นึกหน้าคนไทยไม่ออก


ยามนี้มีคำถาม ถึงเรื่องราวแวดล้อม สังคมและวัฒนธรรมไทย ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ด้วยคำถามง่ายๆ เสมือนนั่งถามไถ่คนไทยว่าไปไหนมา สามวาสองศอก กินข้าวกินปลาอิ่มหนำดีอยู่ฤา หรือยามนี้ทำไมหน้าตาถึงหมองถึงเศร้าเพียงนี้ ทำไมยามนี้ คนไทยจึงหารอยยิ้มได้น้อยลง หรือเพราะสังคมที่เราเหยียบยืนอยู่นี้ ได้เปลี่ยนไป

นึกหน้าคนไทยไม่ออก

 

อ้างอิง - ภาพ Kati1789

มีเรื่องราวหนึ่ง

ที่ผมเคยประสบ

เคยพบเจอคำถามประหลาด

 

ยามพบเห็นคำถามจากผู้คนต่างบ้านต่างเมือง เท้าต่างบ้านมือต่างเมือง และหัวใจที่แตกต่างกัน ที่ถามว่า คนไทยปกตินั้น หน้าตาเป็นเช่นไร หรือถามว่า ปกติคนไทยยังคงขี่ช้างม้าวัวควายเป็นปกติดีอยู่ฤา หรือแม้แต่ว่า ทุกวันนี้ คนไทยยังใช้ช้างลากซุงอยู่หรือไม่

จะว่าขำขันกับประโยคน่ารัก

แบบตกยุคตกสมัย

ก็มองได้บ้าง

 

หรือหากมองให้กินเนื้อในใจ ว่าเขาเหล่านั้น อาจไม่เข้าใจจริงจริง ไม่ได้รับรู้ในความจริง ว่าบ้านเมืองของใครคนอื่นวิวัฒน์ไปเพียงใด พัฒนากันไปบ้าง เจริญกันตามวัตถุ กระทั่งมีหัวใจหมุนเวียนเหมือนหัวใจผู้คนทั่วโลก ให้ได้แกะถุงขนมกินเล่น ขณะดูการถ่ายทอดสดมหกรรมกีฬาระดับโลก หรือแม้แต่นุ่งห่มเครื่องแต่งกายที่ถอดพิมพ์โรงงานเดียวกันมา

แม้อยู่ห่างไกล

ข้ามซีกโลกสักเพียงใด

วันนี้ ผู้คนมากมายในโลกก็แทบจะเหมือนกัน

 

บ้างก็เหมือนกันที่ตัวตน บ้างก็เหมือนกันที่เปลือก บ้างก็คล้ายที่แก่น เหมือนเปลือกเหมือนกระพี้ เหมือนในเนื้อในหัวใจ ก็ตามแต่จะเหมือนกัน หรือกระทั่งความจริงอันหลบซ่อนว่า เขาเหล่านั้นแตกต่างจากกัน จนยากที่จะหาความใกล้เคียงมาเทียบ

นอกเหนือจากนิยามพื้นฐาน

ที่เขาเหล่านั้นคล้ายกัน

ในความเป็นคน

 

คนที่มีหัวใจ มีความปรารถนา มีความโกรธเกลียด รักใคร่ชอบพอ มีความอยากได้ใคร่มี มีความเป็นเพื่อนร่วมโลกเฉกเช่นเดียวกันเรา ที่ต้องการการยอมรับ ต้องการได้รับการให้เกียรติ ต้องการพื้นฐานสำคัญของชีวิต ในการกินอยู่หลับนอน และมีอิสระ

หลายคน

อาจไม่ต้องการ

ที่จะเจ็บปวดหรือล้มตาย

 

ยิ่งในยามที่ชีวิตกำลังประสบสมหวัง หรือเดินไปในทิศทางที่ตนเองกำหนดได้ ควบคุมได้ หรือในทางที่ชีวิตใฝ่ฝัน ได้เข้าใจรับรู้ถึงความจริงว่าชีวิตนี้ตนเองลิขิตได้ แต่กับใครหลายคนอีกมากมายในโลก ซึ่งมักจะเป็นคนส่วนใหญ่ของโลกนี้ คนที่ผิดหวัง ไม่ได้ดั่งใจ ล้มเหลว และไม่เป็นไปดั่งที่ชีวิตอยากให้เป็น เขาเหล่านั้นอาจกำลังค้นคิด

กำลังนั่งฝันลอยฟ้าถึงการเปลี่ยนแปลง

กำลังวางแผนจะเปลี่ยนโลกใบนี้

หรือแม้แต่จะเปลี่ยนผู้คน

 

ใครคนใด ที่มักเป็นคนส่วนใหญ่ในโลกนี้ ซึ่งอยู่กับความผิดหวังมากกว่าความสมหวัง เคยได้รับการขนานนาม จากนักจิตวิทยามวลชนโดยส่วนใหญ่ ว่าเป็นไพร่พลชั้นหนึ่ง เป็นขุนทหารที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงสมรภูมิแห่งตนเอง โลกแห่งการต่อสู้เบื้องหน้า หรือแม้แต่จะหมุนองศาของโลกใบนี้ ให้ปรับเปลี่ยนเคลื่อนที่ ไปจากสิ่งที่เคยดำรงอยู่

 

 

สำหรับรอบฤดู

และความผันผ่านชีวิต

รอบหลายเดือนที่ผ่านมา

 

ผมพบกับคำถามประหลาดมากมาย พบเจอกับมนุษย์ค้างคาวที่เกาะบนถังแก๊ส พบเจอความร้อนรุ่มของใจผู้คน พบความโกรธเกลียดเคียดแค้นชิงชัง กระทั่งเห็นหัวใจใครต่อใคร ที่ผมคิดเสมอว่าเป็นคนไทย ที่ช่างใจจืดใจดำ กับความวิบัติของบ้านเมือง

กระทั่งวันหนึ่ง ผมอดรนทนไม่ไหว

จนผมต้องแสดงออกให้รู้

แสดงดูให้ผู้คนได้เห็น

 

ว่าคนไทยปกติธรรมดา ที่ไม่มีทางออกในชีวิต ไม่มีทางต่อสู้เรียกร้องใดใด ให้ชื่นฉ่ำใจไปกว่าการปิดกั้นเรื่องราวอันแปลกประหลาด เพื่อถามตัวเองว่า เราจะเลือกอยู่ในสังคมแบบใด เราจะมีหัวใจเช่นไร หรือเราจะหาทางออกจากวิบากกรรมของบ้านเมืองนี้กันอย่างไร

ผมเริ่มทำ

เริ่มกระทำจากตัวเอง

เริ่มเปลี่ยนแปลงบางสิ่งอย่างที่คิดได้

 

ผมเริ่มอิดออดที่จะรับรู้ข่าวสาร เริ่มต้นสติที่จะถามหัวใจใครต่อใคร ด้วยการย้อนกลับสู่ความเชื่อพื้นฐานว่า สุดท้ายเราท่านทั้งหลายก็ต่างเป็นเพื่อนร่วมโลก เป็นมนุษย์ที่มีหัวใจอันคล้ายคลึง มีความผิดแผกแตกต่าง ในท่ามกลางความเหมือน ในความเป็นคน

บ่อยครั้งที่ผมเริ่มต้น ไม่สนใจข่าวสาร

เริ่มคุยกับผู้คนโดยทั่วไปดัวยหัวใจ

โดยไม่ถามถึงความต่าง

 

บ่อยครั้งเข้าก็เบื่อหน่ายที่จะเป็นเนื้อเป็นหนังกับข่าวสาร หรือรับรู้เข้าใจ แต่ไม่ได้ใส่ใจ กระทั่งเรียนรู้ที่จะอยู่บนยอดคลื่นของข่าวสารที่ถาโถมชีวิต หรือคิดเพียงว่า จะงัดแง่บวกของชีวิตมาคิดให้มากที่สุด มาทบทวนเตือนตนว่า เราก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง

ผิดบ้างพลาดบ้าง

เชื่อมั่นตัวเองก็มากก็เยอะ

เข้าข้างตัวเองก็บ่อย เอาตัวเป็นที่ตั้งก็แยะ

 

คิดและคิดวนเวียนกลับไปกลับมา ในท่ามกลางการค้นหาทางออกของบ้านเมือง ในท่ามกลางองคาพยพแห่งการกัดกิน หนอนกินหนอน หนอนกินพืช พืชพันธุ์มดแมลงกัดกินกันไปมา และห่วงโซ่แห่งการกัดกินยังคงหมุนเวียนเปลี่ยนไป เชื่อได้บ้างไม่ได้บ้าง กับความเจ็บปวดที่ได้รับ ยามเห็นคนไทยทำร้ายทำลายกันและกัน จนมองข้ามความเป็นคน

เมื่อคิดวนเวียนกลับมาจนใจสงบ

ผมก็เริ่มต้นถามตัวเอง

ว่าจะทำอย่างไร

 

ในท่ามกลางความรู้ และความไม่รู้ของชีวิต ในท่ามกลางความมัวเมาของหัวใจผู้คน เราจะจัดการกับหัวใจของเราเช่นไรในยามนี้ เราจะดำรงอยู่เช่นไรในแต่ละความเปลี่ยนแปลง กระทั่งมีคำถามหนึ่งแว่วเข้าหูของผม เมื่อมีคนพูดประโยคที่น่าฟังว่า ทุกวันนี้ เขานึกถึงหน้าคนไทยไม่ค่อยจะออก นึกหน้าไม่ออก ว่าคนไทยนั้น หน้าตาเช่นไร

เขาถามผมว่า

คนไทยที่เดิมเคยยิ้มแย้ม

มีหน้าตาเช่นไร ในทุกทุกวันนี้

วันที่ เรามีแต่ความโกรธเกลียดชิงชังต่อกัน

ผมได้ฟัง แต่ก็ทำได้เพียงอมยิ้มเท่านั้น

 

หมายเลขบันทึก: 264638เขียนเมื่อ 30 พฤษภาคม 2009 19:25 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 07:02 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

วันก่อน ผมไปเยี่ยมชาวค่าย ผมบอกกล่าวว่า  เราก้าวไปไกลแค่ไหน แต่ต้องไม่ลืมว่า คนส่วนใหญ่ยังเป็นเกษตรกร 

คนไทยส่วนมากยังยากจนและหนีไม่พ้นความเป็นทาส

ภาวนาว่าขอให้เขาเหล่านั้นเข้มแข็ง...แม้จะไม่ลุกฮือ

ขึ้นมาต่อสู้กับความอยุติธรรมก้อขอให้เรียนรู้ที่จะอยู่

อย่างสง่างามและเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเองได้

อย่างถ้วนทั่วสักวันเทอญ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท