บัดเดี๋ยวดังหง่างเหง่งวังเวงแว่ว
สะดุ้งแล้วเหลียวแลชะแง้หา
เห็นโยคีขี่รุ้งพุ่งออกมา ประคองพาขึ้นไปบนบรรพต
แล้วสอนว่า...อย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน
มนุษย์นี้ที่รักอยู่สองสถาน บิดามารดารักมักเป็นผล
ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แต่กายตน เกิดเป็นคนคิดเห็นจึงเจรจา
แม้ใครรัก-รักมั่ง..ชัง-ชังตอบ ให้รอบคอบคิดอ่านนะหลานหนา
รู้สิ่งไรไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี
จำได้ว่า ตอนเรายังเป็นเด็กเล็กอยู่ จะชอบอ้อนให้พ่อเล่านิทานและท่องกลอนให้ฟัง...หนึ่งในบทกลอนที่พ่อท่องให้ฟังบ่อย ๆ คือ บทกลอนนี้ที่เราชอบมาก
ฟังพ่อไป...ก็คิดเป็นภาพในใจ...จินตนาการไปถึงตัวละคร ที่ชื่อว่า “สุดสาคร” ขี่ม้านิลมังกร มีไม้เท้าวิเศษ ออกเดินทางจากเกาะแก้วพิสดารเพื่อตามหาพระบิดาคือ “พระอภัยมณี” ...ระหว่างทาง สุดสาครได้พบกับ “ชีเปลือย” และถูกชีเปลือยหลอกเอาม้านิลมังกรและไม้เท้าวิเศษไป... สุดสาครถูกผลักตกลงไปในเหว... “พระโยคี” ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของสุดสาครตามมาช่วยไว้ได้ทัน
จำได้อีกว่า…เราถามพ่อด้วยความสงสัยแบบเด็ก ๆ ว่า “...แล้ว “ชีเปลือย” นี่หน้าตาเป็นยังไงหรือจ๊ะ... พ่อจ๋า...”
พ่อตอบว่า “ก็เป็นคนที่ไม่นุ่งผ้า แต่ไว้ผม ไว้หนวดและเครายาว ๆ... ยาวจนถึงตาตุ่มเลยลูก” พ่อคงกลัวว่านิทานเรื่องนี้จะ ”โป๊” เกินไปสำหรับเด็กอย่างเรากระมัง
มาจนกระทั่งบัดนี้... ณ วันที่เวลาล่วงผ่านไปกว่า ๔๐ ปี เราก็ยังจำกลอนบทนี้ได้ขึ้นใจ
แม้เราจะไม่ได้เชื่อและปฏิบัติตามเนื้อหาในบทกลอนนี้เท่าใดนัก เนื่องจากความ “ศรัทธา” ที่เรามีต่อเพื่อนมนุษย์และความเชื่อมั่นในความเป็น “กัลยาณมิตร” ที่มนุษย์พึงมีต่อกันและกัน... ดังนั้น มนุษย์เราจึงมิได้มี “ที่รัก” หรือ “ที่พึ่ง” เพียง “สองสถาน” คือบิดามารดาและตนเองเท่านั้น... แต่ “เพื่อนแท้” สามารถเป็นที่พึ่งได้เสมอ
ทว่าหลายครั้ง...ที่หลายเรื่องราวผ่านเข้ามาในชีวิต กลอนบทนี้จะแว่วผ่านเข้ามาในมโนสำนึก...โดยเฉพาะความตอนที่ว่า
แล้วสอนว่า...อย่าไว้ใจมนุษย์
มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด
ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน
การมองโลกในแง่ดีนับเป็นสิ่งที่ดี...แต่ก็ควรยังชีวิตไว้ด้วย “ความไม่ประมาท” ....ตามสุภาษิตที่ว่า "อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง"
ภูมิปัญญาของผู้คนสมัยก่อนที่สร้างการเรียนรู้ผ่านนิทาน ผ่านบทกลอน และผ่านสุภาษิตต่าง ๆ ช่างชาญฉลาดเสียยิ่งนัก...
ในวาระ “วันสุนทรภู่” ...26 มิถุนายน ที่เวียนมาถึงในปีนี้ ขอน้อมจิตรำลึกถึงและคารวะต่อท่าน “สุนทรภู่” หรือ “พระสุนทรโวหาร” กวีเอกแห่งรัตนโกสินทร์ ซึ่งผลงานวรรณกรรมที่ท่านสรรสร้างทั้งกลอนนิทานและกลอนนิราศ นอกจากจะทำให้เราได้ “lesson learn” อย่างมากมายแล้ว ยังทำให้เมืองไทยของเราเป็นที่รู้จักของนักวรรณกรรมทั่วโลก
ทั้งนี้ท่านได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกด้านงานวรรณกรรม เมื่อปี ๒๕๒๙ เนื่องในโอกาสครบรอบ ๒๐๐ ปีชาตกาลของท่าน
ท่านสุนทรภู่เขียนบทกลอนต่าง ๆ ตาม "ขนบ" วรรณกรรมและตาม "บริบท" เรื่องราวของสังคมในยุคนั้น ๆ ...เนื้อหาบางส่วนบางตอนจึงอาจถูกตีความหมายได้หลายนัยยะ
สำหรับเราแล้ว...การอ่านวรรณกรรมน่าจะเป็นการอ่านและเรียนรู้ "ชีวิต" ที่หลากหลายผ่านเนื้อหาของวรรณกรรม แล้วนำมา "โยนิโส" เพื่อ "สอน" ตนเอง
บรรทัดสุดท้ายของบทกลอนนี้ จึงน่าจะมีบางข้อความซึ่งท่านสุนทรภู่คง "ละไว้" ในฐานที่เข้าใจ... ประมาณว่า
........
รู้สิ่งไรไม่สู้รู้วิชา
รู้รักษาตัวรอด “โดยไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน” เป็นยอดดี
........
ไม่มีความเห็น