แรงผลัก(ดัน)...สู่ความทะยานอยาก


"ความทะยานอยาก"...เนื้อแท้เปรียบเหมือนเพลิงพายุ...ที่พร้อมจะพัดเผาผลาญมนุษย์ผู้ประมาท...มัวเมาในกิเลสตัณหา

เมื่อการ(กาล)เปลี่ยนผ่านมาเยือน...สิ่งที่ไม่ยั่งยืนทั้งหลายย่อมเปลี่ยนกลายไปจากสภาวะเดิม...ทั้งด้วยความเสื่อมหรือการดำรงอยู่...และหากยิ่งได้ชื่อว่า "มนุษย์" ด้วยแล้ว...


                                      

"ความไม่ยั่งยืน" (ไม่จีรัง,ไม่ยืนยง)...เป็นแรงผลักดันชนิดดีเยี่ยม...ที่สามารถทำให้มนุษย์มุ่งสู่ความทะยานอยาก...ได้อย่างรวดเร็วและทันใจ...ก็เพราะสภาวะการดำรงอยู่ของเจ้าสิ่งนี้ มันไม่คงทนยืนนานนั่นเอง...จึงเป็นแรงผลัก(ดัน)ให้มนุษย์ต้องรีบจ้วงตะครุบตะปบอย่างหิวโหย (ราวกับเสือตะปบเหยื่อ)...ก่อนที่สรรพสิ่งจะดับสลายไปตามกาล

                                     

"ความทะยานอยาก"...เนื้อแท้เปรียบเหมือนเพลิงพายุ...ที่พร้อมจะพัดเผาผลาญมนุษย์ผู้ประมาท...มัวเมาในกิเลส ตัณหา...การลดเพลิงพายุแห่งความทะยานอยาก...จึงควรหมั่นทำจิตให้บริสุทธิ์...ไม่ดิ้นรน...ไม่ขวนขวาย...อยากมีอยากเป็นเกินตัวเกินกำลังแห่งตน...เมื่อทำได้เช่นนี้แล้ว...ผู้นั้นจึงถือได้ว่าเป็นผู้ที่อยู่ในความสงบอย่างแท้จริง

                                       

 

หมายเลขบันทึก: 288799เขียนเมื่อ 18 สิงหาคม 2009 16:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:19 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (19)

อ่านบันทึกแล้วเป็นข้อคิดและเตือนสติดี ขอบคุณที่เสนอ

สวัสดีค่ะ...คุณ "เหรียญชัย"

ขอบคุณเช่นกันค่ะ...ที่แวะมาทักทาย

บันทึกเพื่อเตือนสติตน...ไม่ให้เผลอประมาท...หลงลืมตนมุ่งเข้าหาความทะยานอยาก

-------------

ขอบคุณมากค่ะ

เพราะมนุษย์ไม่รู้จักควบคุมความอยาก

นานเข้าความอยากก็บงการมนุษย์ได้อย่างเบ็ดเสร็จ

สาธุสำหรับบันทึกเตือนสติขอรับอาจารย์..

สวัสดีครับ

เป็นสัจธรรม...

ธรรมชาติ....

ขอบคุณครับ

นมัสการค่ะ...หลวงพี่

อ้าว!!เดินสวนทางกัน...เห็นหลังไว ๆ ค่ะ

เพราะเพิ่งออกมาจากบล๊อกหลวงพี่ค่ะ

--------

เห็นด้วยค่ะ...เหมือน "คำพูด" เลยนะคะ

ก่อนพูดเราก็เป็นนาย...พูดเสร็จเราก็เป็นบ่าวทันที

--------

ขอบพระคุณหลวงพี่ค่ะ

สวัสดีค่ะ...คุณ "ประเสริฐ"

ค่ะ...เป็นสัจธรรม...แต่มนุษย์มักตกอยู่ในห้วงแห่งกิเลสนั้นเสมอ

จึงต้องหมั่นเตือนตนอยู่ทุกขณะจิตค่ะ

--------------

ขอบคุณมากค่ะ

ต้องรู้เท่าทันความทะยานอยากให้ได้ครับ   ไม่อย่างนั้น "เสร็จมัน"

สวัสดีค่ะ..."น้องต้น"

ขอบคุณค่ะ...สำหรับการเข้ามาทักทาย

กิเลสพันห้า...ตัณหาร้อยแปด (ยิ้มๆๆ)

--------

ขอบคุณมากค่ะ

สวัสดีค่ะ...ท่านรอง "small man"

รู้เท่าทันความทะยานอยาก..."สตินำหน้า...กายาตามหลัง"

--------

ขอบคุณมากค่ะ

  • แวะมาอ่านข้อคิดดี ๆ
    ที่มีคุณค่าค่ะ

ขอบคุณ...คุณครู "ธรรมทิพย์" ค่ะ

"การให้คุณค่า" หรือ "การเห็นคุณค่า"

แสดงว่าผู้นั้นปฏิบัติสิ่งนั้น ๆ อยู่เป็นเนืองนิจ

----------

ขอบคุณค่ะคุณครู "ธรรมทิพย์"

P Vij

 

  • เข้ามาเยี่ยม...

ถ้าเที่ยง ยั่งยืน ไม่มีการแปรเปลี่ยน... สิ่งมีชีวิต ก็คงจะไม่มี จะป่วยกล่าวไปใยถึงแรงผลักดันสู่ความทะยานอยาก...

 

  • นตฺถิ ตณฺหาสมา นที
  • แม่น้ำเสมอด้วยความทะยานอยาก ย่อมไม่มี

อรรถกถาขยายความทำนองว่า แม่น้ำคงคา ยมุนา และอจิรวดี เป็นต้น มีบางคราวที่เอ่อล้นฝั่ง และมีบางครั้งที่แห้งข้อด... ขณะที่แม่น้ำคือความทะยานอยากในใจนั้น ไม่แห้ง ไม่ล้น จะพร่องอยู่เสมอ กล่าวคือ คล้ายๆ จะเต็ม แต่ก็ไม่เต็ม... เอวัง ก็มีโดยประการฉะนี้

เจริญพร

เข้าใจแล้วว่า พระท่านเลยสอนให้ละกิเลส ตัณหา อาจารย์สบายดีนะครับ ไม่ได้ทักทายกันนานมากๆๆๆๆๆ

นมัสการค่ะ...หลวงพี่ "chaiwut"

น้อมรับธรรมะสู่การเติมเต็มตน...ของวันใหม่เจ้าค่ะ

-----------------

ขอบพระคุณหลวงพี่...ที่แวะข้ามาเยี่ยมและสนทนาธรรมเจ้าค่ะ

สวัสดีค่ะ...คุณ "ขจิต"

พยายามลดละกิเลส ตัณหาแห่งตนอยู่ค่ะ

สบายดีมากๆๆ ค่ะ...ติดตามอ่านบล็อกคุณ "ขจิต" อยู่นะคะ

แต่ไม่ได้ทิ้งรอยไว้...เพราะเบียดแม่ยก (แฟนคลับ) คุณ "ขจิต" เข้าไปไม่ไหวค่ะ

---------------

แค่ส่งกำลังใจและความระลึกถึงไปให้...น่าจะไปถึงเร็วกว่า

คุณ "ขจิต" อวบขึ้นหรือค่ะ(อ่านจากบล็อก)

ออกกำลังกายและรักษาสุขภาพนะคะ

---------------

ขอบคุณค่ะ

วันนี้...ครูโต๊มาตรวจการบ้าน...ถึงที่บ้านเลยนะคะ

ขอบคุณมากค่ะครู

กิเลส คือ ตัวโลภ โกรธ หลง......ทั้ง3ตัวนี้ครอบงำเรามาทุกภพทุกชาติ ตราบใดที่กิเลสตัวใดตัวหนึ่งยังหลงเหลืออยู่ก็ต้องไปเกิด ไปจุติที่ใดที่หนึ่ง(ชาติ,ภพ)ในสามโลก(อบายภูมิ-มนุษย์โลก-สวรรค์โลก)วน เวียนอยู่นี่ เป็นไปตามกฎแห่งกรรม ๆคือกฎธรรมชาติเหมือนสนามแม่เหล็กโลก ดูดทุกอย่างไปหมด ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าแรงกรรม กรรมเป็นของตนเอง กรรมเป็นทายาท กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ฯลฯ.....พระพุทธเจ้าท่านตรัสบอกพวกเราไว้ว่า "ฤกษ์ก็เป็นประโยชน์สำหรับตัวฤกษ์เอง ดวงดาวจะทำอะไรได้....."ดวงดาวไม่มีความหมาย แต่กรรมมีความหมายในทุกวินาที จิตวิญญาณของคนนี่เป็นคอมพิวเตอร์ที่บริสุทธิ์ มีประสิทธิภาพสูงที่สุด มีความจุไม่จำกัดขนาด ไม่ว่าคุณจะไปทำกรรมดี กรรมชั่วแอบซ่อนไว้ที่ไหน มันก็บันทึกลงไว้ในซีพียูคือในจิตวิญญาณคุณหมดแหละนะ คุณตายไปมันก็ติดตัวคุณไปด้วยโดยอัตโนมัติแล้วมันฝังไว้ในดีเอ็นเอของคุณ สะสมไปเรื่อยๆทุกภพทุกชาติ แถมตกทอดไปยังลูกๆคุณอีกด้วย(น่ากลัวไหมล่ะ).......เวลาตายสำคัญมากนึกถึง บุญกุศลก็ไปข้างบน นึกถึงบาปกรรมชั่วก็ลงไปข้างล่าง บางทีกลางๆก็เกิดมาเป็นคนอีก.....ยังไม่มีปัญญาพอที่จะหลุดพ้นไปจาก สังสารวัฏได้ เหมือนพายเรืออยู่ในเขื่อน วนอยู่นั่นละครับ ไม่รู้ตัวด้วยว่าพายเรือวนอยู่ หาทางออกไปไหนก็ไม่ได้ ถ้ากิเลสหมดคุณก็ไปนิพพาน นั่นแหละหมดเรื่องไปเลยทีเดียว......คนสมัยนี้เขาไม่ค่อยเชื่อกันนะว่าบุญ บาปมีจริง สวรรค์นรกมีจริง เขานึกไปว่าตายแล้วสูญ ก็ทำแต่เรื่องที่ตัวชอบ เห็นว่ามีความสุขจึงทำ ใครเป็นอย่างไร กระทบใครๆอย่างไรไม่สนใจ โลกมันถึงได้ยุ่งวุ่ยวายกันไม่รู้จบไงครับ ทุกวันนี้คนบูชาเงิน เงิน เงิน......จริงๆแล้วพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า "เงินคืองูพิษ"......มันพร้อมจะกัดคุณให้ตายได้ทันทีเมื่อคุณเผลอ รู้ไม่เท่าทันมัน.....แล้วความจริงเงินซื้อไม่ได้ทุกอย่างหรอกนะ ความรัก ความแก่ ความเจ็บ ความตายนี่ซื้อไม่ได้หรอก ยังไงก็ต้องเจ็บ แก่และตายวันยังค่ำแหละทุกคนด้วย......แต่คนก็บูชาเงิน ๆ ๆ ......แล้วคนรวยมีความทุกข์ไหม ตอบว่ามี แล้วมีเยอะซะด้วยซี เปรียบเทียบกับคนจนๆมีความทุกข์น้อยกว่า เพราะเขามีความต้องการน้อยกว่า มีความพอมากกว่า ตราบใดที่คุณพอ นั่นแหละคุณหยุดแล้วนะ คุณจะพบกับความสุขที่แท้จริงครับ.......ทุกอย่างขึ้นกับการกระทำของเราเอง (กรรม)ไม่ใช่เรื่องดวงดาวอะไรหรอกครับ....... www.vipassana.de.tl

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท