บทที่ 3
การศึกษาและการประเมินตนเอง
โดย...อาจารย์ปัญญฎา ประดิษฐบาทุกา
สาขาวิชาจิตวิทยา
คณะศึกษาศาสตร์ ม.ราชภัฏจันทรเกษม
ส่วนหนึ่งในเอกสารประกอบการสอน
วิชาพฤติกรรมมนุษย์กับการพัฒนาตน
ตีพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2548
ความนำ
นักจิตวิทยาทั้งหลายต่างเชื่อว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่สามารถพัฒนาตนเองให้เต็มศักยภาพในทุก ๆ ด้าน ซึ่งการพัฒนาตนเองนั้น มนุษย์จำเป็นต้องเข้าใจตนเองเป็นอย่างดี โดยอาศัยพื้นฐานทางด้านการศึกษาตนเองและการประเมินตนเอง เนื่องจากสามารถทำให้มนุษย์รู้จักตนเอง เข้าใจว่าตนเองเป็นบุคคลเช่นไร มีความรู้ความสามารถ ความถนัด ความต้องการสิ่งใด ความสนใจ ค่านิยม ความรู้สึก อารมณ์ ตลอดจนการแสดงพฤติกรรมต่างๆ ของตัวเรา ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของบลูมในการแบ่งประเภทของพฤติกรรมมนุษย์ ได้แก่ ด้านความคิดความเข้าใจ ด้านอารมณ์ ความรู้สึก ทัศนคติ ค่านิยม และด้านการกระทำ
ในบทนี้ จะกล่าวถึงรายละเอียดของการศึกษาตนเองและประเมินตนเอง อันจะเป็นแนวทางให้แก่ผู้ที่สนใจศึกษาหาความรู้ เพื่อใช้พัฒนาตนให้มีประสิทธิภาพ ตลอดจนสามารถประพฤติและปรับตนได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เมื่อต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ ทำให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
การศึกษาตนเอง
1. ความหมาย
การศึกษาตนเอง มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้บุคคลได้รู้จักตนเอง หรืออีกนัยหนึ่งหมายถึง การให้บุคคลได้พิจารณาถึงความสามารถ จุดเด่น ทักษะ ค่านิยม ความสนใจ ตลอดจนบุคลิกภาพโดยทั่ว ๆ ไป (นวลสิริ เปาโรหิตย์. 2541: 11) ดังนั้นบุคคลที่ต้องการพัฒนาตนเอง จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องการทำการสำรวจ หรือศึกษาตนเอง เพื่อให้ทราบว่า ตนเองเป็นอย่างไรและรู้จักตนเองได้อย่างดีขึ้น เนื่องจากการศึกษาตนเองอย่างถูกวิธีจะสามารถทำให้บุคคลรู้วิธีการ ตลอดจนสามารถเลือกวิธีการที่เหมาะสมในการสร้างความสัมพันธ์หรือปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่นได้อย่างดี อันจะเป็นพื้นฐานสำคัญของกระบวนการพัฒนาตนเองให้มี “ความสุข” และ “ความสำเร็จ” ซึ่งเป็นความหวังสูงสุดของมนุษย์ทุกคน
2. วิธีการศึกษาตนเอง
วิธีการศึกษาตนเอง คือ วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง เพื่อใช้ในการศึกษาตนเองในทุกด้านๆ ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
2.1 การศึกษาจากประวัติส่วนตัว (Personal)
การได้ศึกษารายละเอียดและได้รวบรวมข้อมูลต่างๆ จากประวัติส่วนตัวของตนเอง เป็นวิธีการหนึ่งที่จะทำให้บุคคลได้รู้จักตนเองมากขึ้น ซึ่งอาจศึกษาได้จากแหล่งข้อมูล ดังต่อไปนี้
ก. ครอบครัว (Family) สถาบันทางสังคมสถาบันแรกที่มีบทบาทสำคัญต่อบุคคลในการหล่อหลอมพฤติกรรมให้กลายเป็นสมาชิกของสังคม ได้แก่ สถาบันครอบครัว ในการศึกษาตนเองจากประวัติครอบครัว ซึ่งสงวน สุทธิเลิศอรุณ (2545: 101) ได้อธิบายว่าบุคคลควรศึกษาจากประวัติของบิดา มารดาและบรรพบุรุษของตนเองว่า มีประวัติ เชื้อชาติ ต้นตระกูล ถิ่นกำเนิดมาจากที่ใด มีฐานะทางสังคม เศรษฐกิจอยู่ในระดับใด มีโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม หรือเคยเป็นโรคติดต่อหรือไม่ ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวเป็นอย่างไร ตลอดจนศึกษาถึงประวัติการได้รับการอบรมเลี้ยงดูของตนเองว่าเป็นอย่างไร เพื่อจะได้เข้าใจถึงพื้นฐานทางครอบครัวของตนเอง
ข. สถานภาพและบทบาททางสังคม (Status and Role) เป็นการศึกษาประวัติของตนเองว่า มีสถานภาพและบทบาททางสังคมอย่างไร เนื่องจากสถานภาพและบทบาททางสังคมมีความสัมพันธ์กันโดยตรงต่อการแสดงออกในพฤติกรรมของบุคคล สอดคล้องกับเมธาวี อุดมธรรมานุภาพ (2547: 64) กล่าวไว้ว่า เมื่อบุคคลเป็นสมาชิกของสังคมย่อมมีสถานภาพตั้งแต่เริ่มต้นจากการเป็นทารก เป็นบุตรหญิงหรือบุตรชาย เป็นลูกคนที่เท่าไร โสดหรือสมรส ในความเป็นจริงบุคคลคนหนึ่งอาจมีสถานภาพที่หลากหลายขึ้นอยู่กับบุคคลที่แวดล้อม สถานที่และเวลา สถานภาพของบุคคลนำมาสู่การมีบทบาทที่สังคมคาดหวังได้ สิ่งที่กล่าวมานี้นำมาซึ่งพฤติกรรมการแสดงออกและการปรับตัวที่แตกต่างกัน
ค. การศึกษา (Education) เป็นการศึกษาถึงประวัติผลการเรียนของตนเองว่าเป็นอย่างไร ในแต่ละช่วงการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงระดับสูงสุดที่ได้รับการศึกษา เช่น เกรดเฉลี่ยในแต่ละปีการศึกษา วุฒิบัตร เกียรติบัตร รางวัลที่ได้รับ การเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ หรือพฤติกรรม
ง. สุขภาพ (Health) เป็นการศึกษาถึงประวัติของตนเองทางด้านจิตใจและร่างกายว่า เป็นปกติ หรือผิดปกติแตกต่างไปจากเดิม มีประวัติการเจ็บป่วยอย่างไรบ้าง เนื่องจากสิ่งเหล่านี้อาจส่งผลต่อพฤติกรรม
จ. เพื่อน (Friend) เป็นการศึกษาถึงลักษณะการคบบุคคลว่า คบหาสมาคมกับบุคคลประเภทใด หรือคบหากับใครบ้างเป็นประจำ เนื่องจากพฤติกรรมของคนเราได้รับอิทธิพลจากกลุ่มเพื่อน ทั้งกลุ่มเพื่อนในชุมชน กลุ่มเพื่อนในสถานศึกษาและกลุ่มเพื่อนร่วมอาชีพ ซึ่งสามารถสะท้อนภาพลักษณ์ของตนเองได้
ฉ. อารมณ์ (Emotion) เป็นการศึกษาถึงสภาพจิตใจของตนเองว่า เป็นอย่างไร เมื่อมีสิ่งเร้าภายนอกมากระตุ้นประสาทสัมผัส และสิ่งเร้าภายใน เช่น ความต้องการ แรงจูงใจ ความทรงจำและประสบการณ์
ช. ความต้องการ (Need) เป็นการศึกษาถึงสิ่งที่ทำให้ตนเองขาดสมดุล ก่อให้เกิดแรงผลักดันในการแสดงพฤติกรรมอันจะนำไปสู่เป้าหมาย เพื่อกลับเข้าสู่สมดุลตามเดิม เช่น คนที่ร่างกายขาดสารอาหาร ทำให้เกิดความต้องการอาหาร อาหารก็คือ เป้าหมาย ซึ่งก่อให้เกิดแรงผลักดันในการแสดงพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้ได้รับประทานอาหาร เป็นต้น
ซ. เจตคติ (Attitude) เป็นการศึกษาถึงความรู้สึกและปฏิกิริยาความพร้อมที่จะกระทำในเชิงบวก หรือเชิงลบที่มีต่อเป้าหมาย ได้แก่ บุคคล สัตว์ สิ่งของ เรื่องราว หรือสถานการณ์ ซึ่งเจตคติยังทำหน้าที่ในการสะท้อนความเชื่อ และค่านิยมในส่วนดีของตนเองอีกด้วย
ฌ. ค่านิยม (Values) เป็นการศึกษาถึงสิ่งที่ตนเอง หรือสังคมคิดและรู้สึกว่ามีคุณค่าควรแก่การยึดถือ หรืออีกนัยหนึ่งตามที่จำรัส ด้วงสุวรรณ (2545: 103) ได้ให้ความหมายว่า คุณค่าที่บุคคลหรือสังคมนิยมปฏิบัติกัน เพราะว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์หรือมีค่าเพียงพอที่จะปฏิบัติตาม เช่น ค่านิยมดี (กุศลกรรม หรือบุญ) ค่านิยมไม่ดี (อกุศลกรรม) ค่านิยมวิชาการ ค่านิยมเศรษฐกิจ ค่านิยมทางการเมือง เป็นต้น
ญ. แรงจูงใจ (Motives) เป็นการศึกษาถึงสภาวะของตนเอง เมื่อถูกสิ่งเร้ามากระตุ้นให้แสดงพฤติกรรมเพื่อไปยังจุดหมายปลายทางหรือเป้าหมาย (วิภาพร มาพบสุข. 2540: 258) หรืออีกนัยหนึ่งคือ การศึกษาถึงสิ่งที่ตนเองคาดหวังอันเป็นตัวกระตุ้นให้แสดงพฤติกรรม โดยสิ่งที่คาดหวังตนเองอาจจะพอใจหรือไม่ก็ได้
2.2 การใช้วิธีทางจิตวิทยาเพื่อการศึกษาตนเอง
ผู้ที่รู้จักตนเองมักจะมีข้อได้เปรียบผุ้อื่นตรงที่เขารู้ว่าเขาเป็นอย่างไร และสิ่งไหนที่เหมาะกับเขา เขาจึงสามารถกำหนดวิถีชีวิตที่ตรงกับความต้องการและพื้นฐานทางจิตใจของเขามากที่สุด ในการเข้าใจตนเองหรือรู้จักความต้องการของตนเอง เราสามารถใช้วิธีการทางจิตวิทยา โดยอาศัยเครื่องมือและวิธีการที่หลากหลาย ดังนี้
ก. การสังเกตและบันทึกพฤติกรรมตนเอง(Observation) ดังที่เรียม ศรีทอง (2542: 119) กล่าวไว้ว่า การสังเกตและบันทึกพฤติกรรมตนเอง มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะพฤติกรรม จำนวนพฤติกรรมและช่วงเวลา ควรดำเนินการเป็นขั้นตอน เริ่มจากการกำหนดพฤติกรรมที่ต้องการสังเกต กำหนดช่วงเวลาการสังเกต กำหนดวิธีการบันทึกและเครื่องมือที่ใช้สังเกตพฤติกรรม เครื่องมือในการบันทึก แบบแสดงผลการบันทึกและวิเคราะห์ข้อมูล ในการสังเกตและบันทึกพฤติกรรมด้วยตนเองต้องทำด้วยความแม่นยำ ถูกต้อง ไม่อคติ และให้การเอาใจใส่ต่อพฤติกรรมของตนเองอย่างชัดเจน อีกทั้งใน การสังเกตที่ดีต้องประกอบด้วยจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน (Goal) ความตั้งใจ (Attention) การสัมผัส (Sensation) และการรับรู้ (Perception) ซึ่งสามารถเขียนเป็นสมการเพื่อให้เข้าใจการสังเกตตนเอง ดังนี้ (ดัดแปลงจากกมลรัตน์ หล้าสุวงษ์.2527: 31)
การสังเกต = จุดมุ่งหมาย + ความตั้งใจ + การสัมผัส + การรับรู้
ข. การสังเกตและบันทึกพฤติกรรมโดยผู้อื่น (Observation) ซึ่งเรียม ศรีทอง (2542: 120) กล่าวไว้ว่า ธรรมชาติโดยทั่วไปของบุคคลมักมีแนวโน้มที่จะเชื่อว่า รู้จักและเข้าใจตนเองดีพอ เช่นมองว่า จากการไม่มีอาการเจ็บป่วย แสดงว่าร่างกายแข็งแรงดี การยอมตามผู้อื่นโดยไม่ปฏิเสธ แสดงว่า ตนเองปรับตัวได้ดี หรือการดำเนินงานได้สำเร็จก็ยอมรับว่าดีแล้ว โดยมิได้พิจารณาถึงประสิทธิภาพงาน เป็นต้น การตัดสินเช่นนี้ทำให้ปิดโอกาสการพัฒนาต่อไป จากแนวความคิดการเรียนรู้ทางสังคม เชื่อว่า บุคคลสามารถเรียนรู้จากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมของตนและสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการที่บุคคลรับรู้ข้อมูลจาก การสังเกต และบันทึกพฤติกรรมจากผู้อื่นที่มีความตรงและความเชื่อมั่น นับว่าเป็นวิธีทางหนึ่งที่สามารถช่วยให้เราเข้าใจตนเองได้ดีขึ้น
การสังเกตพฤติกรรมของบุคคลมีความสำคัญมาก เนื่องจากสามารถใช้ได้ทั้งในการศึกษาบุคคลที่เกี่ยวข้องด้านชีววิทยา จิตวิทยาและสิ่งแวดล้อม การสังเกตพฤติกรรมของบุคคลเป็นการพิจารณา รวบรวมข้อมูลรายละเอียด เพื่อทำความเข้าใจบุคคลทั้งจากอวัจนพฤติกรรมและวัจนพฤติกรรมที่บุคคลแสดงออกโดยทั่วไป ทั้งนี้การสังเกตและบันทึกพฤติกรรมโดยทั่วไปทำได้หลายวิธี ดังนี้
- ระเบียนพฤติการณ์ (Anecdotal recording) คือ การสังเกตและบันทึกพฤติกรรมตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในสถานการณ์หนึ่งๆ โดยมีสถานที่และเวลาที่กำหนด และไม่มีการแปลความในขณะสังเกตหรือบันทึกพฤติกรรม
- การบันทึกความถี่ของพฤติกรรม (Frequency recording) คือ การสังเกตจำนวนการเกิดพฤติกรรมในช่วงเวลาหนึ่ง เช่น ใน 1 วัน เรารับประทานอาหารจำนวนกี่มื้อ
- การบันทึกช่วงเวลา (Interval recording) คือ การสังเกตและบันทึกพฤติกรรมในช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งแบ่งออกเป็นช่วง ๆ แล้วเลือกนับเฉพาะช่วงเวลาที่เกิดพฤติกรรมเป้าหมาย ส่วนมากนิยมใช้สำหรับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยากที่จะนับความถี่ เกณฑ์การบันทึกต้องกำหนดให้ชัดเจน สอดคล้องกับลักษณะพฤติกรรมเป้าหมายและจุดมุ่งหมายของการปรับปรุง เช่น การสังเกตพฤติกรรมการแสดงออกใน 3 นาที ต้องการสังเกต 8 ครั้ง ทุกๆ 3 นาที
- การสังเกตแบบสุ่มเวลา (Time Sampling) คือ การนับความถี่ หรือจำนวนครั้งของพฤติกรรมในแต่ละช่วงเวลาที่กำหนดจนครบเป้าหมาย เช่น สังเกตการณ์ทำงานของพนักงานทุก ๆ 5 นาทีหลังของแต่ละชั่วโมงในเวลาครึ่งวัน ดังภาพในภาคผนวก
- การบันทึกความยาวนานของเวลาการแสดงพฤติกรรม (Duration recording) คือ การสังเกตและบันทึกพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันไป เช่น การบันทึกระยะเวลา การสนทนา การรับประทานอาหาร หรือการอ่านหนังสือ
ค. การสัมภาษณ์ (Interview) คือ การสนทนา หรือพูดคุยระหว่างบุคคลตั้งแต่สองขึ้นไปอย่างมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนและมีความเต็มใจ การสัมภาษณ์มีจุดมุ่งหมายเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล แนวคิดหรือเพิ่มเติมข้อมูลบางประการที่มิอาจหาได้ด้วยวิธีการอื่น ๆ ผู้ถูกสัมภาษณ์จะเป็นฝ่ายให้ข้อมูลหรือความคิด ผู้สัมภาษณ์เป็นฝ่ายรวบรวมข้อมูลต่างๆ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวได้จากการตอบคำถาม และข้อมูลจากการสังเกตพฤติกรรม ดังนั้นในการศึกษาตนเองโดยใช้วิธีการสัมภาษณ์ เราควรเลือกผู้สัมภาษณ์ที่มีทักษะและความชำนาญ เพื่อจะได้สัมภาษณ์เราได้ตรงตามจุดมุ่งหมาย ทำให้เราสามารถเข้าใจตนเองได้ดีขึ้น
ง. การรายงานตนเอง ซึ่งสมพร สุทัศนีย์ (2545: 24) กล่าวไว้ว่า การรายงานตนเอง หมายถึง วิธีการศึกษาพฤติกรรมภายในที่เป็นข้อมูลส่วนตัว โดยเน้นทางด้านความคิด อารมณ์ ความรู้สึก เจตคติและค่านิยม แต่มักจะมีข้อจำกัดตรงที่มีอคติส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องมากกว่าการสังเกตจากผู้อื่น แต่บุคคลสามารถฝึกการสังเกตด้วยตนเองให้ถูกต้องและมีระบบยิ่งขึ้นได้ ทำให้บุคคลสามารถจำแนกสิ่งที่เขารู้สึก คิดหรือกระทำจากสิ่งที่เขาควรจะรู้สึก คิด หรือกระทำแล้วรายงานด้วยตนเอง อีกทั้งเรียม ศรีทอง (2542: 127) ได้กล่าวไว้ว่า การรายงานตนเอง เป็นวิธีการศึกษาสังเกตและเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตนเองในเรื่องต่างๆ ได้แก่ การรับรู้ตนเอง การเรียนรู้ประสบการณ์ของตนเอง บุคลิกภาพ เจตคติ ความเชื่อ ความทะเยอทะยาน แรงจูงใจ ความวิตกกังวลและความเครียด ซึ่งข้อมูลจากการรายงานตนเองมีความเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมภายในของบุคคล ซึ่งจะนำไปสู่ความเข้าใจพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องได้ดี ทั้งนี้การรายงานตนเองสามารถได้มาจากการใช้แบบสอบถาม (Questionnaires) การทดสอบทางจิตวิทยา หรือแบบทดสอบทางจิตวิทยา (Psychological Testing) และการวิเคราะห์ตนเอง (Self Analysis) และอื่น ๆ (ดังภาคผนวก)
ที่มา ผู้แต่ง อาจารย์ปัญญฎา ประดิษฐบาทุกา
เอกสารประกอบการสอนวิชาพฤติกรรมมนุษย์กับการพัฒนาตน พ.ศ.2548
โปรแกรมวิชาจิตวิทยาและการแนะแนว คณะศึกษาศาสตร์
ม.ราชภัฏจันทรเกษม (ตอนที่ 1 นี้ อยู่ระหว่างหน้า 69-73)
เรียน ผู้อ่านทุกท่าน
เนื้อหาในบทความนี้ สามารถนำไปใช้ได้หลายแนวทาง เช่น ในการศึกษาและประเมินคนทำงาน ผู้เรียนในทุกระดับ ทำการเก็บข้อมูลคนใกล้ชิด อาทิเช่น เพื่อนร่วมงาน คนรัก พ่อแม่ และยังช่วยในการทำวิจัยทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพได้
ด้วยความรักและจริงใจ
ขอบคุณค่ะ อาจารย์
สวัสดีครับ อาจารย์
ดนตร์ นะครับ อิอิ
^__^