พัฒนาการเด็กวัย 3-5 ปี


พัฒนาการเด็กวัย 3-5 ปี

 

พัฒนาการทางร่างกาย ของเด็กอายุ 3-5ปี

พัฒนาการด้านร่างกายของเด็กวัยนี้เป็นไปอย่าง รวดเร็ว โดยเฉพาะเรื่องความสูงและน้ำหนัก การเพิ่มของ น้ำหนักเกิดจากการเจริญเติบโตของกระดูกและกล้ามเนื้อ ในตอนต้นของวัยนี้ สัดส่วนของร่างกายเปลี่ยนแปลงใกล้เคียงกับผู้ใหญ่มากขึ้น ทำให้สามารถกล้ามเนื้อในการเคลื่อนไหวดีขึ้น เด็กจึงชอบวิ่ง กระโดด ไม่หยุดนิ่ง การหยิบจับและการช่วยเหลือตนเอง สามารถควบคุมและบังคับการทรงตัวได้ดี ทำให้เด็กวัยนี้ พร้อมที่จะทำกิจกรรมเกี่ยวกับการออกกำลัง การเล่นกลางแจ้ง การใช้มือก็มีความละเอียดขึ้น เด็กสามารถแต่งตัวเองได้ หวี ผม แปรงฟันได้เอง และสามารถช่วยทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้  เราจะเห็นว่าเด็กในวัยนี้มีการพัฒนาด้านกล้ามเนื้อมัดใหญ่และกล้ามเนื้อมัดเล็กดังนี้

กล้ามเนื้อมัดใหญ่ 

-          ยืนขาเดียวได้นานขึ้น

-          ปีนป่ายบันไดและเครื่องเล่นกลางแจ้ง

-          เดินลงบันไดแบบสลับขา

-          วิ่งหลบหลีกสิ่งกีดขวางได้

-          ถีบจักรยาน 3 ล้อได้

-          วิ่งไปเตะลูกบอลได้โดยไม่ต้องหยุดเล็ง

กล้ามเนื้อมัดเล็ก

-          วาดรูปสี่เหลี่ยมตามแบบได้

-          วาดรูปคนที่มีส่วนต่างๆได้ 3 ส่วน

-          ร้อยลูกปัดขนาดเล็กได้

-          เลียนแบบการทำสะพานได้

-            ตัดกระดาษกรอบรูปได้

 เด็กจะเริ่มเป็นตัวของตัวเองโดยไม่ต้องให้ผู้ใหญ่เฝ้าในการเล่น ใช้พลังงานไปกับการเล่น จะรู้สึกดีที่ได้แสดงออกในสิ่งที่ตนต้องการ เต็มใจลองของใหม่และสิ่งแปลกใหม่

 

 

 

พฤติกรรมของเด็กอายุ 3-5 ปี

ชอบตั้งคำถาม  เด็กในวัยนี้มีพัฒนาการทางภาษาค่อนข้างมาก  สามารถเล่าเรื่องเป็นประโยค

         ยาวๆได้  ร้องเพลงง่ายๆได้   ทำให้มักชอบตั้งคำถาม   ช่างคิด  ช่างสงสัยในสิ่งต่างๆ 

                         เริ่มช่วยเหลือตนเองได้  เช่น รับประทานอาหาร  แต่งตัว  ทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ ด้วยตนเอง   และยังชอบช่วยผู้ใหญ่ทำงานเล็กๆน้อยๆ เราควรส่งเสริมให้เด็กเกิดความภูมิใจด้วยการชื่นชมในสิ่งที่เด็กทำ  และให้ได้ลองทำสิ่งใหม่ๆด้วยตนเอง

                          เล่นกับเพื่อน มักจะเล่นอยู่ในกลุ่มเพื่อน 2-3 คน ทำให้ได้เรียนรู้เงื่อนไขทางสังคมใหม่ๆที่นอกเหนือไปจากที่บ้าน  เริ่มบอกความแตกต่างระหว่างเพศได้  Piaget นักจิตวิทยากลุ่มที่เน้นความรู้ความเข้าใจ (Cognitive) กล่าวว่า เด็ก 3-5 ขวบ เรียนรู้พฤติกรรมทางสังคมจากเพื่อนในโรงเรียนอนุบาลหรือเพื่อนบ้านวัยเดียวกัน แต่เด็กวัยนี้ยังเข้าใจถึงความถูกต้องและความผิดไม่ลึกซึ้งนัก

                          มีจินตนาการ  เด็กวัยนี้ชอบของเล่นที่ใช้ความคิด  หากได้เล่นจินตนาการ  หรือแสดงบทบาทสมมุติจะเล่นได้เรื่อยๆ เช่น พ่อแม่ ครู ตำรวจ ซึ่งเด็กมักจะเล่นบทบาทสมมติเป็นบุคคลที่มีอำนาจในสายตาเด็ก การเล่นบทบาทสมมติเป็นสิ่งที่เราควรส่งเสริมเพราะช่วยให้เด็กได้มีจินตนาการ  และเป็นการปลดปล่อย   บางครั้งเวลาที่ให้เด็กเล่าเรื่องอาจเป็นเรื่องจริงปนเรื่องสมมุติ  พ่อแม่และผู้ปกครองควรต้องระวังไม่ให้กลายเป็นติดนิสัยโกหก  โดยไม่ควรใช้วิธีดุว่าด้วยถ้อยคำรุนแรง  แต่อาจใช้วิธีการทำให้เด็กรู้ว่ากำลังพูดเรื่องโกหก เช่น

คุณแม่ - ใครทำน้ำหก

หนูเล็ก- พี่แดงทำค่ะ

คุณแม่ - พี่แดงไปโรงเรียนแล้ว จ๊ะ หนูไปเอาผ้ามาเช็ด วันหลังต้องอย่าวิ่งเวลาถือแก้วน้ำนะจ๊ะลูก

เจ้าอารมณ์  เด็กในวัยนี้มักแสดงอารมณ์ออกมาอย่างเปิดเผย  เช่น โมโห  ไม่พอใจมักแสดง

อาการกระทืบเท้า   อิจฉาอะไรโดยไม่มีสาเหตุ  และกลัวอะไรอย่างสุดขีด  อาจเกิดจากสัญชาตญาณหรือระดับสติปัญญาที่เพิ่มมากขึ้น  ทำให้รู้ว่าสิ่งใดมีอันตราย 

ในด้านพฤติกรรมนั้นผู้ใหญ่ควรเข้าใจว่าเด็กในวัยนี้มีจินตนาการสูง  และกำลังอยู่ในช่วงของการ

เรียนรู้สังคมที่นอกเหนือไปจากที่บ้าน  ทำให้การแสดงออกของพฤติกรรมอาจไม่เหมาะสม  แต่จะต้องแยกตัวเด็กออกจากพฤติกรรมของเขา เช่น จะต้องบอกว่า “ครูรักหนู แต่ครูไม่ชอบในสิ่งที่หนูทำ หนูทำแจกันแตกเป็นสิ่งที่ไม่ดี มันทำให้เกิดอันตราย” แต่ถ้ามันเป็นอุบัติเหตุก็ต้องอธิบายให้ฟังว่า ไม่เป็นไรมันเป็นเพียงอุบัติเหตุ คราวหน้าหนูควรทำอย่างนี้ และที่สำคัญครูควรต้องระวัง ป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น ควรให้เด็กคิดถึงสิ่งที่เขาควรทำได้ สำหรับวัยนี้และจะต้องชมเชยเมื่อเด็กทำได้ ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างการเห็นคุณค่าในตนเอง รวมทั้งเรื่องความคิด การตัดสินใจ การสร้างทัศนคติที่ดี ทำให้เด็กรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าและมีความสามารถที่จะทำได้  

 

ทักษะสำคัญในการใช้ชีวิต ของเด็กอายุ 3-5 ปี

                         ทักษะที่ต้องเริ่มฝึกหัดและฝึกฝนให้ลูกก็คือสิ่งที่จำเป็นกับการดำเนินชีวิตของเขาในวัยปัจจุบัน และจะเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาไปสู่ทักษะชีวิตที่ยากและซับซ้อนขึ้น ซึ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตในอนาคตข้างหน้า

ความคล่องแคล่วชำนาญในทุกๆ พัฒนาการทางกาย ที่จะเกิดขึ้นตามวัย เช่น เดิน วิ่ง กระโดด

หยิบจับสิ่งของ ขีดเขียน การพูดจาสื่อสาร ซึ่งเกิดขึ้นได้จากกิจกรรมต่างๆ

ส่งเสริมได้โดย : ให้ลูกได้เล่นออกกำลัง เคลื่อนไหวกล้ามเนื้อแขน-ขา มือ-นิ้วมือ ฝึกการทำงาน

ประสานกันของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ การทรงตัว เช่น พาไปเล่นในสนามเด็กเล่น เครื่องเล่นสนาม เคลื่อนไหวตามจังหวะดนตรี เตะบอล ขี่จักรยาน 3 ล้อ ต่อบล็อก ปั้นแป้ง

  • ให้ลองลงมือทำกิจวัตรประจำวันด้วยตัวเองบ้าง ตามวัยที่เขาทำได้ เช่น ให้ลองจับแปรงแปรงฟันเอง ล้างมือ ล้างหน้า กินอาหาร ถอด-ใส่เสื้อผ้า รองเท้า เริ่มจากง่ายๆ ก่อนโดยทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง และอาจช่วยเหลือบ้างถ้าเห็นว่าลูกต้องการ ระหว่างนี้สามารถวางแบบแผนที่ควรจะเป็นของกิจวัตรได้ด้วย เช่น แปรงฟันตอนเช้า-ก่อนเข้านอน ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร ถอดรองเท้าวางเข้าที่ เป็นต้น 
  • จัดกิจกรรมที่เด็กจะได้สื่อภาษา เช่น ร้องเพลง ท่องคำคล้องจอง เล่านิทาน เล่นบทบาทสมมติ พูดคุยกับลูกให้มากในทุกๆ ช่วง ทุกๆ กิจกรรมที่ได้อยู่กับเด็ก เช่น ขณะเล่น ขณะทำกิจวัตรประจำวัน เพื่อให้เด็กได้เห็นตัวอย่างการใช้ภาษา ได้เรียนรู้คำศัพท์ต่างๆ และต้องเปิดโอกาสให้เด็กได้ทดลองใช้ภาษา ด้วยการชวนคุยแบบตั้งคำถามและให้ความสำคัญกับการฟังในสิ่งที่เด็กพยายามสื่อสาร  

สร้างทักษะชีวิต : การทำอะไรได้ด้วยตัวเอง เช่น ทำกิจวัตรประจำวันได้เอง ช่วยเหลือตัวเองได้

สามารถทำและสื่อสารให้ผู้อื่นรู้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการได้ สิ่งเหล่านี้จะพัฒนาไปสู่ความเชื่อมั่น และการเห็นคุณค่าในตัวเอง

ถ้ายิ่งมีโอกาสทำอะไรด้วยตัวเองบ่อยเท่าไร โอกาสของการได้ลองผิดลองถูก ได้คิดวิเคราะห์

แก้ปัญหา ตัดสินใจในระหว่างที่ทำกิจกรรมเหล่านี้นั้นก็จะมีมากขึ้น ความเชื่อมั่นและภาคภูมิใจก็จะสะสมมากขึ้นเป็นวงจรเรียนรู้ ที่มีแต่ได้กับได้ นอกจากนี้เด็กๆ ที่ช่วยเหลือตนเองได้มาก จะเป็นคนที่รู้จักรับผิดชอบและปรับตัวง่ายด้วย

 

ความชำนาญ ในการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 เด็กๆ ต้องได้ฝึกทักษะการใช้สายตา การรู้จักแยกแยะ

กลิ่น เสียง การลิ้มรสและสัมผัสที่แตกต่าง

 

ส่งเสริมได้โดย : การจัดหนังสือ ของเล่นที่จะกระตุ้นให้เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสครบทุกด้าน เช่น

ของเล่นที่มีสีสัน มีเสียง เคลื่อนไหวได้ หรือแม้แต่การเล่นจ๊ะเอ๋ ซ่อนหาสิ่งของ เล่นทราย กิจกรรมทดสอบประสาทสัมผัส หนังสือสีสันสดใสมีรูปแบบน่าสนใจ เช่น หนังสือภาพ หนังสือ pop up เป็นต้น

  • จัดสิ่งแวดล้อมให้หลากหลายและน่าสนใจ ที่ช่วยเร้าความสนใจในการเข้าไปเรียนรู้สิ่งใหม่ ทั้งภายในบ้าน รอบบ้านหรือการพาลูกไปเที่ยวที่ต่างๆ และชี้ชวนให้ลูกสังเกต ลงมือทำ สัมผัสกับของจริง หรือแม้แต่การจัดเมนูอาหารที่หลากหลาย ที่สำคัญไม่ต้องสกัดกั้นความอยากรู้อยากเห็นของเด็กด้วยการละเลยคำถาม หรือตอบอย่างดุดันรำคาญ โดยเฉพาะช่วง 2-3 ปี ที่เด็กเป็นเจ้าหนูจำไมชอบซักถาม

สร้างทักษะชีวิต : เด็กจะได้รู้จักโลกรอบๆ ตัว ทั้งสัตว์ สิ่งของ ผู้คน สถานที่ ฯลฯ สั่งสมเป็น

ฐานข้อมูลในการเรียนรู้เรื่องต่างๆ นำไปสู่ความเป็นคนช่างสังเกต ช่างคิด วิเคราะห์ สามารถแยกแยะความแตกต่างของสิ่งรอบตัวได้ และเมื่อความอยากรู้อยากเห็นได้รับการตอบสนองอยู่เรื่อยๆ ลูกจะกลายเป็นเด็กที่มีความกระหายใคร่รู้ กระตือรือร้นกับสิ่งใหม่ อยากรู้อยากลอง

ทักษะในการสัมพันธ์กับผู้อื่น  โดยการเรียนรู้วิธีสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างเหมาะสม

ส่งเสริมได้โดย : โอบกอด สัมผัส ให้ความรัก ดูแลและปฏิบัติต่อเด็ก บุคคลอื่น หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยงด้วยท่าทีอ่อนโยน พูดจาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เป็นการให้แบบของการแสดงออกทั้งกิริยาและคำพูดที่เหมาะสม

  • ดูแลเด็กโดยใช้เหตุใช้ผลผ่อนปรนตามความต้องการของลูกบ้างในบางเรื่อง เพื่อให้เริ่มเรียนรู้ที่จะแยกแยะสิ่งที่ควรและไม่ควร และเห็นวิธีการจัดการกับความไม่ชอบใจ ไม่ถูกใจ เป็นฐานของการคิดวิเคราะห์หาเหตุผล การแก้ปัญหาและการสร้างสรรค์ปรับเปลี่ยนหาวิธีที่ดีที่สุด
  • พาไปร่วมกิจกรรมที่ต้องสัมพันธ์กับคนอื่นและให้ได้ปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นนอกบ้าน เช่น เมื่อไปซื้อของ เวลาที่เข้าแถวรอจ่ายเงินหรือทำธุระต่างๆ ให้เด็กได้อยู่ร่วมในบรรยากาศแบบนี้บ้าง ระหว่างรอก็เล่าให้รู้ว่ากำลังทำอะไร ทำไมจึงต้องรอ ถ้าทำเป็นประจำเด็กจะค่อยๆ ซึมซับและเรียนรู้วัฒนธรรมของการเข้าคิว รู้จักรอคอย และเคารพสิทธิ์ผู้อื่น
  • ให้เรียนรู้บทบาทของการเป็นผู้ให้ ผู้รับ เช่น เทศกาลต่างๆ ก็พาลูกไปช่วยเหลือ ช่วยเตรียมของขวัญให้ญาติ เพื่อน หรือให้เด็กเป็นคนมอบของขวัญนั้น หรือการซื้ออาหารให้สัตว์ตามสวนสัตว์ การให้อาหารสัตว์เลี้ยงที่บ้าน ก็เป็นกิจกรรมที่เป็นฐานไปสู่การรู้จักคิดถึงผู้อื่น การมีน้ำใจได้

ทักษะทางด้านอารมณ์ คนที่มีทักษะทางอารมณ์ที่ดี คือคนที่รู้จักและเท่าทันอารมณ์ตัวเอง จัดการกับอารมณ์ตัวเองได้ เกิดขึ้นได้จากความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย และการมีอารมณ์มั่นคง

 ส่งเสริมได้โดย : เลี้ยงดูด้วยความรัก ความเข้าใจ โอบกอด สัมผัสอย่างสม่ำเสมอ จะเกิดเป็นความไว้วางใจ เชื่อมั่นว่าตัวเองเป็นที่รัก ไม่ถูกทอดทิ้ง เป็นฐานของการเห็นคุณค่าในตัวเอง

  • สนใจและให้อิสระเด็กได้ทำในสิ่งที่ต้องการ สิ่งที่สนใจ โดยให้เด็กคิด เลือกแก้ปัญหาด้วยตัวเอง โดยให้คำแนะนำให้การสนับสนุนและชื่นชม ก็จะทำให้เด็กรู้สึกว่าตัวเองเป็นที่สนใจ ยอมรับจากคนที่เขารัก ก็เกิดเป็นความมั่นใจ เห็นคุณค่าตัวเอง อารมณ์มั่นคง
  • จัดของเล่น กิจกรรมที่ลูกได้แสดงความรู้สึกและอารมณ์ เช่น เล่านิทาน การฟังเพลง การเล่นจินตนาการกับตุ๊กตา ของเล่นต่างๆ การทำงานศิลปะ ทั้งที่เล่นคนเดียว เล่นรวมกับพ่อแม่หรือคนอื่นๆ หรือจะเป็นของเล่นหรือกิจกรรมที่เด็กจะได้ใช้สมาธิจดจ่อ เช่น เกมต่อภาพ ต่อบล็อก แป้งปั้น ร้อยลูกปัดก็ช่วยสร้างอารมณ์ที่มั่นคงได้ แม้แต่วิธีการเล่นของเล่นทีละ 1 อย่าง เล่นแล้วเก็บแล้วค่อยหยิบของเล่นชิ้นใหม่มาเล่น วิธีนี้สอนได้ทั้งเรื่องวินัยและสมาธิ การจดจ่อทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้เด็กได้ และสิ่งนี้ยังเป็นฐานของการพัฒนาไปสู่ความมุมานะ พยายามตั้งใจได้อีกด้วย

ธรรมชาติของเด็กและเยาวชนคือ  การอยากเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ  อยู่เสมอ  ประกอบกับในยุคสมัยนี้มีเครื่องมือสื่อสารต่างๆ  ที่สามารถเข้าถึงเด็กและเยาวชนได้ง่ายและรวดเร็ว  ไม่ว่าจะเป็นอินเตอร์เน็ตหรือเกมออนไลน์  ทำให้เยาวชนขาดความระมัดระวังในการเลือกรับสื่อเหล่านี้  และบางคนอาจจะเลือกรับสื่อที่ไม่เหมาะสม  ซึ่งจะส่งผลทางลบต่อตัวเด็กและเยาวชนได้อีกด้วย

 

จิตวิทยาของเด็กอายุ 3-5 ปี

ในวัยนี้เป็นช่วงที่เด็กมีสมรรถภาพทางกล้ามเนื้อและประสาทสัมผัสดีมากขึ้น เด็กเริ่มที่จะเคลื่อนไหว ต้องการสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบตัว Erik H. Erikson กล่าวว่า ในวัยนี้เป็นวัยที่เด็กมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ช่างซักถาม เป็นเจ้าหนูจำไม ซึ่งผู้ใหญ่ควรโต้ตอบให้ความรู้กับเด็กเพราะจะส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาของเด็ก เด็กจะคิดใหม่ พูดใหม่ ทำอะไรใหม่ๆ ทุกวัน ระบบความจำและสมาธิดีขึ้น และเป็นวัยที่มีจินตนาการสูง มีความคิดแบบที่ยึดเอาตนเองเป็นหลัก และคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้มีชีวิตมีความรู้สึก เช่น ต้นไม้ร้องไห้ถ้าโดนตัด เป็นต้น แต่ก็จะเริ่มลดลงในช่วงหลัง ให้เหตุผลง่ายได้ๆ จินตนาการบางอย่างของเด็กนั้นผู้ใหญ่ต้องคอยดูและแยกแยะระหว่างความจริงกับจินตนาการให้เด็กเพื่อไม่ให้เด็กติดนิสัยโกหก ในขณะเดียวกัน พ่อแม่ต้องสนับสนุนให้เด็กได้สร้างสรรค์จินตนาการของตนเองอย่างเหมาะสม เช่น มีของเล่นที่สามารถใช้เล่นบทบาทสมมติได้ ตุ๊กตามือ หรือนิทานต่าง ๆ ซึ่งเด็กที่ได้รับการส่งเสริมเต็มที่จะกลายเป็นคนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ การเล่นบทบาทสมมติเป็นการช่วยระบายความกลัว เช่น เด็กกลัวหมอฟัน การเล่นบทบาทสมมติเป็นหมอฟันอาจช่วยลดความกลัวตรงนี้ได้ แต่ผู้ใหญ่ต้องระวังไม่ให้กลายเป็นว่าเด็กกลัวฝังใจ นอกจากนั้นการเล่นบทบาทสมมติยังพัฒนากระบวนการคิดเป็นขั้นตอน การให้เด็กได้ลองทำกิจกรรมใหม่ๆ และพ่อแม่ต้องรู้จัก “ชม” อย่างเหมาะสม เพื่อเป็นการเสริมแรงให้ลูกกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้องต่อไป หากเด็กทำผิด ก็ต้องลงโทษอย่างเหมาะสมเช่นกัน แต่การลงโทษนั้นไม่ก่อให้เกิดพฤติกรรมถาวรเท่ากับการเสริมแรงด้วยการชม นอกจากนี้ ในวัยนี้เป็นวัยที่เด็กมีพฤติกรรมเลียนแบบโดยจะมีการเลียนแบบพ่อแม่ที่เป็นเพศเดียวกันซึ่งเป็นการเรียนรู้บทบาททางเพศ Albert Bandura กล่าวว่า พฤติกรรมส่วนใหญ่เป็นการเรียนรู้โดยการสังเกต หรือเรียนรู้จากตัวแบบ ไม่ว่าจะเป็นตัวแบบที่เป็นบุคคลจริง ๆ เช่น พ่อแม่ เพื่อน ครู หรือตัวแบบเชิงสัญลักษณ์ เช่น ตัวละครในโทรทัศน์ ตัวการ์ตูน หากตัวแบบใดทำพฤติกรรมแล้วได้รับรางวัล ตัวเด็กก็มีแนวโน้มที่จะทำพฤติกรรมนั้นๆ ตามตัวแบบที่ได้รับรางวัล จริยธรรมของเด็กในวัยนี้จะเริ่มพัฒนาแต่จะพัฒนาจาก ตัวแบบ การลงโทษ การให้รางวัล และการสั่งสอน

การเล่นของเด็กนั้นเด็กจะมีกลุ่มเพื่อนอาจจะสองถึงสามคน ซึ่งการเล่นเป็นกลุ่มนี้ช่วยให้เด็กเรียนรู้กฏเกณฑ์ รู้จักสร้างกฎและทำตามกฎ การปรับตัวและการสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่น เป็นการเพิ่มปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และการเล่นเป็นกลุ่มนี้ยังช่วยลดความคิดที่ยึดตนเองเป็นศูนย์กลางของเด็กด้วย เพราะเมื่อเล่นกับคนอื่น เด็กย่อมต้องรู้จักการปรับตัว และหัดมองในมุมของคนอื่นเพื่อตนเองสามารถเป็นส่วนหนึ่งและเล่นร่วมกับคนอื่นได้ นอกจานั้นยังทำให้เกิดการเลียนแบบกันเองด้วย

หากพ่อแม่ ผู้ปกครองให้การสนับสนุนที่ดีแก่เด็กได้ เด็กในวันนี้ก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในวันหน้า

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ผลกระทบจากสื่อกับการเรียนรู้ของเด็ก

สื่อเป็นสิ่งแวดล้อมที่ในปัจจุบันส่งผลอย่างมากต่อเด็ก เป็นสิ่งแวดล้อมที่เด็กสามารถเข้าถึงได้ง่าย

ช่วยให้เด็กได้รับข้อมูลและมีการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม สื่อที่มีความโดดเด่นมากที่สุดก็คงเป็นสื่อโทรทัศน์ เด็กในวัยนี้พัฒนาการด้านภาษายังไม่เท่าผู้ใหญ่แต่มีความเข้าใจเกี่ยวกัยสัญลักษณ์ สื่อโทรทัศน์ที่เด็กชอบและสามารถเข้าใจได้ง่ายคงเป็นการ์ตูน เพราะมีรูปภาพและเพลงที่เด็กชอบ แต่เด็กในวัย 3-5 ขวบเป็นช่วงที่มีพัฒนาการด้านต่างๆของร่างกาย  เช่น กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ  หากเด็กมานั่งดูทีวีอย่างเดียวเป็นเวลานานๆ  ก็จะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการเด็ก และแม้ว่าเด็กจะได้เรียนรู้ผ่านสื่อโทรทัศน์แต่เด็กไม่สามารถโต้ตอบด้วยได้ การจะห้ามไม่ให้เด็กดูทีวีคงเป็นเรื่องยาก ฉะนั้นผู้ใหญ่ควรกำหนดเวลาหรือดูด้วยกันแล้วคอยสอน

เราจะทำสื่อให้มีความเหมาะสมกับเด็กในวัย 3-5 ขวบอย่างไร เพื่อให้มีความเหมาะสมและส่งเสริม

พัฒนาการของเด็กให้มากที่สุด ในเมื่อเราไม่สามารถแยกเด็กกับสื่ออกจากกันได้ เราจะผลิตสื่อที่ดีอย่างไร นักจิตวิทยาชื่อว่า Erik Homberger Erikson ได้อธิบายว่า เด็กในวัยนี้เป็นเด็กที่มีจินตนาการสูง ในเมื่อเราทราบว่าเด็กในวัยนี้มีจินตนาการสูง สื่อก็ควรผลิตรายการที่ส่งเสริมจินตนาการของเด็ก ส่งเสริมให้เด็กสร้างจินตภาพที่ถูกต้องเหมาะสม นอกจากนี้ Albert Bandura  นักจิตวิทยาได้อธิบายว่า พฤติกรรมของคนเราส่วนมากจะเป็นการเรียนรู้โดยการสังเกต หรือการเลียนแบบจากตัวแบบ ซึ่งอาจจะเป็นแนวทางในการผลิตสื่อได้ว่า เราควรที่จะผลิตสิ่งที่เด็กสามารถที่จะเลียนแบบแล้วส่งผลดีต่อพฤติกรรม ต่อจริยธรรมในตัวเด็ก เพราะหากเรามานึกถึงปัจจุบัน ส่วนใหญ่ที่เราพบในทีวีนั้นก็จะมีรายการมากมายที่ไม่เหมาะสำหรับเด็ก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ จริยธรรม หรือความรุนแรงก็ตาม ทำให้เด็กไม่สามารถมีตัวแบบที่ดีในการเลียนแบบ ซึ่งก็จะส่งผลในทางที่ไม่ดีต่อพฤติกรรมของเด็กอย่าง และจะส่งผลไปถึงพฤติกรรมในวัยผู้ใหญ่ด้วย  เนื่องจากระดับจริยธรรมของเด็กในวัยนี้จะปฏิบัติเพื่อไม่ให้ถูกลงโทษ พฤติกรมที่ดีคือทำแล้วได้รางวัล พฤติกรรมที่ไม่ดีคือทำแล้วถูกลงโทษ ซึ่งระดับคุณธรรมก็ขึ้นกับการรู้คิดของเด็กด้วย การที่เด็กได้ตัวแบบด้านคุณธรรมที่ดีและได้รับรางวัลก็ย่อมส่งเสริมพฤติกรรม ซึ่งรางวัลนั้นอาจจะเห็นตัวแบบได้รับหรือตนเองได้รับเองก็ได้ ส่วนการฉายภาพของโทรทัศน์เป็นการตัดกลับไปกลับมาทำให้เด็กอาจไม่สามารถเชื่อมโยงความเป็นเหตุเป็นผลของภาพเหตุการณ์นั้นได้เนื่องจากความจำกัดด้านการรู้คิด ส่งผลให้เด็กไม่เข้าใจว่าภาพในโทรทัศน์สื่ออะไร เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนได้

การที่เราจะจัดสื่อเพื่อเด็กให้ส่งผลกระทบในแง่ดีต่อเด็กให้มากที่สุดนั้น เราควรต้องคำนึงถึงเรื่อง

หลักๆ 3 เรื่องคือ การส่งเสริมจินตนาการของเด็ก การที่เด็กในวัย 3-5 ขวบนั้นเป็นวัยที่ชอบเลียนแบบและสุดท้ายคือเรื่องดนตรีประกอบที่สามารถส่งผลถึงพัฒนาการทางด้านสติปัญญาของเด็กได้ตามที่งานวิจัยได้พบ  สื่อจึงควรที่จะคำนึงถึงเรื่องเหล่านี้เป็นสำคัญเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาเยาวชนของชาติ ซึ่งจะกลายเป็นผู้ใหญ่ในวันหน้า เพื่ออนาคตของชาติสืบต่อไป

 

สื่อเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ซึ่งในปัจจุบันสื่อที่เหมาะสมกับเด็กตามช่วงวัยต่างๆนั้นยังน้อย การ

ผลิตสื่อที่สร้างสรรค์จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านจริยธรรมที่ต้องส่งเสริมกันในหลายๆรูปแบบ สอดแทรกและเสริมสร้างให้บ่อย ซึ่งสื่อมีความสามารถในด้านนี้ สื่อเป็นช่องทางที่มีศักยภาพและประโยชน์มากมาย แต่เราจะดึงศักยภาพของสื่อออกมาเพื่อพัฒนาสังคมและเยาวชนอย่างเต็มที่ได้อย่างไร

 

สื่อกับเด็ก in my opinion(เน้นโทรทัศน์)

       เรื่องสื่อกับเด็กมันเป็นอีกเรื่องที่ค่อนข้าง sensitive และค่อนข้างจะตรงกันข้ามกันในสังคมไทย คำว่าตรงกันข้ามกันหมายความว่า สื่อส่วนใหญ่ของประเทศไทยเท่าที่สังเกตจะไม่ค่อยเหมาะกับเด็กเท่าไหร่ (เราจะไม่พูดถึงพัฒนาการทางด้านกล้ามเนื้อ หรือ Social interaction เพราะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้ปกครองจะต้องจัดสรรเวลาให้ถูกต้องสำหรับเด็กในการรับสื่อ) ส่วนใหญ่รายการต่างๆในประเทศไทยจะเน้นตอบ demand ของสังคมเป็นหลัก ซึ่งถ้าตามในแง่ทฤษฎีของฟรอยด์แล้ว เราก็คงจะเดาได้ไม่ยากว่าส่วนใหญ่จะเน้นในเรื่องความก้าวร้าว รุนแรง และเรื่องเพศ

       ในเมื่อสื่อส่วนใหญ่ผลิตรายการที่ตอบสนองต่อสัญชาตญาณคนออกมาเช่นนี้แล้ว ก็คงจะเป็นเรื่องลำบากในการที่จะพัฒนาเด็กให้เหมาะสมกับช่วงวัย พัฒนาเด็กให้เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพของสังคม โดยเฉพาะประเด็นสำคัญในปัจจุบันคือประเด็นเรื่อง “จริยธรรม”

       จริยธรรมมีความสำคัญมากในเด็ก เพราะในวัยเด็กนั้นเปรียบเสมือนเป็นวัยแห่งการเริ่มต้นของชีวิต ชีวิตต่อๆไปในอนาคตส่วนใหญ่ก็ขึ้นอยู่กับวัยเด็ก การที่จะผลิตสื่อเพื่อส่งผลด้านพัฒนาการทางจริยธรรมของเด็กนั้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง คำถามคือ เราจะทำรายการต่างๆให้ส่งผลในแง่บวกต่อพฤติกรรมด้านจริยธรรมของเด็ก

       สิ่งที่ผมคิดก็คือเราควรที่จะใส่เป็นลักษณะสอดแทรกเข้าไปโดยไม่รู้ตัว เหมือนที่ปัจจุบันโรงเรียนที่เน้นด้านจริยธรรมก็มีการบูรณาการคุณธรรมใส่เข้าไปในวิชาต่างๆที่เด็กเรียน เพราะการที่เราสอดแทรกเข้าไปในสิ่งที่เราต้องการสื่อออกไปที่เด็กนั้น เป็นการทำให้เด็กสามารถมีต้นแบบในการเลียนแบบได้อย่างถูกต้อง และไม่ส่งผลให้รายการเป็นรายการที่น่าเบื่อ(ส่งผลในแง่รายรับจากธุรกิจโฆษณา)

       วัยเด็กนั้นเป็นวัยแห่งจินตนาการ เป็นวัยแห่งรากฐานของชีวิต ดังนั้นเราจึงควรใส่ใจในเรื่องสิ่งที่เด็กจะได้รับในแต่ละวัน ซึ่งปัจจุบันเรื่องสื่อก็เป็นเรื่องที่มีอิทธิพลต่อตัวเด็กมาก เราจึงควรที่จะสนใจในจุดนี้ให้มากๆ เพื่ออนาคตที่สมควรจะเกิดในประเทศไทย และในโลกต่อไป

ณิชชา อิงสุธรรม

อุสา บุญเพ็ญ

จิรารัตน์ สุพร

วิรงรอง พานิช

ปิยะดา พิชิตกุศลาชัย

พัทริก เทพอารักษ์

คำสำคัญ (Tags): #human development
หมายเลขบันทึก: 305244เขียนเมื่อ 12 ตุลาคม 2009 14:29 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน 2012 03:03 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

ของเล่นสำหรับเด็กอายุ 3-5 ขวบ มีอะไรบ้างคะ....

เรียนคุณหมอลูกชายผมอายุ3ปีมีพฤติกรรมทีไม่เหมาะสมใช้ว่าจาไม่สุภาพพูดกับคุณพ่อคุณแม่ด้วยคำไม่ออนหวานควรแก้ไขอย่างไรคับและของเล่นที่เหมาะสมกับวัย3ปีมีอะไรบ้างครับ

ข้อความที่ให้มาน้ันได้ให้ความรู้ที่มีประโยขน์ดีมาก

 

อยากทราบว่าเด็กวัย 3 ปี 3 เดือน  เขาไม่สามารถพูดเป็นประโยคได้เหมือนเด็กคนอื่น  ๆ แต่เขาเข้าใจในสิ่งที่เราจะให้เขาทำค่ะ  เด็กคนนี้มีความผิดปกติไหมค่ะ

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท