การศึกษาจากภายในหรือการศึกษาจากภายในจิตใจของเราเองนั้น จะช่วยเราป้องกันความคิดที่เป็นไปในทางที่ไม่ดีได้หลายอย่าง เราสามารถใช้การมองจากภายในศึกษาตนเองเป็นหลัก และก็สามารถใช้มองศึกษาผู้อื่นจากภายในได้เช่นเดียวกัน โดยปรกติคนเราชอบที่จะมองจากภายนอก ไม่ใช่ภายนอกตัวเอง แต่เป็นมองจากภายนอกของผู้อื่นแล้วนำมาตัดสิน ซึ่งจะออกไปในเชิงดูถูก เหยียดหยาม วิพากษ์วิจารณ์ ความไม่ดีของคนอื่น ตัดสินสภาพ ฐานะ ความเป็นอยู่ ตัดสินนิสัยของบุคคลอื่น ตัดสินการศึกษา ตัดสินวงศ์ตระกูล จะเห็นได้ว่ามันไปกันใหญ่ ซึ่งสิ่งนี้ไม่ใช่การสังเกตวิเคราะห์อย่างสร้างสรรค์ ที่ข้าพเจ้าคิดได้นี้ ไม่ใช่
ว่าข้าพเจ้าไม่เป็น บางที่ก็เผลอไป แต่ตอนนี้จะระวังให้มาก เพราะเห็นข้อเสียที่เกิดขึ้นกับบุคคลผู้คิด ผู้พูด และผู้กระทำ ในบทความนี้โดยรวมข้าพเจ้าจะชี้ให้เห็นถึง ๑. ผลเสียที่เกิดขึ้นจากการตัดสินบุคคลจากภายนอก ๒. การละเลิกการตัดสินบุคคลจากภายนอกโดยการศึกษาภายในตนเองและการคิดเพื่อศึกษาภายในของผู้อื่น ๓. วิธีการคิดอย่างมีสติสำหรับผู้ที่ถูกวิจารณ์ ต่อว่า หรือตักเตือน
เมื่อเรามีนิสัยที่ชอบที่จะตัดสินผู้อื่นจากภายนอกนั้นจะมีข้อเสียเกิดขึ้นกับเราโดยที่เราไม่รู้ตัวดังนี้
• จิตใจที่เหนื่อยหน่าย เมื่อเราชอบตัดสินบุคคลอื่นจากภายนอกอยู่ร่ำไป จะทำให้จิตใจเหนื่อยหน่ายและไม่บริสุทธิ์ มีความทุกข์เข้าปกคลุมจิตใจและความคิด
• เกิดนิสัยไม่ดีติดตัว เมื่อชอบตัดสินผู้อื่นจากภายนอกแล้ว ทุกครั้งที่กระทำ ความคิดนั้นจะเริ่มก่อตัวเป็นนิสัยจนติดตัว ในเรื่องที่ชอบตัดสิน ดูถูกดูหมิ่นผู้อื่น ดูถูกอาชีพผู้อื่น ในทางธรรมนั้นเรียกว่า กิเลส เริ่มก่อตั้งเป็นอนุสัย[1] มันจะสะสมขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่เห็นอะไรดีไปกว่าตนเองเลย จนบางครั้งถึงกลับพลั้งเผลอว่ากล่าวดูถูกคนอื่นไปก็มีมาก จุดนี้ต่างกับการวิเคราะห์สังเกตด้วยสติอย่างสร้างสรรค์
• ไม่รู้ข้อเท็จจริง ทุกสิ่งที่เราตัดสินจากการมองดูการกระทำและจากการฟังของบุคคลใดบุคคลหนึ่งบ่อย ๆ เช่นคนรอบข้างหรือคนอื่น โดยมิได้รู้ข้อเท็จจริงหรือสืบค้นข้อมูลมากพอ จะทำให้ความคิดที่เราคิดบ่อย ๆ หรือสมมติฐานที่เราตั้งให้กับคนผู้นั้นเริ่มเป็นจริงขึ้นมาในจิตใจเรา แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น สิ่งนี้ทำให้การกระทำของเราก็จะออกไปตามความคิดและสมมติฐานที่เราตั้งสำหรับบุคคลคนนั้น
• นิสัยชอบจับผิด เมื่อเราได้ทำการตัดสินผู้อื่นจากภายนอกโดยมิได้สืบถามถึงที่มาที่ไปของการกระทำของบุคคลผู้นั้น และเราได้พูดหรือต่อว่าไปแล้ว คำพูดของเราจะทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าเราคอยจับผิดและคอยดูพฤติกรรมของเขาอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้เกิดความอึดอัดแก่ผู้ฟังถ้าสิ่งที่พูดนั้นผิดไปจากที่ผู้ฟังเจตนาเนื่องด้วยเหตุและผลบางอย่างที่ผู้พูดได้มองข้ามไป
ทำอย่างไรจึงจะแก้พฤติกรรมการตัดสินคนจากภายนอกลงได้โดยที่ผู้ตัดสินพูดหรือไม่พูดในสิ่งที่ตัดสินนั้นออกมาหรือไม่ก็ตาม เพื่อที่เขาจะไม่เหนื่อยหน่ายจิตใจ ไม่มีนิสัยที่ไม่ดีติดตัวไป และรับทราบข้อเท็จจริง จริง ๆ ว่าบุคคลเป็นคนอย่างไร ทำการกระทำนั้นไปเพื่ออะไร และทำในสถานการณ์เดียวกันสำหรับผู้ที่ถูกตัดสินหรือผู้ที่ได้ยินคำตัดสินนั้น ควรจะทำอย่างไรที่จะป้องกันจิตใจตนเองไม่ให้เศร้าหมองได้ เราสามารถพึงระวังได้ทั้ง ๒ ทางโดยใช้ ๑. การศึกษาจากภายในของตนเอง และ ๒. การศึกษาจากภายในของผู้อื่นตามลำดับ
๑) การศึกษาจากภายในของตนเอง ใช้ในสำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมชอบตัดสินคนจากภายนอก อันนี้ลึกซึ่งคือการยอมรับว่าตนเองนั้นมีนิสัยอย่างไรก่อน คือชอบตัดสินบุคคลหรือสิ่งของจากภายนอก เมื่อยอมรับแล้วก็จะเป็นการง่ายที่จะพัฒนาตนเองให้ละเลิกนิสัยนี้เสีย ในทางปฏิบัตินั้นอาจเป็นการยากที่จะเลิกนิสัยนี้โดยเฉียบพลัน เพราะว่ามันสะสมเข้าไปแล้วมากมายโดยที่ไม่รู้สึกตัว ดังนั้นเราต้องใช้การฝึกสติเข้าช่วย โดยการนั่งสมาธิ หรือการฝึกอานาปานสติให้รู้ได้เท่าทันนิสัยตนเอง ให้มีสติกำกับการทำงานของความคิด ก่อนที่จะใช้ความคิดตัดสินอะไรบางอย่าง สติจะคอยเตือนเราว่า “เฮ้ย ! เราเผลอตัดสินเขาไปแล้วนี่หว่า” “แน่ใจหรือว่าถูก” “แน่ใจหรือว่าเขาเป็นอย่างนั้น ๆ จริง ๆ” เมื่อเรารู้ทันภายหลังไป เราจะเริ่มกำจัดนิสัยการตัดสินออกไปเสียได้ หรือจะบรรเทานิสัยไม่ดีนั้นลง แล้วในที่สุดเราก็จะเริ่มไตร่ตรองอย่างรอบคอบขึ้น มีเหตุผลมากขึ้น และระวังมากขึ้น ซึ่งจะเป็นไปในทางที่จะส่งเสริม บุคคลผู้นั้นให้มีนิสัยที่ดีขึ้น การมองด้วยความว่างก็คงจะเป็นวิธีการหนึ่งที่สามารถใช้ได้เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง มองโดยสังเกตเพื่อจะรับเอารายละเอียดให้ได้มากที่สุด ก่อนที่จะตัดสินอะไรลงไป ตัวอย่างเช่น
• เมื่อเราเห็นคนแต่งตัวหรูหรามีราคา เมื่อเราเห็นโดยส่วนใหญ่ก็จะเริ่มคิดว่า “คน ๆ นี้ค่อนข้างมีฐานะเป็นคนรวยบ้าง” “คน ๆ นี้ติดวัตถุนิยมบ้าง” เอาแค่นี้ลองถามตัวเราดูว่า ความคิดเช่นนี้มันเกิดประโยชน์กับเราบ้างหรือไม่ มันเป็นความคิดที่ทำให้เป็นทุกข์ เกิดการเปรียบเทียบ มองด้วยความว่าง ด้วยจิตที่ไม่คิดนึกหรือตีความใด ๆ จะยังประโยชน์ให้กับตนเองมากกว่า เพราะเมื่อเราเริ่มที่จะคิดเราจะพลาดรายละเอียดบางอย่างของการสังเกตนั้น สิ่งที่เป็นความจริงมันใช่อย่างที่เราคิดหรือไม่ เหนื่อยเปล่า ๆ ที่จะคิด หาเวลาให้จิตใจได้พักผ่อนจะดีกว่า
๒. การศึกษาจากภายในของผู้อื่น สิ่งนี้ก็มีความละเอียดลึกซึ้งเช่นกัน ใช้ได้กับผู้ที่ได้รับฟังคำตัดสินเหล่านั้นจากผู้อื่น ซึ่งเราสามารถใช้ความมีสติเป็นเกราะป้องกัน และความคิดวิเคราะห์ที่ถูกต้อง เฉพาะตนนี้ได้ โดยจะไม่สร้างนิสัยที่ไม่ดีให้เกิดขึ้นกับตัวเรา และยังสร้างนิสัยที่ดี เห็นอกเห็นใจผู้อื่น เพิ่มมากขึ้นให้เราอีกด้วย ดังนั้นการคิดของเราก็จะยังผลให้ เกิดการกระทำหรือคำพูดที่พยายามจะเสาะแสวงหาปัญหาของเขาเหล่านั้นอันทำให้เกิดการกระทำของเขาเหล่านั้นขึ้น เราสามารถดูได้จากเหตุการณ์ตัวอย่างดังนี้
• เมื่อมีคนว่ากระทบกระทั่งเราหรือโต้เถียง เมื่อเราโดนเข้าส่วนใหญ่จะเจ็บช้ำ ซ้ำร้ายคิดจะล้างแค้น ด้วยคำพูดต่าง ๆ นา นา ในภายหลัง เพราะตอนนั้นคิดไม่ทันที่จะตอบโต้ ! ดูให้ดีว่าการคิดล้างแค้นนี้ทำให้จิตใจเหนื่อยหน่ายแค่ไหน ซึ่งในคราวหน้าคนที่ว่าเราอาจจะพูดว่าเราแบบใหม่ก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเรายังคิดตัดสินบุคคลผู้นี้ไปแล้วว่า “เขาเป็นคนไม่ดี” “เขาไม่เห็นใจเราเลย” “เขาไม่เข้าใจเราเลย” สิ่งที่เราควรตั้งรับก็คือ ต้องมีสติ ที่จะยับยั้งและรู้ตัวก่อนว่า “ เอ้า โดนเข้าแล้ว” คราวนี้ลองใช้ปัญญาคิดวิเคราะห์จากภายในของเขาดูว่า “อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้เขาพูดเช่นนั้นกับเรา” “มันเป็นนิสัยของเขาหรือเปล่า” หรือว่า “เขาก็โดนว่าหรือถูกพูดตอกย้ำเป็นประจำแบบนั้น เช่นกัน จากบุคคลอื่น เขาจึงเผลอไม่มีสติในการยับยั้งคำพูดไม่ดีของเขา” ถึงตอนนี้ความคิดของเราจะเปลี่ยนไปในทันที และสงสารเขาผู้นั้นที่กระทำสิ่งนั้นออกมา เมื่อเราคิดอย่างนี้เราจะเริ่มที่จะคิดอย่างเป็นระบบระเบียบถึงเหตุผลและการกระทำของเขาอย่างรอบคอบ ไม่มีอารมณ์ และเห็นถึงว่าอะไรคือ ปัญหาจริง ๆ ของการโต้เถียงกระทบกระทั่งนั้น
ผลเสียที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของผู้ที่ชอบตัดสินบุคคลจากภายนอกคือ นิสัยชอบจับผิด อันนี้อันตราย และสร้างปัญหา ความปั่นป่วน ให้กับบุคคลรอบข้าง ให้กับงานเป็นอย่างมาก เมื่อชอบตัดสินบุคคลจากภายนอกแล้วและเมื่อพูดออกไปโดยไม่ไตร่ตรองหรือสอบถามบุคคลนั้นดี ๆ จนกลายเป็นการกระทบกระทั่งทางจิตใจ นิสัยนี้มีความพิเศษคือ จะถ่ายทอดจากบุคคลผู้ชอบจับผิดซึ่งเป็นผู้พูดไปสู่ผู้ฟังซึ่งเป็นผู้ถูกจับผิดได้อย่างไม่รู้ตัวถ้าไม่มีสติ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ติดต่อได้ เป็นโรคติดต่อ จนผู้ฟังจะมีนิสัยชอบจับผิดผู้อื่นไปด้วย
คราวนี้ผู้ถูกจับผิดควรจะรับมืออย่างมีสติได้อย่างไร ในกรณีที่มีผู้อื่นวิจารณ์ ต่อว่า หรือเตือนเราไม่ว่าจะทางใด ที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกว่าถูกจับผิด ซึ่งในความเป็นจริงนั้นอาจจะไม่เป็นเช่นนั้น แต่ถึงกระนั้นในฐานะผู้ฟังเราควรจะกระทำการทางความคิด หรือมีสติและปัญญาในการคิด ดังนี้คือ
๑. ฟังและไตร่ตรอง โดยไม่ต้องรีบพูดออกไป
๒. คิดดูว่าสิ่งที่เขาพูดนั้น มีความถูกต้องหรือไม่ เป็นเรื่องที่มีความจำเป็นหรือไม่ ที่ต้องอธิบายถึงความถูกต้องให้บุคคลนั้นฟัง อันนี้เราต้องดูที่ประเภทของบุคคลที่พูดด้วย ดูที่นิสัยและองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างของผู้พูด และสถานการณ์ ในกรณีที่มีความจำเป็นที่จะต้องอธิบายถึงสิ่งที่ถูกต้องเพื่อจะไม่ปล่อยความเข้าใจผิดนั้นเป็นอยู่ต่อไป ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่น ดังนั้นผู้นั้นต้องแสดงถึงหลักฐานและความชัดเจนของความถูกต้องให้เด่นชัด
๓. อย่ากลัว ผู้ฟังต้องไม่เกิดความกลัวกับคำพูดนั้นหรือคำที่บุคคลนั้นใช้ ว่าเรา พูดกับเรา หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ อย่าเกิดความระแวง ว่าเขาจะพูดแบบนั้นกับเราอีก ถ้าเรากระทำการแบบนั้นหรือปฏิบัติแบบนั้นอีก ถ้าเราคิดดีแล้วว่าการปฏิบัติของเรานี้มันเหมาะสมกับเวลา สถานที่ โอกาส และไม่เข้าข้างตนเอง ก็ให้เรามั่นใจว่าการกระทำ การปฏิบัติของเรานั้น ถูกต้องและได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว
๔. อย่านำนิสัยจับผิดมาใช้โดยคอยโอกาสที่จะใช้กับบุคคลนั้น หรือกับบุคคลอื่น เพราะเมื่อเราเกิดความระแวงหรือเราเกิดเจ็บใจในคำพูดของเขาแล้ว สิ่งนี้จะเริ่มก่อตัวในจิตใจเรา เราเริ่มที่จะติดเชื้อนั้น ทำให้เรากลายเป็นแบบเขาไปได้คือ คอยจับผิดคนอื่น หรือคอยหาโอกาสว่าคนอื่นเมื่อมีช่องทาง ด้วยสาเหตุนี้ที่ทำให้นิสัยจับผิดนั้นถ่ายทอดสู่ผู้ฟังได้หรือติดต่อสู่ผู้ฟังที่ไม่มีสติได้ เช่นถ้าพ่อแม่ชอบจับผิด หรือวิจารณ์ผู้อื่นในทางที่ไม่สร้างสรรค์บ่อย ๆ ลูกก็จะมี่นิสัยอย่างนั้นด้วยเช่นกัน หรือที่ทำงานที่มีการนินทา การจับผิดกัน การโยนความผิดกัน ไม่ว่าจะเป็นระหว่างคนในสำนักงานเดียวกัน หรือระหว่างผู้รับจ้างกับลูกค้า นิสัยนี้ก็จะติดต่อกับคนที่ไม่มีสติ และกับคนที่เกี่ยวข้องกับการได้ยินได้ฟังเรื่องจับผิดหรือโยนความผิดนั้น ๆ บ่อย ๆ
๕.นำการศึกษาจากภายในของผู้อื่น ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นมาใช้ในการวิเคราะห์ สติและปัญญาของเรานี้จะช่วยเป็นเกราะป้องกันตัวเราจากการติดเชื้อนิสัยชอบจับผิดและทำงานวิเคราะห์ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นการใช้จิตใจไปในทางที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและต่อผู้อื่น
สิ่งที่กล่าวมาในข้อ ๓ และ ๔ ถ้าเราเผลอรู้สึกและคิดไปบ่อย ๆ เข้า มันจะกลายเป็นสิ่งที่สะสม สะสมนิสัยที่ไม่ดี โดยเราไม่รู้สึกตัว เผลอไปหรือเป็นอนุสัย และยิ่งไปกว่านั้น เราก็จะได้รับผลเสียจากการเป็นผู้ที่ชอบตัดสินผู้อื่นจากภายนอกคือ มีจิตใจที่เหนื่อยหน่าย, เกิดนิสัยไม่ดีสะสม, ไม่รู้ข้อเท็จจริง และนิสัยชอบจัดผิด ถ้าดูให้ดีจะเห็นว่ามันเป็นวงจรหรือวัฏจักรที่มืดมนอย่างเห็นได้ชัด และแพร่กระจายออกไป ระบาดไป จากบุคคลหนึ่งไปสู่อีกบุคคลหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว เพราะบุคคลเหล่านั้นขาดการอบรมทางจิตใจ ทำให้เผลอ และไม่เห็นว่าวงจรนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งในชีวิตเรา ในการปฏิบัติเพื่อให้หลุดจากวงจรนี้ล้วนต้องใช้สติรอบรู้ต่อตนเองให้ทันเวลาทั้งสิ้น
รวมความว่า ในฐานะที่เราเป็นผู้พูด สติและปัญญาจะช่วยเราจากการเผลอคิดตัดสินผู้อื่นหรือจับผิดผู้อื่น และในฐานะผู้ฟัง สติและปัญญาจะช่วยให้เราตั้งรับ รู้จักคิด รับรู้อารมณ์ของตนเองอย่างถูกต้อง สติจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเราที่จะรู้สึกตัวก่อนที่จะเผลอคิด เผลอพูด ไปในทางตัดสินแบบผิด ๆ ซึ่งไม่ได้ประโยชน์ สร้างความขัดแย้ง แล้วแถมสร้างสิ่งไม่ดีให้เกิดขึ้นกับเราอีก เมื่อเรายับยั้งความคิดในการสรุปของเราไว้แบบนี้ เราจะมีการกระทำและพฤติกรรมที่ดีขึ้นกว่าเดิมในการที่จะเข้าหา แก้ปัญหา หรือการกระทำใด ๆ ต่อไป ที่กำลังจะเกี่ยวข้องกับบุคคลเหล่านั้นซึ่งเรารู้จักในที่ทำงาน ในบ้าน หรือไม่รู้จักก็ดี เมื่อเราคิดได้อย่างนี้เราก็จะเบาสบายไม่กระวนกระวาย ไม่ร้อนในจิตของเรา การอบรมจิตของเราให้มีสติด้วย อานาปานสติ จึงเป็นเครื่องมือช่วยยับยั้งสิ่งไม่ดีต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นเพื่อเราจะได้ใช้ปัญญาของเราได้ทันท่วงที
เมื่อท่านอ่านจบลองออกไปเดินข้างนอกบ้าน ไปห้าง หรือไปร้านอาหารหรือมองไปรอบ ๆ แล้วดูว่า เราตัดสินอะไรไปบ้างเท่าไหร่แล้ว ตัดสินใครไปบ้างแล้ว เหนื่อยไหม ถูกต้องหรือไม่ในการตัดสินนั้น ๆ ลองพิจารณาดูให้ดี ๆ ดูว่า
• มีประโยชน์ที่จะคิดหรือไม่
• แน่หรือที่เราตัดสินเขาแบบนั้น
• จริงหรือที่เราคิดแบบนั้น
• มันอาจจะเป็นอีกอย่างหนึ่งได้หรือไม่
ดูว่าจะรับมือกับความคิดที่รวดเร็วในการตัดสินนั้นได้อย่างไรกัน มันเป็นเสี้ยววินาทีน่ะ !