ประสบการณ์จากการอ่านหนังสือคู่มือพัฒนาการเรียนรู้ของสมองตามหลักพหุปัญญา เชื่อเถอะ!ว่าหนูฉลาดกว่าที่คิด เขียนโดย :Thomas Armstrong PH.D. แปลโดย: พีรณา ริกุลสุรกาน หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ดิฉันได้รับเป็นของขวัญวันเกิด หนังสือเล่มนี้หนา เหมือนกันแต่จะสรุปใจความสั้นให้อ่านง่ายๆนะค่ะ ซึ่งจะช่วยให้ครูทุกคนสามารถ สำรวจแววฉลาดของเด็กๆและรู้จักปัญญาทั้ง 8 ด้าน 1.Word Smart ปัญญาด้านภาษา เราสามารถวัดแววเด็กที่มีความสามารถทางด้านภาษาได้โดยสร้างแบบทดสอบให้กับเด็กนักเรียนของตนเองได้ดังนี้ แบบทดสอบ เด็กๆ ลองถามตัวเองซิว่า มีคุณสมบัติต่อไปนี้หรือเปล่า - ชอบอ่านหนังสือ - ชอบเล่าเรื่อง - ชอบเขียนเรื่องหรือแต่งกลอน - ชอบเรียนภาษาต่างประเทศ - รู้คำศัพท์มากมาย - สะกดคำเก่ง - ชอบเขียนจดหมายหรืออีเมล - ชอบพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น - จำชื่อหรือข้อเท็จจริงต่างๆได้แม่นยำ - ชอบเล่นเกมคำศัพท์ - ชอบค้นคว้าและอ่านเรื่องที่ตนเองสนใจ - ชอบเล่นคำ เช่น คำผวน คำแผลง หรือคำคล้องจอง ถ้าเด็กๆมีข้อใดข้อหนึ่งล่ะก็ ถือว่าเด็กๆเป็นผู้ที่ปัญญาด้านภาษา แล้วล่ะ ปัญญาด้านภาษาคืออะไร หากเด็กๆ ชอบภาษา ไม่ว่าจะเป็นการอ่าน เขียน หรือพูด สามารถจับวิธีการออกเสียง จับความหมาย และวิธีการใช้ภาษาได้ดี ชอบเล่นคำหรือคิดค้นเกมเกี่ยวกับคำศัพท์ขึ้นเอง นั่นแสดงว่าเด็กๆมีปัญญาด้านภาษา ความสามารถพิเศษนี้ สามารถแสดงออกได้ด้วยการเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอน สะกดคำได้คล่อง เป็นหนอนหนังสือตัวยง เป็นนักเล่านิทานฝีปากเอก เป็นนักโต้วาทีฝีปากกล้า หรือเป็นนักเรียนภาษาคนเก่ง ปัญญาด้านภาษามีประโยชน์อย่างไร - ช่วยให้เด็กสามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้ด้วยการพูดและการเขียน - ช่วยให้เด็กสามารถเรียนหนังสือได้ดี เพราะกิจกรรมที่โรงเรียนล้วนต้องใช้ ปัญญาด้านภาษาทั้งสิ้น เช่น อ่าน เขียน สะกดคำ ท่องจำบทเรียน รายงานหน้าชั้น และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นภายในชั้นเรียน - ช่วยให้เด็กๆสามารถท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆพบปะผู้คนและค้นพบสิ่งแปลกใหม่ ได้ด้วยการอ่านหนังสือ ภาษาพูด ผู้มีปัญญาด้านภาษาคือผู้ที่มีทักษะการสื่อสารที่ดี เด็กทุกคนต้องใช้ทักษะ ทางภาษาทุกวัน แม้เด็กบางคนจะอ่านหรือเขียนหนังสือไม่คล่อง ก็ยังต้องใช้ภาษาพูด รู้หรือไม่ว่า แม้ว่าเด็กๆ อาจพูดตะกุกตะกักแต่ยังสามารถเป็นนักพูด นักเล่านิทาน หรือนักแสดงที่ดีได้ เช่นคนดังอย่าง วินส์ตัน เชอร์ชิลล์ (Winston Churchill) ผู้นำของประเทศอังกฤษ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ถ้าเด็กกลัวการแสดงความคิดเห็นต่อหน้าคนหมู่มากล่ะก็….. - ฟังว่าคนอื่นพูดอะไรบ้าง - หาโอกาสฝึกพูดบ่อยๆพยายามฝึกพูดต่อหน้าเพื่อนทุกๆวัน เด็กๆไม่ต้องทำได้ภายในครั้งเดียวหรอก - ไม่ต้องสนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรขณะที่เด็กๆกำลังพูด ถ้าเด็กๆ กลัวการสอบปากเปล่า หรือการออกไปพูดหน้าชั้น ล่ะก็.......... - หายใจเข้าลึกๆ - พูดให้ช้าและชัด - ซ้อมพูดต่อหน้าเพื่อนสนิทหรือคุณพ่อคุณแม่ - ขีดเส้นเน้นข้อความสำคัญในโพย หรือฝึกฝนจนไม่ต้องดูโพยก็ได้ ภาษาเขียน ลองคิดดูสิค่ะว่าการอ่านเป็นสิ่งมหัศจรรย์แค่ไหน ตัวหนังสือ ก็เป็นเพียงน้ำ หมึกที่หยดลงบนกระดาษเท่านั้น แต่ทำไมเราถึงเข้าใจหยดหมึกเหล่านี้ได้ อย่างคำว่า “แมว” เป็นเพียงน้ำหมึก 3 หยดที่มีรูปร่างต่างกัน แต่เด็กๆ กลับอ่านออกแถมยังอาจทำให้นึกถึงแมว ที่บ้านหรือแมวตัวอื่นๆที่เคยเห็นได้ด้วย ความสามารถในการอ่านเป็นประตูเปิดสู่โลกแห่งการเรียนรู้และจินตนาการ ไม่ว่าเด็กๆ จะนอนอยู่บนโซฟา หรือนั่งอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ เด็กๆก็สามารถเดินทางเข้า สู่โลกอียิปต์โบราณ ขี่จรวดออกไปสำรวจอวกาศ หนังสือที่เด็กชอบอ่านที่สุด คงจะเป็นของ เจ เคโรลลิ่ง โรอัล ดาห์ล(หรือนักเขียนไทยอย่าง ปราบดา หยุ่น ประภัสสร เสวิกุล) การอ่านแบบเรียนที่ครูแจกให้ หรืออ่านหนังสือนอกเวลา สนุกบ้าง ไม่สนุกบ้างนั้น เด็กจะรีบอ่านให้จบเร็วๆเพื่อให้ได้ข้อมูล ซึ่งเราเรียกว่า การอ่านจับใจความนั่นเอง การอ่านสำรวจ(Inspectional Reading) เป็นการอ่านเพื่อดึงคำสำคัญๆหรือประโยคใจความของเรื่อง (ซึ่งส่วนมากจะเป็นประโยคแรกของย่อหน้า) รู้หรือไม่ว่า การอ่านเพื่อความเพลิดเพลินหรือการอ่านเล่นนั้น ในภาษาอังกฤษใช้ คำว่า “ Ludic reading ” ludic อ่านว่า ลู-ดิก มาจากคำว่า ludere ในภาษาลาติน แปลว่า เล่น สรุปแล้วถ้าเราต้องการพัฒนาเด็กทางด้านการอ่านนั้นควรให้เด็กเล่านิทานและเลียนเสียงของตัวละครในนิทาน และเล่นบทบาทตามจินตนาการของเด็กๆ การใช้ถ้อยคำในการเขียน การสร้างจินตนาการในการเขียน 1.ให้เด็กเขียนอะไรก็ได้ติดต่อกันซัก 5 นาที (โดยไม่ต้องกังวลถึงหลักไวยากรณ์ การสะกดคำ เพราะสามารกลับมาอ่านและแก้ไขได้) 2. วางมือจากงานทุกอย่าง แล้วใช้เวลาคิดสัก 2-3 นาที ไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องใด คิดเรื่องอะไรก็ได้ พอครบ 2-3 นาทีให้หยุดคิด แล้วมาพิจารณาความคิดที่ก้องอยู่ในหัว นึกดูว่าเสียงนั้นมาจากตัวเองหรือมาจากผู้อื่น แล้วเด็กๆ สามารถจินตนาการเห็นภาพ หรือรู้สึกอย่างไรบ้างหรือเปล่า จากนั้นลงมือเขียนเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ยิน ภาพในจินตนาการ หรือความรู้สึกนั้น การเป็นนักเขียนก็เหมือนนักแสดงที่ต้องการความคิดจากคนรอบข้าง การเป็นผู้ฟังที่ดีจะช่วยพัฒนาความคิดและปรับปรุงงานเขียนๆให้ดีขึ้น ความสามารถอย่างอื่นที่บ่งบอกถึงปัญญาด้านภาษา แค่เด็กๆสนุกกับถ้อยคำสั้นๆก็ถือว่าเป็นผู้มีปัญญาด้านภาษาแล้ว ถ้าเด็กชอบสะสมคำพูดเก๋ๆ ชอบค้นคว้าหาคำแปลกใหม่ที่ไม่เคยรู้ หรือชอบทำให้ผู้อื่นประทับใจด้วยสำนวนต่างๆ น่าจะลองเล่นเกม “เกมค้นคำ” (Word Archeology) เกมค้นคำ เป็นเกมที่สนุกและเด็กๆ จะได้เล่นสนุก ไปกับเสียงของคำด้วย โดยอาจลองเล่นคำผวน เล่นทายคำหรือเล่นคำพ้องเสียง ลองอ่านกลอนตลกๆออกมาดังๆหรือทำท่าทางประกอบจากเรื่องที่เขียนขึ้นเอง หรือคิดท่าทางที่เป็นรหัสลับของหมู่ขึ้นมา ก็ได้ รู้หรือไม่ว่า นักเขียนนวนิยายแนวสืบสวนชื่อดังอากาธา คริสตี้ (Agatha Christie) ก็มีปัญหาเรื่องการใช้ไวยากรณ์ แต่ปัจจุบันงานเขียนของเธอกว่า 5 ร้อยล้านเล่มแพร่หลายทั่วโลก รู้หรือไม่ว่า คำที่ยาวที่สุดในพจนานุกรมภาษาอังกฤษ คือคำว่าอะไร ในพจนานุกรมเล่มหนึ่งบอกว่า คำนั้น คือ supercalifragilisticexpialidocious เป็นคำศัพท์จากวรรณกรรมเด็กเรื่อง แมรี่ ป๊อปปินส์ เรื่องราวของพี่เลี้ยงเด็ก ที่ลงมาจากสวรรค์ และมีเวทมนตร์ แต่งโดย พี แอล ทราเวอร์ส (P.L.Travers) ส่วนพจนานุกรทางการแพทย์บอกว่า ชื่อโรค pneunomoultramicroscopicsilicovolcanoconiosis เป็นคำที่ยาวที่สุด ชื่อสถานที่ที่ยาวที่สุด คือLlanfairpwllgwyngyllgogerychwyrndrobwllllantysiliogogogoch เป็นชื่อหมู่บ้านในแคว้นเวลส์ ประเทศอังกฤษ พัฒนาปัญญาได้ด้วยวิธีสนุกๆ 1.คิดอะไรได้ รีบจดลงสมุดทันที พกสมุดโน้ตหรือเครื่องบันทึกเสียงเล็กๆไว้ บันทึกความคิดที่ผุดขึ้นระหว่างวัน 2.ให้เด็กอ่านเรื่องที่เด็กๆสนใจ จะเป็นเรื่องอะไรก็มีประโยชน์ทั้งนั้น 3.เขียนบันทึกประจำวัน 4.เข้าห้องสมุด 5.ค้นหาคำศัพท์ใหม่ๆในพจนานุกรม แล้วจดเอาไว้ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แล้วเด็กๆ จะรู้คำศัพท์เพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว 6. กำหนดช่วงเวลาเล่านิทานภายในบ้าน จะเล่านิทานอะไรก็ได้
ไม่มีความเห็น