คิดออกแล้วบอกด้วยนะคะ...ขอบคุณค่ะ.
อ่านงาน อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ เรื่องนี้แล้ว น่าสนใจทีเดียว
เพื่อให้เราไม่ตกอยู่ในหลุมพลางของทุนนิยม เสรีนิยม มากเกินไป
จนมองไม่เห็นความเอารัดเอาเปรียบของระบบใหญ่ ที่หากินกับผู้ที่ด้อยกว่าในสังคม
จึงนำมาร่วมเผยแพร่ เพื่อความรู้ และความรอบรู้ของผู้คนในสังคมไทยค่ะ
ขโมยและขมายในทรัพย์สินทางปัญญา
ระบบเศรษฐกิจของโลกปัจจุบันทำให้สิ่งที่เรียกกันว่า
"ทรัพย์สินทางปัญญา"
ทำเงินได้มโหฬาร
หากสามารถสร้างระบอบ (regime) กรรมสิทธิ์ที่ครอบคลุมไปได้ทั่วโลก
โดยอาศัยกลไกหลายอย่าง
มหาอำนาจได้สถาปนาระบอบกรรมสิทธิ์นี้ขึ้น
ผ่านองค์กรระหว่างประเทศ, กระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศ,
และสนธิสัญญาทวิภาคี-พหุภาคีกับประเทศต่างๆ หลายฉบับ
เพื่อเป็นหลักประกันว่า จะสามารถหากำไรจากทรัพย์สินทางปัญญาของตน
ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ และอย่างมั่นคงยืนนาน
ระบอบกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญานี้
ไม่ใช่ระบอบที่เป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายนัก
นอกจากทรัพย์สินทางปัญญามีลักษณะแตกต่างจากทรัพย์สินประเภทอื่น
ตรงที่การหวงกรรมสิทธิ์อาจเป็นผลให้เกิดความเสื่อมโทรม
ด้านสุขภาพและชีวิตของคนอื่นได้มาก (เช่น กรรมสิทธิ์ของสูตรยารักษาโรค)
ระบอบกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญายังเปิดให้มีการละเมิดสิทธิพื้นฐาน
ของผู้คนได้อีกมากด้วย
อย่างน้อยมีสิทธิพื้นฐาน 5
ประการ
ที่ระบอบกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งใช้อยู่ในปัจจุบัน ล่วงละเมิดอยู่เป็นประจำ
1/ ที่มนุษย์อยู่รอดมาได้ถึงทุกวันนี้
ก็ต้องอาศัยทรัพย์สินทางปัญญา
ที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ทรัพย์สินส่วนนี้เป็นทรัพย์สินสาธารณะ
กล่าวคือไม่มีบุคคลใดไปขึ้นทะเบียนถือกรรมสิทธิ์ส่วนตัว
ในทุกท้องถิ่นทั่วโลก ล้วนอุดมด้วยทรัพย์สินทางปัญญาที่เป็นสาธารณะเช่นนี้
ระบอบกรรมสิทธิ์ที่สถาปนากันขึ้น ทำให้เกิดความพยายามของธุรกิจที่จะเข้าไป
ถือครองกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญาที่เป็นสาธารณะเหล่านี้
โดยอาศัยรูปแบบต่างๆ ทั้งที่ใช้หรือไม่ได้ใช้วิทยาการสมัยใหม่เข้าไปกระทำ
ต่อทรัพย์สินดังกล่าว เช่น พันธุ์พืช, พันธุ์สัตว์, เทคนิควิธี, หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์
ที่ชาวบ้านหรือชาวพื้นเมืองใช้กันมาหลายชั่วคน
หากระบอบกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญา
เปิดให้ธุรกิจทำเช่นนี้ได้กว้างขวางมากขึ้นไปเรื่อยๆ
ในที่สุด การดำรงชีวิตตามปกติสุขของผู้คนทั้งโลก จะต้องซื้อหาไปทุกย่างก้าว
ก่อให้เกิดความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า
2/ ระบอบทรัพย์สินทางปัญญาที่มหาอำนาจสถาปนาขึ้น
เปิดโอกาสอย่างกว้างขวางให้เกิดการกีดกันการพัฒนาตัวทรัพย์สินทางปัญญา
เพราะการปิดกั้นหรือหวงห้ามกระบวนการผลิตบางอย่าง
ทำให้ผู้อื่นไม่สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์นั้นให้ดีขึ้นได้
ตัวอย่างที่เห็นชัดคือการปิดบังหวงห้าม source code ของระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์
ทำให้ผู้อื่นไม่สามารถปรับปรุงระบบปฏิบัติการให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นได้
ต้องปล่อยให้ผู้ถือครองกรรมสิทธิ์หากินกับระบบของตนเองจนได้กำไรคุ้มแล้ว
จึงจะพัฒนาเองเป็นระบบใหม่อีกระบบหนึ่ง และก็หวงห้ามไว้ตามเดิม
ในขณะที่ระบบปฏิบัติการซึ่งเปิดให้เป็นสมบัติสาธารณะ
(open source)
กลับสามารถพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว เพราะมีผู้มองเห็นข้อบกพร่องของระบบ
และสามารถพัฒนาให้เอาชนะข้อบกพร่องนั้นไปได้เรื่อยๆ
รวมทั้งสามารถใช้ข้ามระบบกันได้ ในขณะที่ระบบปฏิบัติการแบบปิด
ย่อมกีดกันไม่ให้มีการใช้ข้ามระบบ เพื่อหวงตลาดไว้ในมือของตนเองตลอดไป
3/ นอกจากการกีดกันโดยปิดบังหวงห้ามกระบวนการผลิตแล้ว
บริษัทยักษ์ใหญ่ยังสามารถใช้เงินลงทุนมหาศาลที่ตนมีอยู่เพื่อกีดกันทางสังคม
ป้องกันมิให้ลูกค้ามีทางเลือกอื่นมากไปกว่าตกเป็นทาสของบริษัทตลอดไป
หลายปีมาแล้ว
หน่วยงานที่เกี่ยวกับไอซีทีในเมืองไทย
พยายามพัฒนาระบบปฏิบัติการเปิด เพื่อให้เหมาะและใช้ได้ดีกับภาษาไทย
และรองรับโปรแกรมที่คนไทยอาจคิดขึ้นเองในอนาคต
ในเวลาต่อมาบริษัทยักษ์ใหญ่ก็ใช้วิธีให้ทุน ในรูปของความช่วยเหลือ
ทั้งแก่หน่วยงานนั้น และแก่มหาวิทยาลัยที่สอนด้านคอมพิวเตอร์อย่างเต็มที่
ในบัดนี้ประเทศไทยอยู่ในฐานะยอมจำนนอย่างราบคาบต่อระบบปฏิบัติการ
ของบริษัทยักษ์ใหญ่ไปแล้ว
เพราะ "ความช่วยเหลือ" ซึ่งทั้งหน่วยงานและมหาวิทยาลัยไทยรับไปเต็มคราบ
รัฐบาลของบริษัทที่ถือกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญา
ยังสามารถใช้พลังทางการเมืองและเศรษฐกิจ
กดดันการแสวงหาทางเลือกที่จำเป็นของโลกด้วย
ดังเช่นการกดดันไทยหลังจากที่ไทยประกาศบังคับใช้สิทธิบัตรยาบางตัว
หรือสั่งซื้อยาที่จำเป็นบางตัวจากประเทศที่ไม่ยอมรับระบอบกรรมสิทธิ์
ควรกล่าวด้วยว่า
ส่วนหนึ่งของการหากำไรสูงสุดจากทรัพย์สินทางปัญญานั้น
กระทำโดยการ "ผูกขาด" ในเชิงเทคนิค และมักทำอย่างซับซ้อนซ่อนเงื่อน
สหภาพยุโรปมีคดีฟ้องร้องบริษัทซอฟต์แวร์ที่ "ผูกขาด" ในเชิงเทคนิคเช่นนี้หลายคดี
เป็นผลให้บริษัทเหล่านั้นต้องเปิดให้มีการแข่งขันเสรี และถูกปรับเงินจำนวนมาก
น่าสังเกตว่ากระทรวงและหน่วยงานด้านนี้ของไทยไม่เคยตั้งต้นเรื่องประเภทนี้
อันจะนำไปสู่คดีในศาลเลย
4/ บัดนี้
ธุรกิจที่หากินกับทรัพย์สินทางปัญญา
กำลังละเมิดสิทธิพื้นฐานของผู้คนอีกอย่างหนึ่ง คือ สิทธิความเป็นส่วนตัวและสิทธิในเคหสถาน
ในสหรัฐ หากบริษัทพบโดยการสอดแทรกเข้ามาเมื่อเวลาที่ผู้ใช้ต่ออินเตอร์เน็ตว่า
ได้ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของตน
ก็อาจขอกำลังเจ้าหน้าที่เข้าค้นและยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ทันที
เช่นเดียวกับอำนาจที่เจ้าหน้าที่รัฐมีในการบุกเข้าตรวจค้นจับกุมยาเสพติด
ไม่นานมานี้ก็ได้ยินนักการเมืองในฝ่ายบริหารของไทย
เสนอให้อำนาจทำนองเดียวกันนี้แก่บริษัทและเจ้าหน้าที่ของรัฐอีกเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในเมืองไทย เมื่อผู้บริโภคต่ออินเตอร์เน็ต
บริษัทเจ้าของระบบปฏิบัติการก็อาจสอดแทรกเข้ามาตรวจสอบได้ว่า
เครื่องคอมพิวเตอร์นั้นใช้ระบบปฏิบัติการที่ขโมยมาหรือไม่
หากพบว่ามีการละเมิด ก็อาจลงโปรแกรมเล็กๆ ลงไปในคอมพิวเตอร์
ซึ่งเป็นผลให้มีข้อความเตือนอยู่ตลอดเวลา หรือบางกรณีมีผลให้เครื่องทำงานช้าลง
ตามท่าอากาศยานในยุโรป
จะมีเจ้าหน้าที่จากบริษัทเครื่องอุปโภคดังๆ
คอยตรวจดูว่า ผู้ใดใช้เสื้อผ้าหรือกระเป๋าที่เป็นของปลอมบ้าง
หากพบ กฎหมายอนุญาตให้เจ้าหน้าที่บริษัทยึดสินค้าปลอมเหล่านี้เพื่อนำไปทำลายได้ทันที
มีข้าวของในกระเป๋าเดินทางปลอมเท่าไร ก็ต้องเทออกมาบรรจุถุงพลาสติคหิ้วไปเอง
การขโมยนั้นผิดแน่ แต่เพื่อป้องปรามการขโมย
เราจำเป็นต้องสังเวยสิทธิพื้นฐานแค่ไหน สังคมจึงจะอยู่เป็นสุขได้
เช่นเดียวกับการมุสาก็ผิดแน่ เราจะเปิดโอกาสให้ตำรวจศีลธรรม
เข้ามาจับโกหกเราในบ้านเรือนเมื่อไรก็ได้กระนั้นหรือ
และนี่เป็นการลงโทษแก่ผู้รับซื้อของโจรที่เหมาะสมกับการกระทำผิดแล้วหรือ
5/
หลักการของสินค้าที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาบางอย่างนั้นประหลาดอยู่
กล่าวคือทรัพย์สินที่ซื้อไปนั้นสามารถใช้ได้เป็นส่วนตัวเท่านั้น
จะเอาไปใช้ในเชิงพาณิชย์ไม่ได้
ฉะนั้นพี่เบิร์ดซึ่งมีความสุขในการร้องเพลงให้คนอื่นฟัง
จึงไม่อาจแสวงหาความสุขได้ เมื่อดีเจเอาเพลงของพี่เบิร์ด
ไปเปิดผ่านวิทยุให้คนได้ฟังกันมากๆ เพราะดีเจได้เงินจากการเปิดเพลง
จึงต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้แก่บริษัทต้นสังกัดพี่เบิร์ด
โดยหลักการทำนองเดียวกันนี้ เบรกรถยนต์ที่เรียกว่าเอบีเอสนั้น
ก็เป็นสินค้าทรัพย์สินทางปัญญาเหมือนกัน
หากใช้ในรถส่วนตัวก็สามารถเบรกได้ตามใจชอบ หากนำไปใช้ในรถโดยสาร
คนขับจะเบรกแต่ละครั้งต้องคิดก่อนว่าคุ้มหรือไม่
เพราะทุกครั้งที่ใช้เบรกก็ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์เหมือนกัน
กรรมสิทธิ์ของทรัพย์สินนั้น
ต้องมีที่สิ้นสุดที่ใดที่หนึ่ง
จะหากินกับกรรมสิทธิ์นั้นชั่วฟ้าดินสลายไม่ได้
แต่ในบรรดาสินค้าทรัพย์สินทางปัญญาหลายต่อหลายอย่าง
การแลกเปลี่ยนด้วยเงินไม่ทำให้กรรมสิทธิ์ของเจ้าของเดิมสิ้นสุดลง
สินค้าเหล่านี้จึงไม่มีขาย มีแต่ให้เช่าตามเงื่อนไขเท่านั้น
ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลายปี
รัฐบาลไทยมองปัญหาเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาอย่างแคบมากๆ
กล่าวคือจำเป็นต้องยอมรับระบอบกรรมสิทธิ์ที่มหาอำนาจสถาปนาเอาไว้
เพื่อป้องกันมิให้ถูกกีดกันทางการค้า
ดังนั้นจึงพร้อมจะสังเวยทรัพย์สินของผู้บริโภคไทยส่วนใหญ่
เพื่อเอาไปบำเรอผู้ส่งออกซึ่งมักมีเสียงดังเสมอ
ระบอบกรรมสิทธิ์นี้มีปัญหา
และประเทศใหญ่ๆ บางประเทศ
ก็หาได้ยอมรับระบอบนี้เต็มที่ไม่ เช่นจีนและอินเดียเป็นต้น
ประเทศเล็กๆ อย่างไทยคงยากที่จะขัดขืนในขณะนี้
แต่รัฐบาลที่มองการณ์ไกล ต้องคิดวางแผนว่า เราจะร่วมกับประเทศอื่นๆ
ในการปรับเปลี่ยนระบอบกรรมสิทธิ์นี้ให้เป็นธรรมแก่คนเล็กคนน้อยของโลก
(ซึ่งรวมคนไทยด้วย) ได้อย่างไร
และในท่ามกลางระบอบกรรมสิทธิ์ที่ไม่เป็นธรรมนี้
เราจะรักษาตัวให้เสียเปรียบน้อยลงได้อย่างไร
การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญานั้นมีทั้งสองด้าน
คือด้านขโมยและด้านขมาย
รัฐมนตรีที่ขมีขมันในการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญานั้น
แสดงความเอาใจใส่ต่อหน้าที่การงานของตนอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เมื่อไม่ได้ทำอะไรอื่นมากไปกว่ายกกำลังเที่ยวปราบปราม
(เหมือนรัฐมนตรีที่มีสมญาว่า "ตู้เย็น" ในสมัยก่อน)
ความขมีขมันนี้ก็แสดงความตื้นเขินต่อปัญหาที่เผชิญอยู่ไปพร้อมกัน
..............
จาก มติชนรายวัน ประจำวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11419 หน้า 6.
ขอนำไปคิดก่อนครับ ;)
สวัสดีค่ะ
ขอบคุณค่ะที่นำข้อคิดเห็นที่น่าคิดมาให้อ่าน
ขอบคุณค่ะ
(^___^)
สวัสดีค่ะ
เรื่องดีมีประโยชน์อีกแล้ว ขอบคุณค่ะ
วันนี้น้ำทะลักท่วมหมู่บ้านในอำเภอลับแลอีกแล้วค่ะ เมื่อคืนฝนตกทั้งคืนจนถึงเช้า เด็กๆ เข้าถ่ายรูปมาให้ดู
สวัสดีค่ะ คุณแสงแห่งความดี (ชื่อเพราะจัง)
ขอบคุณค่ะ.
สวัสดีค่ะ
คิดออกแล้วบอกด้วยนะคะ...ขอบคุณค่ะ.
สวัสดีค่ะ คุณคนมีราก
ขอบคุณค่ะ.
สวัสดีค่ะ ครูใจดี
ขอบคุณค่ะ.
สวัสดีค่ะ ครูใจดี
ขอบคุณค่ะ.
สวัสดีค่ะ
สวัสดีค่ะ ครูใจดี
ขอบคุณค่ะ
ขอนำไปคิดก่อนครับ ;)