ครูโขน
นาย ทวีศักดิ์ ครูวี วีระพงศ์

การฝึกหัดโขนเบื้องต้น


ที่มาของนาฏศิลป์

                การฟ้อนรำเป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่เรียกว่า “นาฏศิลป์” เกิดมาจากอากัปกิริยาท่าทาง  ซึ่งแสดงออกในทางอารมณ์  อากัปกิริยาต่าง ๆ เหล่านี้เป็นมูลเหตุให้ปรมาจารย์ทางศิลปะนำมาปรับปรุงบัญญัติสัดส่วนและกำหนดวิธีการขึ้น  จนกลายเป็นท่าฟ้อนรำโดยวางแบบแผนลีลาท่ารำของมือเท้าให้งดงาม  รู้จักวิธีเยื้อง  ยัก  และกล่อมตัวให้สอดคล้องสัมพันธ์กัน  จนเกิดเป็นท่ารำขึ้นและมีวิวัฒนาการการปรับปรุงมาตามละดับจนดูประณีตงดงามอ่อนช้อยวิจิตรพิศดาร  จนถึงขั้นเป็นศิลปะได้  ต่อมาจึงคิดตั้งชื่อท่ารำประจำท่า  จัดระเบียบเรียบเรียงท่ารำต่าง ๆ โดยกำหนดท่ารำ  เพลงร้องและดนตรีให้สัมพันธ์กันตลอดจนแบ่งแยกลีลาท่ารำให้แตกต่างออกไปเป็นฝ่ายพระ, นาง, ยักษ์,และลิงตามลำดับ

หลักและวิธีการฝึกหัดโขน

               การฝึกหัดเบื้องต้น  หมายถึง ท่าปฏิบัติเบื้องต้นของผู้ที่จะฝึกหัดโขนทุกประเภท เพื่อเตรียมร่างกายให้เกิดความพร้อมในการฝึกหัดขั้นต่อไป ในการปฏิบัติการฝึกหัดเบื้องต้นนั้นมีแบบแผนและวิธีฝึกหัดอันเป็นศิลปะที่ประณีตและมีหลักวิชาโดยเฉพาะทั้งในเรื่องของจังหวะ การเคลื่อนไหวอวัยวะ และการส้รางร่างกายให้แข็งแรง การฝึกหัดเบื้องต้นเริ่มมีมาตั้งแต่การฝึกหัดโขนและละครหลวง  ซึ่งมีหลักการฝึกหัดคล้ายคลึงกัน  จะแตกต่างกันที่วิธีฝึกหัด  ลีลาท่าทางที่แบ่งเป็นฝ่ายพระ, นาง, ยักษ์, และลิง

หลักการคัดเลือกผู้เรียน

               นักเรียนที่จะเข้ารับการฝึกหัดโขนนั้น เป็นนักเรียนชายด้วยเป็นประเพณีมาแต่โบราณ ว่า พวกโขนต้องเป็นชาย  ผู้ที่เข้ารับการฝึกหัดโขนควรจะได้เริ่มหัดกันมาตั้งแต่เยาว์วัยราวอายุ 8-12 ขวบ  จึงจะฝึกหัดได้ดีถ้าเด็กมีอายุมากเสียแล้วก็หัดได้ยาก  นอกจากจะมีอุปนิสัยมาแต่เดิม  เด็กชายที่จะฝึกหัดโขนนั้น  ในชั้นต้นครูผู้ใหญ่จะต้องพิจารณาคัดเลือกออกเป็น 4 พวกคือ  1) พวกพระ  2) พวกนาง  3) พวกยักษ์  และ 4) พวกลิง  ซึ่งมีรายละเอียดและลักษณะของการพิจารณาคัดเลือกดังนี้

  1. พวกพระ  คัดเลือกผู้มีลักษณะ คือ  รูปหน้าสวย  จมูกสัน  ลำคอโปร่งระหง  ช่วงแขนและช่วงขาสมส่วน  รวมความว่า พวกพระนั้นคัดเลือกจากผู้ที่มีทรวดทรงสัณฐานงามสมส่วน  ใบหน้ารูปไข  หน้าตาคมคายท่าทางสะโอดสะองผึ่งผาย ตามแบบของชายงามในวรรณคดีไทย
  2. พวกนาง  คัดเลือกผู้มีลักษณะ  คือ  เลือกจากผู้ที่มีรูกร่างคล้ายพวกพระ  แต่ไม่สู้พิถีพิถันนัก สิ่งสำคัญอยู่ที่เลือกคนที่มีใบหน้างานและดูที่มีกิริยาท่าทางแช่มช้อยนิ่มนวลอย่างกิริยาหญิง
  3. พวกยักษ์  คัดเลือกผู้มีลักษณะ  คือ  เลือกจากผู้ที่มีรูปร่างคล้ายพวกพระ  แต่ไม่ต้องเลือกหน้าตา  เลือกเอาผู้ที่มีร่างใหญ่  ท่าทางแข็งแรง 
  4. พวกลิง  คัดเลือกผู้มีลักษณะ  คือ  เลือกจากผู้ที่มีรูปร่างป้อม ๆ ท่าทางหลุกหลิกคล่องแคล่ว  

                   ครั้นครูคัดเลือกศิษย์ไว้แล้ว  เมื่อถึงวันพฤหัสบดี  ซึ่งนับถือกันว่าเป็นวันครู  ก็ทำพิธีมอบตัวให้ครู ศิษย์จะต้องมีดอกไม้ธูปเทียนเป็นเครื่องสักการะอย่างสังเขป  แล้วพร้อมกันเข้าไปเคารพครูผู้ใหญ่  มอบดอกไม้ธูปเทียนให้ท่าน  สมมติว่าดอกไม้ธูปเทียนนั้น  คือตัวของศิษย์เอง  ขอมอบให้  สุดแต่ท่านจะจัดฝึกฝนอบรมอย่างไร  เมื่อครูผู้ใหญ่รับธูปเทียนดอกไม้ไว้แล้วก็นำไปสู่ที่สักการะ  ทำความเคารพบูชาอุทิศถึงครูบาอาจารย์ของท่านที่ยังมีชีวิตอยู่และล่วงลับไปแล้วอีกต่อหนึ่ง  แล้วก็เริ่มจับท่ามาจับท่าให้บรรดาศิษย์เป็นปฐมฤกษ์  ต่อนั้นไปก็มอบบรรดาศิษย์แจกจ่ายให้ครูผู้ช่วยรับไปฝึกหัดกันแต่ละฝ่าย  พวกพระก็มอบให้ครูพระรับไปฝึกหัด  พวกนางก็มอบให้ครูนางรับไปฝึกหัด  พวกยักษ์ก็มอบให้ครูยักษ์รับไปฝึกหัด  พวกลิงก็มอบให้ครูลิงรับไปฝึกหัด  ซึ่งเน้นความหนักเบาในการฝึกหัดแตกต่างกันออกไป แต่หลักใหญ่ในการฝึกหัดเบื้องต้นที่ตรงกัน  มีอยู่  4-5 ประการ

หลักการฝึกหัดเบื้องต้น ประกอบด้วย 1) ตบเข่า 2) ถองสะเอว 3) เต้นเสา          4) ถีบเหลี่ยม 5) ฉีกขา และ 6) หกคะเมน

วิธีการปฏิบัติการฝึกหัดเบื้องต้น  มีดังนี้

1) ตบเข่า  เป็นการปฏิบัติการฝึกหัดเบื้องต้นลำดับแรก   ซึ่งเป็นการฝึกให้นักเรียนเริ่มรู้จักจังหวะดนตรี  รู้จักใช้โสตประสาทฟังท่วงทำนองเพลงและจังหวะได้แม่นยำถูกต้อง สามารถแยกแยะเสียง และมีความเคยชินกับจังหวะ  จังหวะถือเป็นหลักสำคัญในการปฏิบัติท่าเต้นโขน

หมายเหตุ  จังหวะในการปฏิบัติท่าเต้นโขนแบ่งออกได้  2  ลักษณะ คือ

1. จังหวะเปิด มีลักษณะการปฏิบัติท่าติดต่อกันในคราวเดียว 

2. จังหวะปิด มีลักษณะการปฏิบัติท่าทีละจังหวะช้า ๆ จนครบท่า

วิธีการปฏิบัติท่าตบเข่า 

ท่าเตรียม ครูให้ผู้ฝึกจะให้นักเรียนนั่งพับเพียบเข้าแถวกันบนพื้นราบตั้งลำตัวและส่วนศีรษะตรง อย่างที่เรียนว่า อกผายไหลผึ่ง เปิดปลายคางตามองตรงไปข้างหน้า แบฝ่ามือทั้งสองข้างวางคว่ำลงบนเข่า เมื่อนักเรียนทั้งหมดอยู่ในท่าเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว ก็จะเริ่มการปฏิบัติโดยแบ่งการปฏิบัติเป็นจังหวะ 3 จังหวะ ดังนี้

 จังหวะที่ 1 นักเรียนยกฝ่ามือขวาขึ้น (ตามลักษณะของมนุษย์โดยธรรมชาติจะถนัดมือขวาครูโบราณจึงกำหนดให้ยกมือขวาเป็นลำดับแรก) มือขวาที่ยกขึ้นอยู่ในระดับหน้าอก  แขนงอทำมุมฉาก 90 องศา กับลำตัว  ตบฝ่ามือขวาลงไปบนเข่าขวา พร้อมกับยกฝ่ามือซ้ายขึ้นอยู่ในระดับหน้าอก  แขนงอทำมุมฉาก 90 องศา กับลำตัว  นับ 1

จังหวะที่ 2 ตบฝ่ามือซ้ายลงไปบนเข่าซ้าย พร้อมกับยกฝ่ามือขวาขึ้นอยู่ในระดับหน้าอกแขนงอทำมุมฉาก 90 องศา กับลำตัว นับ 2

จังหวะที่ 3 ตบฝ่ามือขวาลงไปบนเข่าขวา พร้อมกับยกฝ่ามือซ้ายขึ้นอยู่ในระดับหน้าอก แขนงอทำมุมฉาก 90 องศา กับลำตัว นับ 3

เมื่อนักเรียนปฏิบัติจนครบแล้วให้เริ่มต้นใหม่ตามจังหวะไม้เคาะ ซึ่งครูผู้สอนจะเคาะไม้กรับเป็นสัญญาณ 1 ครั้ง นักเรียนปฏิบัติ 1 จังหวะ สลับกันไปอย่างนี้จนกว่าจะพรั่งพร้อมและมีจังหวัดสม่ำเสมอ ลักษณะการปฏิบัติเช่นนี้เรียกว่า ปิดจังหวะหรือจังหวะปิด หากครูเคาะไม้กรับเป็นสัญญาณ 2 ครั้งติดต่อกัน ให้นักเรียนปฏิบัติท่าตบเข่า 3 จังหวะติดต่อกันในคราวเดียวและนับ 1,2,3 ติดต่อกันในคราวเดียวด้วย  การปฏิบัติท่าตบเข่าในลักษณะนี้ เรียกว่า เปิดจังหวะหรือจังหวะเปิด  

ในบางกรณีครูอาจจัดให้นักเรียนนั่งสองแถวหันหน้าเข้าหากันให้ตบเข่าแข่งกัน เพื่อสร้างบรรยากาศให้มีความสนุกสนานในการฝึกหัด  นักเรียนจะได้ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นเรื่องทรมารหรือเจ็บปวดร่างกาย และเหนื่อย  การตบเข่านักเรียนต้องฝึกหัดเป็นเวลานาน ๆ วันละหลาย ๆ ครั้ง พักแล้วกลับมาฝึกหัดอีกจนมีความชำนาญคล่องแคล่ว และสามารถจดจำจังหวะได้ดี 

2) ถองสะเอว  เป็นการปฏิบัติการฝึกหัดเบื้องต้นลำดับที่  2  ต่อจากท่าตบเข่า  เป็นวิธีการฝึกหัดให้นักเรียนเริ่มรู้จักวิธีการยักเยื้องลำตัว  ยักคอ  ยักไหล่  และใบหน้าได้คล่องแคล่ว  ซึ่งจะทำให้อวัยวะของร่างกายตั้งแต่เอวจนถึงศีรษะมีความอ่อนไหว  ได้สัดส่วนงดงาม  เป็นไปตามลักษณะที่ต้องการได้

วิธีการปฏิบัติท่าถองสะเอว

ท่าเตรียม ครูให้ผู้ฝึกจะให้นักเรียนนั่งพับเพียบเข้าแถวกันบนพื้นราบตั้งลำตัวและส่วนศรีษะตรง อย่างที่เรียนว่า อกผายไหลผึ่ง เปิดปลายคางตามองตรงไปข้างหน้า แบฝ่ามือทั้งสองข้างวางคว่ำลงบนเข่า เมื่อนักเรียนทั้งหมดอยู่ในท่าเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว ก็จะเริ่มการปฏิบัติ ดังนี้

ครูให้จังหวะไม้กรับ  นักเรียนยกแขนทั้งสองขึ้นข้างลำตัวระดับเอว  งอข้อศอกให้ศอกห่างจากสีข้างประมาณหนึ่งฝ่ามือ  หงายท้องแขน  กำมือหลวม ๆ พร้อมทั้งหักข้อมือเข้าหาลำตัว  ต่อจากนั้นจึงการถองสะเอว  โดยเริ่มจากกระแทกศอกขวาเข้ากับสะเอวขวา  พร้อมกับยักคอเบนศีรษะไปทางบ่าซ้ายมือซ้ายยื่นออกจากลำตัว ต่อจากนั้นให้กระแทกศอกซ้ายเข้ากับสะเอวซ้าย  พร้อมกับยักคอเบนศีรษะไปทางบ่าขวา มือขวายื่นออกจากลำตัว  ทำดังนี้สลับกันไปจนนักเรียนเกิดความคล่องแคล่ว  สามารถยักเยื้องลำตัวและศีรษะได้ดีถูกต้องตามแบบแผนปฏิบัติ  

3) เต้นเสา  เป็นการปฏิบัติการฝึกหัดเบื้องต้นลำดับที่  3  ต่อจากท่าถองสะเอว  เป็นวิธีการฝึกหัดให้นักเรียนเริ่มรู้จักใช้อวัยวะส่วนขาและเท้าให้แข็งแรง  กำลังอยู่ตัวและคงที่  นอกจากนี้ยังฝึกหัดให้ผู้เรียนรู้จักน้ำหนักของฝ่าเท้า  และใช้จังหวะเท้าในการเต้นให้สม่ำเสมอกัน

วิธีการปฏิบัติท่าเต้นเสา

ท่าเตรียม ครูให้ผู้ฝึกจะให้นักเรียนนั่งพับเพียบเข้าแถวกันบนพื้นราบตั้งลำตัวและส่วนศรีษะตรง อย่างที่เรียนว่า อกผายไหลผึ่ง เปิดปลายคางตามองตรงไปข้างหน้า แบฝ่ามือทั้งสองข้างวางคว่ำลงบนเข่า ครูให้จังหวะเพื่อให้นักเรียนลุกขึ้นยืนเข้าแถวหันหน้าไปตามทิศเดียวกัน  ผู้ที่อยู่หัวแถวยืนหันหน้าตรงกับต้นเสาต้นใดต้นหนึ่ง  คนหลัง ๆ ยืนเข้าแถวต่อตรงกับคนหน้า  เว้นระยะห่างกันราวหนึ่งศอก  ผู้ที่อยู่หัวแถวใช้มือแตะกับต้นเสาทั้ง 2 มือ  ทาบฝ่ามือไว้ที่เสา  น้ำหนักอยู่ที่มือตอนปลาย คนหลัง ๆ ใช้มือทั้งสองแตะที่สะเอวของคนหน้า  ต่อกันไปเป็นแถวตรง  ต่อจากนั้นครูเคาะจังหวะให้นักเรียนย่อขากันเข่าทั้งสองข้างออกไปทางซ้ายและทางขวาให้ได้ฉาก (เหลี่ยม) เมื่อนักเรียนทั้งหมดอยู่ในท่าเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว ก็จะเริ่มการปฏิบัติโดยครูเคาะจังหวะให้นักเรียนปฏิบัติในท่าที่เรียกว่า “ตะลึกตึก” ก่อน

หมายเหตุ  “ตะลึกตึก”  มีวิธีการปฏิบัติ ดังนี้

จังหวะที่ 1 ยกเท้าขวาหนีบหน่องมากระทืบชิดส้นเท้าซ้าย ยกเท้าซ้ายขึ้นติด นับ 1

จังหวะที่ 2 กระทืบเท้าซ้ายชิดส้นเท้าขวา ยกเท้าขวาขึ้น นับ 2

จังหวะที่ 3 กระทืบเท้าขวาชิดส้นเท้าซ้าย ยกเท้าซ้ายขึ้น นับ 3

                  เมื่อนักเรียนปฏิบัติท่าตำลึกตึกแล้วยกเท้าซ้ายขึ้นรอไว้  ครูเคาะจังหวะให้นักเรียนกระทืบเท้าลงบนพื้นให้พอดีกับจังหวะ (จังหวะที่ 2 ) แล้วเปลี่ยนยกขาขวาขึ้นกระทืบเท้าขวาลงบนพื้น แล้วเปลี่ยนยกขาซ้ายกระทืบลงบนพื้น  ปฏิบัติดังนี้สลับกันพร้อมทั้งนับจังหวะ 1-2-3 ไปด้วย

4) ถีบเหลี่ยม เป็นการบังคับและควบคุมอวัยวะร่างกายให้อยู่ในท่าที่ต้องการ  ทั้งยังได้ช่วงขา ช่วงแขนและอกมีระดับคงที่

วิธีการปฏิบัติท่าถีบเหลี่ยม

ท่าเตรียม  ครูให้นักเรียนยืนหันหลังแนบชิดติดกับเสาหรือฝาผนัง  แล้วให้นักเรียนย่อขาและกันเข่าทั้งสองข้างออกไป  จนส่วนโค้งของเข่าเป็นมุมฉาก (เหลี่ยม) ครูนั่งลงกับพื้นยกเท้าทั้งสองข้างใช้ฝ่าเท้ายันที่หน้าขาของนักเรียนตรงหัวเข่าด้านใน  แล้วค่อย ๆ โน้มถีบเข่าของนักเรียนแยกออกไปทางเบื้องหลังทีละน้อย ๆ จนเข่าของนักเรียนเป็นเส้นขนานกับแนวไหล่ของนักเรียน  

                ข้อควรระวัง ในการปฏิบัติท่าถีบเหลี่ยมเป็นท่าปฏิบัติที่ครูต้องกระทำให้กับนักเรียน  กล่าวคือ นักเรียนไม่สามารถนำไปปฏิบัติเองตามลำพังหรือจะให้เพื่อนนักเรียนกระทำให้มิได้  เนื่องจากหากกระทำผิดวิธีจะทำให้ได้รับอันตรายได้ 

5) ฉีกขา  ใช้สำหรับนักเรียนที่ฝึกหัดเป็นตัวลิงโดยเฉพาะ  วิธีฉีกขาจะช่วยให้สามารถใช้ลำขาได้ตามต้องการ  และทำให้นักเรียนยืนหรือย่อเหลี่ยมได้อย่างมีส่วนสัดงดงามวิธีการปฏิบัติท่าฉีกขา

ท่าเตรียม ครูให้นักเรียนยืนหันหลังแนบชิดติดกับเสาหรือฝาผนังเช่นเดียวกับท่าถีบเหลี่ยมครูนั่งลงกับพื้น แล้วให้นักเรียนค่อยเลื่อนตัวลงมาจนถึงพื้น โดยขาทั้งสองข้างเหยียดตรงออกด้านข้าง  เมื่อนักเรียนลงนั่งกับพื้นแล้วครูใช้ฝ่าเท้าทั้งสองข้างยันที่หน้าขาของนักเรียนตรงหัวเข่าด้านใน  แล้วค่อย ๆ โน้มถีบเข่าของนักเรียนแยกออกไปทางเบื้องหลังทีละน้อย ๆ จนเข่าของนักเรียนเป็นเส้นขนานกับแนวไหล่ของนักเรียน ดังภาพ

                ข้อควรระวัง ในการปฏิบัติท่าฉีกขา เป็นท่าปฏิบัติที่ครูต้องกระทำให้กับนักเรียน  กล่าวคือ นักเรียนไม่สามารถนำไปปฏิบัติเองตามลำพังหรือจะให้เพื่อนนักเรียนกระทำให้มิได้  จนกว่านักเรียนจะสามารถบังคับและควบคุมอวัยวะได้เอง  เนื่องจากหากกระทำผิดวิธีจะทำให้ได้รับอันตรายได้ 

6) หกคะเมน  ใช้สำหรับนักเรียนที่ฝึกหัดเป็นตัวลิงเช่นกัน  เป็นท่าโลดโผนสำหรับการแสดงออกตามลักษณะที่เป็นธรรมชาติของลิง

วิธีการปฏิบัติท่าหกคะเมน

                ครูให้นักเรียนยืนในท่าตรง  ใช้ฝ่ามือทั้งสองของตนยันกับพื้น  ต่อจากนั้นจึงค่อยยกเท้าทั้งสองขึ้นไปในอากาศ  แล้วหกเท้าลงข้างหลังหรือข้างหน้า 

ท่าหกคะเมนมีชื่อเรียกต่างกัน ดังนี้

  1. หกคะเมนหงายไปข้างหลัง  เรียกว่า “ตีลังกาหกม้วน”
  2. หกคะเมนไปข้างหน้า เรียกว่า “อันธพา”
  3. หกคะเมนไปข้าง ๆ เรียกว่า “พาสุริน”

ข้อควรระวัง  ในการปฏิบัติท่าหกคะเมน  ในช่วงแรก ๆ ของการปฏิบัติควรอยู่ในความดูแลของครูอย่างใกล้ชิด  นักเรียนจะนำไปปฏิบัติเองตามลำพังหรือจะให้เพื่อนนักเรียนกระทำให้มิได้ จนกว่านักเรียนจะสามารถบังคับและควบคุมอวัยวะได้เอง  เนื่องจากหากกระทำผิดวิธีหรือขาดความระมัดระวังจะทำให้ได้รับอันตรายได้ 

หมายเลขบันทึก: 307039เขียนเมื่อ 20 ตุลาคม 2009 00:57 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน 2012 03:01 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (14)

อาจารย์เก่งจังเลย..ค่ะ...สุดยอดสมแล้วเป็นคนสุพรรณ...

ทำไมการแสดงโขนถึงไม่นิยมเล่นตอนทศกัณฑ์ล้มละคะ อยากทราบมากๆเลย รบกวนอาจารย์ช่วยไขข้อสงสัยให้หน่อยนะคะ

อยากเรียนนจังอะค่ะ

ทำไงดี

ช่วยสอนหน่อยนะค้า

อยากเรียนมากๆๆ

ขอบคุณ มาก

นะคะ อาจารย์

ตอบคุณชณัฐศิกานต์ "ทำไมการแสดงโขนถึงไม่นิยมเล่นตอนทศกัณฑ์ล้ม"

ตามคติไทยสิ่งใดที่ดูแล้วไม่เป็นมงคลกับตนเอง ก็ไม่นิยมที่จะนำมาทำกัน กลัวจะเกิดเพทภัยต่างๆนานากับตนเอง ในด้านการแสดงก็เช่นเดียว บางครั้งเมื่อทำไปแล้วด้วยความที่ไม่ได้คิดอะไร พอมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เราก็มักจะกล่าวโทษเนื้อหาเรื่องราวของวรรณกรรม แต่ลืมนึกถึงการกระทำของคนซึ่งอาจจะเกิดด้วยความประมาท ไม่รอบคอบมากกว่า ดังนั้น เพื่อตัดปัญหาความไม่รู้ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ในการแสดงโขนละครของไทยก็เช่นเดียวกัน จึงไม่นิยมให้ตัวละครตายกลางโรง....ผิดถูกอย่างไรแนะนำเพิ่มเติมได้นะครับ จาก...ครูโขน

ขอบคุณนะครับที่ให้ความสนใจในนาฏศิลป์ไทย...ชาติไทยเราคงไม่สิ้นชาติหากคนไทยรักวัฒนธรรมไทย

หากพูดถึงหนุมาน ทุกคนจะรู้จักว่าเป็นทหารเอกของพระราม ในนามของนักรบ มีความเก่งกล้ามาสารถ ปฏิญาณไหวพลิบ แต่ไม่ใคร่จะคิดถึงครอบครัวของหนุมาน เพราะด้วยภารกิจที่ถูกกำหนดมาให้ช่วยพระนารายณ์ที่อวตารมาเป็นพระรามทำสงครามปราบอสูร

ดังนั้น ครูโขน...คิดว่าวันนี้เรามาส่องดูความเป็นครอบครัวของหนุมานกันสักหน่อยว่า มีชีวิตครองครัวอย่างไร....

หนุมานมีเมียถึง 6 นาง ทั้ง 6 นาง เป็นเมียหนุมานก็ด้วยภารกิจที่หนุมานรับอาสาพระรามไปดำเนินการทั้งสิ้น ไม่ได้เกิดจากการแสวงหาความรักเหมือนอย่างมนุษย์เรา ไม่ว่าชายหรือหญิงเมื่อถึงวัยของการมีครอบครัวก็จะแสวงหาคู่ชีวิต แต่หนุมานกลับละเลยไม่คิดที่จะหากลับมีมาเองโดยไม่รู้ตัว แสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมความเจ้าชู้เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ทั้ง 6 นางไม่ใช่คู่ชีวิตของหนุมาน เพราะไม่มีใครอยู่ด้วยกับหนุมานสักนางเดียว ทุกนางก็ดำเนินชีวิตของตนโดยวิถีแห่งตน ดังเช่น 1.นางบุษมาลี หลังจากตกเป็นเมียหนุมานแล้งก็กลับขึ้นไปบนสวรรค์ 2.นางเบญกาย มีลูกด้วยหนุมานชื่อ อสุรผัด ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน 3.นางสุพรรณมัจฉา มีลูกด้วยหนุมานชื่อ มัจฉานุ ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน 4.นางวานรินทร์ หลังจากตกเป็นเมียหนุมานแล้งก็กลับขึ้นไปบนสวรรค์ 5.นางมณโฑ และ 6.นางสุวรรณกันยุมา ทั้ง 6 นาง ไม่มีนางใดอยู่กับหนุมาน จะด้วยเพราะภารกิจที่จะต้องระเหเร่ร่อนทำติดตามพระราม ทำราชการเคียงบ่าเคียงไหล่เจ้านายเป็นทหารคู่ใจ จงไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องส่วนตัว .......

น่าสงสารนะ.ท่านผู้อ่านคิดว่าอย่างไร.

ขอบคุณคูรมากๆครับ...เพราะขณะนี้ผมกำลังจะฝึกโขนครับเล่นเป็นตัวยักษ์ ทำให้ได้รับความรู้ก่อนที่จะไปฝึกในโอกาสแรก...ผมอยู่กทม.ครับ...ถ้ามีโอกาสจะไปหาครับ...ด้วยความเคารพยิ่ง

สวัสดีครับครู...ก่อนอื่นผมต้องบอกว่าผมทำงานแล้ว รับราชการอยู่นครศรีธรรมราช ตอนนี่อายุ 22 ปีครับ แต่อยากจะฝึกโขนมากคลับ แต่ไม่มีเวลาเพราะเวลาส่วนใหญ่อยู่ที่ทำงาน ผมคิดว่าเรียนทางอิเตอร์เน็ตน่าจะได้ แต่ว่าไม่รู้จะเริ่มจากไหนดี หรือว่ามีที่ให้ฝึกไกล้ ๆ แถวในตัวเมืองไม่ครับ ผมก็เลยเข้ามาถามครูนะครับ

ผมอยากให้โรงเรียนราชวินิตสุวรร

รภูมิสอนเรืองโขนมากมากครบ...lek....

อาจารย์เก่งจังเลย........................ย

ขอบคุณค่ะ อยากเรียนจริงๆจังๆแต่แม่ไม่ให้เรียน

อยากเรียนติดต่อได้ที่ไหนคับ

มาเรียนโขนกันดีกว่า

สวัสดีค่ะคือว่าอยากรู้ว่าท่ารำของเงาะที่ประดิษฐ์ขึ้นเป็นพิเศษ ที่นำท่ายักษ์ ท่าพระ(มนุษย์) ท่าลิงมาผสมกัน มีลักษณะอะไรยังไงบ้างคะ??

สวัสดีค่ะคือว่าอยากรู้ว่าท่ารำของเงาะที่ประดิษฐ์ขึ้นเป็นพิเศษ ที่นำท่ายักษ์ ท่าพระ(มนุษย์) ท่าลิงมาผสมกัน มีลักษณะอะไรยังไงบ้างคะ??

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท