รถเก๋งคันงามหันหน้าเลี้ยวขวาเข้าไป...ระหว่างสองข้างทางดินกว้างเท่าคันรถพอดี มีต้นไม้เติบโตตามธรรมชาติของป่าพงบนผืนดินถิ่นอิสาน ร่มรื่น เย็นสบาย...สอดคล้องสมกับชื่อสถานที่...วัดป่าสวนธรรมแห่งอำเภอป่าติ้วเหลือเกิน...
เบื้องหน้ามีพี่สาวน่ารักสองท่านยืนรอท่าในชุดยูนิฟอร์มลายเส้นละเอียดสีฟ้าสลับขาว ซึ่งหากดูเพียงผิวเผินจะคิดว่าเป็นสีฟ้าอ่อน แท้จริงแล้วมีลายในตัว บ่งบอกสัญลักษณ์ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างภาคภูมิ นั่นหมายถึงว่าหลังเลิกงานพี่สาวยังไม่ได้กลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดทำงานออกเลย
พวกเราได้พบกับคุณนิคม...ท่านแนะนำตัวเองว่าท่านเป็นชาวนาที่เกษียณแล้ว...ผู้นำชมและให้ข้อมูลด้วยภาษาที่น่าประทับใจยิ่งนักถึงปรัชญาการทำสวนพืชผักปลอดสารพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่า กูซ่า(KUSA:Knowledge, Understand, Skill & Attitude ) และ กูแสบ(KUSAB: Knowledge, Understand, Skill, Attitude&Budget) ที่แสดงถึงองค์ประกอบแห่งความสำเร็จ นอกจากนี้ท่านบอกว่าได้รดน้ำพรวนดินด้วยคำชื่นชมพืชผักเสมอๆ อีกด้วย ซึ่งฉันสังเกตเห็นพืชผักที่นี่งอกงามตามธรรมชาติ ลำต้นอวบ ผืนดินถูกปกคลุมด้วยฟางข้าวซึ่งรักษาความชุ่มชื้นของหน้าดินได้เป็นอย่างดี ใต้ถุนเรือนปูพรมนิ่มหนาด้วยฟางข้าวเช่นกัน เหยียบลงไปนุ่มหยุมเท้า...ฉันถึงกับฉวยโอกาสทิ้งตัวลงนอนพักผ่อนกายาซะเลย...เนื่องจากมีอาการเมารถ วิงเวียนซะเหลือคณา...ทว่าสักครู่ท่านได้นำพาพวกเราไปดูสวนอีกด้านหนึ่ง ฉันจึงลืมตาลุกเดินตามไปด้วยอยากรู้อยากฟัง แม้จะมึนศีรษะก็ “ช่างมันเถอะ” สถานที่นี้ช่างเป็นใจ สวนด้านนี้ก็มีกองฟางเช่นกัน ฉันจึงได้โอกาสอีกครั้งในการนั่งพักพิงอิงอาศัยกองฟางข้าวนั้น...หลับตา...ดมยาดมแก้วิงเวียน ทว่าหูทั้งสองหาหลับไม่...ตั้งใจสดับฟังเสียงคุณนิคมอธิบายพร้อมกับสอดแทรกแง่คิดเชิงปรัชญาถึงความเป็น “ไท” แห่งชีวิต
ดร.กะปุ๋มและฉันถอดรองเท้า แล้วเดินด้วยเท้าเปล่าเหมือนเช่นคุณนิคมทำ...แหม! รู้สึกดีกว่าใส่รองเท้าตั้งเยอะแน่ะ ค่อยๆสืบเท้าย่ำบนผืนดินอุดมด้วยก้านฟางปกคลุม...คุณนิคมเด็ดผักยืนต้น(ฉันจำชื่อไม่ได้) มาเคี้ยวแล้วบอกว่ากินผักสดมีประโยชน์ยิ่งนัก...ฉันก็เลยลองชิมดูบ้าง...อืม...หวานดีนะ...
ก่อนกลับพวกเราห้าคนเดินตามทางดินผ่านป่าสองข้างทางมาถึงห้องที่คุณนิคมให้ความสำคัญมากที่สุด นั่นก็คือห้องส้วมนั่นเอง ซึ่งท่านกำลังสร้างห้องส้วมที่มีที่นอนสำหรับการทำดีท็อกในตัว และมีท่อส่งปัสสาวะที่อุดมด้วยยูเรียไปยังสถานที่รวมเก็บกักไปใช้ประโยชน์เป็นปุ๋ยต่อไปอีกด้วย
ตะเว็นใกล้ลับขอบฟ้าแล้ว ดร.กะปุ๋มจึงได้จังหวะบอกลาด้วยการทิ้งท้ายว่า “คราวหน้าจะมาเยี่ยมชมบ้านดิน...อีกครั้ง...” คุณนิคมถึงกับเอ่ยชื่นชมความฉลาดหลักแหลมของ ดร.กะปุ๋มว่าเป็นการกล่าวลาที่นุ่มนวล เนียนไร้ตะเข็บและเป็นเชิงบวกมากๆ...พวกเรายกมือไหว้ ขอบพระคุณความเมตตากรุณาของทุกท่านที่นำพาให้มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ธรรมชาติอีกครั้งหนึ่งในชีวิต...
เพราะอาการเมารถของฉัน...ดร.กะปุ๋มจึงเปลี่ยนที่นั่งให้ฉันไปนั่งด้านหน้า...ทว่ากลับได้รับการปฏิเสธด้วยฉันคิดว่า “ถ้ามีอาการเมาแล้ว...คงต้องถอนด้วยการนั่งเบาะหลังต่อไปกระมังจึงจะหายเมา...” ซึ่งเรียกเสียงฮาได้พอประมาณก็สุขใจแล้ว...
๑๕ มกราคม ๒๕๕๓
นำภาพมาฝากค่ะ...
จากบันทึก... หญิงสาวผู้จุดประกายฝัน
ขอบคุณค่ะ...อาจารย์ ดร.กะปุ๋ม
^_O