ในภาคอีสานของไทย
มีนาหลายแห่งที่ปลูกยูคาลิปตัสบนคันนา
มีทั้งปลูกมาแล้วหลายสิบปี โค่นตัดขายไปแล้วหลายครั้ง
และที่เพิ่งปลูกใหม่ได้ปีสองปี
ครูวุฒิได้เฝ้าติดตามเก็บข้อมูลอย่างละเอียดมาตลอดกว่า 10 ปี
เพื่อที่จะให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนว่ามีผลเชิงบวกหรือลบ ทั้งในระยะสั้นและยาว
ที่นาแห่งนี้ อยู่ในเขตบ้านสมอ ต.สมอ อ.ปรางค์กู่ ศรีสะเกษ
เป็นอีกแห่งหนึ่งที่ครูวุฒิและเด็กๆต้องลงไปเก็บข้อมูล (กลับจากอบรม ศก.พอเพียงโรงเรียนพอกพิทยาคม)
เพราะเป็นการปลูกบนคันนาที่ทำนาอย่างประณีต (แบบดำกล้าต้นเดียว)
และเป็นที่นาดอนตรงเผงกับนาตามหลักการ "นาป่า" นาที่ให้คุณค่าสูงสุดของโคกเพชร
ซึ่งครูวุฒิคิดและจินตนาการเอาเองว่า
น่าจะเป็นนาที่ช่วยปลดเปลื้องหนี้สินให้กับเกษตรกรได้ในห้วงเวลาที่ไม่นานนัก
เมื่อหนี้หมดหรือน้อยลง เกษตรกรก็ค่อยๆปรับเปลี่ยนคันนาให้เป็นป่ายางนา ประดู่ ตะเคียนทอง ฯลฯ
ที่ให้คุณค่ามหาศาลต่อทั้งเกษตรกรเอง สังคมชุมชน และโลกกว้างทั้งใบได้
โดยอาจปลูกไปพร้อมๆกับยูคาฯนั่นเลย
แต่ตอนตัด เราก็ตัดโค่นขายเฉพาะก็แต่ยูคาฯ ส่วนไม่ป่าที่ให้คุณค่าในระยะยาวเกิน 10 ปี
เราก็คงเหลือไว้ให้เติบโตต่อไป
หากคนไทย เกษตรกรไทย และนักวิชาการไทยเข้าใจสาระสำคัญในส่วนนี้
ประเทศไทยก็จะมั่งคั่งด้วยทรัพยากรป่าไม้ในเวลาอันสั้น
ซึ่งก็จะช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหาหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน
ทั้งปัญหาด้านสังคม ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาความมั่นคงของประเทศชาติ
และปัญหาเชิงซ้อนหรือปัญหาแฝงอื่นๆด้วย
หรือท่านว่าไงครับ?
***************
สวัสดีครับครู
สวัสดีครับท่านอาจารย์นิโรธ
สวัสดีครับ ครูวุฒิ
*เริ่มติดตามงาน ท่าน ผอ. แล้วชอบแนวนี้ ครับ ชอบบทบาทครูนักพัฒนาที่ท่านดำรงบทบาทนี้
*ว่าแต่ ผลกระทบ ของยูคา ฯ ต่อ ผืนดิน แผ่นน้ำ มีหรือไม่ อย่างไรคับ ผอ. ผมจำได้ว่า เคย มีอดีต เสนาบดี. กระทรวงหนึ่ง เคย เสนอ แต่ไม่มีการตอบรับจากสังคมมากนัก นะคับ
น้อง ประชามีสุข ครับ