จิตที่โดนกระทบย่อมกระเทือนมาก
เมื่อจิตกระเทือนมากหากแก้ด้วย “ธรรมะ” จิตนั้นจะเข้าร่อง เข้ารอย
แต่เมื่อจิตที่กระเทือนอยู่นั้นถูกแก้ไขด้วย “อธรรม” จิตนั้นจะตกร่อง ตกรอย และพลอยเสียหาย มลายไป
จิตที่โดนผัสสะเข้ามากระทบนั้นเป็นโอกาสแห่งการ “ภาวนา”
จิตของคนเราโดยปกติ “ปีนเกลียว” อยู่เป็นธรรมดา
จิตที่ปีนเกลียดอยู่ ยากนักที่จะคืนกลับเข้าสู่ความเป็น “ธรรมชาติ” ได้
หากวันใดที่มีใครสักคนหนึ่งมาเขย่าให้ “เขยื้อน” จิตนั้นก็มี “โอกาส” ที่จะ “เข้าร่อง” และ “หลุดร่อง”
จิตจะเข้าร่องได้หากเรารู้จักการ “ภาวนา”
เรานั่งสมาธิ เดินจงกลมกันก็เพื่อให้มีฐานแห่งเหตุนี้
สติ สมาธิ อันเหมาะสมแก่ “กรรม แก่ “กาล” ที่เราเรียกว่า “กรรมนีโย” ต้องนำมาใช้ในกาลนี้
ฐานแห่งสติที่ตั้งมั่นจากการฝึก “สมาธิ” ต้องน้อมนำ “ธรรมะ” ที่เคยได้ยิน ได้ฟัง อันล้วนถูก “ฝัง” อยู่ใน “ดวงจิต”
ดึงออกมา ค้นออกมา ฉุดออกมา ใช้ให้ถูก ใช้ให้ทัน
ธรรมะแห่งดวงจิต อันเป็นพื้นฐาน “กรรมดี” แห่งชีวิต
ความเมตตาซึ่งกันและกัน การให้อภัยต่อสิ่งใด ๆ ที่มากระทบเมื่อเหตุ เป็นปัจจัยแรกที่ต้องเรียกมาให้ทัน
ปัญญานั้นย่อมเกิดขึ้นจิตที่เป็น “สมาธิ”
เรียกปัญญาขึ้นมาใช้ให้ทัน
รู้จักใช้โอกาสที่โดนสิ่งต่าง ๆ ที่มากระทบนั้น “ลับปัญญา” ให้แวววาว
ปัญญาที่แวววาวย่อมสุกสกาวส่องแสงนำทาง “ความถูกต้อง”
อารมณ์ที่ขุ่นมัวย่อมนำชีวิตเดินสู่ความมืดสลัวแห่ง “อเวจี”
เมื่อมีสิ่งใดมากระทบขอให้น้อมนบจิตลงสู่ “พระรัตนตรัย” ขอให้มีคุณทั้งสามไว้เป็นที่พึ่ง
สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสังฆเจ้าเป็นสรณะ (ที่พึ่ง) อันประเสริฐของข้าพเจ้า
พระรัตนตรัยย่อมนำพาจิตใจของคนเราไว้ในร่อง ในรอย
โอกาสดีคือโอกาสที่โดนกระทบแล้ว “ตบจิต” ให้เข้าร่องและเข้ารอย
โอกาสดี คือ โอกาสที่มีคนมากระทบ
คบเพื่อตบจิต เชิดชูเขาไว้เป็น “มิตร” เพื่อตบใจ
โอกาสดี ๆ อย่างนี้ “ภาวนา” ไว้
ฝึกสมอง ลับปัญญาไว้ให้ “แวววาว…”
จิตที่โดนผัสสะเข้ามากระทบนั้นเป็นโอกาสแห่งการ “ภาวนา”
เรียกปัญญาขึ้นมาใช้ให้ทัน
รู้จักใช้โอกาสที่โดนสิ่งต่าง ๆ ที่มากระทบนั้น “ลับปัญญา” ให้แวววาว
สาธุเจ้าค่ะ