ระลึกชาติ


จิตไร้สำนึก ส่วนนี้เป็นจิตที่สะสมประสบการณ์ทุกสิ่งทุกอย่าง ความรู้ ความชำนาญ การศึกษา การกระทำทั้งดีและชั่วของเราทั้งหมด

"พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง
โททนต์เสน่ห์คง สำคัญหมายในกายมี
นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา"

ระหว่างการจัดความเรียบร้อยของห้องพัก พันคำก็ค้นพบบทความ บทความเรื่อง ระลึกชาติ พิมพ์ใน ยมราชสาร ซึ่งเป็นวารสารของโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช จังหวัดสุพรรณบุรี ปีที่ 1 ฉบับที่ 7 ประจำเดือน กันยายน-ตุลาคม 2529 (ประมาณ 23 ปีมาแล้ว) บทความนี้แต่งโดย น.พ.บัณฑิต  เลขวัต ท่านเคยเป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช จังหวัดสุพรรณบุรี ท่านเป็นแพทย์อาวุโสที่เป็นที่เคารพนับถือในโรงพยาบาลท่านหนึ่ง ท่านเสียชีวิต ประมาณ 3 ปีหลังจากนั้น พันคำเห็นว่าเป็นบทความที่น่าสนใจจึงนำมาเผยแพร่ ความดีต่างๆที่บทความนี้จะเป็นประโยชน์ขอให้มอบให้ผู้แต่ง น.พ. บัณฑิต เลขวัต ทั้งหมด

ระลึกชาติ
น.พ. บัณฑิต เลขวัต

จิตของมนุษย์เรานั้น เป็นพลังงานอย่างหนึ่งที่เรียกว่า Intelligent Force มันเริ่มก่อตัวขึ้นตั้งแต่สิ่งมีชีวิตเริ่มแรกได้ก่อตัวขึ้นมาในโลก เมื่อ ๔,๕๐๐ ล้านปีมาแล้ว แล้วก็มีวิวัฒนาการเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน พลังงานนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ได้กำหนดไว้ในโปรแกรมของเอกภพ เช่นเดียวกับ สสารและพลังงานทั้งหลายที่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ ที่เรียกว่า Big Bang เมื่อ ๑๕ พันล้านปีก่อน ก่อรูปเป็นเอกภพที่ประกอบด้วยกาแล๊กซี่เป็นพันล้าน และแต่ละกาแล๊กซี่ก็ประกอบด้วยดวงดาวเป็นแสนล้านดวง ดวงอาทิตย์ของเราก็เป็นเพียงดาวดวงหนึ่งในกาแล๊กซี่ Milky Way

จิตเกิดขึ้นได้โดยการ รับ รู้ คิด จำ การรับนั้นผ่านมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เมื่อรับแล้วก็รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร รู้แล้วก็คิดว่าสิ่งนั้นดีหรือชั่ว เป็นมิตรหรือศัตรู เป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ ฯลฯ แล้วก็ถึงกระบวนการสุดท้ายคือจำ ความจำจะเก็บไว้ที่สมองส่วนที่เรียกว่า Cerebral Cortex แต่ความจำนี้จะต้องผ่านเข้าประตูความจำเสียก่อน คือสมองส่วนที่เรียกว่า Hippocampus ซึ่งเป็นการพบโดยบังเอิญ โดยการผ่าตัดเอาสมองส่วนนี้ออก ในการรักษาโรคชักในผู้ป่วยรายหนึ่งในปี ๑๙๕๓ หลังกสนผ่าตัดแล้วปรากฏว่า ผู้ป่วยจำเรื่องราวในปัจจุบันไม่ได้เลย แต่สามารถจดจำเรื่องราวในอดีตได้ดี ซึ่งก็เป็นในลักษณะเดียวกับในผู้สูงอายุ สมองส่วนนี้เสื่อมไป ทำให้จำเหตุการณ์ปัจจุบันไม่ได้ กินข้าวแล้วก็ยังคิดว่ายังไม่ได้กิน แต่จำเรื่องราวในอดีตได้

กระบวนการที่จิตเกิดขึ้นนี้ มันเกิดขึ้นตลอดวันเวลาทุกวินาที ตั้งแต่เกิดถึงปัจจุบัน ดังนั้นความจำที่อยู่ในสมองของเรานั้นจะประสานกันอย่างสลับซับซ้อน ทำให้จิตของเรามีความคิดการตัดสินใจ พิจารณาความจำ มีอารมณ์ต่างๆ ฯลฯ เกิดขึ้น จิตที่เกิดขึ้นนี้จะบันทึกความจำไว้ได้ทั้งหมด ทั้งความรู้ ความชำนาญ ประสบการณ์ต่างๆ การศึกษา ความดีความชั่วต่างๆที่เราได้กระทำไป จะบันทึกไว้ในจิตของเราทั้งหมด ไม่มีวันลบหายไป เราอาจจะนึกไม่ถึงหรือลืมไปแล้ว แต่ความจำที่บันทึกไว้นั้นมันยังอยู่ แต่อยู่ในจิตระดับลึกลงไปสู่จิตใต้สำนึก และจิตไร้สำนึกในที่สุด ถ้าเช่นนั้นมันจะมีผลต่อตัวเราหรือ มีครับ ดร. Henry Bennett ซึ่งเป็นจิตแพทย์ได้ทดลองทำการทดลองเกี่ยวกับการรับรู้ของจิตใต้สำนึกที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ในคนไข้ที่วางยาสลบขณะทำการผ่าตัด ดร.เบนเนท ได้เอาเทปที่บันทึกคำพูดไว้ว่า ถ้าผู้ป่วยที่ได้ยินเสียงที่บันทึกไว้นี้ เมื่อฟื้นขึ้นแล้ว เมื่อ ดร.เบเนท ซักถามผู้ป่วยหลังผ่าตัด ให้ผู้ป่วยดึงหูของตัวเองในขณะตอบคำถามของแพทย์ ปรากฏว่าหลังผ่าตัดผู้ป่วยตอบคำถามของแพทย์ไปพร้อมกับดึงใบหูของตนเอง ๙ รายใน ๑๑ ราย โดยผู้ป่วยไม่รู้เรื่องเทปเลยและก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงทำเช่นนั้น

ผู้ป่วยหญิงรายหนึ่งอ้วนมาก นอนบนเตียงผ่าตัดและวางยาสลบแล้ว ศัลยแพทย์เข้ามาในห้องผ่าตัดแล้วพูดเล่นๆว่า ใครเอาตัวช้างน้ำมาไว้บนเตียงผ่าตัด ปรากฏว่าหลังการผ่าตัดผู้ป่วยหญิงรายนั้นมีอารมณ์เสีย หวุดหวิด ไม่ทราบสาเหตุ พาลโกรธพยาบาลและแพทย์ ต้องมาวิเคราะห์จนทราบสาเหตุ แล้วไปอธิบายให้ผู้ป่วยฟังพร้อมกับขอโทษ ก็ปรากกว่าอาการของผู้ป่วยหายเป็นปกติภายใน ๑๒ ชั่วโมง
ที่เอาตัวอย่างเหล่านี้มาเล่าให้ฟังก็เพื่อจะให้เห็นว่าจิตที่บันทึกไว้นี้ในใต้สำนึก หรือจิตไร้สำนึก โดยที่เราไม่รู้หรือลืมไปหมดแล้วนั้นมันมีอิทธิพลต่อตัวเรา ถ้าเราประกอบกรรมดีก็ให้ผลดี ถ้าเราประกอบกรรมชั่วก็ให้ผลชั่ว ผลกรรมต่างๆนั้นจะอยู่กับเราตลอดไป

จิตของเรานั้นเป็นพลังงานอย่างหนึ่ง เมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมจะคงอยู่ตลอดไป เป็นไปตามกฏของธรรมชาติที่เรียกว่า Law of Conservation

คือกฏที่กล่าวว่าสสารและพลังงานทั้งหลายในเอกภพ จะไม่มีการสูญหายไปมันยังคงอยู่ แต่อาจแปรรูปไปได้ในลักษณะต่างๆ สมมุติตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจในลักษณะของจิตดังนี้ สมมุติว่าตัวท่านลอยอยู่เหนือพื้นน้ำในบึงใหญ่แห่งหนึ่ง บึงนั้นกว้างใหญ่มากมองไปโดยรอบไม่เห็นฝั่ง ผิวน้ำในบึงนั้นราบเรียบเหมือนแผ่นกระจก ท่านปล่อยก้อนหินก้อนหนึ่งหล่อนลงไปในน้ำ น้ำตรงจุดนั้นจะกระเพื่อมขึ้นลงทันที คลื่นผิวน้ำกระจายแผ่ออกไปโดยรอบเห็นเป็นวงกว้าง กว้างขึ้นทุกที คลื่นนั้นเล็กลงจนในที่สุดมองไม่เห็น แต่พลังงานที่แผ่ออกไปตามผิวน้ำนั้นมันยังมีอยู่ต่อไป แผ่กว้างไกลไปจนถึงริมบึง และถ้าริมบึงนั้นกว้างใหญ่มากจนเป็น infinity พลังงานนั้นก็จะแผ่ออกไปจนถึง Infinity ด้วยเช่นกัน

จุดที่ก้อนหินตกลงไปทำให้น้ำกระเพื่อมนั้นเปรียบได้กับจิตสำนึก คือจิตที่เรารู้ตัว และคิดว่าเป็นตัวเรานั้น มันมีอยู่น้อยกว่า ๑๐ % ของจิตทั้งหมด (Conscious Mind)

คลื่นผิวน้ำที่แผ่เป็นวงกลมที่มองเห็นแผ่กว้างไกลออกไปนั้น เปรียบได้กับจิตใต้สำนึก ถ้าเรามีเครื่องมือวัดกระแสคลื่นนั้นแล้วแปรผลออกมา เราก็จะบอกได้ว่ามันมีเหตุการณ์เกิดขึ้น คือก้อนหินก้อนหนึ่งตกลงในน้ำ แม้ว่าเราจะไม่เห็นเหตุการณ์ตอนก้อนหินตกน้ำก็ตาม (Subconscious Mind)

พลังงานที่แผ่ออกไปตามผิวน้ำ โดยที่ผิวน้ำไม่เป็นคลื่นให้เราเห็นเลยนั้น ส่วนนี้เปรียบได้กับจิตไร้สำนึก Unconscious Mind และก็เช่นเดียวกันถ้าเรามีเครื่องมือที่มีความไวสูง สามารถวัดพลังงานนั้นได้ เราก็สามารถบอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตได้ว่า มันมีก้อนหินก้อนหนึ่งตกลงไปในน้ำเมื่อนั้นเมื่อนี้ และโดยที่จิตส่วนนี้เป็นจิตที่สะสมประสบการณ์ทุกสิ่งทุกอย่าง ความรู้ ความชำนาญ การศึกษา การกระทำทั้งดีและชั่วของเราทั้งหมด บางคนจึงเรียกจิตส่วนนี้ว่า Collective Unconscious Mind และโดยที่จิตส่วนนี้นับเป็นส่วนที่กว้างใหญ่มาก อาจจะแผ่กว้างไกลไปจนถึง Infinity จิตส่วนนี้ของทุกชีวิต ตลอดจนพลังงานของธรรมชาติจึงมีความสัมพันธ์กัน ทำให้สามารถรู้จิตของผู้อื่นได้ รู้เหตุการณ์ในที่ห่างไกลได้ รู้เหตุการณ์ในอนาคตได้ เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวในธรรมชาติ และจากการทดลองซึ่งเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Extra Sensory Perception

และจิตส่วนนี้มีอิทธิพลต่อตัวเราโดยที่เราไม่รู้เลย บางคนจึงเรียกจิตส่วนนี้ว่า Super Mind จิตส่วนนี้เชื่อว่ายังคงอยู่หลังจากที่คนเราตายไปแล้ว


เมื่อจิตมีการวิวํฒนาการต่อเนื่อง เช่นเดียวกับวิวัฒนาการของชีวิต ซึ่งเราสามารถตรวจสอบวิวัฒนาการของชีวิตของสัตว์และพืชต่างๆ ย้อนหลังไปในอดีตได้ จิตก็น่าจะมีการตรวจสอบย้อนหลังไปเช่นกัน ปรากฏการณ์มีให้เห็นเป็นครั้งคราวตามธรรมชาติ ได้แก่การที่มีคนบางคนสามารถระลึกชาติได้ ได้มีการบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ทั้งตัวบุคคลและสถานที่ ในประเทศไทยเองก็มีการบันทึกเรื่องราวและประวัติไว้เช่นกัน

เมื่อประวัติอดีตของเราบันทึกเอาไว้ในจิตส่วนที่เรียกว่าจิตไร้สำนึกดังกล่าวแล้ว ถ้าเราต้องการรู้ ก็ต้องเดินทางเข้าไปสู่จิตไร้สำนึก ทำจิตให้เป็นสมาธิเพื่อให้จิตสำนึกของเราสงบเสียก่อนแล้วเราก็เดินทางลึกลงไปสุ่จิตใต้สำนึก เดินทางลึกลงไปทุกทีๆจนเข้าไปสู่จิตไร้สำนึก นี่เป็นวิธีทำสมาธิด้วยตนเอง อีกวิธีหนึ่งเป็นการทำจิตให้เป็นสมาธิโดยมีผู้ชักนำไป วิธีนี้เรียกว่า Hypnosis ซึ่งเรามาแปลว่าเป็นการสะกดจิต ทำให้ดูเป็นเรื่องน่ากลัวเมื่อผู้ถูกสะกดอยู่ใน trance หรือจิตเป็นสมาธิแล้ว ผู้สะกดก็จะสั่งให้เดินทางถอยหลังไปสู่อดีตทีละขั้นทีละตอน ที่เรียกว่า Hypnotic Regression ถอยอายุไปเรื่อยๆจนถึงสมัยเด็ก สมัยทารก ตอนอยู่ในครรภ์ แล้วกลับไปสู่ชาติก่อนๆในอดีต...
(มีต่อ)

หมายเลขบันทึก: 253850เขียนเมื่อ 6 เมษายน 2009 17:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 06:06 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

ชาติหน้าและชาตินี้มีจริง ... ปัจจัยความเชื่อหนึ่งที่จะทำให้มนุษย์ประกอบกรรมดี ครับ

ขอบคุณครับ :)

จิต เป็นพลังงานรูปหนึ่ง

พลังงาน เปลี่ยนรูปไปมาได้ แต่ไม่สูญหายไปไหน

จิต สะสมกรรมจากการกระทำ เข้าไปลึกจนเป็น ไร้สำนึก (Unconscious, Super Mind) นั่นแหละที่ มันอยู่ที่นั่น

ทำสิ่งดี ก็สะสมสิ่งดีๆ

ทำชั่ว ก็สะสมอยู่อย่างนั้น

ขอบคุณ อาจารย์ Wasawat  ทุกอย่างชัดเจนครับ

  • ท่านอาจารย์พันคำนำเสนอเรื่องเหนือจริงอย่างเป็นวิทยศาสตร์พิสูจน์ได้อย่างน่าสนใจมากค่ะ
  • ศิลาเคยอ่านเรื่องแนวนี้ ก็เชื่อนะคะ
  • กายกับจิตแยกกันได้...ลองปฏิบัติดูซิคะ...
  • ขอบพระคุณนะคะสำหรับข้อมูลดี ๆ

ขอบคุณครับ อ.ศิลา

  • "กายกับจิตแยกกันได้...ลองปฏิบัติดูซิคะ"...น่าสนใจครับ พันคำได้ยินเสมอ แต่ต้องค่อยๆเรียนรู้ขอบคุณครับ
  • จิตเป็นพลังงานอย่างหนึ่ง
  • ตอนนี้ทางวิทยาศาสตร์ก็ยอมรับในส่วนหนึ่งแล้ว
  • เมื่อจิตแยกจากกาย
  • ก็เหมือนถ่านไฟฉายที่จะค่อย ๆ หมดแสงและดับไปในที่สุด
  • แต่เรื่องชาตินี้ ชาติหน้า ยังไม่ค่อยแน่ใจค่ะ
  • ว่าแท้จริงแล้วเป็นเช่นไร

ขอบคุณคุณครู วรางค์ภรณ์

  • ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อน พันคำไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถือเป็นแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันนะครับคุณครู
  • ในความคิดเห็นของคุณครูว่า "เมื่อจิตแยกจากกาย >> ก็เหมือนถ่านไฟฉายที่จะค่อย ๆ หมดแสงและดับไปในที่สุด" ก็คือว่า จิตที่เป็นพลังงานนั้น เมื่อออกจากกายแล้ว ก็ค่อยๆดับไป
  • พันคำ ไม่แน่ใจว่า "จิต" จะมีคุณสมบัติแบบ "แสง" ที่เรารู้จักไหม
  • มนุษย์รู้จัก"แสง"ค่อนข้างมาก แสงเป็นพลังงาน อาจแปลงมาจากพลังงานเคมีในถ่านไฟฉาย ถ้าวิ่งในสุญญากาศ ก็เดินทางไปเรื่อยๆ แต่ถ้าในอากาศอาจถูกวัตถุที่ดูดซึมบางคลื่น แล้วบางคลื่นแสงสะท้อนออกมาให้เราเห็นว่าวัตถุมีสีอะไร
  • ถ้าเป็นแสงแรงๆจากแสงอาทิตย์ เดินทางได้ไกลๆ จากดวงอาทิตย์ มาสู่สายตาชาวโลกใน 8 นาที
  • "จิต" อาจมีคุณสมบัติแตกต่างจาก "พลังงานแสง" ก็ได้ มิเช่นนั้นที่ว่า"ถอดจิตได้" คงกลับเข้าร่างไม่ทัน เพราะถูกดูดกลืนไปกับวัตถุที่อยู่รอบๆ
  • ????

สวัสดีค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ

สนใจเรื่องเหล่านี้

จะรออ่านตอนต่อไปค่ะ

อันนี้คิดเล่นๆครับ

  • ตกลงว่า จิต เป็นพลังงาน 
  • จิต สะสม "กรรม"
  • กรรมดี กรรมชั่ว อาจมีพลังงานต่างกัน/ และสภาพขั้วต่างกัน??
  • จิต ที่สะสมกรรมดีมากๆ อาจมีพลังงานดีที่แรง แล้วเดินทางไปอีกที่หนึ่ง
  • จิต ที่สะสมกรรมชั่ว อาจมีพลังงานที่มีทิศทางไปตรงข้าม ดังนั้นเคลื่อนไปอีกที่หนึ่ง

ต่อความคิด (ส่วนตัว)

สำหรับ สภาวะ นิพพาน คือ จิต ไม่สะสมกรรมอะไร (บริสุทธิ์แท้จริง)

neutrality

ออกจากร่าง ไม่ไปไหน แตกดับสลายไป ไม่เวียนว่าย

 

ขอบคุณครับ คุณตันติราพันธ์

ที่กรุณามาเยี่ยมและทักทาย ขอเวลาพันคำนิดนะครับ พันคำจะลงอีกตอนเร็วๆนี้ครับ

แต่ต้องเรียนให้ทราบว่า ตอนท้ายของบทความครั้งหน้าคุณหมอว่า คุณหมอจะเขียนอีกตอนหนึ่ง---แต่พันคำไม่มีวารสารฉบับต่อจากนี้ครับ :(

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท