เช้านี้ได้ความที่ปรากฏอยู่ในเรื่องหนึ่ง...อันเป็นเรื่องของความที่เรียกว่า "รากเหง้า" ทำให้ข้าพเจ้านึกย้อนมองตนเองตลอดหลายปีที่ผ่านมา ที่สุดแล้วการเดินทางของข้าพเจ้าเป็นเพียงการเดินทางเพื่อดำรงอยู่กับรากเหง้าของตนเอง
รากเหง้าที่ปรากฏ คือ รากเหง้าที่ถูกสร้างสมและบ่มเพาะมาจากห้วงแห่งการได้เกิด และมีชีวิตเพื่อการดำรงอยู่ในครั้งนี้...การเติบโต การเรียน การศึกษา การทำงาน ในการแสวงหาสิ่งที่เป็นนามธรรมในระหว่างชีวิตของการเติบโตมานั้น ทำให้เรานั้นเริ่มห่างออกไปจากรากเหง้าของเราเอง...
รากเหง้านี้...คือ หน่อเนื้อที่เราได้มาจากการถูกบ่มเพาะเลี้ยงดู อันเป็นความผสมผสานของจิตวิญญาณระหว่างแม่และพ่อ... แต่เมื่อเรายิ่งเติบโตขึ้น เราถูกล่อด้วยความเป็นไปภายนอกทำให้เราห่างออกไปจากรากเหง้า และก่อเกิดเป็นปม...ต่างๆ มากมายในดวงจิตของเรา และยิ่งเนิ่นนานวันผ่านไป เรานั้นยิ่งวิ่งห่างและหนีหายออกไปจากรากเหง้าเดิมของตน และไปหยิ่งทะนงในตนเองว่า "ฉันนั้นได้ก่อกำเนิดรากเหง้าใหม่ขึ้นมา"
มีสักกี่คน...ที่สามารถดำรงอยู่กับรากเหง้าแห่งตน?
รากเหง้าแห่งตน คือ สภาวะแห่งความหลงเหลือ "จิตวิญญาณของพ่อแม่และผสานขึ้นมาเป็นสภาวะแห่งเรา" เมื่อเราสามารถย้อนกลับไปสู่รากเหง้าเดิม ความร่าเริงและเบิกบานจะปรากฏขึ้นในใจ แต่...ที่เราส่วนใหญ่นั้นมีความเศร้าหมองครอบงำและแปรรูปออกมาเป็นอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ มากมายนั้น สืบเนื่องมาจากการยอมรับในตนเอง ในรากเหง้าและแหล่งกำเนิดของตนเอง...เราอาศัยกาลเวลาเป็นเครื่องนำพาให้เราวิ่งหนี...ทำให้เรานั้นเป็น "ผู้ไร้ความสามารถที่จะดำรงอยู่กับรากเหง้าของตนเองได้"...
มีสักกี่คน...ที่จะกล้าหาญกลับไปอยู่ท่ามกลางรากเหง้าของตนเองได้?
น้อยมาก...เราถูกช่วงชิงจากห้วงเวลา และกิจธุระมากมายที่สร้างเป็นเหตุผลขึ้นมาว่านี่ คือ การคิดพิจารณาที่ดี ที่งาม ที่เหมาะสำหรับแล้ว ... เรามีครอบครัวใหม่ เรามีการงานที่สำคัญ เรามีหน้าที่ เรามี..?.. ต่างล้วนแล้วฟังดูดีเหมาะสมกับผู้ที่ได้รับการศึกษามา แต่...นั่นก็เป็นเพียงเหตุผลที่ดูดีที่ทำให้เราหนีห่าง...รากเหง้า
ยิ่งห่าง...เรายิ่งลืม...
พอลืม...เราจะหาตัวเราเองไม่เจอ
เมื่อเราหาตัวเราเองไม่เจอ...สภาวะจิตเราจึงยิ่งยุ่งเหยิง มัวหมอง...และอหังการไปเรื่อยจนเวลาที่เหลืออยู่ของการเกิดหมดลงไปเรื่อยๆ...
เราจึงมาวนเวียนและอยู่เป็นเช่นนี้อยู่เรื่อยไป...
ภาพประกอบ...ละเลงเมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓
"ความปรากฏ" ในเช้านี้
รากเหง้า ...เมื่ออ่านจบแล้ว
อดแจมไม่ได้ว่า รากเหง้า..แห่งตนนั้น...หากดำรงอยู่ได้ก็จักส่งผลต่อคนรุ่นใหม่ให้มีความงดงาม
สามารถดำรงคงอยู่ได้ของวัฒนธรรม หลายๆอย่างที่สั่งสมมาจากบรรพบุรุษ
ที่เรา...อาจมองข้ามและหลงลืมที่จะใส่ใจกับสิ่งเหล่านั้น...แต่เชื่อเถอะค่ะว่าเราหลีกลี้หนีไปไม่พ้น...
เพราะหากเราจดจ่อและหันมามองตัวเอง...
เราจะเห็น...รากเหง้าแห่งจิตวิญญาณที่ยังคงดำรงอยู่กับเราโดยเรามิอาจปฏิเสธได้...
และเราก็จะเป็นคนที่จะส่งผ่านรากเหง้า..ผ่านจิตวิญญาณต่อไปยังชนรุ่นหลัง...สืบสานไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด..
ก็เพราะมันเป็นรากเหง้าของเรา..ค่ะ