระหนก เพราะยังอยู่ในเป้าหมายที่ธปท.ได้กำหนดเอาไว้ และหากมองไปข้างหน้าตามฐานดัชนีของราคา ยังถือว่าไม่มีปัญหาอะไร และจากที่ทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์) ได้รายงาน ยังถือว่าอยู่ในช่วงที่ดูแลได้

วิเคราะห์    เศรษฐกิจปัจจุบันขยายตัวเพิ่มมากขึ้น  เงินทุนที่ไหลเข้ามาก็เพิ่มมากขึ้นทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าสูงขึ้นเช่นกัน  ฉะนั้นการมีมาตรการรองรับเอาไว้  เพื่อคอยแก้ไขปัญหาเป็นสิ่งที่ดี  เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นสามารถแก้ไขปัญหาได้ทันถ่วงที

นายชัยนุกูล เสือเจริญ

นายชัยนุกูล  เสือเจริญ  50473010017

โปรแกรมวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

................................................................................

ข่าวที่  1  ถกด่วนสู้บาทแข็งโป๊ก     นายกฯหารือครม.ศก.   หวั่นภาคส่งออกเดี้ยง   ดับฝันเศรษฐกิจฟื้นตัว

กระแสเงินทุนไหลเข้า กดดันค่าเงินบาทแข็งโป๊กล่าสุดแตะ 31.17-19 บาทต่อดอลล่าร์ ทำสถิติสูงสุด ในรอบ 26 เดือน ทำให้นายกฯต้องเรียกประชุมครม.เศรษฐกิจด่วน หามาตรการรับมือ ด้านแบงก์ชาติยอมรับกระทบรายได้ผู้ส่งออก ยืนยันพร้อมเกาะติดใกล้ชิดและมีแผนรองรับอยู่แล้ว

มีรายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ(ครม.ศก.)ชุดเล็ก พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นการด่วน ในวันที่ 2 กันยายนนี้ เวลา 7.00 น.เพื่อหารือปัญหาค่าเงินบาท หลังจากที่แข็งค่าทำสถิติสูงสุดในรอบ 26 เดือน ล่าสุดแตะระดับ 31.17-19 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ

วิเคราะห์

เนื่องจากเงินทุนไหลเข้าเป็นทิศทางเดียวกันหมดทั้งภูมิภาค ไม่ใช่เกิดขึ้นเฉพาะประเทศไทย แต่ถึงอย่างไรก็ตามธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีนโยบายการดูแลอยู่แล้ว และสถานการณ์ขณะนี้ยังไม่จำเป็นต้องมีมาตรการมาดูแลเพิ่มเติมเป็นพิเศษ

ข่าวที่  2    ก.ล.ต.ปรับปรุงเกณฑ์เพื่อสนับสนุนรัฐบาลตปท.ขายหุ้นกู้ securitization

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ก.ล.ต.ประจำเดือน ก.ย.เห็นชอบให้แก้ไขหลักเกณฑ์การออกและเสนอขายหุ้นกู้จากการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ (หุ้นกู้ securitization) ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น

หลักเกณฑ์ที่แก้ไขในครั้งนี้เป็นการเปิดโอกาสให้รัฐบาลต่างประเทศสามารถเป็นผู้ระดมทุน (originator) ในโครงการออกและเสนอขายหุ้นกู้ securitization ได้ โดยให้ทำได้ทั้งในรูปสกุลเงินบาทและเงินตราต่างประเทศ และใช้อันดับความน่าเชื่อถือที่จัดทำโดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศได้

และเพื่อเป็นการคุ้มครองผู้ลงทุน หลักเกณฑ์จึงได้กำหนดให้ผู้ระดมทุนต้องเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนหากออกหุ้นกู้เป็นเงินตราต่างประเทศ และความเสี่ยงจากการที่ originator เป็นต่างประเทศ เช่น การมีแหล่งรายได้จากต่างประเทศ และข้อจำกัดของการบังคับใช้กฎหมาย เป็นต้น

วิเคราะห์   การปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าว  สามารถช่วยให้ประเทศสมาชิกสามารถออกและเสนอขายสินค้าระหว่างกันได้สะดวกขึ้น และการให้รัฐบาลต่างประเทศเสนอขายหุ้นกู้ securitization ได้นี้ เป็นการส่งเสริมบทบาทของตลาดทุนไทยในภูมิภาคได้ดียิ่งขึ้น เพราะเมื่อเราอนุญาตให้รัฐบาลต่างประเทศเสนอขายตราสารดังกล่าวในไทยได้แล้ว ต่อไปในอนาคตบริษัทหรือธุรกิจในประเทศเหล่านั้นก็จะเห็นแนวทางที่จะเข้ามาทำธุรกรรมในตลาดทุนในรูปแบบอื่นอีก

นางสาวอำพร ธนเสฎธากุล.

นางสาวอำพร  ธนเสฎธากุล.  รหัสนักศึกษา  50473010008

โปรแกรมวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

คณะวิทยาการจัดการ

.............................................................................

1.  'หวั่นฟ้องร้อง'3จี'ซ้ำรอยมาบตาพุด

แนะให้จับตาแรงเก็งกำไรอสังหาฯกลับสู่ภาวะฟองสบู่ ขณะที่กลุ่มพลังงาน ห่วงราคาก๊าซธรรมชาติที่ผันผวน รวมทั้งธุรกิจเช่าซื้อ-นอนแบงก์ ด้าน"มูดี้ส์"ห่วงการเมืองฉุดเรทติ้ง"แนวโน้มไทย"

นายสันติ กีระนันทน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทริสเรทติ้ง กล่าวในงานสัมมนาหัวข้อ "ตรวจสุขภาพของภาคธุรกิจจริง" ซึ่งจัดโดยทริสเรทติ้ง ว่า เท่าที่ติดตามดูสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ที่มีผลต่อการดำเนินงานของภาคธุรกิจต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา พบว่ามี 4 กลุ่มธุรกิจ ที่ควรติดตามดูการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด คือ กลุ่มธุรกิจผู้ประกอบการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้า และกลุ่มธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ ทั้งบริษัทเงินทุนและบริษัทหลักทรัพย์ สำหรับกลุ่มธุรกิจที่มีความน่าเป็นห่วงมากสุด คือ กลุ่มผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ เนื่องจากกลุ่มนี้ยังมีคำถามในเรื่องของ 3 จี ซึ่งล่าสุด ก็มีกระแสข่าว ว่า บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) อาจพิจารณาฟ้องร้อง คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช. ที่ออกใบอนุญาตการให้บริการในธุรกิจ 3 จี ทั้งที่ไม่มีอำนาจ และหากเรื่องนี้มีการฟ้องร้องกันในศาลปกครองจริง เชื่อว่าธุรกิจ 3 จี คงต้องชะลอการให้บริการไปอีกนาน

วิเคราะห์

เทคโนโลยี 3จี  ซึ่งมีผลต่อเรื่องการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันในอนาคต หากโครงการนี้ต้องล่าช้าออกไปเหมือนกับปัญหาในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ก็อาจมีผลต่อการพิจารณาเข้าลงทุนของผู้ลงทุนต่างประเทศได้เช่นกัน  แม้ธุรกิจ 3จี จะสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ให้บริการได้ค่อนข้างมาก แต่เนื่องจากผู้ให้บริการส่วนใหญ่ ยังมีใบอนุญาตการให้บริการในธุรกิจ 2จี เหลืออีกค่อนข้างนาน ดังนั้น แรงจูงใจต่อการลงทุนในธุรกิจ 3จี จึงอาจไม่มากนัก ขณะเดียวกัน  การคงสิทธิเลขหมาย จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการที่ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่

 

2.  'Capital Driven'ดันหุ้นไทยพุ่งแรงทะลุ933

ขณะที่ครม.เศรษฐกิจประชุมวาระด่วนเรื่องค่าเงินบาท ไม่กล้าออกมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไร ได้แค่สั่ง ธปท.เกาะติดการเก็งกำไร โดยที่มีการประเมินค่าเงินบาทที่สรุปว่าเคลื่อนไหวตามการประชุม ครม.เศรษฐกิจกลุ่มย่อย เมื่อเวลา 07.00 น. วานนี้ (2 ก.ย.) ยังไม่มีมาตรการใดๆ ออกมา เพื่อดูแลการแข็งค่าของเงินบาท เพราะยังเห็นว่าเคลื่อนไหวสอดคล้องกับค่าเงินในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ได้สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เกาะติดภาวะการเก็งกำไร ที่ผ่านตลาดตราสารหนี้

ในการประชุมมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุม เช่น นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท. นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ปลัดกระทรวงการคลัง นางสาววลัยลักษณ์ ศรีอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ พร้อมทั้งมีนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ว่าที่ผู้ว่าการ ธปท.นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ ว่าที่เลขาธิการ สศช. และนายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ว่าที่ปลัดกระทรวงการคลัง ซึ่งจะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 1 ต.ค.นี้ เข้าร่วมการหารือด้วย

วิเคราะห์

การประชุม ครม.เศรษฐกิจเกี่ยวกับปัญหาค่าเงินบาทแข็งนั้น หลักคือได้นำตัวเลขทั้งหมดมาวิเคราะห์ และเห็นได้ว่ามีปัจจัยพื้นฐานที่เป็นตัวที่ทำให้ค่าเงินมีแนวโน้มแข็งขึ้น ในส่วนของเงินบาทเอง และในส่วนของเงินสกุลหลักๆ ที่อ่อนค่าลง แต่การเคลื่อนไหวต่างๆ ก็ยังสอดคล้องกับค่าเงินในภูมิภาคและมาตรการต่างๆ ก็มีความคล้ายคลึงกัน ส่วนอัตราเงินเฟ้ออัตราอยู่ในระดับเป้าหมายที่กำหนดเอาไว้ของ ธปท.

...........................................................................

นางสาวนิสา พจนาท รหัส 50473010007

โปรแกรมวิชา เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

ข่าวที่ 1

ถกด่วนสู้บาทแข็งโป๊ก     นายกฯหารือครม.ศก.   หวั่นภาคส่งออกเดี้ยง   ดับฝันเศรษฐกิจฟื้นตัว

กระแสเงินทุนไหลเข้า กดดันค่าเงินบาทแข็งโป๊กล่าสุดแตะ 31.17-19 บาทต่อดอลล่าร์ ทำสถิติสูงสุด ในรอบ 26 เดือน ทำให้นายกฯต้องเรียกประชุมครม.เศรษฐกิจด่วน หามาตรการรับมือ ด้านแบงก์ชาติยอมรับกระทบรายได้ผู้ส่งออก ยืนยันพร้อมเกาะติดใกล้ชิดและมีแผนรองรับอยู่แล้ว

มีรายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ(ครม.ศก.)ชุดเล็ก พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นการด่วน ในวันที่ 2 กันยายนนี้ เวลา 7.00 น.เพื่อหารือปัญหาค่าเงินบาท หลังจากที่แข็งค่าทำสถิติสูงสุดในรอบ 26 เดือน ล่าสุดแตะระดับ 31.17-19 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ

วิเคราะห์

เงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าไทยอย่างต่อเนื่องในขณะนี้ สะท้อนปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจ และค่าเงินก็แข็งขึ้น เป็นไปตามดีมาน ซับพลายของเงินตราต่างประเทศ เพราะตอนนี้การส่งออกดี ซึ่งไม่ใช่เรื่องของการถล่มของเงินทุนเก็งกำไร ดังนั้นผู้ประกอบการควรจะทำประกันป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบที่เกิดจากความผันผวนของค่าเงิน ขณะที่ผู้นำเข้าก็ควรใช้โอกาสนี้นำเข้าเครื่องจักร เพื่อขยายกำลังการผลิต รองรับความต้องการที่จะเพิ่มขึ้นต่อไป

ข่าวที่ 2 

ก.ล.ต.ปรับปรุงเกณฑ์เพื่อสนับสนุนรัฐบาลตปท.ขายหุ้นกู้ securitization

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ก.ล.ต.ประจำเดือน ก.ย.เห็นชอบให้แก้ไขหลักเกณฑ์การออกและเสนอขายหุ้นกู้จากการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ (หุ้นกู้ securitization) ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น

วิเคราะห์

จากการขยายขอบเขตการอนุญาตดังกล่าวสอดคล้องกับแผนพัฒนาตลาดทุนไทยที่มีวัตถุประสงค์เชื่อมโยงตลาดทุนในภูมิภาคอาเซียน ช่วยให้ประเทศสมาชิกสามารถออกและเสนอขายสินค้าระหว่างกันได้สะดวกขึ้น และการให้รัฐบาลต่างประเทศเสนอขายหุ้นกู้ securitization ได้ ยังเป็นการส่งเสริมบทบาทของตลาดทุนไทยในภูมิภาคเพราะเมื่อเราอนุญาตให้รัฐบาลต่างประเทศเสนอขายตราสารดังกล่าวในไทย  ต่อไปบริษัทหรือธุรกิจในประเทศเหล่านั้นก็จะเห็นลู่ทางเข้ามาทำธุรกรรมในตลาดทุนในรูปแบบอื่นอีก เช่น เข้ามาระดมทุนและจดทะเบียนซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ และเป็นการเปิดโอกาสให้รัฐบาลต่างประเทศสามารถเป็นผู้ระดมทุน

น.ส.ศิรินันท์ กาญจนพันธุ์วงศ์ 50473010001 เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

1. กระทรวงการคลังเปิดแผนบริหารหนี้สาธารณะปี 2554 วงเงิน 1,296,428 ล้านบาท ลดจากปีงบ 2553 วงเงิน 415,328 ล้านบาท เป็นการก่อหนี้ใหม่ 607,523 ล้านบาท โดยเป็นการกู้โดยรัฐบาล 542,748 ล้านบาท,รัฐวิสาหกิจ 64,780 ล้านบาท คลังคาดคุมระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพีในประเทศเท่ากับ 43.8% และภาระหนี้ต่องบประมาณที่ 10.1%

นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังจะนำเสนอประเด็นเรื่องการพิจารณาปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2553 ครั้งที่ 5 ตามที่คณะกรรมการนโยบาย และกำกับการบริหารหนี้สาธารณะมีมติเห็นชอบ โดยจะปรับปรุงใน 2 ส่วนสำคัญ ได้แก่ 1.การจัดรายได้ที่สามารถเก็บได้สูงกว่าเมื่อเทียบกับประมาณการเดิมในรูปแบบของเงินคงคลัง นำมาไถ่ถอนตั๋วสัญญาใช้เงินรวม 12 สัญญาก่อนครบกำหนดหรือเป็นการชำระหนี้ก่อนกำหนด ซึ่งจะเป็นการลดภาระหนี้สาธารณะลงจำนวน 42,000 ล้านบาท โดยจะดำเนินการช่วงเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ หรือก่อนสิ้นปีงบประมาณ2553

ซึ่งวงเงินดังกล่าวได้ลดลงจากปีก่อนเห็นได้ว่าเป็นสัญณาณที่ดี การลดการก่อนี้ใหม่เป็นผลมาจากเศรษฐกิจดีขึ้นรัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น และการกระตุ้นเศรษฐกิจลดลง ทำให้ภาระของประชาชนโดนรวมลดลง ภาระหนี้สาธารณะต่อจีดีพีก็ลดลง

2.นักเศรษฐศาสตร์-นักบริหารเงินหวั่นขึ้นเงินเดือนขรก.กระทบราคาสินค้า "สมชัย" ทีดีอาร์ไอ" แนะเอกชนขึ้นเงินเดือน-ธปท.คุมอัตราเงินเฟ้อที่ 3% ด้านซีไอเอ็มบีไทยคาดอาร์/พีสิ้นปีนี้อยู่ที่ 2.25% แนวโน้มสิ้นปีหน้า 3-3.5%

กรณีที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เตรียมปรับโครงสร้างเงินเดือนข้าราชการทั้งระบบในปีงบประมาณ 2554 ตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม. 22 มิถุนายน 2553) สำหรับการขึ้นเงินเดือนเพิ่ม 5% ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณจำนวน 30,000 ล้านบาท โดยรัฐบาลได้เตรียมงบประมาณไว้สำหรับครึ่งปี หลังคณะกรรมาธิการเห็นชอบจะขึ้นเงินเดือนตั้งแต่เดือนเมษายน 2554 นั้น และโดยข้อกังวลว่าการปรับขึ้นเงินเดือนของข้าราชการครั้งนี้ อาจส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อของประเทศในปี 2554 ปรับสูงขึ้นตาม ซึ่งจะส่งผลการตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ในการกำหนดทิศทางดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน หรือดอกเบี้ยนโยบาย(อาร์/พี) จากที่ผ่านมาตลาดคาดการณ์ว่ากนง.จะปรับเพิ่มดอกเบี้ยอาร์/พี 0.25% ในการประชุมวันพุธที่ 25 ส.ค. 2553 นั้น และถึงสิ้นปีนี้อาร์/พีน่าจะยังอยู่ระดับไม่เกิน 2.00% จากปัจจุบันที่ 1.50%

การปรับขึ้นเงินเดือนดังกล่าวอาจเป็นผลทำให้เกิดอัตราเงินเฟ้อเพิ่มมากขึ้น เพราะมีการคาดการว่าในปีหน้าเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นมากกว่าเดิม โดยการวัดจากรายได้ซึ่งเป็นการไม่เป็นธรรมในการที่ ธปท. จะปรับอัตราออกเบี้ยนโยบายเพิ่มมากขึ้น เพราะเงินจำนวน 30,000 ล้านบาทจะเป็นตัวเงินที่มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นเศรษฐกิจจะเติบโตมากเกินไป เหมือนเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจทางหนึ่ง ทั้งที่เศรษฐกิจเติบโตแล้ว

เห็นว่าควรมีการพิจารณาชะลอโครงการนี้ ส่วนหนึ่งคิดว่าข้าราชการมีเงินเดือนที่มั่นคงและสวัสดีการที่ดีคอยรองรับสนับสนุนมากอยู่แล้วน่าจะหันไปช่วยเหนือให้สวัสดีการ และกระจายรายได้ให้อาชีพอื่นๆในท้องถิ่นชนบทซึ่งบางที่ยังไม่มีไฟฟ้าเข้าถึงเลย บางคนคิดว่าจะมีหรอแต่ในปัจจุบันยังคงมีอยู่หรือคุณคิดว่ายังไง

นางสาว ญาณิศา แสงเพชร

รหัส 50473010051 เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

กลุ่มจี20เตือนจีน หยวนอ่อนค่า ระวังภาวะฟองสบู่

กลุ่มปะเทศจี 20 รวมถึงอียูจัดทำร่างเอกสารกังวลภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ-ญี่ปุ่น เสี่ยงที่จะกลับมาถดถอยอีกครั้ง ขณะเดียวกันผิดหวังรัฐบาลจีนไม่ดำเนินการเรื่องทำให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้น อ้างหยวนแข็งจะช่วยป้องกันการเกิดฟองสบู่จากราคาสินทรัพย์...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 4 ก.ย. ว่า กลุ่มประเทศจี 20 หรือประเทศพัฒนา และกำลังพัฒนา 20 ประเทศ รวมถึงสหภาพยุโรป (EU) ได้จัดทำร่างเอกสารเกี่ยวกับความวิตกกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าว่า สหรัฐฯและญี่ปุ่นมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะกลับมาถดถอย และเปราะบางอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็แสดงความผิดหวังต่อประกาศของรัฐบาลจีนเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ว่าจะทำให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้น เพราะที่ผ่านมาดูเหมือนการดำเนินการในเรื่องนี้จะเป็นไปอย่างเชื่องช้า นอกจากนี้ ยังมีท่าทีว่าจีนจะรักษาค่าเงินหยวนให้อยู่ในระดับต่ำ หรืออ่อนอย่างผิดปกติเพื่อหนุนภาคการส่งออกของตน

ร่างเอกสารดังกล่าวยังระบุด้วยว่า การแข็งค่าของเงินหยวนจะเป็นประโยชน์ที่ดีที่สุดของจีน เนื่องจากจะช่วยป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจของจีนร้อนแรงเกินไปแล้ว ยังจะช่วยป้องกันการเกิดภาวะฟองสบู่จากราคาสินทรัพย์ด้วย.

วิเคราะห์

                จีนเป็นประเทศมหาอำนาจที่กำลังจะก้าวมามีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจโลกแทนที่ญี่ปุ่นก่อนหน้านี้ก็มีข่าวการแข็งค่าของเงินหยวน จีนมีเป้าหมายทางเศรษฐกิจที่ต้องการเป็นมหาอำนาจดั้งนั้นจึงพยายามทำให้เศรษฐกิจของตนมีผลประโยชน์มากที่สุดซึ่งอาจกระทบกับประเทศที่กำลังพัฒนาในแทบเอเชีย

ตั้งศูนย์เกาะติดสินค้า

กรมการค้าภายในเล็งตั้งศูนย์ติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค-สินค้าเกษตร รับมือค่าเงินบาทแข็งค่า ...

นางวัชรี วิมุกตายน อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมจะตั้งศูนย์ติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าเกษตร เพื่อรับมือผลกระทบจากปัญหาเงินบาทแข็งค่าและปัจจัยต่างๆที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเอกชนเห็นว่าปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่าจะมีผลกระทบต่อการเติบโตของการค้าภายในประเทศและการส่งออก ซึ่งผู้ประกอบการบางส่วนเสนอให้รัฐบาลใช้มาตรการแทรกแซงค่าเงินบาทแล้ว เพราะหากปล่อยให้แข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ อาจกระทบต่อธุรกิจ และการผลักภาระเป็นช่วงๆ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ ต้องดูแลให้เกิดความสมดุล และไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อนจากราคาสินค้าที่อาจเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ในวันที่ 4-5 ก.ย.นี้ กระทรวงพาณิชย์จะนำข้าวถุงเฉลิมพระเกียรติฯ 3.8 ล้านถุง ไปแจกจ่ายให้ประชาชนในภาคใต้ หลังจากได้แจกจ่ายแล้ว 7.4 ล้านถุง

ส่วนสถานการณ์น้ำตาลทรายในตลาดขณะนี้ดีขึ้นมาก ประชาชนสามารถหาซื้อได้ในราคาที่กำหนดไว้ ซึ่งต่างจากช่วงที่ผ่านมาที่ต้องซื้อในราคาแพง และถูกจำกัดปริมาณการซื้อ โดยสาเหตุที่สถานการณ์ดีขึ้นมาจากการที่คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ได้ออกประกาศ 2 ฉบับ เรื่องการแจ้งปริมาณ สถานที่เก็บและจัดทำบัญชีควบคุมสินค้าน้ำตาลทรายปี 2553 และเรื่องการควบคุมการขนย้ายน้ำตาลทราย ปี 2553 เพื่อให้น้ำตาลทรายมีปริมาณเพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ ป้องกันการกักตุน

ด้านนายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เตรียมพิจารณาความเป็นไปได้ในการคืนโควตาน้ำตาลทรายที่ได้รับจัดสรรจากสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ในส่วนที่เหลือประมาณ 449,150 กระสอบ จากที่ได้รับมาทั้งหมด 1 ล้านกระสอบ เพราะพบว่าปัญหาน้ำตาลทรายราคาแพง และหาซื้อยากในตลาดคลี่คลายลงแล้ว.

วิเคราะห์

                การควบคุมราคาสินค้าในตอนนี้เป็นเรื่องที่ดีเนื่องจากการแข็งค่าของเงินบาทยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นโดยในช่วงก่อนหน้านี้มีปัญหาในเรื่องของการเก็บสต็อกน้ำตาลจนทำให้น้ำตาลขาดแคลนการออกมาตรการจะทำให้ไม่เกิดปัญหาการกักตุนสินค้าซึ่งผู้ได้รับประโยชน์คือผู้ผลืตแต่ผู้ที่จะเสียเปรียบคือประชาชนทั่วไป

 

 

นางสาว พานุมาศ อุตตะรถ

รหัส 50473010050 เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

ก.พาณิชย์เร่งยกระดับธุรกิจอัญมณีสู่สากล

“พาณิชย์” ยกระดับธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับไทยสู่สากล หันส่งเสริมพัฒนาเอกลักษณ์ธุรกิจ ตามนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์เมื่อวันที่ 3 ก.ย. นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจัดทำโครงการส่งเสริมพัฒนาเอกลักษณ์ธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับไทยสู่สากล ตามนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Thailand) โดยโครงการนี้ นอกเหนือจากการยกระดับฐานการผลิตเครื่องประดับไทยจากการเป็นผู้รับจ้างผลิต ให้สามารถออกแบบสินค้าได้เอง และมีแบรนด์สินค้าเป็นของตนเองแล้ว ยังจะอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยให้คงไว้ซึ่งวัฒนธรรมไทย และพัฒนาต่อยอด โดยจะออกพื้นที่เพื่อศึกษา เก็บบันทึก ประวัติความเป็นมาวัฒนธรรมท้องถิ่น ข้อมูลของอัญมณีและเครื่องประดับในแต่ละพื้นที่ โดยได้กำหนดพื้นที่เป้าหมายใน 7 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ สุโขทัย กาญจนบุรี เพชรบุรี นครราชสีมา นครศรีธรรมราช และพังงา ซึ่งได้ข้อมูลเหล่านั้นแล้ว จะรวบรวมเป็นคลังข้อมูลเพื่อสืบสานภูมิปัญญาไทย โดยจะมีการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับไทยในแต่ละท้องถิ่น การบ่มเพาะให้ความรู้จากนักออกแบบ เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการ ให้ตรงตามความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งจัดทำกิจกรรมส่งเสริมทางธุรกิจให้กับสินค้าด้วย สำหรับผู้สนใจ สามารถโทร.สอบถามได้ที่สายด่วน 1570 หรือ www.dbd.go.th

"ปัจจุบันธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับ ที่เป็นธุรกิจหลักที่สำคัญของประเทศ มีมูลค่าการส่งออกเป็นอันดับ 3 ของสินค้าส่งออกทั้งหมดของไทย ซึ่งในปี 52 มีมูลค่าการส่งออกกว่า 9,761.91 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และกระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าหมายภายในปี 58 ไทยจะเป็นผู้ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก โดยจะมีมูลค่าการส่งออกมากกว่า 26,129 ล้านเหรียญฯ และมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ย 18% ต่อปี จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาต่อยอด และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยมีความเข้มแข็ง แข่งขันกับต่างประเทศได้อย่างยั่งยืน" นายอลงกรณ์ กล่าว

วิเคราะห์

                สินค้าส่งออกของประเทศไทยที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับและบางพื้นที่ของประเทศยังมีชื่อเสียงในด้านอัญมณีที่สวยงามด้วยดั้งนั้นการที่รัฐบาลเห็นถึงความสำคัญก็จะทำให้เศรษฐกิจของไทยเข้มแข็งขึ้นรวมทั้งการพัฒนาระบบการผลิตให้มีความทันสมัยก็จะทำให้ไทยสามารถแข่งขันกับต่างชาติได้

หุ้นกระฉูดเด้งรับปลดล็อกมาบตาพุด

ดึงนักลงทุนในประเทศเข้าลงทุนคึกคัก คาด 74 โครงการดีเดย์ใน 2 สัปดาห์  เอ็นจีโอยังคาใจนัดถก 5 ก.ย. ยันเดินหน้ายื่นอุทธรณ์ ...

ผู้สื่อข่าวรายงานภาวะตลาดหุ้นไทยวันที่ 3 ก.ย.ว่า ยังคงปรับตัวขึ้นได้ร้อนแรงโดยได้แรงหนุนจากกรณีมาบตาพุด หลังศาลปกครองมีคำสั่งปลดล็อก 74 โครงการ ให้กลับมาดำเนินการต่อได้ มีเพียง 2 โครงการเท่านั้นที่ถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาต ส่งผลให้หุ้น บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) (บมจ.) หรือ PTT, บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (SCC) ต่างปรับตัวขึ้นแรงถ้วนหน้า ดันดัชนีหุ้นไทยทะยานขึ้นมาปิดตลาดที่ 929.90 จุด บวก 9.39 จุด มีมูลค่าการซื้อขายทะลัก 52,546.59 ล้านบาท

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาด หลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงในช่วงนี้เป็นผลจากกระแสเงินทุนที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย เพราะมองว่าประเทศในภูมิภาคนี้รวมทั้งไทยมีศักยภาพในการเติบโตมากกว่าภูมิภาคอื่น ทำให้นักลงทุนในประเทศเข้ามาลงทุนคึกคักตามไปด้วย

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ผู้ช่วย รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะทำงานศูนย์บริการการลงทุนเพื่อแก้ไขปัญหามาบตาพุดว่า ได้หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการปฏิบัติภายหลังศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 2 ก.ย. ให้โครงการที่ไม่เข้าข่ายประเภทกิจการรุนแรงสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งในเบื้องต้นจะมีโครงการลงทุน 74 ราย สามารถเปิดกิจการได้ภายใน 2 สัปดาห์แน่นอนทั้งนี้ ในวันที่ 6 ก.ย. นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รมว.อุตสาหกรรม ได้เรียกผู้ประกอบการ 76 โครงการ มาประชุมเพื่อรับทราบรายละเอียดของคำพิพากษาของศาลปกครองฯและประกาศประเภท 11 กิจการรุนแรงที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อนำไปพิจารณากับโครงการลงทุนของตัวเองเข้าข่ายใน 11 กิจการรุนแรงหรือไม่ หากเห็นว่าเป็นโครงการที่ไม่ส่งผลกระทบกิจการรุนแรงก็ให้ทำเรื่องไปยังผู้ออกใบอนุญาตประกอบกิจการ เพื่อขอยกเลิกคำสั่งกระทรวงอุตสาหกรรมที่ระงับกิจการชั่วคราวได้ทันที ด้านนายสุทธิ อัชฌาศัย แกนนำเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก กล่าวว่า ในวันที่ 5 ก.ย. นี้ จะนัดประชุมกลุ่มเครือข่ายภาคประชาชนเพื่อเพื่อยื่นอุทธรณ์หลังศาลมีคำพิพากษาออกมา โดยยังยืนยันที่จะสู้คดีโดยยื่นอุทธรณ์แน่นอน แต่ขอกำหนดวันและเวลาอีกครั้ง.

วิเคราะห์

การหยุดชะงักของอุตสาหกรรมมาบตาพุดทำให้ธุรกิจหลายธุรกิจการผลิตต่างๆต้องหยุดลงด้วยการที่ปัญหาต่างๆที่มีมานานจะถูกแก้ไขย่อมส่งผลตาอความมั่นใจของนักลงทุนจึงทำให้เมื่อโครงการสามารถดำเนินต่อไปได้นักลงทุนกลับมาลงทุนท้ำให้หุ้นจึงมีราคาสูงขึ้น

 

นางสาว ชมพูนุช เอี่ยมจันทร์

รหัส 50473010038 เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

หมู่เฮาไทย-ลาว-เขมรเม้าท์สนั่น

เอไอเอสจับมือผู้ให้บริการมือถือเบอร์ 3 ของกัมพูชา และลาว พัฒนาแพ็กเกจค่าโทร ดูดลูกค้าที่อาศัยอยู่เขตชายแดน 3 ประเทศ เชื่อปรับลดค่าโทรในกลุ่ม 3 ประเทศถึง 90%...

 

นายสมชัย เลิศสุทธิวงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานการตลาด บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส กล่าวว่า เอไอเอสได้ร่วมกับเอ็มโฟน ผู้ให้บริการมือถือเบอร์ 3 ของประเทศกัมพูชา และลาวเทเลคอม ผู้ให้บริการมือถือเบอร์ 1 ในลาว พัฒนาแพ็กเกจโทรศัพท์ดูดลูกค้าที่อาศัยอยู่เขตชายแดน 3 ประเทศ ที่มักชอบเดินทางท่องเที่ยว หรือติดต่อธุรกิจ ซึ่งการผนึกเครือข่ายของทั้ง 3 ผู้ให้บริการในเครือกลุ่มชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ครั้งนี้จะทำให้เอไอเอสปรับลดราคาค่าโทร.ในกลุ่ม 3 ประเทศถึง 90%

"หลังจากที่ตลาดในกรุงเทพฯมีสัดส่วนคนใช้บริการมือถือต่อสัดส่วนประชากรทะลุ 100% ไปแล้ว ตลาดในต่างจังหวัดยังมีที่ว่างอยู่ โดยเฉพาะในตลาดอีสาน ซึ่งสัดส่วนผู้ใช้มือถือต่อจำนวนประชากรยังอยู่เพียงแค่ 50% การพัฒนาแพ็กเกจบริการให้สอดคล้องกับความต้องการ จะทำให้เราได้ลูกค้าใหม่ๆนี้"

นายสมชัยกล่าวว่า บริการใหม่ภายใต้ชื่อซิมฝั่งโขงจะเป็นการทำตลาดร่วมกันระหว่างไทย ลาว กัมพูชา โดยลูกค้าที่ใช้บริการจะได้รับการคิดค่าบริการโทร.นาทีละ 6 บาท เอสเอ็มเอสครั้งละ 6 บาท จากเดิมเฉลี่ยค่าโทร.ระหว่าง 3 ประเทศ สูงสุดนาทีละ 90 บาท และเอสเอ็มเอสครั้งละ 15-20 บาท คาดว่าจะได้รับการตอบรับ เนื่องจากปัจจุบันมีลูกค้าที่เดินทางระหว่างกัน 3 ประเทศอยู่ที่เกิน 1 ล้านราย.

วิเคราะห์

เขตชายแดนจะมีกหารติดต่อสื่อสารในเรื่องของการค้าการลงทุนโดยมีมูลค่าการลงทุนที่สูงในระดับหนึ่งดั้งนั้นการที่ค่ายโทรศัพท์จะพัฒนาซิมรูปแบบใหม่ที่สามารถให้ความสะดวกกับลูกค้าในเขตชายแดนก็จะทำให้การติดต่าสื่อสารทางธุรกืจมีมากขึ้นส่งผลยต่อเศรษฐกิจของประเทศด้วย

มาร์คเชื่อมั่นการค้าไทย-จีน เป็นไปตามเป้า

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรี พบปะกับทีมประเทศไทยในนครเซี่ยงไฮ้ เชื่อการค้าระหว่างไทย-จีน ยังเป็นไปตามเป้าหมาย พร้อมเร่งผลักดันความร่วมมือในทุกด้าน รองรับการเติบโตด้านการท่องเที่ยว...... มื่อวันที่ 4 ก.ย.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ใช้โอกาสเดินทางเยือนนครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน พบปะกับทีมประเทศไทยในนครเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นภารกิจแรกของการเดินทางเยือนจีนในวันแรก ซึ่งนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้พิจารณาถึงเป้าหมายความร่วมมือระหว่างไทย-จีน ทั้งเรื่องการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ซึ่งในส่วนของการค้านั้น ยังเชื่อมั่นว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ รวมทั้งประโยชน์จากการเปิดเขตการค้าเสรี จะช่วยให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจมากขึ้น ขณะที่การลงทุนจีนให้ยังคงให้ความสนใจ และยังมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อการเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น ก็จะมีการตัดสินใจในการที่ชัดเจนในการที่จะมาลงทุนมากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยางรถยนต์ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ส่วนเรื่องการท่องเที่ยวนั้น ยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้อีกมาก ซึ่งไทยจะพยายามส่งเสิรมการเดินทางโดยทางถนน หรือระบบราง แทนการเดินทางด้วยเครื่องบิน ซึ่งยังเกิดปัญหาคอขวด เนื่องจากไม่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก นอกจากนี้ยังจะขยายความร่วมมือด้านสังคม วัฒนธรรม ความร่วมมือทางด้านการเงิน เช่นการปรับบทบาทให้สกุลเงินหยวน เป็นสกุลเงินค้าขายในภูมิภาคให้มากขึ้น สำหรับความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรมนั้น ยังมีโอกาสมีความเป็นไปได้สูง ที่ละครไทย และภาพยนตร์ไทย จะมาเจาะตลาดผู้ชมในจีน ซึ่งมีความเป็นไปได้มากยิ่งขึ้น.

วิเคราะห์

ประเทศไทยมีการลงทุนและมีสัมพันธ์ที่ดีกับจีนอยู่แล้วและการที่จีนเป็นประเทศมหาอำนาจที่สำคัญของโลกการที่ไทยจะสานสัมพันธ์ที่ดีกับจีนจะทำให้ไทยมีโอกาสที่จะพัฒนาเศรษฐกิจได้มากขึ้นเนื่องจากรายได้จากการท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาจากชาวจีนมาเที่ยวในประเทศและรายได้จากการส่งออกหลักๆของไทยคือการส่งออกสินค้าไปจีนดั้งนั้นถ้าทั้งสองประเทศมีการติดต่อที่ดีทางเศรษฐกิจก็จะขยายฐานรายได้ให้กับไทยมากขึ้นด้วย

นายเกียรติชัย เกียรติสูงส่ง

ข่าวที่ 1

หุ้นไทยดีดรอบ2ปี แตะ900จุด เงินบาทแข็งค่าสูง

หุ้นไทยปิดตลาดที่ระดับ 900.37 จุด เพิ่มขึ้น 14.27 จุด สูงสุดในรอบ 2 ปี 10 เดือน ซื้อขายกว่า 4.3 หมื่นล้าน ด้านโบรกฯ ฟันธงสาเหตุหุ้นพุ่ง มาจากเม็ดเงินไหลเข้าตลาดต่อเนื่อง และค่าเงินบาทแข็ง เชื่อสัปดาห์หน้ายังสดใส ให้แนวต้านใหม่ 905 จุด...

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประจำวันศุกร์ที่ 27 ส.ค.  2553 ปิดตลาดที่ระดับ 900.37 จุด เพิ่มขึ้น 14.27 จุด มูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 43,609.00 ล้านบาท หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลง เพิ่มขึ้น 293 หลักทรัพย์ ลดลง 93 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 120 หลักทรัพย์

ทั้งนี้ ดัชนีฯได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 2 ปี 10 เดือน นับจากวันที่ 1 พ.ย. 2550 ที่ระดับ 902.73 จุด

สำหรับ 5 อันดับซื้อขายสูงสุดประจำวันนี้ ได้แก่ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) , ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) , บริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) , บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่กรุ๊ป  จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยทะยานขึ้นแตะระดับ 900 จุดว่า มาจากเม็ดเงินที่ไหลเข้าตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าสูง จึงทำให้นักลงทุนสนใจในตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตาม หุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน ได้แก่ หุ้นในกลุ่มธนาคารเนื่องจาก ความมั่นใจต่อแนวโน้มผลประกอบการที่จะออกมาของธนาคารต่างๆ รวมถึงหุ้นกลุ่มที่ได้ผลประโยชน์จากโครงการต่างๆของรัฐบาล ทั้งนี้ ในช่วงต้นสัปดาห์หน้ายังเชื่อว่าตลาดหุ้นน่าจะสดใส โดยให้แนวต้านใหม่ที่ 905 จุด และแนวรับที่ 895 จุด

ส่วนตลาดหุ้นภูมิภาค ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ระดับ 20,597.35 จุด ลดลง 14.71 จุด ดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดตลาดที่ระดับ 8,991.06 จุด เพิ่มขึ้น 84.58 จุด และ ดัชนีเวทเต็ด ตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดตลาดที่ระดับ 7,722.91 จุด เพิ่มขึ้น 33.17 จุด.

 

วิเคราะห์

ภาวะค่าเงินบาทของไทยมีค่าแข็งตัวขึ้น และเม็ดเงินที่ไหลเข้าตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าสูง นักลงทุน จะชะลอการลงทุน เนื่องจากต้นทุน  และค่าใช้จ่ายในการลงทุน เพิ่มสูงขึ้น จะชะลอ ความสามารถในการลงทุน หุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน ได้แก่ หุ้นในกลุ่มธนาคารเนื่องจาก ความมั่นใจต่อแนวโน้มผลประกอบการที่จะออกมาของธนาคารต่างๆ รวมถึงหุ้นกลุ่มที่ได้ผลประโยชน์จากโครงการต่างๆของรัฐบาล

 

ข่าวที่  2 

นายกฯ เผยซักซ้อมกลไก-มาตรการเพื่อเตรียมพร้อมรับมือหากมีเก็งกำไรค่าบาท

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจชุดเล็กในช่วงเช้าวันนี้ได้มอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)จับตาอย่างใกล้ชิดในส่วนของเงินทุนที่ไหลเข้ามามากจนทำให้เงินบาทแข็งค่าอย่างหนัก พร้อมทั้งซักซ้อมกลไกและมาตรการต่างๆ ที่จะนำมาใช้ป้องกันการเก็งกำไรและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งถือว่า ธปท. มีความพร้อมที่จะดูแลตรงจุดนี้ได้อยู่แล้ว

ธปท. จับตาดูอยู่อย่างใกล้ชิด ซึ่งก็มีความพร้อมที่จะรับมือได้ ขณะนี้คงไม่สามารถบอกเหตุได้ว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น" นายกฯ กล่าว

แต่ทั้งนี้ยืนยันว่าค่าเงินบาทในขณะนี้ ยังเป็นไปในทิศทาเดียวกับภูมิภาค และการออกมาตรการต่างๆ ยังถือว่ามีความคล้ายคลึงกัน โดยสิ่งที่ทางการกำลังดำเนินการในขณะนี้ คือ ดูแลไม่ให้ค่าเงินบาทเกิดความผันผวนมากจนเกินไป

สำหรับอัตราเงินเฟ้อในขณะนี้ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ถือว่าไม่อยู่ในช่วงที่ตื่นตระหนก เพราะยังอยู่ในเป้าหมายที่ธปท.ได้กำหนดเอาไว้ และหากมองไปข้างหน้าตามฐานดัชนีของราคา ยังถือว่าไม่มีปัญหาอะไร และจากที่ทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์) ได้รายงาน ยังถือว่าอยู่ในช่วงที่ดูแลได้

วิเคราะห์

 เศรษฐกิจปัจจุบันขยายตัวเพิ่มมากขึ้น  เงินทุนที่ไหลเข้ามาก็เพิ่มมากขึ้นทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าสูงขึ้นเช่นกัน  ฉะนั้นการมีมาตรการรองรับเอาไว้  เพื่อคอยแก้ไขปัญหาเป็นสิ่งที่ดี  เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นสามารถแก้ไขปัญหาได้ทันถ่วงที

นางสาว ศิรินภา คำมา รหัส 50473010003 เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

นางสาว ศิรินภา  คำมา

รหัส 50473010003 เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

 

IMF เชื่อมั่นเศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัว

            นายจอห์น ลิปสกี้ รองผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) กล่าวภายหลังจากเข้าร่วมประชุมรองผู้ว่าการธนาคารกลางและรมช.คลังของกลุ่ม G20 ที่เกาหลีใต้ในวันนี้ว่า ที่ประชุมมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัว ซึ่งแม้ว่าเศรษฐกิจยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายหลายด้าน แต่ปัจจัยลบเหล่านี้ยังคงอยู่ในกรอบที่ไอเอ็มเอฟคาดการณ์ไว้ ลิปสกี้ยังกล่าวด้วยว่า วาระการประชุม G20 ที่ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารและระบบโควต้าในไอเอ็มเอฟนั้น มีความคืบหน้ามาก แต่ก็ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นใดๆเกี่ยวกับกรณีที่นายฌอง-คล้อด ทริเชต์ ประธานธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ที่เรียกร้องให้สมาชิกกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) เข้ามาร่วมมีบทบาทในไอเอ็มเอฟมากขึ้น ในขณะที่ทางสหรัฐอเมริกาพยายามผลักดันกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ให้เข้ามามีบทบาทมากกว่า
           ไอเอ็มเอฟปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้เป็น 4.5% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนเม.ย.ว่าจะขยายตัวเพียง 4.1% อย่างไรก็ตาม ไอเอ็มเอฟเตือนว่าวิกฤตหนี้สาธารณะได้ทำให้ความเสี่ยงด้านการเงินเพิ่มขึ้นด้วย พร้อมกับแนะนำให้รัฐบาลทั่วโลกเร่งกอบกู้ความเชื่อมั่นของสาธารณะชน

วิเคราะห์

          เนื่องจากสภาวะการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้เป็น 4.5% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนเม.ย.ว่าจะขยายตัวเพียง 4.1%  ไอเอ็มเอฟเตือนว่าวิกฤตหนี้สาธารณะได้ทำให้ความเสี่ยงด้านการเงินเพิ่มขึ้นด้วย พร้อมกับแนะนำให้รัฐบาลทั่วโลกเร่งกอบกู้ความเชื่อมั่นของสาธารณะชน เมื่อมีแนวโน้มการปรับตัวที่ดีขึ้นจากสภาวะการคาดการณ์ดังกล่าว สรุปได้ว่าสภาวะเศรษฐกิจโลกนั้น มีการปรับตัวดีขึ้นนั้นเอง

 

พิษเศรษฐกิจซบ-ค่าบาทแข็ง ฉุดกำไรการบินไทยลดฮวบ

               การบินไทยรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 พบว่า มีกำไรจากการขายและการให้บริการ 114 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 68 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนซึ่งมีกำไรจากการขายและบริการ 959 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 473 ล้านบาท เพราะว่าภาวะเศรษฐกิจและปัญหาสถานการณ์ในประเทศ รวมทั้งสถานการณ์เงินบาทแข็งค่า ทำให้มีผู้เดินทางลดลง
              เรืออากาศโทอภินันทน์ สุมนะเศรณี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ การบินไทย กล่าวยอมรับว่า สาเหตุที่กำไรของบริษัทลดลงมาจากภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์ในประเทศที่กระทบต่อการท่องเที่ยว ทำให้คนเดินทางน้อยลง รวมทั้งปัญหาเงินบาทแข็งค่าทำให้รายได้ที่เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเปลี่ยนเป็นเงินบาทลดลงด้วย

วิเคราะห์

            จากข่าวนี้จะเห็นว่าจากภาวะเงินแข็งค่าขึ้น ทำให้การท่องเที่ยวในไทยซบเซาไปมาก ซึ่งจะเห็นได้จากกำไรสุทธิของบริษัท การบินไทย จำกัด มหาชน ที่ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วเยอะมาก เพราะค่าเงินบาทที่แข็งตัวขึ้น ทำให้เงินดอลล่าแลกเป็นเงินบาทได้น้อยลง และที่สำคัญขณะนี้มีสายการบินที่ราคาประหยัดเป็นคู่แข่งตัวสำคัญอีกด้วย ซึ่งทางการบินไทยนั้นจะเน้นในเรื่องของการบริการเป็นเลิศ ซึ่งเหมาะกับคนที่มีฐานะทางการเงิน แต่หากเป็นสายการบินราคาประหยัด ก็จะเน้นในเรื่องของราคาถูก ไม่ว่าใครก็สามารถโดยสารไปด้วยได้ จุดนี้เองก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ยอดของการบินไทยตกลง ดังนั้น การบินไทย ควรจะมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของบริษัท เพื่อให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งรายอื่นได้ ซึ่งตอนนี้ การบินไทย ก็ได้ลดอัตราค่าโดยสารลง แม้ว่าจะยังมีราคาสูงกว่าสายการบินราคาประหยัด แต่การบริการที่ดีของการบินไทยก็ยังคงไว้ เพื่อเป็นการจูงใจลูกค้าได้อีกวิธีหนึ่งเช่นกัน

 

..............................................................................................................

นายอัครวัฒน์ พฤกษชาติเจริญ รหัส 50473010046

แบงก์ฟันธงปีหน้าดอกเบี้ยนโยบาย 3%

ธปท.ส่งสัญญาณบาทหยุดแข็ง สั่งจับตาเก็งกำไรเงินบาทเข้มยิ่งขึ้น ยันมีมาตรการในกระเป๋าพร้อม หากพบเงินทุนเคลื่อนไหวผิดปกติเพิ่มขึ้น งัดมาสยบได้ทันที "ไทยพาณิชย์" ฟันธงบาทปีหน้าแตะ 30.75 บาทต่อเหรียญฯ ดอกเบี้ยนโยบายแตะ 3%

วิเคราะห์ ความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท ซึ่งมีความเป็นห่วงว่าจะแข็งค่าหลุดระดับที่ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ว่าในช่วงที่ผ่านมา ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นค่อนข้างมากแล้ว จะแข็งค่าต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จะให้แข็งไปกว่านี้อีก คงไม่ใช่ โดยมองว่าค่าเงินบาทช่วงนี้อาจจะอยู่ในช่วงนี้ หรืออาจจะอ่อนค่าลงไปกว่านี้ ก็มีโอกาสที่จะเป็นไปได้ เมื่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯและค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง เป็นตัวกดดันให้ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียแข็งค่าขึ้น โดยปีหน้าคาดว่าค่าเงินบาทตลอดทั้งปี เฉลี่ยอยู่ที่ 30.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะอยู่ที่ 3% จากปัจจุบัน 1.75% ซึ่งเป็นไปตามแนวนโยบายของ ธปท.ที่ต้องแก้ไขปัญหาผลตอบแทนเงินฝากที่แท้จริงที่ติดลบ โดยปีหน้าเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 3.3-3.1%

หุ้นกระฉูดเด้งรับปลดล็อกมาบตาพุด

งนักลงทุนในประเทศเข้าลงทุนคึกคัก คาด 74 โครงการดีเดย์ใน 2 สัปดาห์ เอ็นจีโอยังคาใจนัดถก 5 ก.ย. ยันเดินหน้ายื่นอุทธรณ์ ...

วิเคราะห์ ภาวะตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงในช่วงนี้เป็นผลจากกระแสเงินทุนที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย เพราะมองว่าประเทศในภูมิภาคนี้รวมทั้งไทยมีศักยภาพในการเติบโตมากกว่าภูมิภาคอื่น ทำให้นักลงทุนในประเทศเข้ามาลงทุนคึกคักตามไปด้วย

นายณุฐพงศ์ พงศ์กิดาการ

นายณัฐพงศ์  พงศ์กิดาการ รหัสนักศึกษา 50473010024
เอก เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ
ข่าวที่ 3 ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่งเลิกเก็บค่าต๋งข้ามเขต
          วันที่ 9 ก.ย.นี้ นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท. จะเชิญผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งที่มีอำนาจตัดสินใจได้ มาหารือ โดย ธปท.จะขอความร่วมมือให้ธนาคารพาณิชย์ ยกเลิกเก็บค่าธรรมเนียม (ฟี) บริการทางการเงินข้ามเขต (กรุงเทพฯปริมณฑล-ต่างจังหวัด) ทุกประเภทที่เรียกเก็บในปัจจุบัน ซึ่ง ธปท.ประเมินว่า จะทำให้รายได้ของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบลดลง 7,000-10,000 ล้านบาทต่อปี แต่ธนาคารพาณิชย์ประเมินว่ารายได้จะหายไป 10,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงแต่ ธนาคารพาณิชย์จะหารายได้ค่าธรรมเนียมทดแทนในส่วนที่ ให้บริการธุรกรรมทางการเงินที่เกี่ยวกับเงินสดและเช็คได้เป็นการแลกเปลี่ยน โดยวันที่ 9 ก.ย.นี้ ธปท.จะพิจารณารายละเอียดที่ธนาคารพาณิชย์จะเสนอมาว่า จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมส่วนใดเพิ่มเติม โดยมุ่งในธุรกรรมที่ไม่เคยเก็บมาก่อน แต่มีต้นทุนการให้บริการสูง  ซึ่งจะต้องพิสูจน์และชี้แจงต้นทุนให้ชัดเจน รวมถึงไม่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนเกินไป
            สำหรับค่าบริการที่จะขอให้ยกเลิกแบ่งเป็น 1.บริการฝากและถอนเงินข้ามเขต ทั้งผ่านเคาน์เตอร์ธนาคารและตู้เอทีเอ็ม ปัจจุบันเรียกหน้าเคาน์เตอร์หมื่นละ 10 บาท และมีค่าต่อคู่สายอีก 20 บาทต่อครั้ง คิดค่าธรรมเนียมสูงสุดไม่เกิน 1,000 บาทต่อครั้ง ขณะที่การฝากเงินและถอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็มคิดครั้งละ 20-25 บาท 2.การโอนเงินข้ามเขตผ่านเคาน์เตอร์ธนาคารและตู้เอทีเอ็มคิดเฉลี่ยที่ 10-50 บาทต่อครั้งแล้วแต่วงเงิน สำหรับการโอนเงินข้ามเขตข้ามบัญชีข้ามธนาคารไม่เกิน 100,000 บาท เก็บ 12 บาท มากกว่า 100,000-500,000 บาท เก็บ 40 บาท และมากกว่า 500,000 บาท แต่ไม่เกิน 2 ล้านบาท เก็บ 100 บาท 3.บริการเช็คข้ามเขตเก็บหมื่นละ 10 บาท 4.การโอนเงินระบบบาทเน็ตสำหรับรายย่อย.
      แสดงความคิดเห็น
ผมคิดว่าการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยนั้นเลิกเก็บภาษีด้านธุรกรรมลงนั้นส่งผลให้เศรษฐกิจนั้นมีความคล่องตัวมากขึ้น เพราะว่า ตามที่นโยบายของธนาคารแห่งแระเทศไทยนั้นมีการเลิกเก็บภาษีด้านธุรกรรมรวมทั้งการโอนเงินข้ามแดนและข้ามทวีปด้วย ทำให้นักเศรษฐกิจแต่ละคนมีความคล่องตัวในการหมุนเวียนเงินเป็นอย่างยิ่ง และส่งผลให้ไทยซึ่งเป้นศุนย์กลางด้านดารค้าขนส่งเลยก็ว่าได้นั้น มีสิทธิที่จะทำการค้าขายได้ดียิ่งๆขึ้นไปอีก
ข่าวที่ 4 กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งสร้างมาตรฐานสินค้าไทยบุกตลาดอียู
            นางสุทธินีย์ พู่ผกา ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม หรือ สศอ. เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้เร่งยกระดับผู้ประกอบการให้ได้รับการรับรองสินค้าโดยมี เครื่องหมาย CE Mark เป็นใบเบิกทางในการส่งสินค้าไปจำหน่ายในสหภาพยุโรป(อียู) เนื่องจากเครื่องหมาย CE Mark เป็นการแสดงว่าสินค้าประเภทนั้นๆ มีการออกแบบและการผลิตที่เป็นไปตามข้อกำหนดในระเบียบข้อบังคับของอียู เพื่อให้ผู้บริโภค ได้รับความมั่นใจในสินค้าว่ามีความปลอดภัยในการใช้สินค้าของผู้บริโภค ตามมาตรการรักษาและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยขณะนี้ได้มีการดำเนินการนำร่องเพื่อเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการเพื่อ ให้ได้ เครื่องหมาย CE Mark ใน 10 ผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ ตู้แช่ กระติกน้ำร้อน โคมไฟ คอมเพรสเซอร์สำหรับเครื่องทำความเย็น สายไฟและชุดสายไฟ ตู้เย็น พัดลมไฟฟ้า หม้อหุงข้าวไฟฟ้า และเครื่องซักผ้า
   แสดงความคิดเห็น
จากการที่กระทรวงอุตสาหกรรมมีการส่งเสริมให้มีการส่งผลิตภัณ์ของไทยนั้นส่งออกไปยังสหภาพยุโรป หรือ อียู และจากข่าวข้างต้นทำให้ประเทศไทยมีการส่งออกที่ดีมากขึ้นไปอีกเพราะว่า ทางกระทรวงได้มีการจัดทำมาตรฐานตามแบบของสหภาพยุโรปด้วยทำให้มั่นใจได้เลยว่าสินต้า หรือผลิตภัณฑ์ของประเทศไทยนั้นต้องมีการส่งออกที่ดีแน่ และทำให้เงินในประเทศไทยนั้นสะพัดมากขึ้นตสมไปด้วย มีการส่วออกมากขึ้นตามไปด้วย

นางสาวปวิตรา คลังทอง รหัส 50473010035 โปรแกรมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

วิเคราะห์ข่าวเศรษฐกิจ

3. "ไตรรงค์" รื้อเมล์เอ็นจีวี

นายช่างใหญ่รับหน้าเสื่อปะผุมีหวังเข้ากรุ สหภาพ ขสมก.แนะจัดหาด้วยการซื้อมากกว่าเช่า เพื่อให้ทรัพย์ตกเป็นของ ขสมก. ...

 นายธราดล เปี่ยมพงศ์สานต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่เลขาฯนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 ส.ค. ที่ผ่านมา มีมติแต่งตั้งให้นายไตรรงค์ทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการเพื่อศึกษาแผนการดำเนินงานโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) นั้น นายไตรรงค์ได้สอบถามความเห็นไปยังนักวิชาการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ประกอบด้วยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย สมาคมเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ คณะที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องงานระบบขนส่ง (โลจิสติกส์) สหภาพรัฐวิสาหกิจองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพและผู้ประกอบการรถร่วม คาดว่าภายใน 2 สัปดาห์จากนี้จะได้รับความเห็นกลับมาทั้งหมดเพื่อนำมาเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียในการดำเนินโครงการ
              อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ ของ ขสมก.ได้ให้ความเห็นกลับมาแล้วคัดค้านการนำระบบเก็บค่าโดยสารระบบตั๋วอิเล็กทรอนิกส์มาใช้แทนพนักงานเก็บค่าโดยสารในปัจจุบัน  เพราะแม้ทาง ขสมก.จะระบุว่า มีพนักงานสมัครใจที่จะเข้าร่วมโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด แต่ในข้อเท็จจริงแล้วพนักงานจำนวนมากไม่เห็นด้วย "สหภาพฯ ขสมก.ให้เหตุผลว่า คัดค้านเรื่องนี้มาตลอด

วิเคราะห์

ในภาวะเศรษฐกิจของประเทศในขณะนี้ รัฐพึงมีหน้าที่สร้างงานให้ประชาชนมีงานทำมากกว่าที่จะทำให้คนตกงาน หากรัฐบาลจะดำเนินการโครงการนี้ ก็ควรตระหนักถึงความมั่นคงขององค์การและความมั่นคงของพนักงาน" นอกจากนี้สหภาพ ขสมก.ควรจะมีกระบวนการจัดหารถเมล์เอ็นจีวี ควรจะใช้วิธีการซื้อมากกว่าเช่าเพื่อให้ทรัพย์สินตกเป็นของ ขสมก.

4.กกร.หนุนขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 250 บ./วัน แต่ให้ดูตามความสามารถลูกจ้าง

ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) หนุนรัฐบาลประกาศปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 250 บาทต่อวัน โดยให้ยึดเกณฑ์การพิจารณาตามความสามารถและทักษะของลูกจ้าง

ทั้งนี้ในเดือน ต.ค.นี้ ภาคเอกชนจะมีการหารือร่วมกันเพื่อกำหนดขั้นในการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งต้องการให้การปรับขึ้นค่าจ้างครั้งนี้สะท้อนความสามารถและการพัฒนาทักษะของลูกจ้าง แต่อำนาจในการพิจารณาปรับขึ้นค่าจ้างต้องขึ้นอยู่กับคณะกรรมการไตรภาคีที่จะดูถึงความเหมาะสม ซึ่งคาดว่าจะพิจารณาเหตุผล 3 ข้อ ได้แก่ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ, อัตราเงินเฟ้อ และขีดความสามารถในการจ่ายของการจ้าง

ประธาน กกร.ยังกล่าวถึงการปรับตัวแข็งค่าของเงินบาทว่า ภาคเอกชนยังพอรับได้หากอยู่ในระดับที่ทัดเทียมกับคู่แข่ง แต่ขณะนี้มีความเป็นห่วงว่าเงินบาทจะปรับตัวแข็งค่ากว่าประเทศคู่แข่ง ซึ่งจะลดขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของผู้ประกอบการได้ โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ดังนั้นจึงขอให้ภาครัฐติดตามดูแลอย่างใกล้ชิดด้วย

จากการที่ภาครัฐเล็งเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ 250 บาทต่อวัน ส่งผลให้ภาคเอกชนไม่ค่อยเห็นด้วยกับแนวคิดนี้สักเท่าไหร่  นายทวีกิจ จตุรเจริญคุณ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงแนวคิดที่รัฐบาลจะปรับค่าแรงงานขั้นต่ำเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 250 บาท รัฐบาลควรหารือในคณะกรรมการค่าจ้างกลางเป็นผู้พิจารณา เรื่องนี้ ส.อ.ท.ได้สอบถามกระทรวงแรงงานไปแล้วแต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้า ส่วนกรณีที่ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ศึกษาการปรับค่าจ้างทำให้ผู้ประกอบการ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องให้กระทรวงการคลังศึกษา เพราะการปรับค่าจ้างควรให้คณะกรรมการค่าจ้างกลางเป็นผู้พิจารณา

ใน ส.อ.ท.มีความเห็นว่าไม่ควรปรับค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นเป็นวันละ 250 บาทเท่ากันทั่วประเทศ เพราะค่าจ้างขั้นต่ำแต่ละจังหวัดไม่เท่ากัน ถ้าปรับให้วันละ 250 บาท เท่ากันทั่วประเทศ จะทำให้บางจังหวัดต้องปรับค่าจ้างขึ้นอีกวันละ 100 บาท เช่น จังหวัดพะเยา ที่มีค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ 150 บาท ก็ต้องปรับขึ้นอีก 100 บาท เพื่อให้มีค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 250 บาท

  วิเคราะห์

แนวคิดที่รัฐบาลจะปรับค่าแรงงานขั้นต่ำเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 250 บาท รัฐบาลควรหารือในคณะกรรมการค่าจ้างกลางเป็นผู้พิจารณา  ทั้งนี้การปรับค่าจ้างขั้นต่ำควรใช้รูปแบบเดิม คือ แต่ละจังหวัดไม่เท่ากัน เพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพในแต่ละจังหวัด และไม่ควรที่จะปรับขึ้นเป็น 250 บาท ทันที ปัจจุบันค่าแรงขั้นต่ำในกทม.อยู่ที่วันละ 206 บาท เมื่อปรับค่าแรงขั้นต่ำขึ้นเป็น 250 บาท จะเป็นการปรับขึ้นที่ ถือว่าสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับการปรับค่าจ้างขั้นต่ำในช่วงหลายปีที่ผ่านมา  ผู้ประกอบการเห็นด้วยที่จะปรับค่าจ้างขึ้นให้มากกว่าปกติแต่ก็ควรมีอัตราที่เหมาะสม เพราะถ้าปรับขึ้นมากเกินไปก็อาจทำให้ผู้ประกอบการบางรายรับต้นทุนที่เพิ่มไม่ไหวและอาจต้องลดจำนวนแรงงานลง

 

 

นางสาวพรพิมล พรหหมผาบ 50473010056 เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

นางสาวพรพิมล  พรหมผาบ  50473010056 

 เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

 

ข่าวที่ 1

ราคาทองคำ 1,249.25 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 0.05 ดอลลาร์/ออนซ์

ราคาทองคำตลาดนิวยอร์ค 1,249.25 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 0.05 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ หรือเพิ่มขึ้น 0.004%  ราคาแกว่งตัวในกรอบ 1,246 - 1,2530ดอลลาร์/ออนซ์ ดูเพิ่มเติมhttp://www.goldprice.org/spot-gold.html
       บริษัท เอ็มทีเอสโกลด์ฟิวเจอร์ส ระบุว่าสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องและยังเป็นทิศทางที่แข็งค่าอยู่ จะเห็นได้ว่าราคาทองคำในตลาดโลก ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องหลังจากทะลุแนวต้านที่ 1,220 เหรียญขึ้นมา ในทางกลับกันราคาทองคำของไทยไม่สามารถปรับตัวขึ้นได้เลย เนื่องจาก ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในช่วง 3 สัปดาห์ โดย ณ ขณะนี้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น มาอยู่ที่ 31.11 บาท/ดอลลาร์ ทำให้ภาพรวมราคาทองไทยเป็นทิศทาง sideway และคงต้องวิเคราะห์แยกประเด็นของราคาทองไทย และราคาทองตลาดเมืองนอก ราคาทองคำในต่างประเทศ มีแนวต้านที่ 1,265 เหรียญ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดเดิม ในขณะที่แนวรับอยู่ที่ระดับ 1,240 เหรียญ ในขณะที่ราคาทองไทยมีแนวต้านที่ 18,450 บาท เป็นราคาทองคำแท่งขายออก โดยมีแนวรับอยู่ที่ 18,100 บาท

วิเคราะห์

การที่ราคาทองคำโลกมีการปรับตัวดีขึ้นทำให้นักลงทุนชะลอการเก็งกำไรเรื่องทองคำลง  และหันมานำทองคำที่ซื้อไว้เพื่อการเก็งกำไรนั้น ออกมาขายสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้น  ส่งผลให้ตลาดทองคำของไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลงเนื่องจากภาวะค่าเงินบาทแข็งค่ามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ทำให้นักลงทุนหรือนักเก็งกำไรนำทองคำออกเทขายสู่ตลาดมากขึ้น  และหันไปลงทุนด้านอื่นแทน

 

 ข่าวที่ 2

บลจ.กสิกรไทยออกกองทุน“K-GEMO ลุยหุ้น-ตราสารหนี้ ตลาดเกิดใหม่ มูลค่าโครงการ 1.5 พันล้านบาท ปันผลสูงสุด 4 ครั้ง/ปี

นายรพี สุจริตกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเสนอขายกองทุนเปิดเค โกลบอล อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต ออพพอร์ทูนนิตี้(K-Global Emerging Market Opportunities Fund:K-GEMO) มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท เพื่อเพิ่มทางเลือกในการลงทุนให้แก่ผู้ลงทุนที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนสูงจากความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) พร้อมโอกาสรับเงินปันผลสูงสุด 4 ครั้งต่อปี

ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวจะลงทุนในกองทุนหลักในต่างประเทศ คือ กองทุน Global Emerging  Market Opportunities ซึ่งเป็นกองทุนผสมที่มุ่งลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ในประเทศตลาดเกิดใหม่ อาทิ ประเทศจีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน รัสเซีย อินโดนีเซีย ตุรกี  บริหารจัดการโดย Schroder Investment Management (Luxemburg) S.A. บริษัทจัดการกองทุนชั้นนำของโลกที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารกว่า 8 ล้านล้านบาท พร้อมประสบการณ์ในการจัดการกองทุน  และวิเคราะห์หลักทรัพย์มากว่า 200 ปี

“K-GEMO มีความโดดเด่นที่ความยืดหยุ่นในการบริหารพอร์ตการลงทุนจึงให้โอกาสรับผลตอบแทนที่ดี โดยกองทุนนี้สามารถลงทุนในหุ้นได้เต็ม 100% เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนสูงจากตลาดหุ้นขาขึ้น ในทางกลับกันก็สามารถปรับพอร์ตหุ้นลง เพื่อถือตราสารหนี้หรือเงินสด ซึ่งจะช่วยลดความผันผวนจากตลาดหุ้นขาลงได้ โดยสัดส่วนการลงทุนในหุ้นอาจลดลงต่ำสุดได้ถึง 40% ในขณะที่กองทุนหุ้นอื่นๆ มักมีการลงทุนในหุ้นในสัดส่วนที่สูงกว่า"นายรพี กล่าว

กองทุน K-GEMO ยังแตกต่างไปจากกองทุนอื่นๆที่ลงทุนในหุ้นตลาดเกิดใหม่ โดยใช้โมเดลพิเศษในการวิเคราะห์เพื่อคัดเลือกประเทศที่มีความน่าลงทุนสูงสุด 6 ประเทศแรกแล้ว จึงคัดเลือกหลักทรัพย์ที่จะลงทุนจาก 6 ประเทศดังกล่าวโดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานแบบ bottom-up เพื่อประกอบเป็นการลงทุนส่วนใหญ่ของกองทุน K-GEMO ซึ่งนโยบายการลงทุนดังกล่าวทำให้กองทุนอาจมีการกระจายการลงทุนที่จำกัดกว่ากองทุนอื่นๆ แต่คาดว่ากองทุน K-GEMO จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระดับที่ดีกว่าจากการเลือกประเทศที่เหมาะสมและหลักทรัพย์ที่มีความน่าลงทุนสูงสุด

จากความน่าสนใจข้างต้นเมื่อผนวกกับปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มีอัตราการเติบโตสูง มีนโยบายการเงินของภาครัฐที่แข็งแกร่ง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพรวมของตลาดหุ้นของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ที่สามารถเอาชนะตลาดหุ้นของประเทศพัฒนาแล้วถึงกว่า 40% ในปีที่มาผ่านมา

นายรพี เปิดเผยว่า บลจ. กสิกรไทย ยังได้ลงนามความร่วมมือกับธนาคารซิตี้แบงก์ในการเป็นผู้สนับสนุนการขายกองทุน K-GEMO เนื่องด้วยบริษัทได้เล็งเห็นถึงศักยภาพที่โดดเด่นในการเป็นผู้สนับสนุนการขายที่มีมาตรฐานสูงและมีกระบวนการพิจารณา คัดสรร ประเมินกองทุนอย่างเป็นระบบ ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ ทางบลจ.กสิกรไทยและธนาคารซิตี้แบงก์จะเพิ่มความร่วมมือในการนำเสนอนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนให้ดียิ่งขึ้น

อนึ่ง กองทุนเปิดเค โกลบอล อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต ออพพอร์ทูนนิตี้ (K-GEMO) มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนใน สกุลเงินของหลักทรัพย์ที่ลงทุน ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉลี่ย ไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ อนึ่ง กองทุนมิได้ป้องกันความเสี่ยงทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนแรกเริ่มได้

วิเคราะห์

                การที่มีการเตรียมเสนอขายกองทุนเปิดเค โกลบอล อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต ออพพอร์ทูนนิตี้(K-Global Emerging Market Opportunities Fund:K-GEMO) มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท เพื่อเพิ่มทางเลือกในการลงทุนให้แก่ผู้ลงทุนที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนสูงจากความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)  โดยการที่ทำเช่นนี้จะทำให้มีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดี โดยกองทุนนี้สามารถลงทุนในหุ้นได้เต็ม 100% เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนสูงจากตลาดหุ้นขาขึ้น ในทางกลับกันก็สามารถปรับพอร์ตหุ้นลง เพื่อถือตราสารหนี้หรือเงินสด ซึ่งจะช่วยลดความผันผวนจากตลาดหุ้นขาลงได้

 

 

 

นายสัญชัย ภัทรพงศ์โอฬาร รหัส 50473010054 โปรแกรมวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

ข่าวที่1

การบินไทยเปิดจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน16-17ก.ย

การบินไทยเปิดจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนระหว่าง 16-17 ก.ย. ผ่านแบงก์กรุงเทพ-กรุงไทย ทุกสาขาทั่วประเทศ ไม่เกิน1,000 ล้านหุ้น

นายปิยสวัสดิ์  อัมระนันทน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) (THAI) เป็นประธาน ประกาศเปิดจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไป  ที่โรงแรมเดอะไทด์ รีสอร์ท บางแสน อ.เมือง จ.ชลบุรี   จำนวนไม่เกิน 1,000 ล้านหุ้น ซึงกำหนดเปิดให้จองซื้อหุ้นได้ภายในวันที่ 16 – 17 ก.ย.ผ่านธนาคารกรุงเทพและธนาคารกรุงไทยทุกสาขาทั่วประเทศ     โดยมีผู้ที่สนใจเข้าร่วมฟังคำชี้แจงในครั้งนี้อย่างล้นหลาม

"เงินทุนที่จะได้รับจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งและความคล่องตัวทางการเงิน ทำให้บริษัทฯสามารถพัฒนาฝูงบินและเครือขายการบินที่มีประสิทธิภาพ พัฒนาและเสริมสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า รวมถึงการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและการสร้างผลกำไร โดยมีเป้าหมายสำคัญที่จะให้การบินไทยก้าวสู่การเป็นสายการบินชั้นนำ 1 ใน 3 ของเอเชีย และเป็น 1 ใน 5 ของโลกในอนาคตอันใกล้"

สำหรับการดำเนินการครั้งนี้ทางกระทรวงการคลังซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จะจองซื้อหุ้นเพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นที่ประมาณ 51.03% นอกจากนั้นจะมีการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนบาง ส่วนให้แก่ผู้จองซื้อรายย่อยและส่วนใหญ่ให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ (ยกเว้นกระทรวงการคลัง) ที่มีชื่อปรากฏอยู่ในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา ในอัตราส่วนหุ้นเดิมต่อหุ้นใหม่ที่จะได้มีการประกาศอีกครั้งในวันที่ 15 กันยายน 2553 นี้ ส่วนผู้ถือหุ้นเดิม สามารถจะจองซื้อเกินกว่าสิทธิของตนตามอัตราส่วนหุ้นสามัญเดิมต่อหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ได้ก็ต่อเมื่อหุ้นเหลือจากการจองซื้อตามสัดส่วน บริษัทฯ กำหนดและจัดสรรหุ้นที่เหลือให้แก่ผู้ถือหุ้นที่จองซื้อเกินสัดส่วน ตามสัดส่วนการถือหุ้นจนกว่าหุ้นที่เหลือจะหมด

ส่วนในกรณีของผู้จองซื้อรายย่อย หากมีความสนใจจองซื้อมากกว่าจำนวนที่เสนอขาย จะมีการจัดสรรโดยการสุ่มเลือก โดยระบบคอมพิวเตอร์ ของบริษัท เซ็ตเทรด คอทคอม จำกัด เพื่อความโปร่งใสของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)

ด้านนายธีรพล  โชติชนาภิบาล กรรมการผู้จัดการฝ่ายครัวการบิน รักษาการรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายพาณิชย์ กล่าวว่า การเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ เป็นการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 1,000 ล้านหุ้น โดยจะมีการเสนอขายให้แก่กลุ่มบุคคลต่างๆ 3 กลุ่ม คือ 1.กระทรวงการคลัง โดยจะจองซื้อหุ้นในจำนวนที่ทำให้กระทรวงการคลังรักษาสัดส่วนการถือหุ้น ที่ประมาณ 51.03% ภายหลังการเสนอขายในครั้งนี้  2.ผู้ถือหุ้นเดิม (กระทรวงการคลัง) ที่มีชื้อปรากฏอยู่ในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 ส.ค. และ 3. ผู้จองซื้อรายย่อย ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย หรือนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทย

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ร่วมกับผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายจะได้ร่วมกันประกาศราคาเสนอขายหุ้น จำนวนหุ้นที่เสนอขายสุดท้าย และอัตราส่วนหุ้นสามัญเดิมต่อหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ ให้ทราบในวันที่ 15 ก.ย.และผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท (ยกเว้นกระทรวงการคลัง) และประชาชนทั่วไปสามารถจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนได้ในวันพฤหัสบดีที่ 16 และ วันศุกร์ที่ 17 ก.ย.  ระหว่างเวลา 08.30 น. หรือเวลาเปิดทำการของแต่ละสาขา จนถึงเวลา 15.30 น. ที่ธนาคารกรุงเทพ (ยกเว้นสาขาไมโคร) และธนาคารกรุงไทย ทุกสาขาทั่วประเทศ

สำหรบผลประกอบการ 6 เดือนแรกของปี 2553 ของการบินไทย  มีรายได้รวมทั้งสิ้น  89,440 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ จำนวน 12,304 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับผลประกอบการของปี 2552 ที่ผ่านมาของการบินไทย  ซึ่งมีรายได้รวมทั้งสิ้น  163,875 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 7,416 ล้านบาท

วิเคราะห์

                การที่บริษัทการบินไทยจะมีการซื้อหุ้น – เพิ่มทุนนั้นมีผลทำให้โดยมีผู้ที่สนใจเข้าร่วมฟังคำชี้แจงในครั้งนี้อย่างล้นหลาม  เงินทุนที่จะได้รับจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งและความคล่องตัวทางการเงิน ทำให้บริษัทฯสามารถพัฒนาฝูงบินและเครือขายการบินที่มีประสิทธิภาพ พัฒนาและเสริมสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า รวมถึงการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและการสร้างผลกำไรให้แก่บริษัทเพิ่มมากขึ้นและเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

 

ข่าวที่ 2

กรุงศรีฟันด์ออกกองตราสารหนี้ให้เรท1.50%

กรุงศรีฟันด์เสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรีไทยโน้ท 3M1 (KFTN3M1) 3 เดือน ให้เรท 1.50% เปิดขายตั้งแต่ 7-13 ก.ย.นี้

นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อยุธยา จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯเสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรีไทยโน้ท 3M1 (KFTN3M1) เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุน ที่ต้องการลงทุนระยะสั้นในตราสารหนี้ภาครัฐ และตราสารหนี้ในประเทศที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ A- ขึ้นไป ซึ่งมีผู้ออก เช่น ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด (ไทย) ธนาคารทิสโก้ ธนาคารธนชาต หรือ บริษัทศุภาลัย เป็นต้น โดยจะลงทุนในตราสารของแต่ละแห่งไม่เกิน 30% ซึ่งกองทุนนี้เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่มั่นคง และแสวงหาโอกาสในการรับผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร และผลตอบแทนที่คาดว่า จะได้รับจากการขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติไม่น้อยกว่า 1.50% ต่อปี  (หลังหักค่าใช้จ่ายประมาณ 0.20%) กองทุนดังกล่าวมีมูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท

นายฉัตรพี กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ปรับเปลี่ยนมาออกกองทุนในประเทศอายุประมาณ 3 เดือน เนื่องด้วยผลตอบแทน (ในสกุลเงินบาท) ที่ได้รับจากการลงทุนในพันธบัตรเกาหลีมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่ได้รับจากกองทุนตราสารหนี้ที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยและตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทหรือสถาบันการเงินชั้นนำของไทย กองทุนเปิดกรุงศรีไทยโน้ท 3M1 (KFTN3M1) จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่มองหาการลงทุนระยะสั้นและมั่นคงในขณะนี้ และคาดว่ากองทุนดังกล่าวน่าจะได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนค่อนข้างมากทีเดียว

กองทุนเปิดกรุงศรีไทยโน้ท 3M1 (KFTN3M1) เสนอขายระหว่างวันที่ 7-13 กันยายน 2553 ลงทุนขั้นต่ำ เพียง 10,000 บาท และท่านที่สนใจสามารถดูรายละเอียดของกองทุนได้ที่ www.ayfunds.com หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.อยุธยา โทร. 02-657-5757  ต่างจังหวัดโทรฟรี 1-800-226300 หรือติดต่อธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา และผู้แทนสนับสนุนการขายทั่วประเทศ

วิเคราะห์

การที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อยุธยา จำกัด  มีการเสนอขายหลักทรัพย์  กองทุนเปิดกรุงศรีไทยโน้ท 3M1 (KFTN3M1) เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุน ที่ต้องการลงทุนระยะสั้นในตราสารหนี้ภาครัฐ และตราสารหนี้ในประเทศที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ A- ขึ้นไป ซึ่งมีผู้ออก เช่น ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด (ไทย) ธนาคารทิสโก้  ซึ่งกองทุนนี้เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่มั่นคง และแสวงหาโอกาสในการรับผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร และผลตอบแทนที่คาดว่า จะได้รับจากการขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติไม่น้อยกว่า 1.50% ต่อปี  (หลังหักค่าใช้จ่ายประมาณ 0.20%)               

 

 

น.ส.ลัดดา  วงษ์สวาท

รหัส 50473010060

โปรแกรม เศรษฐศสาตร์ธุรกิจ

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 6 กันยายน 2553

 

วิเคราะห์ข่าวเศรษฐกิจ

 

"พาณิชย์"เสนอ2ทางเลือก ครม.ฟันธงรับชำระหนี้รัสเซีย

 

นางพรทิวา นาคาศัย



"พาณิชย์" เตรียมชง 2 ทางเลือกให้ครม.ฟันธง แนวทางรับชำระหนี้ค่าข้าวรัสเซีย 36 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งชำระเงินสด และขยายเวลาใช้หนี้ต่ออีก 5 ปี พรทิวา เผยรับเงินสดชัวร์กว่า ปัญหาจะได้จบ

เมื่อวันที่ 6 ก.ย. นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในเร็วๆ นี้ กระทรวงพาณิชย์จะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาแนวทางการชำระหนี้ค่าข้าวที่รัฐบาลรัสเซียค้างชำระรัฐบาลไทยมา ตั้งแต่ปี 2533 หลังจากที่คณะเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคของไทย ประกอบด้วยผู้แทนจาก กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ได้เดินทางไปเจรจากับกระทรวงการคลังรัสเซีย จนสามารถหาข้อยุติได้แล้ว



รมว.พาณิชย์ กล่าวต่อว่า แนวทางที่จะเสนอให้ครม.พิจารณา มี 2 ทางเลือก คือ 1.ขยายข้อตกลงการชำระหนี้ออกไปอีก 5 ปี จากวันที่ 22 ต.ค.51-21 ต.ค.56 โดยมียอดมูลหนี้ทั้งสิ้น 41 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็นเงินต้น 36 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และดอกเบี้ย 4.62 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะไม่ให้คิดดอกเบี้ยในช่วงขยายเวลาดังกล่าว โดยสินค้าที่จะนำไปหักหนี้เป็นสินค้าตามรายการในข้อตกลงเดิม ได้แก่ อาวุธยุทธปัจจัยต่างๆ เฮลิคปอเตอร์ ฯลฯ โดยหากค่าสินค้าน้อยกว่ายอดหนี้ รัสเซียก็จะชำระส่วนที่เหลือเป็นเงินสดให้ และ 2. รัสเซีสจะชำระหนี้เฉพาะส่วนเงินต้นทั้งหมดเป็นเงินสด 36.441 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายใน 30 วัน หลังจากมีการลงนามในข้อตกลงปรับเงื่อนไขการชำระหนี้



นางพรทิวา กล่าวด้วยว่า กระทรวงพาณิชย์เห็นว่าทางเลือกที่ 2 จะให้ประโยชน์สูงสุด เพราะในระยะที่ผ่านมา ทั้ง 2 ฝ่ายไม่เคยตกลงเลือกสินค้า ราคา หรือบริษัทที่ยินยอมผลิตสินค้าเพื่อส่งมอบให้ไทยที่เหมาะสมได้ และไม่แน่ใจว่าหากรอเวลาไปอีก 3 ปี จนถึงปี 56 จะดำเนินการให้แล้วเสร็จได้หรือไม่ แต่การรับเงินสดในทันทีจะมีความแน่นอน ชัดเจนและยังเป็นการแสดงความจริงใจของทุกฝ่ายที่จะยุติปัญหาที่เรื้อรังมานานโดยเร็ว

 

 

วิเคราะห์       แนวทางการรับชำระหนี้ค่าข้าวรัสเซีย 36 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งชำระเงินสด และขยายเวลาใช้หนี้ต่ออีก 5 ปี การรับเป็นเงินสดจะเเน่นอนกว่า ปัญหาจะได้จบลง

 มีแนวทางที่เสนอให้พิจารณา มี 2 ทางเลือก  เเต่มีความเห็นว่า ควรเลือก แนวทางที่ 2  คือ รัสเซีสจะชำระหนี้เฉพาะส่วนเงินต้นทั้งหมดเป็นเงินสด 36.441 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายใน 30 วัน หลังจากมีการลงนามในข้อตกลงปรับเงื่อนไขการชำระหนี้  เนื่องจาก ทางเลือกที่ 2 จะให้ประโยชน์สูงสุด เพราะในระยะที่ผ่านมา ทั้ง 2 ฝ่ายไม่เคยตกลงเลือกสินค้า ราคา หรือบริษัทที่ยินยอมผลิตสินค้าเพื่อส่งมอบให้ไทยที่เหมาะสมได้ และการรับเงินสดในทันทีจะมีความแน่นอน ชัดเจนและยังเป็นการแสดงความจริงใจของทุกฝ่ายที่จะยุติปัญหาที่เรื้อรังมานานโดยเร็ว

 

ก.อุตสาหกรรมเร่งสร้างมาตรฐานสินค้าไทยบุกตลาดอียู

 

กระทรวง อุตสาหกรรม เร่งสร้างมาตรฐานสินค้าไทยใส่ใจสิ่งแวดล้อมบุกตลาด EU แนะผู้ประกอบการขอใบรับรอง CE Mark สร้างความมั่นใจลูกค้า ชี้เป็นใบเบิกทางส่งออกราบรื่น เสริมขีดความสามารถการแข่งขันให้สูงขึ้น...

เมื่อวันที่ 6 ก.ย. นางสุทธินีย์ พู่ผกา ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม หรือ สศอ. เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้เร่งยกระดับผู้ประกอบการให้ได้รับการรับรองสินค้าโดยมี เครื่องหมาย CE Mark เป็นใบเบิกทางในการส่งสินค้าไปจำหน่ายในสหภาพยุโรป(อียู) เนื่องจากเครื่องหมาย CE Mark เป็นการแสดงว่าสินค้าประเภทนั้นๆ มีการออกแบบและการผลิตที่เป็นไปตามข้อกำหนดในระเบียบข้อบังคับของอียู เพื่อให้ผู้บริโภค ได้รับความมั่นใจในสินค้าว่ามีความปลอดภัยในการใช้สินค้าของผู้บริโภค ตามมาตรการรักษาและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยขณะนี้ได้มีการดำเนินการนำร่องเพื่อเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการเพื่อ ให้ได้ เครื่องหมาย CE Mark ใน 10 ผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ ตู้แช่ กระติกน้ำร้อน โคมไฟ คอมเพรสเซอร์สำหรับเครื่องทำความเย็น สายไฟและชุดสายไฟ ตู้เย็น พัดลมไฟฟ้า หม้อหุงข้าวไฟฟ้า และเครื่องซักผ้า ซึ่งทั้ง10ผลิตภัณฑ์ที่กล่าวมาจะมีการจัดทำคู่มือสำหรับผู้ประกอบการได้ ศึกษาเพื่อสามารถทำมาตรฐานรองรับด้วยตัวเอง จำนวนผลิตภัณฑ์ละ 500 เล่ม

 

 

วิเคราะห์      เครื่องหมาย CE Mark เป็นใบเบิกทางในการส่งสินค้าไปจำหน่ายในสหภาพยุโรป(อียู) เนื่องจากเครื่องหมาย CE Mark เป็นการแสดงว่าสินค้าประเภทนั้นๆ มีการออกแบบและการผลิตที่เป็นไปตามข้อกำหนดในระเบียบข้อบังคับของอียู เพื่อให้ผู้บริโภค ได้รับความมั่นใจในสินค้าว่ามีความปลอดภัยในการใช้สินค้าของผู้บริโภค ตามมาตรการรักษาและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม  เป็นผลดี สำหรับผู้ประกอบการที่ผ่านโครงการจนสามารถติดฉลาก CE Mark ให้ผลิตภัณฑ์ได้ จะเป็นเหมือนใบเบิกทางชั้นดีในการส่งสินค้าไปตลาด อียู เนื่องจากผลิตภัณฑ์นำร่องทั้ง 10 ผลิตภัณฑ์ เป็นสินค้าที่มีการส่งออก ทั้งปริมาณและมูลค่าค่อนข้างสูง และในอนาคตจะได้มีการขยายผลไปยังผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกต่อไป เพื่อคงสถานการณ์แข่งขันและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาด อียู อีกประการสำคัญในฐานะที่ประเทศไทยเป็นประเทศชั้นนำในอาเซียน การดำเนินการยกระดับสินค้าเพื่อสอดคล้องกับกฎระเบียบมาตรการต่างๆของประเทศ คู่ค้าจะเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้สินค้าไทยในเวทีโลก เป็นการก้าวข้ามการเปลี่ยนแปลงได้เร็วกว่าประเทศอื่นๆ ในอาเซียนด้วยกัน.

 

ธีราภรณ์ บุญปัญญา 50473010058
นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี วันนี้ เห็นชอบร่างกรอบเจรจาความร่วมมือ ด้านการพัฒนา กิจการรถไฟ ระหว่างราชอาณาจักรไทย กับสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยจะร่วมมือกัน พัฒนาการก่อสร้างทาง, การเดินรถไฟ และการบริหารจัดการ กิจการรถไฟความเร็วสูง ใน 3 เส้นทางหลัก ประกอบด้วย เส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย, กรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์ และ กรุงเทพฯ-ระยอง

โดยขั้นตอนหลังจากนี้ จะมีการเสนอเรื่องดังกล่าว ให้รัฐสภา พิจารณาตามกรอบรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เพื่อนำไปสู่การเดินหน้าโครงการสร้างรถไฟความเร็วสูง รางมาตรฐาน 1.435 เมตร ในอนาคตต่อไป จากนั้น รัฐบาลจะหารือกับทางจีน ว่าสนใจที่จะลงทุนในเส้นทางใดบ้าง หรือ ทั้งหมด

นอกจากนี้ ครม. ยังรับทราบกรณีรัฐบาลจีน ยินดีที่จะให้การสนับสนุน สินเชื่อเพื่อการส่งออก จำนวน 400 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเดิมกระทรวงคมนาคม มีโครงการที่จะใช้เงินดังกล่าว ในการปรับปรุงสภาพหัวรถจักร ที่มีอายุการใช้งานเกินกว่า 25 ปี จำนวน 151 หัวรถจักร อีกทั้ง มีโครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้าใหม่ เพื่อมาทดแทนรถจักร GE เดิม จำนวน 50 คัน เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ
การเดินรถไฟ แต่ นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ระบุว่า ยังไม่ขอใช้เงินกู้ดังกล่าว เพราะมีเงื่อนไขการกู้มาก ดอกเบี้ยสูง และต้องสั่งซื้อสินค้าจากจีนเกินร้อยละ 50
วิเคราะห์ข่าว
จากการที่รัฐบาลได้มีโครงการด้านคมนาคมอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นการพัฒนาศักยภาพของประเทศและเพื่อการมีสาธารณูปโภคที่ดีแก่ประชาชน
ดังนั้นรัฐบาลได้มีโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องจะเห็นได้จากการเร่งสานต่อโครงการรถไฟฟ้าให้แล้วเสร็จ การขุดอโมงข้ามแยกต่าง ๆ เพื่อลดปัญหาจราจรติดขัดเพื่อทำให้ประชาชนมีคมนาคมที่สะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งโครงการไฟฟ้าความเร็วสูงนี้ก็เป็นอีกโครงการหนึ่งเช่นที่รัฐบาลได้นำคมนาคมรูปแบบนี้เข้ามาใช้ภายในประเทศเพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพให้ประเทศไทยอีกด้านหนึ่งซึ่งหากโครงการนี้มีการตกลงเจรจาโครงการก่อสร้างสำเร็จ และรัฐบาลไทยสามารถจัดสรรงบประมาณในการบริหารประเทศมาลงทุนทางด้านคมนาคม รถไฟความเร็วสูงได้สำเร็จก็จะเกิดประโยชน์อย่างมากแก่ประเทศแม้จะมีการลงทุนสูง แต่หากคำนึงถึงผลที่จะได้รับแล้วก็ถือว่าคุ้มค่ามากเลยทีเดียว
ข่าวที่2
หอการค้าไทยคาดเงินบาทหลุด30บ.ในQ4
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท ในไตรมาส 3 จะอยู่ในระดับ 31.60 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ไตรมาส 4 จะแข็งค่าลงไปอีกอยู่ที่ระดับ 29.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ระดับ 31.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

โดยเงินบาทที่แข็งค่าอยู่ในขณะนี้ อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับภูมิภาคอาเซียน โดยกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบ คือ ภาคการเกษตร เกษตรแปรรูป เนื่องจากคู่แข่งอย่างประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ค่าเงินไทยแข็งค่ากว่า ส่วนกลุ่มที่ได้ประโยชน์ คือ อุตสาหกรรมยานยนต์ เหล็ก เครื่องใช้ไฟฟ้า

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเศรษฐกิจโลกจะมีผลกระทบต่อการส่งออกไทยมากกว่า ปัจจัยด้านอัตราแลกเปลี่ยน 1.6 เท่า โดยค่าเงินที่แข็งค่าขึ้นร้อยละ 1 จะส่งผลให้สินค้าสามารถนำเข้าได้เพิ่มร้อยละ 1.91-4 % โดยค่าเงินที่แข็งค่าขึ้นร้อยละ 1 จะสามารถส่งผลให้สินค้านำเข้าเพิ่มร้อยละ 1.9-4 แต่ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้า
วิเคราะห์ข่าว
จากข่าว ผลการคาดคะเนในไตรมาสที่4 ของปีนี้เงินบาทอาจมีการแข็งค่าเพิ่มมากยิ่งขึ้น เราจะเห็นได้จากหลังไตรมาสที่2 ของปีนี้คือเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองเริ่มคลี่คลายลง  ทำให้เมื่อเข้าไตรมาสที่3ของปีนี้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว และอีกปัจจัยหนึ่งคือทิศทางของเศรษฐกิจโลกทำให้เงินบาทเริ่มแข็งค่าเพิ่มมากยิ่งขึ้น ดังนั้นหากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป และธปท.ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ หรือมีมาตรการใด ๆ ออกมาที่สามารถเกิดผลในแง่บวกแก่เศรษฐกิจภายในประเทศได้อย่างเห็นผล แน่นอนก็ย่อมส่งผลต่อภาคธุรกิจและการลงทุน คือภาคส่งออกก็ขายสินค้าได้ในราคาถูกลง แต่ผลดีก็ตกอยู่ที่ภาคการนำเข้าวัตถุดิบในภาคอุตสาหกรรมคือซื้อของได้ถูกลง เป็นต้น
นางสาวสุภาณี ขันสุข

นางสาวสุภาณี ขันสุข

รหัส50473010009 โปรแกรมวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

ช่าวส่งครั้งที่2

ข่าวที่ 1.  หวั่นข้าวแพงจุดจลาจลทั่วเอเชียคนฮ่องกงแห่ตุนข้าวเกลี้ยงร้าน

สถานการณ์ข้าวแพงทำให้เกิดความวิตกว่า อาจจุดชนวนให้เกิดจลาจลทั่วเอเชีย คนฮ่องกงแห่ตุนข้าวจนเกลี้ยงร้าน นักเคลื่อนไหวในฟิลิปปินส์ เตือนเมื่อวันอังคาร (1 เม.ย.) ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดจลาจลจากสถานการณ์ราคาข้าวที่ทะยานเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 50 ในช่วงเวลาเพียง 2 เดือนที่ผ่านมา ท่ามกลางความวิตกว่าราคาข้าวจะทะยานเพิ่มอีกถึงร้อยละ 40 ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า รายงานข่าวเผยว่า ปรากฏการณ์ข้าวแพงทำให้เกิดกระแสประท้วงขึ้นแล้วในฟิลิปปินส์ หลังจากที่ประชาชนต้องซื้อข้าวแพงถึงกิโลกรัมละ 40-50 เปโซ (30-40 บาท) ขณะที่รัฐบาลได้ขอให้ประชาชนบริโภคข้าวที่เหลืออยู่กันอย่างประหยัด ส่วนรองผู้อำนวยการองค์การอาหารแห่งชาติของฟิลิปปินส์ได้บรรเทาความวิตกว่า ยังมีข้าวที่สั่งซื้อมาจากไทยและเวียดนามเก็บสำรองไว้อย่างเพียงพอ แถม ประธานาธิบดี กลอเรีย อาร์โรโย ยังสั่งข้าวเพิ่มจากเวียดนามอีก 1.5 ล้านตัน และสั่งดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับพวกที่กักตุนเก็งกำไร สื่อรายงานว่า ประชาชนพากันแห่ซื้อข้าวสาร และสินค้าต่างๆ ตุนไว้

         ท่ามกลางความวิตกเรื่องราคาอาหารสูงขึ้น จนข้าวในซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ หมดเกลี้ยง ขณะที่โฆษกกรมอุตสาหกรรมและการค้าฮ่องกงแถลงยืนยันว่า ทางการมีการจัดสำรองข้าวในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการ ส่วนที่ กัมพูชา นายกรัฐมนตรีฮุน เซน สั่งห้ามส่งออกข้าวตั้งแต่วันพุธที่แล้ว เพื่อควบคุมราคาข้าวภายในประเทศที่กำลังพุ่งสูงขึ้น เช่นเดียวกับที่เวียดนามที่ทั้งผู้ส่งออกและเกษตรกรต่างก็กำลังกักตุนข้าว ขณะที่ราคาข้าวในบังกลาเทศพุ่งขึ้นเป็น 2 เท่าในปีนี้ แต่ยังไม่เกิดเหตุวุ่นวายขึ้น ขณะที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอินเดีย เผยว่า ได้ขยายระยะเวลาห้ามส่งออกธัญพืช และข้าวทุกชนิด ยกเว้นข้าวบาสมาติ พร้อมหั่นภาษีนำเข้าน้ำมันที่สามารถบริโภคได้ทุกประเภท อันเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการควบคุมอัตราเงินเฟ้อในประเทศที่ทะยานแตะระดับสูงสุดในรอบ 14 เดือน ช่วงกลางเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ขณะที่จีนกับเกาหลีใต้เผยว่ายังมีข้าวบริโภคเพียงพอ ขณะเดียวกัน ธนาคารโลก ได้ออกรายงานครึ่งปีว่าด้วยเอเชียตะวันออกระบุว่า สถานการณ์ราคาอาหารและเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น กำลังเป็นปัญหาท้าทายใหญ่ที่สุดของภูมิภาคเอเชียตะวันออก ยิ่งกว่าปัญหาวิกฤติการเงินในสหรัฐที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลกในขณะนี้ โดยนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลกเตือนว่า ราคาสินค้า เช่น ข้าว อาหาร และน้ำมันจะยังคงสูงขึ้นในระยะยาว รัฐบาลจึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินมาตรการอย่างเหมาะสมในการแบ่งเบาภาระของคนยากจน นอกจากนี้ รายงานของธนาคารโลกยังเตือนด้วยว่า มาตรการ เช่น การควบคุมราคาสินค้าอาจช่วยแก้ไขสถานการณ์ได้เพียงระยะสั้น แต่อาจส่งผลเสียในระยะยาว

วิเคราะห์ข่าวที่ 1.  เนื่องจากสถานการณ์ข้าวแพงในตอนนี้ทำมีการซื้อข้าวมากักตุนไว้  จึกทำให้เกิดการวิตกว่า อาจจะเกิดการจฃาจลกันเกิดขึ้น เพราะราคาข้าวในตอนนีมีราคาทะยานขึ้นสูงเรื่อยๆอีกประมาณร้อยละ 40 % ในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้  รัฐบาลจึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินมาตรการอย่างเหมาะสมในการแบ่งเบาภาระของคนยากจน นอกจากนี้ รายงานของธนาคารโลกยังเตือนด้วยว่า มาตรการ เช่น การควบคุมราคาสินค้าอาจช่วยแก้ไขสถานการณ์ได้เพียงระยะสั้น แต่อาจส่งผลเสียในระยะยาว

วิเคราะห์ข่าวที่2  เบรกขึ้นค่ารถ-ขนส่งสินค้า รอผลเจรจาซื้อน้ำมันรัสเซีย

รมช.คมนาคม ระบุภาคขนส่งยังไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำมันแพงถึงขั้นรุนแรง ยันจะตรึงค่าโดยสารไปจนถึงสงกรานต์ เตรียมขยายพื้นที่สถานีขนส่งสินค้าเพิ่ม.. รมช.คมนาคม ยืนยันจะตรึง ค่าโดยสารไปจนถึงสงกรานต์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (21 มี.ค.) นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงคมนาคม เดินทางลงพื้นที่ตรวจการใช้ประโยชน์พื้นที่ขนส่งสินค้า และรับฟังปัญหาของผู้ประกอบการขนส่งสินค้าที่สถานีขนส่งสินค้าชานเมืองกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ภายหลังการหารือร่วมกัน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการขนส่งสินค้ายังไม่ได้รับความเดือดร้อนจากภาวะราคา น้ำมันแพง มากนัก เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีแนวทางในการลดต้นทุนน้ำมันด้วยการบริหารจัดการการเดินรถขนส่งสินค้าโดยลดการวิ่งรถเที่ยวเปล่าลงให้มากที่สุด ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนค่าขนส่งสินค้าได้กว่าร้อยละ 30 ขณะเดียวกันภาครัฐก็จะเร่งส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการหันมาใช้เอ็นจีวีแทน ซึ่งจะเร่งประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือตามที่มีการเรียกร้อง ทั้งเรื่องการขยายสถานีบริการก๊าซ รวมไปถึงการช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น  นอกจากนี้ นายทรงศักดิ์ ยังยืนยันถึงแนวทางการพิจารณาค่าโดยสารของรถร่วม ขสมก.และรถร่วม บขส. ที่จะมีการหารือในที่ประชุมคณะกรรมการขนส่งทางบกกลาง วันอังคารที่ 24 มี.ค.นี้ โดยระบุว่า นโยบายของกระทรวงคมนาคมชัดเจนว่า จะตรึงค่าโดยสารรถโดยสารสาธารณะทั้งรถ ขสมก. รถร่วม ขสมก. รถ บขส.และรถร่วม บขส. ไว้ที่ระดับเดิมจนสิ้นสุดการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์เนื่องจากไม่ต้องการให้ส่งผลกระทบกับประชาชนที่จะเดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงดังกล่าว ซึ่งมีเป็นจำนวนมาก อีกทั้งมีแนวโน้มที่จะคงอัตราค่าโดยสารในระดับนี้ ไปจนกว่าการเจรจาสั่ง ซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ของรัฐบาลจะเสร็จสิ้น ซึ่งเชื่อว่า จะส่งผลให้ราคาน้ำมันในประเทศปรับตัวลดลง และจะช่วยพยุงราคาค่าโดยสารได้อีกระยะหนึ่ง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลานี้พื้นที่ สถานีขนส่งสินค้า ทั้ง 3 สถานีที่อยู่ใน ความดูแลของกรมการขนส่งทางบก ประกอบด้วย สถานีขนส่งสินค้าพุทธมณฑล สถานีขนส่งสินค้าร่มเกล้า และสถานีขนส่งสินค้าคลองหลวง พบว่าถูกใช้ประโยชน์โดยผู้ประกอบการขนส่งสินค้ารายใหญ่จนเต็มพื้นที่ ผู้ประกอบการรายเล็กไม่ได้ให้ความสนใจในการเข้ามาใช้บริการ ทั้งที่ค่าเช่าพื้นที่ก็อยู่ในราคาที่เหมาะสม ซึ่งนายทรงศักดิ์ ระบุว่ากระทรวงคมนาคมมีแนวคิดจะหามาตรการจูงใจให้ผู้ประกอบการรายย่อยหันมาใช้บริการสถานีขนส่งสินค้kให้มากขึ้น และอาจมีการขยายพื้นที่สถานีขนส่งสินค้า สร้างโกดังเก็บสินค้า และเพิ่มเทคโนโลยีในการขนส่งสินค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจะเปิดให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนด้วย นอกจากนี้ กรมการขนส่งทางบกยังได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา ศึกษาความเหมาะสมในการจัดตั้งสถานีขนส่งสินค้าในเมืองหลักและจังหวัดชายแดน ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน ก.ค.นี้

วิเคราะห์ข่าวที่ 2. เนื่องจากกรมการขนส่งทางบกจะขอขึ้นค่าโดยสาร  รมช.คมนาคม ระบุภาคขนส่งยังไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำมันแพงถึงขั้นรุนแรง ยันจะตรึงค่าโดยสารไปจนถึงสงกรานต์ เตรียมขยายพื้นที่สถานีขนส่งสินค้าเพิ่ม.. รมช.คมนาคม ยืนยันจะตรึง ค่าโดยสารไปจนถึงสงกรานต์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (21 มี.ค.) นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงคมนาคม เดินทางลงพื้นที่ตรวจการใช้ประโยชน์พื้นที่ขนส่งสินค้า และรับฟังปัญหาของผู้ประกอบการขนส่งสินค้าที่สถานีขนส่งสินค้าชานเมืองกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ภายหลังการหารือร่วมกัน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม

 

 

 

 

นายกิตติวิทย์ ตั้งมงคลเลิศ 50473010025 เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

นาย กิตติวิทย์  ตั้งมงคลเลิศ

50473010025  เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

 

ข่าวที่ 1

กรุงศรีฟันด์ออกกองตราสารหนี้ให้เรท1.50%

กรุงศรีฟันด์เสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรีไทยโน้ท 3M1 (KFTN3M1) 3 เดือน ให้เรท 1.50% เปิดขายตั้งแต่ 7-13 ก.ย.นี้

นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อยุธยา จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯเสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรีไทยโน้ท 3M1 (KFTN3M1) เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุน ที่ต้องการลงทุนระยะสั้นในตราสารหนี้ภาครัฐ และตราสารหนี้ในประเทศที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ A- ขึ้นไป ซึ่งมีผู้ออก เช่น ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด (ไทย) ธนาคารทิสโก้ ธนาคารธนชาต หรือ บริษัทศุภาลัย เป็นต้น โดยจะลงทุนในตราสารของแต่ละแห่งไม่เกิน 30% ซึ่งกองทุนนี้เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่มั่นคง และแสวงหาโอกาสในการรับผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร และผลตอบแทนที่คาดว่า จะได้รับจากการขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติไม่น้อยกว่า 1.50% ต่อปี  (หลังหักค่าใช้จ่ายประมาณ 0.20%) กองทุนดังกล่าวมีมูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท

นายฉัตรพี กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ปรับเปลี่ยนมาออกกองทุนในประเทศอายุประมาณ 3 เดือน เนื่องด้วยผลตอบแทน (ในสกุลเงินบาท) ที่ได้รับจากการลงทุนในพันธบัตรเกาหลีมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่ได้รับจากกองทุนตราสารหนี้ที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยและตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทหรือสถาบันการเงินชั้นนำของไทย กองทุนเปิดกรุงศรีไทยโน้ท 3M1 (KFTN3M1) จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่มองหาการลงทุนระยะสั้นและมั่นคงในขณะนี้ และคาดว่ากองทุนดังกล่าวน่าจะได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนค่อนข้างมากทีเดียว

กองทุนเปิดกรุงศรีไทยโน้ท 3M1 (KFTN3M1) เสนอขายระหว่างวันที่ 7-13 กันยายน 2553 ลงทุนขั้นต่ำ เพียง 10,000 บาท และท่านที่สนใจสามารถดูรายละเอียดของกองทุนได้ที่ www.ayfunds.com หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.อยุธยา โทร. 02-657-5757  ต่างจังหวัดโทรฟรี 1-800-226300 หรือติดต่อธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา และผู้แทนสนับสนุนการขายทั่วประเทศ

วิเคราะห์

การที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อยุธยา จำกัด  มีการเสนอขายหลักทรัพย์  กองทุนเปิดกรุงศรีไทยโน้ท 3M1 (KFTN3M1) เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุน ที่ต้องการลงทุนระยะสั้นในตราสารหนี้ภาครัฐ และตราสารหนี้ในประเทศที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ A- ขึ้นไป ซึ่งมีผู้ออก เช่น ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด (ไทย) ธนาคารทิสโก้  ซึ่งกองทุนนี้เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่มั่นคง และแสวงหาโอกาสในการรับผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร และผลตอบแทนที่คาดว่า จะได้รับจากการขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติไม่น้อยกว่า 1.50% ต่อปี  (หลังหักค่าใช้จ่ายประมาณ 0.20%) 

ข่าวที่ 2

กกร.หนุนขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 250 บ./วัน แต่ให้ดูตามความสามารถลูกจ้าง

ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) หนุนรัฐบาลประกาศปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 250 บาทต่อวัน โดยให้ยึดเกณฑ์การพิจารณาตามความสามารถและทักษะของลูกจ้าง

ทั้งนี้ในเดือน ต.ค.นี้ ภาคเอกชนจะมีการหารือร่วมกันเพื่อกำหนดขั้นในการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งต้องการให้การปรับขึ้นค่าจ้างครั้งนี้สะท้อนความสามารถและการพัฒนาทักษะของลูกจ้าง แต่อำนาจในการพิจารณาปรับขึ้นค่าจ้างต้องขึ้นอยู่กับคณะกรรมการไตรภาคีที่จะดูถึงความเหมาะสม ซึ่งคาดว่าจะพิจารณาเหตุผล 3 ข้อ ได้แก่ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ, อัตราเงินเฟ้อ และขีดความสามารถในการจ่ายของการจ้าง

ประธาน กกร.ยังกล่าวถึงการปรับตัวแข็งค่าของเงินบาทว่า ภาคเอกชนยังพอรับได้หากอยู่ในระดับที่ทัดเทียมกับคู่แข่ง แต่ขณะนี้มีความเป็นห่วงว่าเงินบาทจะปรับตัวแข็งค่ากว่าประเทศคู่แข่ง ซึ่งจะลดขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของผู้ประกอบการได้ โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ดังนั้นจึงขอให้ภาครัฐติดตามดูแลอย่างใกล้ชิดด้วย

จากการที่ภาครัฐเล็งเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ 250 บาทต่อวัน ส่งผลให้ภาคเอกชนไม่ค่อยเห็นด้วยกับแนวคิดนี้สักเท่าไหร่  นายทวีกิจ จตุรเจริญคุณ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงแนวคิดที่รัฐบาลจะปรับค่าแรงงานขั้นต่ำเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 250 บาท รัฐบาลควรหารือในคณะกรรมการค่าจ้างกลางเป็นผู้พิจารณา เรื่องนี้ ส.อ.ท.ได้สอบถามกระทรวงแรงงานไปแล้วแต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้า ส่วนกรณีที่ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ศึกษาการปรับค่าจ้างทำให้ผู้ประกอบการ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องให้กระทรวงการคลังศึกษา เพราะการปรับค่าจ้างควรให้คณะกรรมการค่าจ้างกลางเป็นผู้พิจารณา

ใน ส.อ.ท.มีความเห็นว่าไม่ควรปรับค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นเป็นวันละ 250 บาทเท่ากันทั่วประเทศ เพราะค่าจ้างขั้นต่ำแต่ละจังหวัดไม่เท่ากัน ถ้าปรับให้วันละ 250 บาท เท่ากันทั่วประเทศ จะทำให้บางจังหวัดต้องปรับค่าจ้างขึ้นอีกวันละ 100 บาท เช่น จังหวัดพะเยา ที่มีค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ 150 บาท ก็ต้องปรับขึ้นอีก 100 บาท เพื่อให้มีค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 250 บาท

  วิเคราะห์

แนวคิดที่รัฐบาลจะปรับค่าแรงงานขั้นต่ำเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 250 บาท รัฐบาลควรหารือในคณะกรรมการค่าจ้างกลางเป็นผู้พิจารณา  ทั้งนี้การปรับค่าจ้างขั้นต่ำควรใช้รูปแบบเดิม คือ แต่ละจังหวัดไม่เท่ากัน เพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพในแต่ละจังหวัด และไม่ควรที่จะปรับขึ้นเป็น 250 บาท ทันที ปัจจุบันค่าแรงขั้นต่ำในกทม.อยู่ที่วันละ 206 บาท เมื่อปรับค่าแรงขั้นต่ำขึ้นเป็น 250 บาท จะเป็นการปรับขึ้นที่ ถือว่าสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับการปรับค่าจ้างขั้นต่ำในช่วงหลายปีที่ผ่านมา  ผู้ประกอบการเห็นด้วยที่จะปรับค่าจ้างขึ้นให้มากกว่าปกติแต่ก็ควรมีอัตราที่เหมาะสม เพราะถ้าปรับขึ้นมากเกินไปก็อาจทำให้ผู้ประกอบการบางรายรับต้นทุนที่เพิ่มไม่ไหวและอาจต้องลดจำนวนแรงงานลง

นางสาวน้ำฝน เพาะจะโปะ

นางสาวน้ำฝน  เพาะจะโปะ

รหัส 50473010009 โปรแกรมวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

ข่าวที่ 1

ลุ้นดัชนี 1,000 จุด

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธาน สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (สธท.) เปิดเผยภายหลังเข้ารับตำแหน่งประธาน สธท. คนใหม่ ว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้มีความเป็นไปได้ที่ดัชนีหุ้นไทยจะไต่ระดับขึ้นไปแตะ 1,000 จุด เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าต่อเนื่อง หลังเศรษฐกิจในสหรัฐและยุโรปยังอ่อนแอ ขณะที่เศรษฐกิจจีนเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว เพราะรัฐบาลได้ออกมาตรการควบคุมการเติบโตของเศรษฐกิจ ทำให้เงินทุนต่างชาติไม่มีที่ไป และไหลเข้าตลาดหุ้นขนาดเล็กอย่างตลาดหุ้นไทย ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก ส่งผลให้ดัชนีราคาหุ้นไทยเติบโตถึง 25% หรือกว่า 200 จุดภายในระยะเวลา 3 เดือน ซึ่งถือว่าเติบโตสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของตลาดหุ้นทั่วโลก ดังนั้น จากนี้หุ้นไทยอาจเจอแรงเทขายทำกำไรออกมาบ้าง หรืออาจปรับฐานลงได้ แต่ในระยะยาวยังสามารถไปได้ต่อ หากเศรษฐกิจไทยยังเติบโตต่อเนื่อง "ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยเพิ่มขึ้นกว่า 200 จุด ถือว่าเติบโตเร็วมากจนเป็นอันดับ 1 ของตลาดหุ้นโลก เป็นผลจากเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าต่อเนื่อง อีกทั้งหลังปัญหาเรื่องมาบตาพุดมีความชัดเจนมากขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติมีความเชื่อมั่นในการลงทุนตลาดหุ้นไทยเพิ่มตามไปด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ต่างชาติจะลงทุนหุ้นกลุ่มหลักโดยหุ้น 10-20 อันดับแรกที่เป็นหุ้นตัวหลักของตลาดหุ้นไทย นักลงทุนต้องระมัดระวังการลงทุน เพราะตลาดยังมีความผันผวน ประกอบกับตลาดหุ้นปรับขึ้นมามากแล้ว ขณะที่ราคาหุ้นก็ไม่ถูก จึงต้องศึกษาปัจจัยพื้นฐานของหุ้นประกอบการพิจารณาลงทุนด้วย" แม้ว่าปัจจุบันเงินทุนต่างชาติจะไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง

วิเคราะห์ข่าว

ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่ควรที่จะเข้าไปสกัดกั้นการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ โดยควรปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด เพราะหากตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงจุดจุดหนึ่ง จนนักลงทุนต่างชาติเห็นว่าหุ้นไทยราคาแพง เงินทุนต่างชาติดังกล่าวจะไหลออกไปเองตามกลไกของตลาด ซึ่งมองว่าการที่ค่าเงินบาทส่งสัญญาณแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องนั้น เป็นไปตามการแข็งค่าของสกุลเงินประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย หลังเศรษฐกิจขยายตัวในระดับที่ดี

 ข่าวที่ 2

นักวิเคราะห์มองทะยานตามตลาดหุ้นต่างประเทศ รับอานิสงส์เงินทุนต่างชาติไหลเข้า ประธานสภาตลาดทุนไทย

ไทยชี้ดัชนีหุ้นทะยานไม่หยุด ขึ้นแท่นเติบโตสูงสุดอันดับหนึ่งของโลก 3 เดือนบวก 200 จุด ลุ้นแตะ 1,000 จุด เปิดตลาดช่วง 30 นาทีแรกวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในช่วงแคบระหว่าง 929-932 แต่วอลุ่มซื้อขายยังคึกคัก จากบรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นวานนี้ (6 ก.ย.) ดัชนีหุ้นค่อนข้างผันผวน โดยในระหว่างวันขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 944.64 จุด ก่อนที่จะแผ่วลงมาปิดที่ 931.52 จุด บวก 1.62 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายกว่า 63,116.90 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการขึ้นสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี ตั้งแต่วันที่ 19 ธ.ค. 2549 มูลค่าการซื้อขายเคยสูงสุดที่ 72,131.55 ล้านบาท โดยวานนี้ต่างชาติซื้อสุทธิ 3,252 ล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 526 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 2,277 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 1,501 ล้านบาท หุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดคือหุ้น ปตท.ปิดที่ 302 บาท บวก 11.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 7.43 พันล้านบาท ตามด้วยหุ้นปตท.เคมิคอล ปิดที่ 114.50 บาท บวก 8 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3.54 พันล้านบาท หุ้นเจริญโภคภัณฑ์อาหาร ปิดที่ 23.20 ลบ 1.60 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3.34 พันล้านบาท หุ้น ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น ปิดที่ 25.50 บาท บวก 0.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3.18 พันล้านบาท หุ้นบ้านปู ปิดที่ 630 บาท ลบ 4 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2.75 พันล้านบาท

 

 

 

นาย วรนาถ สาธิตนิมิต 50473010047

นาย วรนาถ สาธิตนิมิต 50473010047

เศรษฐศาสตร์

ข่าวที่ 1 พิษเศรษฐกิจซบ-ค่าบาทแข็ง ฉุดกำไรการบินไทยลดฮวบ

การบินไทยรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 พบว่า มีกำไรจากการขายและการให้บริการ 114 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 68 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนซึ่งมีกำไรจากการขายและบริการ 959 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 473 ล้านบาท เพราะว่าภาวะเศรษฐกิจและปัญหาสถานการณ์ในประเทศ รวมทั้งสถานการณ์เงินบาทแข็งค่า ทำให้มีผู้เดินทางลดลง

เรืออากาศโทอภินันทน์ สุมนะเศรณี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ การบินไทย กล่าวยอมรับว่า สาเหตุที่กำไรของบริษัทลดลงมาจากภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์ในประเทศที่กระทบต่อการท่องเที่ยว ทำให้คนเดินทางน้อยลง รวมทั้งปัญหาเงินบาทแข็งค่าทำให้รายได้ที่เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเปลี่ยนเป็นเงินบาทลดลงด้วย

วิเคราะห์

จากข่าวนี้จะเห็นว่าจากภาวะเงินแข็งค่าขึ้น ทำให้การท่องเที่ยวในไทยซบเซาไปมาก ซึ่งจะเห็นได้จากกำไรสุทธิของบริษัท การบินไทย จำกัด มหาชน ที่ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วเยอะมาก เพราะค่าเงินบาทที่แข็งตัวขึ้น ทำให้เงินดอลล่าแลกเป็นเงินบาทได้น้อยลง และที่สำคัญขณะนี้มีสายการบินที่ราคาประหยัดเป็นคู่แข่งตัวสำคัญอีกด้วย ซึ่งทางการบินไทยนั้นจะเน้นในเรื่องของการบริการเป็นเลิศ ซึ่งเหมาะกับคนที่มีฐานะทางการเงิน แต่หากเป็นสายการบินราคาประหยัด ก็จะเน้นในเรื่องของราคาถูก ไม่ว่าใครก็สามารถโดยสารไปด้วยได้ จุดนี้เองก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ยอดของการบินไทยตกลง ดังนั้น การบินไทย ควรจะมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของบริษัท เพื่อให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งรายอื่นได้ ซึ่งตอนนี้ การบินไทย ก็ได้ลดอัตราค่าโดยสารลง แม้ว่าจะยังมีราคาสูงกว่าสายการบินราคาประหยัด แต่การบริการที่ดีของการบินไทยก็ยังคงไว้ เพื่อเป็นการจูงใจลูกค้าได้อีกวิธีหนึ่งเช่นกัน

ข่าวที่2 หุ้นไทยดีดรอบ2ปี แตะ900จุด เงินบาทแข็งค่าสูง

หุ้นไทยปิดตลาดที่ระดับ 900.37 จุด เพิ่มขึ้น 14.27 จุด สูงสุดในรอบ 2 ปี 10 เดือน ซื้อขายกว่า 4.3 หมื่นล้าน ด้านโบรกฯ ฟันธงสาเหตุหุ้นพุ่ง มาจากเม็ดเงินไหลเข้าตลาดต่อเนื่อง และค่าเงินบาทแข็ง เชื่อสัปดาห์หน้ายังสดใส ให้แนวต้านใหม่ 905 จุด...

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประจำวันศุกร์ที่ 27 ส.ค. 2553 ปิดตลาดที่ระดับ 900.37 จุด เพิ่มขึ้น 14.27 จุด มูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 43,609.00 ล้านบาท หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลง เพิ่มขึ้น 293 หลักทรัพย์ ลดลง 93 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 120 หลักทรัพย์

ทั้งนี้ ดัชนีฯได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 2 ปี 10 เดือน นับจากวันที่ 1 พ.ย. 2550 ที่ระดับ 902.73 จุด

สำหรับ 5 อันดับซื้อขายสูงสุดประจำวันนี้ ได้แก่ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) , ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) , บริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) , บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยทะยานขึ้นแตะระดับ 900 จุดว่า มาจากเม็ดเงินที่ไหลเข้าตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าสูง จึงทำให้นักลงทุนสนใจในตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตาม หุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน ได้แก่ หุ้นในกลุ่มธนาคารเนื่องจาก ความมั่นใจต่อแนวโน้มผลประกอบการที่จะออกมาของธนาคารต่างๆ รวมถึงหุ้นกลุ่มที่ได้ผลประโยชน์จากโครงการต่างๆของรัฐบาล ทั้งนี้ ในช่วงต้นสัปดาห์หน้ายังเชื่อว่าตลาดหุ้นน่าจะสดใส โดยให้แนวต้านใหม่ที่ 905 จุด และแนวรับที่ 895 จุด

ส่วนตลาดหุ้นภูมิภาค ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ระดับ 20,597.35 จุด ลดลง 14.71 จุด ดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดตลาดที่ระดับ 8,991.06 จุด เพิ่มขึ้น 84.58 จุด และ ดัชนีเวทเต็ด ตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดตลาดที่ระดับ 7,722.91 จุด เพิ่มขึ้น 33.17 จุด.

วิเคราะห์

ภาวะค่าเงินบาทของไทยมีค่าแข็งตัวขึ้น และเม็ดเงินที่ไหลเข้าตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าสูง นักลงทุน จะชะลอการลงทุน เนื่องจากต้นทุน และค่าใช้จ่ายในการลงทุน เพิ่มสูงขึ้น จะชะลอ ความสามารถในการลงทุน หุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน ได้แก่ หุ้นในกลุ่มธนาคารเนื่องจาก ความมั่นใจต่อแนวโน้มผลประกอบการที่จะออกมาของธนาคารต่างๆ รวมถึงหุ้นกลุ่มที่ได้ผลประโยชน์จากโครงการต่างๆของรัฐบาล

นาย เกีรยติชัย เกีรยติสูงส่ง 50473010045

นาย เกีรยติชัย เกีรยติสูงส่ง

50473010045 เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

 

ข่าวที่ 1 กลุ่มจี20เตือนจีน หยวนอ่อนค่า ระวังภาวะฟองสบู่

กลุ่มปะเทศจี 20 รวมถึงอียูจัดทำร่างเอกสารกังวลภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ-ญี่ปุ่น เสี่ยงที่จะกลับมาถดถอยอีกครั้ง ขณะเดียวกันผิดหวังรัฐบาลจีนไม่ดำเนินการเรื่องทำให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้น อ้างหยวนแข็งจะช่วยป้องกันการเกิดฟองสบู่จากราคาสินทรัพย์... สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 4 ก.ย. ว่า กลุ่มประเทศจี 20 หรือประเทศพัฒนา และกำลังพัฒนา 20 ประเทศ รวมถึงสหภาพยุโรป (EU) ได้จัดทำร่างเอกสารเกี่ยวกับความวิตกกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าว่า สหรัฐฯและญี่ปุ่นมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะกลับมาถดถอย และเปราะบางอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็แสดงความผิดหวังต่อประกาศของรัฐบาลจีนเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ว่าจะทำให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้น เพราะที่ผ่านมาดูเหมือนการดำเนินการในเรื่องนี้จะเป็นไปอย่างเชื่องช้า นอกจากนี้ ยังมีท่าทีว่าจีนจะรักษาค่าเงินหยวนให้อยู่ในระดับต่ำ หรืออ่อนอย่างผิดปกติเพื่อหนุนภาคการส่งออกของตน ร่างเอกสารดังกล่าวยังระบุด้วยว่า การแข็งค่าของเงินหยวนจะเป็นประโยชน์ที่ดีที่สุดของจีน เนื่องจากจะช่วยป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจของจีนร้อนแรงเกินไปแล้ว ยังจะช่วยป้องกันการเกิดภาวะฟองสบู่จากราคาสินทรัพย์ด้วย.

วิเคราะห์ จีนเป็นประเทศมหาอำนาจที่กำลังจะก้าวมามีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจโลกแทนที่ญี่ปุ่นก่อนหน้านี้ก็มีข่าวการแข็งค่าของเงินหยวน จีนมีเป้าหมายทางเศรษฐกิจที่ต้องการเป็นมหาอำนาจดั้งนั้นจึงพยายามทำให้เศรษฐกิจของตนมีผลประโยชน์มากที่สุดซึ่งอาจกระทบกับประเทศที่กำลังพัฒนาในแทบเอเชีย

 

ข่าวที่ 2 ราคาทองคำ 1,249.25 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 0.05 ดอลลาร์/ออนซ์

ราคาทองคำตลาดนิวยอร์ค 1,249.25 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 0.05 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ หรือเพิ่มขึ้น 0.004% ราคาแกว่งตัวในกรอบ 1,246 - 1,2530ดอลลาร์/ออนซ์ ดูเพิ่มเติมhttp://www.goldprice.org/spot-gold.html บริษัท เอ็มทีเอสโกลด์ฟิวเจอร์ส ระบุว่าสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องและยังเป็นทิศทางที่แข็งค่าอยู่ จะเห็นได้ว่าราคาทองคำในตลาดโลก ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องหลังจากทะลุแนวต้านที่ 1,220 เหรียญขึ้นมา ในทางกลับกันราคาทองคำของไทยไม่สามารถปรับตัวขึ้นได้เลย เนื่องจาก ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในช่วง 3 สัปดาห์ โดย ณ ขณะนี้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น มาอยู่ที่ 31.11 บาท/ดอลลาร์ ทำให้ภาพรวมราคาทองไทยเป็นทิศทาง sideway และคงต้องวิเคราะห์แยกประเด็นของราคาทองไทย และราคาทองตลาดเมืองนอก ราคาทองคำในต่างประเทศ มีแนวต้านที่ 1,265 เหรียญ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดเดิม ในขณะที่แนวรับอยู่ที่ระดับ 1,240 เหรียญ ในขณะที่ราคาทองไทยมีแนวต้านที่ 18,450 บาท เป็นราคาทองคำแท่งขายออก โดยมีแนวรับอยู่ที่ 18,100 บาท

วิเคราะห์ การที่ราคาทองคำโลกมีการปรับตัวดีขึ้นทำให้นักลงทุนชะลอการเก็งกำไรเรื่องทองคำลง และหันมานำทองคำที่ซื้อไว้เพื่อการเก็งกำไรนั้น ออกมาขายสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดทองคำของไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลงเนื่องจากภาวะค่าเงินบาทแข็งค่ามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนหรือนักเก็งกำไรนำทองคำออกเทขายสู่ตลาดมากขึ้น และหันไปลงทุนด้านอื่นแทน

นางสาวปัทมา พิมพ์ศรี รหัส 50473010034 เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

รมว.คมนาคม เพิ่มกรอบเจรจาเส้นทางรถไฟไทย-จีน เป็น 5 เส้นทางจากเดิม 3
ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 7 กันยายน 2553 18:28:26 น.
        นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.เห็นชอบร่างกรอบการเจรจาความร่วมมือด้านการพัฒนากิจการรถไฟระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีวัตถุประสงค์ของการเจรจา เพื่อให้มีกรอบการเจรจาในการสร้างความร่วมมือด้านการพัฒนากิจการรถไฟระหว่างไทย-จีน ซึ่งอาจนำไปสู่การกำหนดข้อตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือต่อไป
        สาระสำคัญของกรอบการเจรจา ประกอบด้วย 5 ด้าน คือ 1)เส้นทาง ได้แก่ 1.กรุงเทพฯ-หนองคาย ระยะทาง 615 กม. 2.เส้นทางกรุงเทพฯ-ระยอง ระยะทาง 221 กม. เริ่มต้นจากมักกะสัน-ฉะเชิงเทรา-ระยอง 3.เส้นทางกรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์ ระยะทาง 982 กม. 4.เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ และ 5.เส้นทางกรุงเทพฯ-อุบลราชธานี
2)การดำเนินการ เป็นความร่วมมือในการพัฒนาเพื่อก่อสร้างทาง การเดินรถไฟ และการบริหารจัดการกิจการรถไฟในเส้นทางที่ได้ตกลงไว้ หรือการดำเนินการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง 3)การจัดหาพื้นที่ในการพัฒนา เป็นความร่วมมือในการจัดหาพื้นที่ในการก่อสร้างทาง การเดินรถและการบริหารจัดการกิจการรถไฟ หรือการดำเนินการอื่นๆที่เกี่ยวข้องในเส้นทางที่ได้ตกลงไว้
4)การใช้เทคโนโลยีและทรัพยากรร่วมกันในการพัฒนา เป็นความร่วมมือและการอำนวยความสะดวกในการใช้เทคโนโลยีและทรัพยากรของแต่ละประเทศร่วมกันอย่างเหมาะสม และ 5)การถ่ายทอดเทคโนโลยี เป็นความร่วมมือในการถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ ตลอดจนการพัฒนากิจการรถไฟระหว่างไทยกับจีน
"เป้าหมายการเจรจา เพื่อให้ได้ข้อตกลงในการร่วมมือพัฒนากิจการรถไฟระหว่างไทย-จีน ที่เกิดประโยชน์สูงสุด และเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งต้องไม่กระทบต่อแผนปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานระยะเร่งด่วน มูลค่า 1.7 แสนล้านบาท ระยะ 5 ปีของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ตลอดจนต้องมีการรับฟังความคิดเห็นประชาชนด้วย"นายโสภณ กล่าว
        ส่วนกรณีที่กรอบการเจรจา กำหนดเส้นทางรถไฟความเร็วสูงใน 5 เส้นทาง จากเดิมที่มี 3 เส้นทางนั้น เป็นการกำหนดกรอบสำหรับการเจรจาเท่านั้น ส่วนการดำเนินการจะตกลงสร้างเส้นทางใดก็ขึ้นอยู่กับข้อตกลงที่จะมีร่วมกันต่อไป
สำหรับรูปแบบการร่วมทุนนั้น กระทรวงการคลังให้ความเห็นว่า รัฐบาลไทยควรจะต้องเข้าร่วมทุน เพื่อให้เห็นถึงการร่วมมือกันระหว่างไทยกับจีน ในการพัฒนากิจการรถไฟระหว่างประเทศ และการร่วมทุนนั้นควรใช้สิทธิประโยชน์ในการใช้ที่ดินเป็นหลัก โดยหลีกเลี่ยงการลงเงินร่วมทุน เพื่อไม่เป็นภาระต่องบประมาณ ดังนั้นจะต้องพยายามประเมินและเจรจามูลค่าสิทธิประโยชน์ในการใช้ที่ดินให้ได้มูลค่าที่สูงที่สุด
นายโสภณ ยังกล่าวอีกว่า ที่ประชุมครม.ได้พิจารณาแนวทางและนโยบายการดำเนินการของรัฐบาลในเรื่องการขอใช้สินเชื่อเพื่อการส่งออกจำนวน 400 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจีนเสนอให้ใช้ในการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน โดยจะไม่มีการดำเนินการใช้สินเชื่อในส่วนนี้ เพราะติดปัญหาเรื่องเงื่อนไขที่ไม่สามารถหาข้อยุติได้ ไม่ว่าจะเป็นข้อกำหนดที่ให้ผู้กู้ต้องใช้เงินกู้ซื้อสินค้าจากจีนไม่น้อยกว่า 50% การพิจารณาด้านข้อกฎหมายต้องใช้กฎหมายจีน และกำหนดให้สถาบันอนุญาตโตตุลาการของจีนเป็นผู้วินิจฉัยข้อพิพาท ขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงประมาณ 5%
“กระทรวงคมนาคมไม่รับข้อเสนอการกู้เงินดังกล่าว เพราะมีปัญหาเรื่องเงื่อนไขที่เกี่ยวข้อง และเห็นว่าปัจจุบันประเทศไทยและจีนกำลังจะมีความร่วมมือในโครงการขนาดใหญ่เกี่ยวกับการพัฒนากิจการรถไฟร่วมกันแล้ว จึงน่าจะดำเนินการตามความร่วมมือดังกล่าวแทน" นายโสภณ กล่าว            

วิเคราะห์ การกำหนดเส้นทางเพิ่มขึ้นแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศที่พัฒนาเพราะถ้ามีการเพิ่มเส้นทางรถไฟจะเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทางและเป็นทางเลือกใหม่สำหรับประชาชน
ซึ่งถ้าหากทั้งสองประเทศร่วมมือกันจะทำให้ประหยัดต้นทุนในการก่อสร้างที่สำคัญจะทำให้มีเงินใหลเข้าประเทศนอกจากจะมีเงินใหลเข้าประเทศแล้วยังจะมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคโนโลยีซึ่งจะทำให้ได้ประโยชน์สูงสุด แต่ในความเป็นจริงการก่อสร้างทางรถไฟเป็นโครงการที่ใหญ่ ระยะเวลาในการดำเนินงานนาน ใช้ต้นทุนสูงและต้องได้รับความร่วมมือจากหลายๆฝ่ายจึงเป็นการยากที่จะได้รับการอนุมัติง่ายๆเพราะต้องคำนึงถึงผลที่จะตามมาว่าคุ้มกับต้นทุนที่เสียไปหรือไม่

ภาวะยาง AFET: RSS3 ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมัน-ปริมาณผลผลิตยางทางใต้เพิ่มสูงขึ้น
ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 7 กันยายน 2553 17:16:29 น.รายงานภาวะการซื้อขายยางแผ่นรมควันชั้น 3(RSS3) หลังปิดการซื้อขายวันนี้
มีมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 178.42 ล้านบาท ปริมาณซื้อขายรวม 332 สัญญา เพิ่มขึ้นจากวานนี้ 49 สัญญา
โบรกเกอร์จากบริษัท พัฒนาเกษตรล่วงหน้า จำกัด เปิดเผยว่า วันนี้ราคายางแผ่นในตลาด AFET ปรับตัวลดลงตาม
ราคาน้ำมัน ปริมาณผลผลิตยางทางใต้เริ่มออกเยอะจากฝนทิ้งช่วง เพราะฝนทางใต้ไม่หนักเหมือนทางภาคเหนือภาคอีสาน แต่ที่ราคาลงไม่มากเพราะยังมีการไล่ซื้อของเพื่อเก็บเข้าสต็อกก่อนที่จะเริ่มการเก็บเงินภาษีเข้ากองทุนสงเคราะห์สวนยางในเดือน ต.ค.นี้
อย่างไรก็ตาม ผ่านพ้นช่วงนี้ไปราคายางก็น่าจะ Drop ลงแล้ว เพราะปริมาณผลผลิตในตลาดจะออกมามากขึ้น
"สัญญาณทางเทคนิค ราคาขึ้นมาถึงเป้าในระดับหนึ่งแล้ว ไปต่อไม่ได้ จึงน่าจะมีแรงขายออกมาในช่วงนี้ ปลายตลาดพอ
เห็นราคาน้ำมันลง ตลาดหุ้นยุโรปลง ก็เลยเป็นแรงกดดันราคา" โบรกเกอร์ ระบุ
ดังนั้น คาดว่าพรุ่งนี้ราคายางน่าจะมีโอกาสปรับตัวลดลงต่อเนื่อง คาดแนวรับอยู่ที่ 107.00 บาท/กก. และแนวต้านอยู่
ที่ 109 บาท/กก. ส่วนปริมาณสัญญาซื้อขายคงค้าง(Open Interest) อยู่ที่ 3,316 สัญญา ลดลง 10 สัญญา                          

วิเคราะห์ การที่ภาวะยาง AFET: RSS3 (ยางแผ่นรมควันชั้น 3(RSS3) )ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมัน นั้นไม่มีผลต่อปริมาณผลผลิตยางทางใต้  ในทางกลับกันกลับทำให้ปริมาณผลผลิตทางใต้เพิ่มสูงขึ้น เนื่องมาจากช่วงนี้เป็นช่วงที่ฝนทางใต้ไม่ตกหนักเหมือนทางภาคเหนือและภาคอีสาน การที่ราคาลงไม่มากเพราะยังมีการไล่ซื้อของเพื่อเก็บเข้าสต็อกก่อนที่จะเริ่มการเก็บเงินภาษีเข้ากองทุนสงเคราะห์สวนยางในเดือน ต.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม ถ้าหากผ่านพ้นช่วงนี้ไปและมีการเก็บเงินภาษีเข้ากองทุนสงเคราะห์สวนยาง ก็อาจทำให้ราคายางทางใต้ปรับตัวลดลง และอีกสาเหตุก็คือการที่ราคายางสูงขึ้นอาจทำให้มีการปลูกยางมากขึ้นเมื่อมีการปลูกยางมากผลผลิตก็จะมากและเป็นเหตุทำให้ราคายางลดลงในที่สุดเช่นเดียวกัน

นางสาวแสงระวี ศรีราปราน 50473010002 เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

ข่าวที่ 1 คาดส่งออกครึ่งปีหลัง ชะลอตัวต่อเนื่องปีหน้า

ม.หอการค้าไทย เตือน ส่งออกครึ่งหลังชะลอตัวต่อเนื่องปีหน้า หลังเศรษฐกิจโลกชะลอตัวต่อ ส่วนเงินบาท แข็งค่า ทำสินค้าเกษตรได้รับผลกระทบ แต่แนะภาคเอกชนลงทุนต่างประเทศ เร่งนำเข้าเครื่องจักรผลิตสินค้า เมื่อวันที่ 7 ก.ย. นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอกาค้าไทย เปิดเผยถึงการส่งออกสินค้าไทยในช่วงหลังของปี 53 ว่า คาดไตรมาส 3 จะมีมูลค่าส่งออก 48,300 ดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 17.6% จากปีก่อน ส่วนไตรมาส 4 มูลค่า 45,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 6.3% รวมการส่งออกครึ่งปีหลังน่าจะมีมูลค่าการส่งออกที่ 94,200 ดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 11.8% ลดลงจากช่วงครึ่งปีแรกที่มีการขยายตัวในระดับ 36.6% และการส่งออกทั้งปีจะมีมูลค่ารวม 187,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 22.6% สำหรับปัจจัยเสี่ยงประกอบด้วยเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวในช่วงครึ่ง ปีหลัง ซึ่งมีหลายประเทศที่เข้าสู่ช่วงภาวะชะลอตัว ได้แก่ ฝรั่งเศส อิตาลี จีนและอินเดีย หลังจากที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจผ่านจุดสูงที่เดือนม.ค. 53 มาแล้ว ขณะที่ดัชนีอุตสาหกรรมการผลิตของโลกเดือนส.ค. 53 อยู่ที่ระดับ 53.8 ต่ำสุดในรอบ 9 เดือน นับจากธ.ค.2552 เนื่องจากคำสั่งซื้อและการผลิตที่ชะลอลง การลดค่าเงินดองของเวียดนาม ที่ปรับลดมาแล้ว 3 ครั้งรวมกว่า 10% นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยค่าเงินบาทที่มีทิศทางแข็งค่าขึ้น โดยการเปลี่ยนแปลงค่าเงิน 1 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จะกระทบต่อการส่งออก 0.1% ซึ่งไตรมาส 3 คาดค่าเงินบาทจะอยู่ที่ 31.6 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และไตรมาส 4 อยู่ที่ 29.8 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งปีเฉลี่ยอยู่ที่ 31.6-31.7 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าเกษตรจะได้รับผลกระทบมาก เพราะใช้วัตถุดิบในประเทศ 80% รวมทั้งประเทศคู่แข็งในภูมิภาคในกลุ่มสินค้าเกษตร ได้แก่ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เวียดนาม ค่าเงินแข็งค่าต่ำกว่าไทย ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมจะได้รับอานิสงส์จากการนำเข้าวัตถุดิบที่ถูกลง “ไทยควรจะใช้โอกาสจากเงินบาทแข็งค่า โดยผู้ประกอบการควรไปลงทุนยังประเทศเพื่อนบ้าน และเร่งซื้อของที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ เช่น เครื่องจักร โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี ควรจะนำเข้าเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพ มาเพิ่มผลผลิต ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ส่วนปี 54 คาดการส่งออกจะชะลอลงต่อเนื่อง เพราะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง”

วิเคราะห์ว่า การที่การส่งออกครึ่งหลังชะลอตัวต่อเนื่องปีหน้า เป็นเพราะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวต่อ ส่วนเงินบาท แข็งค่า ทำสินค้าเกษตรได้รับผลกระทบทำให้การส่งออกได้น้อยลง ซึ่งจะมีความเสี่ยงสภาวะการชะลอตัวเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสินค้าเกษตรเพราะใช้วัตถุดิบในประเทศ 80% รวมทั้งประเทศคู่แข็งในภูมิภาคในกลุ่มสินค้าเกษตรดังนั้นผู้ประกอบการควรไปลงทุนยังประเทศเพื่อนบ้าน และเร่งซื้อของที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ เช่น เครื่องจักร โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี ควรจะนำเข้าเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพ มาเพิ่มผลผลิต ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ

 ข่าวที่ 2 พาณิชย์บีบสินค้าลดราคา

อานิสงส์ค่าเงินบาทแข็ง
นางวัชรี วิมุกตายน อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่กรมฯ เร่งวิเคราะห์สินค้าที่ได้รับผลดีจากการแข็งค่าของค่าเงินบาท เพื่อนำมาวิเคราะห์ต้นทุนและขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบการปรับลดราคาสินค้าลงมา เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจาก 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็น 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าบางประเภท เช่น เหล็ก แบตเตอรี่รถยนต์ สายไฟ ทองแดง ตะกั่ว และปุ๋ยเคมีลดลง จึงน่าจะมีการขอให้ปรับลดราคาลงมาได้ “มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ศึกษาว่ามีสินค้ากลุ่มไหนได้รับประโยชน์จากอัตราแลกเปลี่ยนเท่าไร และหากพบมีต้นทุนลดลงจริงก็ขอความร่วมมือให้ปรับราคาสินค้าลงมา เบื้องต้นคาดว่าจะเป็นกลุ่มที่มีการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศมาผลิตเกือบทั้งหมด ส่วนใหญ่จะเป็นวัตถุดิบนำเข้าต่างประเทศล้วนมาผลิต อย่างทองแดงก็เป็นวัตถุดิบสำคัญของการผลิตสายไฟฟ้า ตะกั่วผลิตแบตเตอรี่ แต่ไม่ใช่ว่าศึกษาแล้วจะให้ปรับลดราคาทันที ต้องดูสต๊อกสินค้าของผู้ผลิตด้วยว่าอยู่ในช่วงที่ได้เปรียบของค่าเงินบาทหรือไม่” ขณะที่สินค้าที่ได้รับผลกระทบทางลบจากค่าเงินบาท ส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตรและอาหาร เพราะเป็นสินค้าที่ใช้วัตถุดิบในประ เทศและเสียเปรียบด้านการแข่งขันราคากับคู่แข่งภายนอก อีกทั้งยังทำให้เกษตรกรมีรายได้จากการจำหน่ายลดลง ซึ่งกรมฯมีแนวทางดูแลโดยไม่ให้เกิดการกดราคารับซื้อสินค้าเกษตร จนทำให้ได้รับความเดือดร้อน ส่วนภาพรวมราคาสินค้าช่วงวันที่ 30 ส.ค.-3 ก.ย.ที่ผ่านมา สินค้าส่วนใหญ่ยังทรง  ตัว และปรับเปลี่ยนไปตามโปรโมชั่นและการแข่งขันในตลาด นางวัชรีกล่าวว่า การดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและอาหารปรุงสำเร็จคงปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด แต่เข้าไปช่วยเหลือด้วยการเพิ่มทางเลือกสินค้าราคาประหยัดให้  ส่วนการร้องเรียนว่าราคาอาหารปรุงสำเร็จภายในทำเนียบรัฐบาลมีราคาสูงนั้น จากการส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบพบว่าราคาอาหารเฉลี่ยต่อจานอยู่ที่ 20-30 บาท น้ำดื่มแช่เย็น 7-10 บาท แต่ก็มีจุดบริการน้ำดื่มฟรีให้ประชาชนไว้เป็นทางเลือกเช่นกัน ขณะที่การจำหน่ายอาหารภายในศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ และกระทรวงการคลัง ราคาอาหารปรุงสำเร็จส่วนใหญ่ลดเหลือจานละ 20-30 บาท มีเพียงบางรายการและอาหารจานพิเศษที่ราคา 35-45 บาท ขณะที่น้ำดื่มก็ขายตามราคาที่ขอความร่วมมือไว้.

วิเคราะห์ว่าเนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าบางประเภท เช่น เหล็ก แบตเตอรี่รถยนต์ สายไฟ ทองแดง ตะกั่ว และปุ๋ยเคมีลดลงสินค้าที่ได้รับผลกระทบทางลบจากค่าเงินบาท ส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตรและอาหาร เพราะเป็นสินค้าที่ใช้วัตถุดิบในประ เทศและเสียเปรียบด้านการแข่งขันราคากับคู่แข่งภายนอก อีกทั้งยังทำให้เกษตรกรมีรายได้จากการจำหน่ายลดลง

พัฒนพล จารุวงศ์พันธ์

นายพัฒนพล จารุวงศ์พันธ์

เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ 50473010044

ข่าวที่ 1    เงินไหลเข้า ดันบาทแข็งค่าสุดในรอบ 13 ปี

นักบริหารเงินจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทในวันนี้ว่า เงินไหลเข้าได้ส่งผลให้ค่าเงินบาทปรับ ตัวแข็งค่าสุดในรอบ 13 ปี แตะที่ระดับ 31.04/06 บาท/ดอลลาร์ หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่ได้มีการออกมาตรการสกัดการแข็งค่าของเงินบาท หลังจากวานนี้ (7 ก.ย.) มีข่าวลือออกมาอย่างต่อเนื่องว่า ธปท.เตรียมออกมาตรการ เพื่อดูแลค่าเงินบาท ซึ่งส่งผลให้วานนี้ ค่าเงินบาทอ่อนค่าไปแตะ 31.26 บาท/ดอลลาร์

"เงินบาทกลับมาแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์อีกครั้ง และถือว่าแข็งค่าแรงกว่าทุกสกุลในภูมิภาค โดยเปิดตลาดเช้านี้ ค่าเงินบาทอยู่ที่ 31.16/17 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งล่าสุดค่าเงินบาทอยู่ที่ 31.07 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งตัวแปรหลักมาจากเงินทุนไหลเข้า"

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทวันนี้ หลังจากที่หลุดแนวต้าน 31.10 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงเช้าที่ผ่านมา คาดว่าในวันนี้ อาจเห็นค่าเงินบาทหลุดแตะที่ระดับ 31 บาท/ดอลลาร์

ขณะเดียวกันตลาดยังจับตาว่าธปท.จะเข้ามาแทรกแซงตลาด หรือออกมาตรการดูแลค่าเงินหรือไม่ ซึ่งวันนี้ ยังไม่เห็นการเข้ามาแทรกแซงค่าเงินบาทของธปท.แต่อย่างใด

 

วิเคราะห์ว่า 

ค่่าเงินบาท ปรับตัวแข็งค่าสุดในรอบ 13 ปี แตะที่ระดับ 31.04/06 บาท/ดอลลาร์ เป็นเหตุมาจากเงินทุนไหลเข้ามาจำนวนมาก หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่ได้มีการออกมาตรการสกัดการแข็งค่าของเงินบาท ทำให้ธปท. อาจจะต้องเข้ามาเเทรกเเซงตลาด เพื่อทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลง เพื่อทำให้เกิดเสถียรภาพ

 

ข่าวที่ 2  กรณ์'ขย่มแบงก์ ฟันกำไรค่าต๋งพุงปลิ้น

นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค Korn Chatikavanij โดยระบุว่า เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผู้ว่าแบงก์ชาติ ธาริษา ว่าที่ผู้ว่าฯ ประสาร และผมได้ปรึกษากันอีกครั้งเรื่องค่าธรรมเนียมต่างๆ ของธนาคารพาณิชย์ที่สูงเกินไป

วันพฤหัสฯที่ ๙ นี้ รอดูผลการระชุมร่วมกันระหว่างแบงก์ชาติและ นายธนาคารนะครับ วันนี้ ผมเห็นท่านเลขาฯสมาคมธนาคารไทยออกมาอ้อนล่วงหน้า ผมเลยอยากจะเสนอข้อเท็จจริงว่าอะไรเป็นอะไร

กราฟที่...เห็น สะท้อนความจริงว่า เดี๋ยวนี้ค่าธรรมเนียมต่างๆ มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆสำหรับธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบ ความจริงอัตราการขยายตัวในส่วนของรายได้ค่าธรรมเนียมธนาคารไทย ติดอันดับต้นๆในเอเชียเลยครับ

ดูของ K Bank ปีที่แล้ว สัดส่วนรายได้จากค่าธรรมเนียมเท่ากับ ๒๘% ของรายได้รวม แต่ปีนี้ คาดว่าจะเพิ่มขึ้น เป็นถึง ๔๙% ของรายได้รวม พูดง่ายๆ ไม่ต้องปล่อยกู้เพิ่มมากนัก ก็กำไรบานครับ

ปีนี้ ๔ ธนาคารใหญ่สุด กรุงเทพฯ-กสิกรฯ-กรุงไทย-กรุงศรีฯ รวมกันกำไรสุทธิ จะเพิ่มขึ้นประมาณ ๒๕% คือจาก ๖๐,๐๐๐ ล้านบาท เป็นประมาณ ๗๕,๐๐๐ ล้านบาทครับ

คำถามที่ต้องมีคำตอบวันพฤหัสฯนี้ก็คือ ค่าธรรมเนียมต่างๆมีความยุติธรรมหรือยัง

 

วิเคราะห์ว่า  

ใน ปัจจุบันค่าธรรมเนียมต่างๆ มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆสำหรับธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบ ความจริงอัตราการขยายตัวในส่วนของรายได้ค่าธรรมเนียมธนาคารไทย ติดอันดับต้นๆในเอเชีย โดยที่ไม่ต้องปล่อยกู้มากนักก็สามารถมีรายได้เพิ่มขึ้นจากค่าธรรมเนียมได้

เเละปี นี้ 4 ธนาคารใหญ่สุด กรุงเทพฯ-กสิกรฯ-กรุงไทย-กรุงศรีฯ รวมกันกำไรสุทธิ จะเพิ่มขึ้นประมาณ 25% คือจาก 60,000 ล้านบาท เป็นประมาณ 75,000 ล้านบาท จากผลกำไรจากค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท