ความคิดขณะเข้าสู่ห้วงอารมณ์แห่งสุนทรียะ
มองดูดอกไม้ที่ได้น้ำฝนหล่นลงมา ทำให้ดินชุ่มช่ำในสายฝนอันพรั่งพรู ดุจจะเตือนให้คิดถึง ความงดงามอันสุนทรียะของงานศิลป์อันวิจิตร ... นำความชุ่มชื่นประทับใจไม่ต่างกับหยาดฝนที่ชโลมใจลงไปให้ดอกไม้ผลิดอกเบ่งบานสะพรั่ง...
เลยมานั่งคิดว่า ความงดงามด้วยสุนทรียะอันน่าใหลหลง แท้จริงเพราะจิตเข้าสู่ห้วงอารมณ์แห่งสุนทรียะอันดูดดื่มซึมซาบกับผลงานอันวิิิจิตรประณีต ที่ยังความประทับใจให้แก่เรามิรู้ลืม...
ครั้งหวนคิดมาใหม่เหล่านี้ฤาเป็นดั่งภาพมายาที่หลอกตนให้ตกอยู่ในภวังค์ ในวังวนแห่งความสุขทางจิตใจ... นั้นมิใช่สัญญายึดติดเป็นบ่อเกิดแห่งอัตตาที่เพิ่มเติมหรือไรเล่า
หากพินิจลงดูอีกครั้งหนึ่งแล้วพบว่า แท้จริง จิตเราเองสิเห็นเป็นอัตตา... แท้จริงศิลปะที่ศิลปินบรรจงถ่ายทอดนั้นคือจิตของเรานี่เอง...เส้นสีสันทุกอณู ดุจสุนทรียะสัมผัสภายในจิตใจของเรา ที่มีรัก โลภ โกรธ หลง ดั่งสีสันที่แต้มให้ภาพดูมีชีวิตชีวายามพบเห็น มีสว่าง มีมืดมัวก็เหมือนจิตใจเราที่มีทั้งความสุขและความทุกข์
ศิลปะจึงยืนยาว อยู่ได้หลายร้อยปี นั่นคือ จิตวิญญาณที่ฝังอยู่งานศิลป์ยังคงอยู่ แม้กาลเวลาจะผ่านไปนาน ชีวิตและวัยจะร่วงโรยชราก็ตาม แต่ความงามในจิตใจที่ถูกถ่ายทอดในงานศิลป์ัยังคงอยู่ตราบนานเท่านาน....
หากพินิจดูแล้วจึงเข้าใจถึงความงดงามในศิลปะ อันแสดงถึงการไม่ยึดติดในอัตตา และความมีตัวตนทั้งหลาย....
เพราะศิลปะอยู่ที่ใจ ถ่ายทอดด้วย "ใจถึงใจ" เพื่อเปิดใจให้ผู้ชมได้ดื่มด่ำซึบซาบในรสสัมผัสกับสุนทรียะของศิลปะนั้นครับ
27/09/52
เอาความงามมาฝากเช่นกันค่ะ...
คงเอาศิลปมาผูกพันอธิบายกับเรื่องทางศาสนาในลักษณะอัตตาและสัญญาคงไม่ได้นะคะ
ศิลปเป็นเรื่องความงดงามทางอารมณ์
นิยามทางศาสนาพุทธเป็นเรื่องของสัจธรรมที่ปราศจากอารมณ์ปรุงแต่งคะ
มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้คะ
ขอบคุณคุณอ้อยเล็กที่นำภาพสวยๆ มาฝากครับ
ขอบคุณครับ คุณกระดังงา นาวาสินธุ์ที่ให้คำแนะนำครับ