การนำ CIPPA MODEL ไปใช้ในกระบวนการจัดการเรียนรู้ของนักเรียน



   


เมื่อ วันที่ 8 กรกฎาคม 2551 คณะทำงานพัฒนาระบบการจัดการความรู้ ได้จัดเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เรื่องการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบซิปปา CIPPA โดยมี ผศ.ดร.กรองได อุณหสูติ ซึ่งเป็น guru ได้เข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ CIPPA เป็นรูปแบบที่ถูกนำมาใช้ในกระบวนการเรียนการสอน โดย CIPPA พัฒนาขึ้นมาจากแนวคิดหลัก 5 แนวคิด ที่ใช้พื้นฐานทฤษฏีพัฒนาการมนุษย์ (Human Development) และทฤษฏีการเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential Learning) ในการเรียนการสอนคือ แนวคิดการสร้างสรรค์องค์ความรู้ (Constructivism) แนวคิดเรื่องกระบวนการกลุ่มและการเรียนแบบร่วมมือ (Group Process and Co-operative Learning) แนวคิดเกี่ยวกับความพร้อมในการเรียนรู้ (Learning Readiness) แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรูกระบวนการ (Process Learning) และแนวคิดเกี่ยวกับการถ่ายโอนการเรียนรู้ (Transfer of Learning) ซึ่งการเรียนการสอนแบบซิปปานี้ จะทำให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในสิ่งที่เรียน สามารถอธิบาย ชี้แจงตอบคำถามได้ดี นอกจากนั้นยังได้พัฒนาทักษะในการคิดวิเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ การทำงานเป็นกลุ่ม การสื่อสาร รวมทั้งเกิดความใฝ่รู้ โดยที่การจัดการเรียนรู้นี้ จะแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนคือ

1. ขั้นเตรียมการ ประกอบด้วย
    1.1 การเตรียมตนเอง ผู้เรียนจะต้องมีการเตรียมตนเอง
    1.2 การเตรียมแหล่งข้อมูล ครูจะต้องเป็นผู้เตรียมแหล่งข้อมูลให้กับผู้เรียน
    1.3 การจัดทำแผนการสอน ครูจะต้องเป็นผู้จัดทำแผนการสอน โดยจะต้องมีการเตรียมกิจกรรม เตรียมสื่อวัสดุอุปกรณ์ และเตรียมการวัดและประเมินผล
2. ขั้นดำเนินการ เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยให้ผู้เรียน
    2.1 สร้างและค้นพบความรู้ด้วยตนเอง (C : Construct)
    2.2 มีปฏิสัมพันธ์กับแหล่งความรู้หลากหลาย (I : Interaction)
    2.3 มีกิจกรรมเคลื่อนไหวทางกายอย่างเหมาะสมกับวัยและความสนใจ (P : Physical Participation)
    2.4 ได้เรียนรู้กระบวนการต่างๆ (P : Process Learning)
    2.5 นำความรู้ไปประยุกต์ใช้ (A : Application)
3. ขั้นประเมินผล จะวัดและประเมินผลตามสภาพจริง โดย
    3.1 วิธีการหลากหลาย
    3.2 จากการปฏิบัติ
    3.3 จากแฟ้มสะสมงาน

อ. ดร.วรวรรณ วาณิชย์เจริญชัย ได้นำเสนอเพิ่มเติมว่า CIPPA มีจุดเริ่มต้นมาจาก โมเดล CIPP ซึ่ง รศ.ทิศนา แขมมณี ได้นำมาประยุกต์เป็น CIPPA เพื่อนำมาใช้ในกระบวนการเรียนการสอน โดยได้เพิ่ม Application เข้ามา คือผู้เรียนต้องสามารถนำ ความรู้ไปประยุกต์ใช้ ได้

ลักษณะการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา จะประกอบด้วย

ขั้นนำ สร้าง / กระตุ้นความสนใจหรือเตรียมความพร้อมในการเรียน
ขั้น
กิจกรรม
จัดกิจกรรมตามหลักการ
- ผู้เรียนได้สร้างความรู้ด้วยตนเอง (C : Construct)
- ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ช่วยกันเรียนรู้ (I : Interaction)
- ผู้เรียนมีบทบาท / ส่วนร่วมในการสร้าง (P : Physical Participation)
- ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการควบคู่กับ (P : Process Learning) ผลงาน / ข้อสรุปความรู้
- ผู้เรียน นำความรู้ไปใช้ (A : Application)
ขั้น
วิเคราะห์
อภิปรายผลจากกิจกรรม
- วิเคราะห์อภิปรายผลงาน / ข้อความรู้ที่สรุปได้จากกิจกรรม
- วิเคราะห์อภิปรายกระบวนการเรียนรู้ (Process)
ขั้นสรุปและ
ประเมินผล
สรุปผลและประเมินผลการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์

ผศ.ณัฐสุรางค์ บุญจันทร์ สนใจการนำโมเดลซิปปา มาใช้ในกระบวนการเรียนการสอน โดยเห็นว่าถ้านำมาใช้ในการฝึกทักษะผู้เรียน น่าจะเป็นสิ่งที่ดี โดยเฉพาะการเรียนการสอนในรายวิชาทักษะพื้นฐานทางการพยาบาล จะทำอย่างไรเพื่อให้ผู้เรียนสนใจการปฏิบัติมากขึ้น อ.ดร.วรวรรณ วาณิชย์เจริญชัย กล่าวเสริมว่า จะต้องนำขั้นตอนต่างๆ ของซิปปา มาแตกให้ออกว่าเราจะออกแบบการเรียนการสอนในแต่ละขั้นตอนอย่างไร การกระตุ้นความสนใจหรือเตรียมความพร้อมในการเรียนเราจะทำอย่างไร เช่น การ talk lab ก่อนเรียน การสอบ ฯลฯ ในขั้นกิจกรรม ผู้เรียนมีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง เราจะทำอย่างไร ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ช่วยกันเรียนรู้เราจะทำอย่างไร ผศ.ดร.กรองได อุณหสูติ ยกตัวอย่าง เช่น สอนเรื่อง bed bath เราจะใช้กระบวนการกลุ่ม ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ร่วมกัน ว่าถ้าจะต้อง bed bath จะทำอย่างไร มีปัญหาตรงไหน ให้กลุ่มได้เรียนรู้ร่วมกัน ฯลฯ ผศ.ณัฐสุรางค์ บุญจันทร์ กล่าวว่า การกระตุ้นความสนใจ จะใช้วิธีการตั้งสถานการณ์จำลอง เช่น มีผู้ป่วยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ผู้เรียนมีการเรียนรู้กระบวนการในเรื่องชองทักษะการพยาบาลมาแล้ว แต่ว่ายังไม่สามารถผสมผสานความรู้ที่ได้เรียนรู้มา ดังนั้นจึงตั้งสถานการณ์จำลองขึ้นมา แล้วให้ผู้เรียนมโนภาพว่าจะต้องทำอะไรก่อนหลัง ซึ่งผู้เรียนก็จะต้องนำความรู้ที่ได้เรียนมาแล้วมาสร้างใหม่ว่าผู้เรียนจะมี กระบวนการคิดอย่างไร แล้วในกลุ่มก็ช่วยกันเรียนรู้ และผู้เรียนก็จะต้องมีการเก็บเป็นแฟ้มสะสมงาน คุณศรีสุดา คล้ายคล่องจิตร กล่าวว่า ใ นกระบวนการเรียนการสอน แบบซิปปานี้ ครูผู้สอนจะต้องมีการเตรียมการเรียนการสอน มีการเขียนแผนการสอนด้วย มีสื่อการสอน จะใช้เวลากี่คาบในการสอน จะสอนอย่างไร

ก่อนทำการสอนต้องวางแผนการสอนเป็นลำดับ ดังนี้
1. ศึกษา วิเคราะห์ปัญหาการจัดการเรียนรู้ที่ผ่านมา
2. ศึกษาหลักสูตร เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการ จุดหมาย และโครงสร้างของหลักสูตร และศึกษาคำอธิบายรายวิชา
3. วิเคราะห์คำอธิบายรายวิชา เพื่อกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ จุดประสงค์ปลายทาง จุดประสงค์นำทาง และเนื้อหาให้สอดคล้องกับหลักการ จุดหมาย จุดประสงค์ กลุ่มวิชา และคำอธิบายรายวิชา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
4. วางแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สื่อการเรียนการสอน และวัดผลประเมินผล

การจัดเตรียมการสอนให้จัดทำแผนการสอนตามขั้นตอนดังนี้
1. ขั้นการทบทวนความรู้เดิม เป็นการดึงความรู้เดิมของผู้เรียนในเรื่องที่จะเรียน ช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม
2. ขั้นการแสวงหาความรู้ใหม่ ขั้นนี้เป็นการแสวงหาความรู้ โดยผู้สอนจัดเตรียมข้อมูลมาให้หรือบอกแหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อให้ผู้เรียนไปแสวงหาได้
3. ขั้นการศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล / ความรู้ใหม่และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจกับข้อมูล / ความรู้ที่หามาได้ ผู้เรียนต้องสร้างความหมายของข้อมูล / ประสบการณ์ใหม่โดยใช้กระบวนการต่างๆ ด้วยตนเอง เช่น ใช้กระบวนการคิด และกระบวนการกลุ่มในการอภิปรายและสรุปความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลนั้น ซึ่งอาจจำเป็นต้องอาศัยการเชื่อมโยงกับความรู้เดิม
4. ขั้นแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม เป็นขั้นที่ผู้เรียนอาศัยกลุ่มเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจ ของผู้อื่นไปพร้อมๆ กัน
5. ขั้นสรุปและจัดระเบียบความรู้ เป็นขั้นของการสรุปความรู้ที่ได้รับทั้งหมด ทั้งความรู้เดิม และความรู้ใหม่ และจัดสิ่งที่เรียนรู้เป็นระบบระเบียบ เพื่อให้ผู้เรียนจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย
6. ขั้นการแสดงผลงาน เป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงผลงานการสร้างความรู้ของตนให้ผู้ อื่นรับรู้ เป็นการช่วยผู้เรียนได้ตอกย้ำหรือตรวจสอบความเข้าใจของตนเอง และช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์
7. ขั้นการประยุกต์ใช้ความรู้ ขั้นนี้เป็นขั้นของการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการนำความรู้ความเข้าใจ ของตนเองไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ที่หลากหลาย เพื่อเพิ่มความชำนาญ ความเข้าใจ ความสามารถในการแก้ปัญหา และความจำเป็นในเรื่องนั้นๆ ผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยตนเอง มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น สามารถสรุปความรู้ได้ด้วยตนเอง และมีการประยุกต์การนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน

ในด้านการประเมินนั้น ขั้นสรุปและจัดระเบียบความรู้ เป็นขั้นของการสรุปความรู้ที่ได้รับทั้งหมด เราจะประเมินผลในขั้นตอนนี้อย่างไร อาจใช้ Rubric scale ในการประเมิน ซึ่งเป็นการประเมินแบบ Summative Evaluation ส่วนการประเมินระหว่างปฏิบัติ จะเป็น Formative Evaluation อาจใช้เป็นแบบสังเกตก็ได้ และจะต้องมีการหา interrater ระหว่างผู้ประเมินด้วย แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ที่สุดก็คือ ผู้สอนจะต้องมีการเขียนแผนการสอน และในการเขียนแผนการสอนนั้น ผ.ศ.ธิติมา จำปีรัตน์ กล่าวว่า จะต้องมีวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม หัวข้อที่สอน กิจกรรมการเรียนการสอน และการวัดและประเมินผล ซึ่งอาจจะต้องเขียนละเอียดลงไปให้เห็นภาพเลยว่า เราต้องการให้เกิดอะไร เช่น นักศึกษาต้องทำอะไรได้ และเราจะวัดผลอย่างไรว่าผู้เรียนเกิดสิ่งนั้นจริง การทำแฟ้มสะสมงาน ก็เป็นสิ่งที่จะเก็บผลงานเหล่านั้นไว้ และสามารถส่งต่อไปได้ การมอบหมายงานให้ไปค้นในสิ่งที่ผู้เรียนจะเรียนรู้ ก็จะทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในระดับหนึ่งก่อน

จากการเข้าร่วมแลกเป ลี่ยนเรียนรู้ในครั้งนี้ ผศ.ณัฐสุรางค์ บุญจันทร์ จะนำแนวคิดที่ได้ไปเขียนโครงการวิจัยด้านการเรียนการเรียนการสอน โดยจะนำโมเดล CIPPA มาใช้ในการออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอน ในวิชาทักษะพื้นฐานทางการพยาบาล ซึ่งจะได้นำมาเสนอเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันในครั้งต่อไป

อ้างอิง :อ.ดร.วรวรรณ วาณิชย์เจริญชัย www.ns.mahidol.ac.th

ตัวอย่างผลการนำ CIPPA MODEL ไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน

การศึกษาผลการจัดการเรียนรู้การแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์
ตามแนวโมเดลซิปปา (CIPPA Model)

ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1

 

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ

ศึกษาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ การแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ตามแนวโมเดลซิปปาและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่  1 ระหว่างกลุ่มที่เรียนโดยแผนการจัดการเรียนรู้ ตามแนวโมเดลซิปปา กับ แผนการจัดการเรียนรู้ตามปกติ

กลุ่มตัวอย่าง

เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่   โรงเรียนบ้านบางวันและโรงเรียนบ้านตำหนัง  จังหวัดพังงา รวมทั้งสิ้น 40 คน จัดเป็นกลุ่มทดลองและนักเรียนโรงเรียนบ้านคุรอด จำนวน 40 คน จัดเป็นกลุ่มควบคุม

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
              แผนการจัดการเรียนรู้การแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์   ตามแนวโมเดลซิปปา ซึ่งมีกระบวนการเรียนรู้ 7 ขั้นตอน จำนวน 10 แผน โดยมีสถานการณ์ที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ดังนี้

  • แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 และ 6 เป็นโจทย์ปัญหาจากภาพ
  • แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 และ 7 เป็นโจทย์ปัญหาจากคำคล้องจอง
  • แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 และ 8 เป็นโจทย์ปัญหาจากนิทาน
  • แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 และ 9 เป็นโจทย์ปัญหาจากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว
  • แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 และ 10 เป็นโจทย์ปัญหานอกห้องเรียน

และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวกลบ จำนวน จำนวน 30 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่น 0.89 สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมุติฐาน ได้แก่

  1. t-test for one sample
  2.  t-test for dependent samples
  3.  t-test for independent samples

ผลการวิจัยพบว่า  ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนที่เรียนรู้ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวโมเดลซิปปาสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม และ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวก ลบจำนวน ของนักเรียน
ที่เรียนรู้ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวโมเดลซิปปาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนและสูงกว่า
นักเรียนที่ได้เรียนรู้ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ตามปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

 

การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญโดยใช้โมเดลซิปปา

(CIPPA Model)  

  วิชาถ่ายภาพทางการแพทย์ 1

 

หลักการและเหตุผล

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้กำหนดหลักการจัดการศึกษาว่า “การจัดการศึกษาต้องถือผู้เรียนเป็นสำคัญที่สุด” และเพื่อให้เป็นไปตามมติสภามหาวิทยาลัย ขอนแก่น และแผนกลยุทธ์ในด้านการพัฒนาการเรียนการสอน ซึ่งมุ่งเน้นให้มหาวิทยาลัยขอนแก่นต้องจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ คือการกำหนดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยใช้โมเดลซิปปา คือการนำเอาหลักการวิจัยเชิงปฏิบัติการมาใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ เป็นการเปิดโลกกว้างให้นักศึกษา อาจารย์ ได้ยอมรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกันทำให้เกิดประโยชน์แก่ทุกคนมากขึ้น

 

วัตถุประสงค์ 

เพื่อศึกษาผลที่เกิดขึ้นจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ตามโมเดลซิปปา ในวิชาถ่ายภาพทางการแพทย์ 1 ของนักศึกษาหลักสูตรเทคโนโลยีบัณฑิตสาขาวิชาเวชนิทัศน์

 

วิธีดำเนินการ

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ การเก็บข้อมูลเป็นเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ 

การเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญตามโมเดลซิปปาที่สร้างขึ้น โดยใช้เวลาในการศึกษาจำนวน 8 คาบ รวมเป็น 4 แผนการสอน เก็บรวบรวมข้อมูลจากทุกแผนการสอน ของการวิจัยเชิงปฏิบัติการแล้วนำข้อมูลที่ได้มาปรับปรุงแผนการสอน

การเก็บข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักศึกษาเพื่อหาค่าเฉลี่ยและร้อยละ โดยเปรียบเทียบเกณฑ์ความรอบรู้ที่กำหนดไว้คือร้อยละ 60 ของคะแนนเต็ม ส่วนการประเมินการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญตามโมเดลซิปปา มีการประเมินในทุกคาบการสอนในแต่ละคาบ แล้วนำผลมาวิเคราะห์แปลความหมายทางสถิติต่อไป

 

สถานที่ดำเนินการวิจัย

หลักสูตรเทคโนโลยีบัณฑิต สาขาวิชาเวชนิทัศน์ ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

 

ผลการวิจัย

พบว่านักศึกษามีความเข้าใจในเนื้อหาวิชามากขึ้น นักศึกษามีส่วนร่วมในการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง ไม่เกิดการเบื่อหน่าย มีความสนุกสนานต่อการเรียน และนักศึกษายังสามารถเชื่อมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ได้ด้วยตนเอง ด้านผลสัมฤทธิ์ พบว่า ค่าคะแนนเฉลี่ยจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ มีค่าเท่ากับร้อยละ 76.62  ของคะแนนเต็ม และมีนักศึกษาจำนวน 17 คน คิดเป็นร้อยละ 100 ที่ได้คะแนนผ่านเกณฑ์ ที่กำหนดไว้ร้อยละ 60.

 

คำสำคัญ (Tags): #การนำ cippa model ไปใช้
หมายเลขบันทึก: 321465เขียนเมื่อ 19 ธันวาคม 2009 16:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 02:12 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

น่าสนใจมากครับ...เราจะใช้โมเดลนี้แก้ปัญหาใดได้บ้างกับการจัดการเรียนการสอนนักเรียนที่อ่านไม่ออก โดยเฉพาะเด็กในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ครับ อยากได้แนวทางมากครับเพราะตอนนี้กำลังจะทำงานวิจัยแก้ปัญหาเรื่องนี้อยู่ครับ

ขอบคุณล่วงหน้าครับ

ขอบคุณค่ะ หนูจะนำไปใช้ในรายงานวิจัยวิชาสัมนา จาก5109195

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท