โง่ให้เป็น : Start The Fool (1)


        สายลมโชยพัดผ่านมา พาให้ใบไม้พริ้วเอน อากาศยามดึกดื่นเวลานี้มีแต่ดาวกับลมหนาวที่พัดผ่านมาให้ใจสะท้าน

     เลยตั้งสตินะ บอกกับตนเอง วันนี้เราไม่ได้ว่าสอนธรรมคนอื่น เราไม่ใช่พระสงฆ์ แต่เราเขียนเพราะถ่ายทอดสิ่งที่เราได้กระทำเป็นประสบการณ์เป็นข้อคิดให้กับตนเองและคนอื่นที่ร่วมแลกเปลี่ยนกัน...

   วันนี้มีโอกาสมานั่งดูตัวเราเองว่า เอ... ที่ผ่านมาเรามีการสูญเสียอะไรไปบ้าง?

สูญเสียทางกาย หรือสูญเสียทางการกระทำ  เรียกว่า "ทำโง่ๆ"

สูญเสียทางใจ หรือสูญเสียทางความคิด เรียกว่า "คิดโง่ๆ"

เพราะมันสูญเสียทั้งสองอย่าง เลยรวมแล้วเรียกว่า "โง่ซ้ำโง่ซาก"นั่นเอง...

        เพราะอะไร?  เพราะจิตมีความฉลาดเข้าครอง ฉลาดเลยถือตัว ไม่รับฟังคำใครๆ เรียกว่า "ฉลาดแล้วอวดดี" หรือ "ฉลาดแล้วหยิ่งผยอง"....

       หยิ่งบนความโง่ของตนเอง... ที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ ผมวางหมากผิด เจอเขา "รุกฆาต" ก็ผิดแผนผิดกระดานเสียกระดานหมด

      นักวางกลยุทธ์ต่างๆ จึงต้องอาศัยจังหวะและโอกาส ทำอะไรด้วยความสุขุมลุ่มลึก จะมัวรีๆรอๆ หยั่งเชิงดูก็คงไม่ทันกิน

     ฉะนั้น จึงต้องเข้าใจสถานการณ์ก่อน เรียกว่าประเมินสถานการณ์แบบวันต่อวัน นาทีต่อนาที ...ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ว่างั้นเถอะ...

     ด้วยความคิดที่ชาญฉลาด มือใครยาวสาวได้สาวเอา ใครมือสั้นเอาเถาวัลย์ต่อเข้า...

ความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับตนเอง หากตนเองไม่รู้ว่าโง่แล้ว ทำให้ผิดแผนไปได้...

     ในสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลง....ความโง่ย่อมเกิดขึ้นได้กับทุกคน ใครเพลี่ยงพล้ำ คนอื่นซ้ำเติม....

  นั่นคือเพราะเราไป "โง่กับเขา" คือ "โง่กับเขลา" ของเราที่กล้าลองดีลองของ ที่เขาเรียกกันว่า "สุ่มเสี่ยง" นั่นเอง...

         คนโง่ชอบสุ่มเสี่ยงเพื่อให้รู้ เพราะยังโง่อยู่ ผิดกับคนฉลาดที่เชื่อฟังครูสอน คอยดูไม่ปล่อยความโง่ของตนเองออกมา....

         เพราะเราโง่เราก็มีความโง่อย่างที่คนอื่นมิรู้ได้ มิคาดถึง เรียกว่า "โง่ชั้นสูง"

เพราะ อะไรที่มันอยู่สูง ตกลงมาจะเจ็บ ตกลงมาเลยเอาความโง่ลงมาด้วย....

    นักบริหารที่ชาญฉลาดก็ผิดพลาดกันแทบทุกราย เพราะ"ความโง่ชั้นสูง" นั่นเอง

ที่นี้ เลยมาคิด เอ... แล้วเราละ โง่แบบไหนกันเล่า...

    โง่แล้วทำ ทำเพื่อรู้ รู้ยังไม่แจ้ง มันก็ยังโง่อยู่ ก็ทำต่อไป... นี่เรียกว่า "เบาปัญญา" นี่ต้องทำมากๆ มันถึงจะรู้แจ้งเห็นจริง

    โง่แล้วทำ ทำจากอดีตคือเอาบทเรียนหรือประสบการณ์ในอดีตที่ทำมาคิดรู้ รู้แล้วยังมิแจ้ง นี่เรียกว่า.... "เขลา"  พอแนะนำอะไรนิดหน่อยก็จะรู้แจ้งเห็นจริง

     โง่แล้วไม่ทำ ไม่ทำแล้วอวดรู้ รู้ยังไม่แจ้ง .......นี่สิที่เรียกว่า "โง่สมบูรณ์แบบ"

 ขี้เกียจคิด เลยมาทำๆๆๆ ไปดีกว่า ทำจิตใจให้ผ่องใสเพื่อเปิดใจให้กว้างอย่างสร้างสรรค์

      สมัยนี้อะไรก็ต้องสร้างสรรค์ เพราะการสร้างสรรค์นี่คือ การต่อยอดทางความคิด หรือคิดต่อยอด

     อย่างที่งานของเราทำอยู่ทุกวัน วันนี้มันเดินไปถึงไหนกันแล้ว และเรามีวิธีแก้ไขปัญหาการทำงานอย่างไร ? หลบ หลีกเลี่ยง เลาะ หรือ เผชิญ

ลองคิดดูว่า ถ้าหลบ คือหนีแล้ว ยากที่จะเจอความจริง

ลองคิดดูว่า ถ้าหลีกเลี่่ยง คือละเลยสิ่งที่สำคัญแล้วไปสนใจสิ่งอื่นแทน  ยากที่จะเจอความจริง

ลองคิดดูว่า ถ้าเลาะ คือเลียบๆ เคียงแล้ว ยากที่จะเจอความจริง

ลองคิดดูว่า ถ้าเผชิญกับความแตกหักแล้ว ก็ยากที่จะประสาน

งั้นต้องประสานแหละดีที่สุด คนประสานคน ใจประสานใจ งานประสานงาน

         ทำอย่างไร ?  ไม่รู้ซิ เพราะเรามันยัง โง่เขลาเบาปัญญา ตัณหาเยอะ เหตุเพราะยังมีหน้าที่ที่ยังไม่ได้ทำ และต้องกระทำอีกเยอะ...

     เลยเอามือเขกกระโหลกหนา ...นี่แนะ เจ็บไหม เออใจบอกว่าเจ็บ ใจรับรู้ความเจ็บของร่างกาย เรียกว่า เวทนา... เวทนาในกาย คือรูป เพราะมันเจ็บ เวทนาในกาย คือสัญญาเพราะใจไปยึดติดกับกายว่ามันเจ็บ...พอคิดได้เออ น่าเวทนาจริงๆ

      แสดงว่าทั้งร่างกายคือสังขารของเรานี่แค่นี้มันเจ็บ เจ็บทั้งกาย เจ็บทั้งใจ แล้วถ้าเราแก่เฒ่าลงไป มีโรคภัย ไม่ยิ่งเจ็บหนักไปกว่านั้นเลยหรือ ?

       คิดได้ดังนี้เลยปลง ปลงกับความโง่เขลาเบาปัญญา ตัณหาเยอะของตนเอง

ปลงนั่นแหละดี ทำให้สลด .... ปลงนั่นแหละ ทำให้จิตใจคิดได้

ปลงมากไปไม่ดีนะเรา เอ่อจริงทำให้จิตตกประหม่าหรือ วิตก

    ปลงเลยคิดว่า เรานะ เกิดมาก็ต้องตายไปทุกคน เป็นสัจจธรรมที่ไม่มีใครหลีกหนีได้

จิ๋นซีที่ว่าแน่ ยังพ่ายแพ้ความตาย พระพุทธองค์ทรงดับขันธ์แล้วเรานับประสาอะไร

           เอา รู้ไหม ตายอย่างไรนะเรา ? เอออยากรู้เหมือนกัน ใครอย่าได้ริทำนะห้ามทำเด็ดขาดนะ

เพราะเราทำแบบคนโง่ ลองเอามืออุดจมูกสัก สิบนาที ไม่ถึง หนึ่งนาที ก็เริ่มมีอาการแล้ว

คือกระสับกระส่าย ปริวิตกว่าตูหนอเราจักต้องตายแน่แล้ว ...

     เราหนอจึงคิดว่าคนเรามีองค์ประกอบด้วยธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ขาดอะไรไปก็ไม่สมดุลย์กัน

    ดิน คือร่างกาย น้ำคือระบบโลหิตและของเหลว ลมคือระบบหายใจ ไฟคือระบบเผาผลาญ หรือระบบย่อย ขาดอะไรไปก็ไม่ได้เลย

   เลยมานึกถึงเรื่องตอนนี้ กำลังทุกขเวทนาด้วย การทรมานร่างกายของตนเอง

     ใจมันพาลคิดว่า เอ้ย ฉันยังไม่อยากตาย... ในเมื่ออุดจมูกได้ ก็หายใจทางอื่นได้ เลยหายใจทางปากแทน....เรียกว่า "ลมออกปาก"

      เอ้าลองปิดปากดูด้วยซี จิตมันไม่อยากตาย มันก็เคยเกิดอารมณ์เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวขึ้นมา เอ้ย หายใจทางจมูกไม่ได้ ปากก็ไม่ได้ หูก็ได้อะ เรียกว่า "ลมออกหู"

     ทีนี้เกิดอึดอัด เริ่มกระสับกระส่าย กระวนกระวาย เพราะอะไร เพราะจิตไปจับกาย ผลสุดท้ายก็พ่ายต่อจิต เลยเปิดออกหมด....

พอเปิดออกจึงเห็นจริงว่า ทุกขเวทนาแน่แท้ ทุกอย่างไม่เที่ยง

     เลยมาพินิจดูว่า เอ ที่เรารอดมาได้ เพราะใจที่แหละ เพราะจิตที่คิดว่าฉันยังไม่อยากตาย มันมีอานุภาพขนาดนี้เลยหรือ?

      งั้นเราต้องมาแยกให้ได้นะ ระหว่างกายกับจิต แยกได้จักเห็นภาพซ้อนว่า จิตที่แหละสำคัญที่สุด เพราะถ้าไปยึดติดในกายแล้ว มันก็ตายตามกายไปนั่นแหละ....

        ตายตามกายคืออะไร? ก็กายมันตายแล้วถ้าจิตมันเขลาไปยึดติดกับกาย มันก็กระเสือกกระสน วนเวียนว่ายไปหากายนั่นแหละ...

      เพราะกายนี้ตายไปแล้ว จิตยังติดอยู่กับกาย มันก็ต้องกระเสือกกระสนไปหากายใหม่อีก วนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น....

      แต่ถ้ามันไม่ยึดติดกับกายแล้ว มันจะไปของมันโน่น ในภพภูมิแห่งจิต โน่น นรก สวรรค์ นิพพาน... แล้วแต่กรรมที่เราบ่มและข่มมา เท่านั้น

     เราเอง ยังมีกิเลสหนาๆ แบบเราอยู่ ยังไม่รู้หรอกก็รู้แบบคนโง่ๆ.ที่เราได้กระทำแล้ว.... รู้แต่ว่าถ้าเราละกายได้แล้ว จิตเราอาจยังให้เกิดตัวตนบ้าง เกิดรูปขึ้นมา  หากสูงกว่านั้น จิตไม่ยึดติดก็ไม่เกิดรูปขึ้นมา แต่ถ้ารู้ซึ้งถึงแก่นแล้ว นั่นแหละ....นิพพาน อันนั้นเราเองก็ยังไม่รู้หรอกนะ

     เออจริง.... ถ้าจิตไม่คิดจะตายแล้ว มันก็ไม่ตายตามกายหรอก คงกระเสือกระสนหาวิธีรอด ยกเว้นแต่กายมันไม่ไหวแล้วเท่านั้น...

    พระพุทธองค์ ท่านถึงใช้วิธี "ข่ม" และ "บ่ม" เพื่อให้งาม คือเกิดปัญญาหาทางหลุดพ้น อย่างไรเล่า...

     ข่มและบ่มเพื่อฝึกความเพียร คือ ความอดทนพยายามอย่างมีปัญญานั่นเอง

เมื่อเราแยกภาพซ้อนของเราได้แล้ว จักมองเห็นซึ่งธรรมที่แท้ว่า "ตัวตนมันไม่มี" นั่นเอง

      สิ่งนี้แหละที่เราเองไม่อยากจะพูด...เพราะเราเองยังข่มและบ่มไม่ได้สักเท่าไหร่.เหตุเพราะเรายังมีหน้าที่ นั่นแหละ...

เอ้า...ใครจะเคาะกระโหลกคนโง่เขลาเบาปัญญาอย่างเราก็มาแลกเปลี่ยนกัน.....

23/10/52

หมายเลขบันทึก: 308107เขียนเมื่อ 24 ตุลาคม 2009 01:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 10:19 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

สวัสดีค่ะ

  • พี่คิมเคยคิดเสมอว่า  พี่คิมเองเป็นคนโง่
  • เรียนอะไรมาก็เหมือนคนไม่มีความรู้ค่ะ
  • ที่เข้ามาเขียนบันทึกก็เพราะอยากรู้ค่ะ
  • ขอขอบพระคุณค่ะ

ขอบคุณครับครูคิม

  • ผู้รู้ตน คือคนฉลาดครับ
  • คนฉลาด ย่อมรู้ตนเอง ครับ
  • ขอบคุณครับที่มาร่วมเคาะกระโหลกน้อยๆ ของผมกันครับ

สวัสดีค่ะคุณณัฐวรรธน์

แวะมาเยี่ยมชมบันทึกดีๆ

คนโง่ย่อมอวดดีค่ะ

ส่วนคนฉลาดย่อมไม่อวดดี

ใช่ไหมคะ?

สวัสดีครับ น้อง ต้นเฟิร์น

  • คนรู้ตนคือคนฉลาด คนฉลาดคือผู้รู้ตน ผู้ตื่นอยู่เสมอ
  • ผู้มองเห็นธรรม เข้าถึงธรรม นั่นแหละครับ คือผู้รู้
  • ธรรมมีไว้สำหรับคนที่อยากรู้ครับ
  • ขอบคุณครับที่มาร่วมเคาะกระโหลกน้อยๆ ของผมกันครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท