เมื่อการ(กาล)เปลี่ยนผ่านมาเยือน...สิ่งที่ไม่ยั่งยืนทั้งหลายย่อมเปลี่ยนกลายไปจากสภาวะเดิม...ทั้งด้วยความเสื่อมหรือการดำรงอยู่...และหากยิ่งได้ชื่อว่า "มนุษย์" ด้วยแล้ว...
"ความไม่ยั่งยืน" (ไม่จีรัง,ไม่ยืนยง)...เป็นแรงผลักดันชนิดดีเยี่ยม...ที่สามารถทำให้มนุษย์มุ่งสู่ความทะยานอยาก...ได้อย่างรวดเร็วและทันใจ...ก็เพราะสภาวะการดำรงอยู่ของเจ้าสิ่งนี้ มันไม่คงทนยืนนานนั่นเอง...จึงเป็นแรงผลัก(ดัน)ให้มนุษย์ต้องรีบจ้วงตะครุบตะปบอย่างหิวโหย (ราวกับเสือตะปบเหยื่อ)...ก่อนที่สรรพสิ่งจะดับสลายไปตามกาล
"ความทะยานอยาก"...เนื้อแท้เปรียบเหมือนเพลิงพายุ...ที่พร้อมจะพัดเผาผลาญมนุษย์ผู้ประมาท...มัวเมาในกิเลส ตัณหา...การลดเพลิงพายุแห่งความทะยานอยาก...จึงควรหมั่นทำจิตให้บริสุทธิ์...ไม่ดิ้นรน...ไม่ขวนขวาย...อยากมีอยากเป็นเกินตัวเกินกำลังแห่งตน...เมื่อทำได้เช่นนี้แล้ว...ผู้นั้นจึงถือได้ว่าเป็นผู้ที่อยู่ในความสงบอย่างแท้จริง
อ่านบันทึกแล้วเป็นข้อคิดและเตือนสติดี ขอบคุณที่เสนอ
สวัสดีค่ะ...คุณ "เหรียญชัย"
ขอบคุณเช่นกันค่ะ...ที่แวะมาทักทาย
บันทึกเพื่อเตือนสติตน...ไม่ให้เผลอประมาท...หลงลืมตนมุ่งเข้าหาความทะยานอยาก
-------------
ขอบคุณมากค่ะ
เพราะมนุษย์ไม่รู้จักควบคุมความอยาก
นานเข้าความอยากก็บงการมนุษย์ได้อย่างเบ็ดเสร็จ
สาธุสำหรับบันทึกเตือนสติขอรับอาจารย์..
สวัสดีครับ
เป็นสัจธรรม...
ธรรมชาติ....
ขอบคุณครับ
นมัสการค่ะ...หลวงพี่
อ้าว!!เดินสวนทางกัน...เห็นหลังไว ๆ ค่ะ
เพราะเพิ่งออกมาจากบล๊อกหลวงพี่ค่ะ
--------
เห็นด้วยค่ะ...เหมือน "คำพูด" เลยนะคะ
ก่อนพูดเราก็เป็นนาย...พูดเสร็จเราก็เป็นบ่าวทันที
--------
ขอบพระคุณหลวงพี่ค่ะ
สวัสดีค่ะ...คุณ "ประเสริฐ"
ค่ะ...เป็นสัจธรรม...แต่มนุษย์มักตกอยู่ในห้วงแห่งกิเลสนั้นเสมอ
จึงต้องหมั่นเตือนตนอยู่ทุกขณะจิตค่ะ
--------------
ขอบคุณมากค่ะ
กิเลส 1500
ตัณหา 108
ต้องรู้เท่าทันความทะยานอยากให้ได้ครับ ไม่อย่างนั้น "เสร็จมัน"
สวัสดีค่ะ..."น้องต้น"
ขอบคุณค่ะ...สำหรับการเข้ามาทักทาย
กิเลสพันห้า...ตัณหาร้อยแปด (ยิ้มๆๆ)
--------
ขอบคุณมากค่ะ
สวัสดีค่ะ...ท่านรอง "small man"
รู้เท่าทันความทะยานอยาก..."สตินำหน้า...กายาตามหลัง"
--------
ขอบคุณมากค่ะ
ขอบคุณ...คุณครู "ธรรมทิพย์" ค่ะ
"การให้คุณค่า" หรือ "การเห็นคุณค่า"
แสดงว่าผู้นั้นปฏิบัติสิ่งนั้น ๆ อยู่เป็นเนืองนิจ
----------
ขอบคุณค่ะคุณครู "ธรรมทิพย์"
ถ้าเที่ยง ยั่งยืน ไม่มีการแปรเปลี่ยน... สิ่งมีชีวิต ก็คงจะไม่มี จะป่วยกล่าวไปใยถึงแรงผลักดันสู่ความทะยานอยาก...
อรรถกถาขยายความทำนองว่า แม่น้ำคงคา ยมุนา และอจิรวดี เป็นต้น มีบางคราวที่เอ่อล้นฝั่ง และมีบางครั้งที่แห้งข้อด... ขณะที่แม่น้ำคือความทะยานอยากในใจนั้น ไม่แห้ง ไม่ล้น จะพร่องอยู่เสมอ กล่าวคือ คล้ายๆ จะเต็ม แต่ก็ไม่เต็ม... เอวัง ก็มีโดยประการฉะนี้
เจริญพร
เข้าใจแล้วว่า พระท่านเลยสอนให้ละกิเลส ตัณหา อาจารย์สบายดีนะครับ ไม่ได้ทักทายกันนานมากๆๆๆๆๆ
นมัสการค่ะ...หลวงพี่ "chaiwut"
น้อมรับธรรมะสู่การเติมเต็มตน...ของวันใหม่เจ้าค่ะ
-----------------
ขอบพระคุณหลวงพี่...ที่แวะข้ามาเยี่ยมและสนทนาธรรมเจ้าค่ะ
สวัสดีค่ะ...คุณ "ขจิต"
พยายามลดละกิเลส ตัณหาแห่งตนอยู่ค่ะ
สบายดีมากๆๆ ค่ะ...ติดตามอ่านบล็อกคุณ "ขจิต" อยู่นะคะ
แต่ไม่ได้ทิ้งรอยไว้...เพราะเบียดแม่ยก (แฟนคลับ) คุณ "ขจิต" เข้าไปไม่ไหวค่ะ
---------------
แค่ส่งกำลังใจและความระลึกถึงไปให้...น่าจะไปถึงเร็วกว่า
คุณ "ขจิต" อวบขึ้นหรือค่ะ(อ่านจากบล็อก)
ออกกำลังกายและรักษาสุขภาพนะคะ
---------------
ขอบคุณค่ะ
สา......ธุ ค่ะ
วันนี้...ครูโต๊มาตรวจการบ้าน...ถึงที่บ้านเลยนะคะ
ขอบคุณมากค่ะครู
กิเลส คือ ตัวโลภ โกรธ หลง......ทั้ง3ตัวนี้ครอบงำเรามาทุกภพทุกชาติ ตราบใดที่กิเลสตัวใดตัวหนึ่งยังหลงเหลืออยู่ก็ต้องไปเกิด ไปจุติที่ใดที่หนึ่ง(ชาติ,ภพ)ในสามโลก(อบายภูมิ-มนุษย์โลก-สวรรค์โลก)วน เวียนอยู่นี่ เป็นไปตามกฎแห่งกรรม ๆคือกฎธรรมชาติเหมือนสนามแม่เหล็กโลก ดูดทุกอย่างไปหมด ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าแรงกรรม กรรมเป็นของตนเอง กรรมเป็นทายาท กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ฯลฯ.....พระพุทธเจ้าท่านตรัสบอกพวกเราไว้ว่า "ฤกษ์ก็เป็นประโยชน์สำหรับตัวฤกษ์เอง ดวงดาวจะทำอะไรได้....."ดวงดาวไม่มีความหมาย แต่กรรมมีความหมายในทุกวินาที จิตวิญญาณของคนนี่เป็นคอมพิวเตอร์ที่บริสุทธิ์ มีประสิทธิภาพสูงที่สุด มีความจุไม่จำกัดขนาด ไม่ว่าคุณจะไปทำกรรมดี กรรมชั่วแอบซ่อนไว้ที่ไหน มันก็บันทึกลงไว้ในซีพียูคือในจิตวิญญาณคุณหมดแหละนะ คุณตายไปมันก็ติดตัวคุณไปด้วยโดยอัตโนมัติแล้วมันฝังไว้ในดีเอ็นเอของคุณ สะสมไปเรื่อยๆทุกภพทุกชาติ แถมตกทอดไปยังลูกๆคุณอีกด้วย(น่ากลัวไหมล่ะ).......เวลาตายสำคัญมากนึกถึง บุญกุศลก็ไปข้างบน นึกถึงบาปกรรมชั่วก็ลงไปข้างล่าง บางทีกลางๆก็เกิดมาเป็นคนอีก.....ยังไม่มีปัญญาพอที่จะหลุดพ้นไปจาก สังสารวัฏได้ เหมือนพายเรืออยู่ในเขื่อน วนอยู่นั่นละครับ ไม่รู้ตัวด้วยว่าพายเรือวนอยู่ หาทางออกไปไหนก็ไม่ได้ ถ้ากิเลสหมดคุณก็ไปนิพพาน นั่นแหละหมดเรื่องไปเลยทีเดียว......คนสมัยนี้เขาไม่ค่อยเชื่อกันนะว่าบุญ บาปมีจริง สวรรค์นรกมีจริง เขานึกไปว่าตายแล้วสูญ ก็ทำแต่เรื่องที่ตัวชอบ เห็นว่ามีความสุขจึงทำ ใครเป็นอย่างไร กระทบใครๆอย่างไรไม่สนใจ โลกมันถึงได้ยุ่งวุ่ยวายกันไม่รู้จบไงครับ ทุกวันนี้คนบูชาเงิน เงิน เงิน......จริงๆแล้วพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า "เงินคืองูพิษ"......มันพร้อมจะกัดคุณให้ตายได้ทันทีเมื่อคุณเผลอ รู้ไม่เท่าทันมัน.....แล้วความจริงเงินซื้อไม่ได้ทุกอย่างหรอกนะ ความรัก ความแก่ ความเจ็บ ความตายนี่ซื้อไม่ได้หรอก ยังไงก็ต้องเจ็บ แก่และตายวันยังค่ำแหละทุกคนด้วย......แต่คนก็บูชาเงิน ๆ ๆ ......แล้วคนรวยมีความทุกข์ไหม ตอบว่ามี แล้วมีเยอะซะด้วยซี เปรียบเทียบกับคนจนๆมีความทุกข์น้อยกว่า เพราะเขามีความต้องการน้อยกว่า มีความพอมากกว่า ตราบใดที่คุณพอ นั่นแหละคุณหยุดแล้วนะ คุณจะพบกับความสุขที่แท้จริงครับ.......ทุกอย่างขึ้นกับการกระทำของเราเอง (กรรม)ไม่ใช่เรื่องดวงดาวอะไรหรอกครับ....... www.vipassana.de.tl