ชายชราที่ไร้ป้ายชื่อ


วันหนึ่งผู้คนที่บอกว่า สนใจและเชื่อว่าทุกคนในสังคมมีความรู้ จะสนใจการเรียนรู้จากคนที่ไม่มีชื่อ อย่างแท้จริง

       ขออนุญาต...นี่เป็นความเห็น...ที่ใครอีกคนทิ้งรอยไว้ในอีกที่หนึ่งที่ซึ่งได้ขออนุญาตท่านเจ้าของบันทึก "อิสระแห่งตัวตนของตน(เอง)..คุณ"ชายขอบ" เพื่อนที่รักที่ดีคนหนึ่ง นำมาบันทึกเตือน"ตน" เพื่อระลึกถึง..เพราะอ่านแล้ว.."อึ้ง" เพราะซาบซึ้งอย่างมาก จนน้ำตาซึม..ทำให้นึกเสียดาย "ความรู้"..อีกมากมายที่หล่นหายไปจากกาลเวลา เพียงเพราะเขาเหล่านั้น "ไร้นาม"..จากสังคมอันทรงเกียรติ(ตามค่าที่คนทั่วไปกำหนด)

ไร้นาม เมื่อ อ. 2 พ.ค. 06:38:10 2006 เขียนว่า:

คุณชายขอบ

ขอขอบคุณสำหรับความเห็นรวมทั้งย่อหน้าสุดท้ายที่ดูเหมือน "อยากคุย ลปรร. กับไร้นาม แม้จะไม่ต้องรู้ชื่อเสียงเรียงนามกัน แม้ว่า จะเป็นการเขียนเหมือนจะอนุญาตอิสระกับไร้นาม แต่เป็นบันทึกทรงคุณค่า ที่แท้แล้ว ให้อิสระ กับตัวเองและผู้อื่นๆ

คุณชายขอบคงเคยนั่งรถไฟสายยาวๆ และคุยกับคนแก่ๆ ใส่เสื้อปอนๆ ที่นั่งตรงข้าม ที่ "สะเออะ" พูดเรื่องต่างๆ ปรัชญาบ้าง ความเห็นการเมืองบ้าง ขัดแย้งคุณบ้าง เห็นด้วยกับคุณบ้าง เย้าแหย่คุณเป็นบางครั้ง และแถมบางที "เสือก" ใช้คำสวยๆ ละมุมละไม เกินฐานะ พร้อมกับนึกอยากรู้ว่าคนแก่มีญาติพี่น้อง มีครอบครัว มี"อะไรๆ" ไหม แต่เมื่อสิ้นสุดการเดินทาง การคุย ออกรส ต่างหากที่ทำให้คุณชายขอบบอกกับตัวเองว่า "ได้เรียนรู้" และวันหนึ่งที่คุณชายขอบจะอ้างคำพูดของคนแก่ คุณชายขอบก็อาจจะเริ่มว่า

"ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...เคยนั่งรถไฟพร้อมกับเพื่อนผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนหนึ่ง เพื่อไปทำงานยิ่งใหญ่ให้กับประเทศ เพื่อออกไปร่วมพัฒนาความรู้ให้กับสังคม เพราะเชื่อว่า ในสังคมมีผู้รู้มากมายที่เรายังไปไปถึง ค้นไม่เจอ

เราหลายคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ด้วยแรงศรัทธาทำให้เรารวมตัวกันอย่างรวดเร็วและปิติที่ได้เจอ "คนคอเดียวกัน" เราต่างคารวะกัน และหลายๆคนที่เราเคยได้ยินแต่ชื่อ ก็ทำให้ "ทึ่ง" ที่เรามีโอกาสเจอตัว "เป็นๆ"

เราต่างพยายามมอง อ่าน ป้ายชื่อ บนหน้าผากของเขาเหล่านั้น และจดจำทุกคำพูดของพวกเขาเพื่อเอาไปอ้างต่อ

บนรถไฟสายที่ทอดยาว กลับมีคนแก่หนึ่งคนขึ้นขบวนมาผิดตู้ เข้ามานั่งปนคนอื่น ด้วยชุดอันเก่าปอน แถมยังเลือกที่จะนั่งทำเฉยไม่ยอมหยิบป้ายมาเขียนชื่อตัวเองติดตรงหน้าผากแต่สอดแทรกตัวเองเข้าไปในวงสนทนา

คนแก่ถูกเบียดตัวลีบและเบียดออกจากวงสนทนาเป็นระยะๆ มีเพียงคนสองคนที่หันไปเห็นและเอื้อเอ็นดูเข้าไปพูดคุย

หลายคนยัดเยียดป้ายให้คนแก่เขียนชื่อ พร้อม "เยาะเย้ยไยไพ" ว่า เรื่องดีๆ เล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ก็ไม่กล้าหาญพอ แล้วจะรับผิดชอบคำพูดได้อย่างไร

เมื่อขบวนรถไฟเริ่มรับผู้คนมากขึ้น ขบวนการกลุ่มจึงเริ่มออกมากดดัน ด้วยสองทางเลือก ถ้าจะนั่งอยู่ในตู้นี้ ก็ติดป้ายชื่อ"ซะ" หรือนั่งก็ได้ แต่ "คงรู้ตัวนะว่าจะทำตัวสุภาพอย่างไร" เพราะไม่งั้น คนจ่ายเงินค่าโดยสารจะเดือดร้อน

คนแก่ไม่เหลือบตามองกระดานชื่อ เหมือนทุกครั้งที่เข้าวงสนทนาก็ไม่เคยมองว่าผู้พูดมีชื่ออะไร และสุดท้ายคนแก่ก็ตัดสินใจลงจากตู้รถไฟคันนั้น  เพราะไม่ต้องการเห็นความขัดแย้งของผู้ทรงเกียรติที่กำลังจะทำงานยิ่งใหญ่ทั้งหลาย

คนแก่กระซิบกับคนสองคนที่เอื้อเอ็นดูว่า คนแก่มีแรงปรารถนาว่า วันหนึ่งผู้คนที่บอกว่า สนใจและเชื่อว่าทุกคนในสังคมมีความรู้ จะสนใจการเรียนรู้จากคนที่ไม่มีชื่อ อย่างแท้จริง

...

จากนั้น ขวบนรถไฟก็ออกเดินทางต่อไป....และทิ้งคนแก่คนนั้นไว้ในความทรงจำที่เลือนๆ

หมายเลขบันทึก: 26403เขียนเมื่อ 2 พฤษภาคม 2006 10:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 พฤษภาคม 2013 12:58 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

เพิ่งไปเพิ่มข้อคิดเห็นไว้ที่บันทึกคุณชายขอบนะค่ะ Dr.Ka-poom

ขอบคุณคะ..ดร.จันทวรรณ

ขอบคุณคะ..ดิฉันเชื่อว่า เราๆ หลายๆ คนเข้าใจในสิ่งที่ท่านผู้พัฒนาระบบกำลังทำ...ความรู้บางอย่างมีค่าหากระบุถึงที่มาที่ไปของผู้ที่เผยแพร่ความรู้นั้น...ย่อมเป็นสิ่งที่ดี..แต่ลึกๆ แล้วสิ่งที่เราอยากสะท้อนให้สังคมช่วยๆ กัน คือ เหลียวแลความรู้ที่มาจากผู้ที่ไม่ได้มีชื่อเสียงใดใด..ด้วย..เพราะว่าทุกๆ ความรู้ล้วนแล้วมีคุณค่าในเนื้อแท้ด้วยกันทั้งสิน...อาจารย์มุ่งมั่นต่อนะคะดิฉันเชื่อว่ามีใครอีกหลายๆ..คน คิด-ร่วม..และพร้อมผนึกในสิ่งที่อาจารย์และคณะพัฒนาทุกท่าน..ดำเนินอยู่

เป็นกำลังใจให้คะ

นิภาพร  ลครวงศ์

ผมเสนอความคิดไว้ที่ บันทึกของคุณชายขอบนะครับ

 ผมรู้สึกว่า  คนข้างหลังรูปถ่าย  ผมคุ้นๆ นะครับ 

ดร. มาเที่ยวใต้เหรอครับ  มาเมื่อไหร่ครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท