หนึ่งหลายสิ่งที่ข้าพเจ้าพึงรับผิดชอบ


เวลาเนิ่นหลายปีที่ ณ วันนี้ข้าพเจ้าใคร่ครวญแล้วว่าการพูดถึงเรื่องนี้ไม่ได้พูดถึงในทัศนะที่เป็น "มิจฉาทิฐิ" ในเรื่องการงานที่ข้าพเจ้าดำรงอยู่ในปัจจุบัน

เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน...ข้าพเจ้าได้รับปฏิสัมพันธ์ในเชิงฉงนสนเท่ห์ที่ว่าทำไมถึงยังทำงานอยู่ที่ทำงานในปัจจุบันนี้ (ปัจจุบันที่เขียนเรื่องนี้อยู่) ไม่ใช่เรื่องที่แปลกใจ เพราะนี่ไม่ใช่กรณีแรกที่สงสัย มีมากมายเลย จนขนาดถึงขั้นสืนค้นเรื่องราวของข้าพเจ้าก็มี...

"โดยทั่วไปเพียงแค่จบปริญญาโท ก็หนีย้ายไปทำงานที่ที่ก้าวหน้ากว่านี้ แต่นี่เรียนมาตั้งหลายอย่างแต่ทำไมถึงยังงมโข่งทำงานที่นี่...?"

ข้าพเจ้าย้อนมองกลับไปในวิถีที่ผ่านมาและความคิดในตนเอง

ค่อนข้างเป็นคนดื้อรั้นและเชื่อมั่นในตนเองสูง ... สิ่งใดที่ลงไปในใจและใคร่ครวญแล้ว ประโยชน์ที่เกิดหากเกิดต่อคนหมู่มาก ข้าพเจ้าก็จะตลุยไปตามเป้าหมายนั้นของตนเอง ... แม้บางครั้งอาจเป็นการขัดใจตนเอง แต่ถ้าไม่ใช่ผลประโยชน์ของตนเองแล้วข้าพเจ้ายินดีทำ...

จำได้ว่า การได้เรียนต่อของข้าพเจ้านำพาความขัดใจผู้อื่นอย่างมาก ก่อให้เกิดเป็นความไม่พอใจ และเจตนารมย์ที่หน่วยงานไม่ได้ต้องการคนที่เรียนจบปริญญาเอกมาทำงาน ครั้งแรกที่ตัดสินใจลาออกหลังจากเรียนจบปริญญาตรี... แต่ผู้บริหารในขณะนั้นไม่อนุมัติให้ลาออกแต่ให้ลาศึกษาต่อ จนต่อเนื่องมาจนได้ศึกษาทั้งในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก... ทำให้ทางหน่วยงานต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวน และตั้งกฏเกณฑ์ระเบียบมากมายในองค์กรในยุคสมัยนั้น แต่ข้าพเจ้าก็ยังดื้อรั้นที่จะก้าวไป...

ข้าพเจ้าถูกปรามาศว่า "เรียนแล้วก็คงหนีไปทำงานที่อื่น"... แต่วันที่ข้าพเจ้าได้เห็นผู้บริหารสนับสนุนและทราบแนวคิดที่ท่านบอกต่อผู้คนว่า "คนอย่างนี้ต้องสนับสนุน หากปล่อยรอเวลาให้เนิ่นนานเขาจะหมดไฟ คนอยากทำสิ่งดีดีจะท้อ"... คือ คำพูดเมื่อสิบสามปีก่อนที่ยังก้องอยู่ในจิตสำนึกของข้าพเจ้าอยู่...

ข้าพเจ้าตั้งปณิธานต่อตนเองเลยว่า...ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าพเจ้าจะกลับมาทำประโยชน์ให้กับหน่วยงาน องค์กร และพื้นแผ่นดินบ้านเกิด ...

สิบสามปีผ่านไป...มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายที่เอื้อและเกื้อหนุนให้ข้าพเจ้าได้เกิดการเรียนรู้ อันเป็นการเรียนรู้ภายใน ผ่านเรื่องราวภายนอก

คนส่วนใหญ่ในองค์กร...ได้รวมตัวตั้งกฏระเบียบถึงขั้นที่ส่งผลแนวโน้มไม่สนับสนุนคนไปเรียนต่อในระดับปริญญาเอก อันสืบเนื่องมาจากกรณีของข้าพเจ้า ทำให้หลายคนเกิดเป็นความไม่พอใจและพาลถึงว่ากฏระเบียบที่กำหนดขึ้นนี้สืบเนื่องมาจากข้าพเจ้าเป็นต้นเหตุ (นั่นก็อาจเป็นจริง)...เพราะหากว่าใครจะไปเรียนต่อ ก็ต้องลาออก ซึ่งหลังจากข้าพเจ้าก็มีบุคลากรที่ไปเรียนต่อปริญญาเอก และลาออกจากราชการไปทำงานที่อื่น...

มันเป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าพึงเข้าไปมีส่วนร่วมในความรับผิดชอบ...

ข้าพเจ้าจึงยังดำรงอยู่เพื่อ...สานเจตนารมย์ของตนเองในการทำประโยชน์เพื่อที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นทางตรงและทางอ้อม ข้าพเจ้าเต็มที่ต่อการงานนั้น

วันนี้...ห้าปีผ่านไป ของการทำงาน

ข้าพเจ้าได้ทบทวนต่อตนเอง ว่าข้าพเจ้าได้บกพร่องต่อเป้าหมายและเจตนารมย์ของตนเองมากน้อยเพียงใด...ซึ่งสิ่งที่ได้เรียนรู้ที่ปรากฏและได้บอกต่อตนเองว่า แม้ไม่มีใครมองเห็นในเจตรมย์ของข้าพเจ้า...แต่ข้าพเจ้าก็ก้าวผ่านความสั่นคลอนในทุกรูปแบบ และได้ทำสิ่งต่างๆ เพื่อบ้านหลังนี้อันเป็นบ้านที่ได้ลงมือรับใช้ผ่านวิถีการงาน แม้ว้าจะเป็นการทำโดยทางอ้อม แม้จะมีคำครหาจากความไม่เข้าใจมากมาย แต่...ข้าพเจ้าก็แปรเปลี่ยนขวากหนามนั้นมาเป็นพลังให้ตนเองก้าวย่างต่อไปอย่างไม่ท้อถอย...

สิบสามปีของความมุ่งมั่น และห้าปีของการได้ลงมือทำ...

ข้าพเจ้าได้กำไรเกินความคาดหมาย เพราะทั้งได้ทำงานรับใช้ทั้งในหน่วยงานอันเป็นแผนกเล็กๆ ...องค์กร ... จังหวัด และสังคมโดยรวม โดยไม่หนีเอาตัวรอด ไปทำงานในหน้าที่ที่ใหญ่โต หรือสังคมมองว่ามีเกียรติมากกว่านี้ ข้าพเจ้ายังคงทำงานเป็นคนทำงานตัวเล็กๆ ไม่ได้มีอำนาจใดใด ... แม้ว่าวันนี้ข้าพเจ้าจะไม่ได้ทำในบางสิ่งบางอย่างที่คิดอยากทำเพื่อองค์กรได้อย่างเต็มที่ แต่...อย่างน้อยสิ่งที่ตนเองรังสรรค์ขึ้นมาอันเป็นการทำทางอ้อม อันเป็นการทำงานแบบ "ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ" แต่ใจของข้าพเจ้านี้ได้กำไรมหาศาลมากกว่าเงินทอง และตำแหน่งทางการงาน

แม้ว่าทุกวันนี้...จะมีการตั้งกฏระเบียบขึ้นมาใหม่ว่า "คนในหน่วยงานต้องมีจำนวนวันทำงานไม่ต่ำกว่าสิบห้าวันต่อเดือน" อันเป็นกฏระเบียบที่ตั้งขึ้นมาเมื่อสองปีก่อน อันสืบเนื่องว่าข้าพเจ้าได้รับเชิญไปทำงานข้างนอกบ่อยมาก และมีการสวบสวนรายได้ของข้าพเจ้าด้วยว่าไปรับรายได้จากที่ไหนบ้าง

แต่...ในความมุ่งมั่นและเจตนาที่ดีข้าพเจ้าเชื่อว่าทำให้ข้าพเจ้ามีแรงใจที่ทำให้ก้าวผ่านและยังมีพลังทำตามเจตนารมย์ของตนเองได้...

เพราะเมื่อไปสวบสวนรายได้ พบว่า...ข้าพเจ้าถึงขั้นว่าเป็นผู้ยากจนและมีรายได้น้อย ไม่มีอาชีพพิเศษอันเป็นการหารายได้ส่วนตัว นอกจากเงินไม่กี่บาทที่ได้รับจากหลวง แม้กระนั่นก็ยังมีคนให้คำครหาต่อข้าพเจ้าว่า รับเงินเดือนจากที่นี่แต่ไปทำงานที่อื่น แต่...ข้าพเจ้ามองไปไกลกว่านั้น ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้ารับเงินหลวงจากคลังของประเทศชาติ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงต้องพึงรับใช้ประเทศชาติตราบเท่าที่มีศักยภาพนี้อยู่

สิบห้าวันของการทำงาน...ไม่ได้เป็นอุปสรรค แต่ข้าพเจ้าก็พยายามดำรงแบบไม่ต่อต้าน เพราะหากว่าจำนวนวันทำงานข้าพเจ้าไม่ถึงสิบห้าวัน ก็จะมีน้องเจ้าหน้าที่อันเป็นคนตัวเล็กๆ คอยกระซิบบอกให้ทราบ เพื่อจะได้ไม่ไปเป็นสาเหตุให้ใครต้องโกรธแค้น...

ห้าปี...

เป็นห้าปีที่มีความคุ้มค่า ของการได้เรียนรู้ "ชีวิตแห่งการงาน" อันเป็นการงานที่เต็มเปี่ยมแห่งภายใน...หากยังไม่หมดลมหายใจก็ยังต้องเรียนรู้ต่อไปได้อีกอย่างเต็มที่

 

๘ กรกฏาคม พ.ศ.๒๕๕๓

 

หมายเลขบันทึก: 372934เขียนเมื่อ 8 กรกฎาคม 2010 08:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 พฤษภาคม 2013 13:01 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)
อดิเรก เร่งมานะวงษ์

เป็นกำลังใจให้อาจารย์ Ka-Poom เสมอมาครับ

ผมได้แรงงบันดาลใจจากอาจารย์ด้วย อาจารย์คงจำผมนะครับ

ผมพยายามเข้าดู นะครับ แต่ด้วยด้อยเทคนิกการเข้าถึงบล๊อก

แล้วเจอกันนะครับ

Zen_pics_007 

ขอบพระคุณ...ค่ะคุณอดิเรกค่ะ

จำได้ค่ะ ดีใจค่ะที่ได้เป็นส่วนเล็กๆ ในแรงบันดาลของคุณอดิเรกค่ะ  ...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท