วันหนึ่งคุยกับรุ่นน้องที่เรียนปริญญาเอกที่ประเทศสวีเดนผ่านทาง MSN
ผมก็ตั้งชื่อนามสกุลใน MSN ว่า ฉันทะหายไปไหน หาไม่เจอ?
(ใครที่เล่น MSN จะพอนึกออกใช่ไหม หลังชื่อจะมีที่ให้เขียนอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ อันนั้นผมเรียกว่านามสกุล :> )
รุ่นน้องทักมาว่า
หลวงปู่ชาท่านสอนว่า "ขี้เกียจก็ปฎิบัติ ขยันก็ปฎิบัติ"
แล้วรุ่นน้องก็บอกต่ออีกว่า
"เรียน PhD มันเบื่อจะตาย ต้องเอาธรรมะมาประยุกต์ใช้กับการเรียน ถ้ารอมีฉันทะแล้วค่อยทำค่อยเขียน มีหวังไม่จบพอดี"
เราปิ้งเลย
เวลาที่เรารู้สึกเบื่อ มักคิดว่ารอมีอารมณ์ก่อนค่อยทำ ค่อยเขียน ช่วงนี้ไม่มีรมณ์ ไม่มี feel ค่อยทำดีกว่า เดี๋ยวดูทีวีก่อน เดี๋ยวอาบน้ำก่อน เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วทำแน่ ฯลฯ
(มักเป็นกันทุกคนสำหรับคนที่กำลังทำ + เขียนวิทยานิพนธ์)
แหม เข้าใจหาเหตุผลมาสนับสนุนให้ขี้เกียจจริงหนอ จิต
แล้วเวลาก็จะผ่านไปอย่างรวดเร็ว
(เร็วจิ นี่เรียนมาตั้งหลายปีแล้วยังไม่ถึงไหน ฮือ ๆ ๆ มิน่า ตรูไม่จบสักที....)
เลยปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่ ไม่ต้องรอมันแล้ว ฉันท้ง ฉันทะ
ขี้เกียจก็ต้องขยันเรียน PhD ขยันก็ต้องเรียน เขียน PhD (อันนี้ของตาย)
หลวงพ่อปราโมทย์ท่านสอนว่า "ไม่ได้ห้ามขี้เกียจ แต่ขี้เกียจให้รู้ว่าขี้เกียจก็ถือว่าได้ปฎิบัติแล้ว"
เราก็น้อมนำมาใช้กับการเรียน
ขี้เกียจรู้ว่าขี้เกียจ (นี่ ได้ปฎิบัติธรรมแล้ว) แต่รู้แล้วก็ต้องไปเขียนด้วย (นี่ กำลังสอง ผลพลอยได้คือได้เขียนเกี่ยวกับ PhD ด้วย)
ขี้เกียจเนี่ยเป็นกิเลสยืนพื้นเลย ใครที่ขี้เกียจ (ในเรื่องเรียน) จะ ป 1 หรือ ป เอก เอาคาถานี้ไปใช้ก็ได้นะครับ :)
ปล. ช่วงนี้นาน ๆ มาเขียนครั้งหนึ่ง (เอะ นี่ ขี้เกียจอีกแล้ว ฮืม...ขี้เกียจยืนพื้นจริง ๆ ด้วย) อาจจะไม่ได้แวะไปอ่าน blog เพื่อน ๆ เท่าไหร่ หรือ บางทีแวปไปอ่านแต่อาจจะไม่ได้ comment นะครับ
มาชม
เออ...เห็นด้วยละ
อาจารย์เก๋คะ
โดนใจเปะ ถูกใจปั๊บ
จะนำไปปรับใช้เช่นกันค่ะ วันก่อนเพิ่งรู้สึกว่าเป็นนศ.ป.โท วันนี้ผ่านไป 1 ปี ความคืบหน้าของวิทยานิพนธ์ยังวิ่งอยู่บนหลังเต่า เพราะสร้างเงื่อนไขชีวิตให้ตัวเองเยอะไปค่ะ
งานนี้ตั้งมั่นตั้งใจเริ่มต้นใหม่ ตัดเงื่อนไขออกแล้วก็ต้องลงมือทำอย่างรวดเร็ว
ขอบคุณอาจารย์มากค่ะ ที่จุดประกายให้เห็นแสงสว่าง ^_^
แวะมาเยี่ยม และ ขอบคุณสำหรับข้อธรรมดีดีของครูบาอาจารย์ครับ..
ขอบคุณคุณ umi ที่แวะมาเยี่ยมนะครับ
น้องมะปรางเปรี้ยว เรียนโทเพิ่งผ่านไป 1 ปี ยังมีเวลาชิว ๆ ไปก่อนได้ ไม่ต้องรีบ :)
คุณ Phornphon ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมเช่นกันครับ ปกติไปอ่านธรรมะดี ๆ ที่ blog คุณ Phornphon เหมือนกัน :)
สวัสดีค่ะคุณ Aj Kae ไม่ได้เจอกันนานเลยค่ะ
ดิฉันเห็นด้วยกับธรรมะข้อนี้ค่ะ คือ ให้เรามี "ตัวรู้" เพื่อให้เกิดสติทุกขณะ
และจะนำธรรมะข้อนี้เป็นแนวทางในการทำงานค่ะ ขอบคุณค่ะ
อ.เก๋ มาชม สมชื่อจริงๆค่ะ
ขอบคุณ คุณดวงเด่นที่แวะมาเยี่ยมนะครับ
ตัวรู้ผมยังไม่มีเลยครับ hi hi
ขอบคุณ อ.ภก. สุรศักดิ์ เสาแก้ว Pharm.D. และ krutoi ที่แวะมาเยี่ยมชมและแสดงความคิดเห็นครับ
ต้องไปขอบคุณรุ่นน้องคนนี้ที่เติมไฟให้ชีวิตการเรียน :)
-_-"
ปัญหาคือขี้เกียจแล้วยังโง่เนี่ยสิ ทำไงได้บ้าง
เฮ้อ...
ปัญหาคือขี้เกียจแล้วยังโง่เนี่ยสิ ทำไงได้บ้าง <--- เหมาะไปเที่ยวฮ่องกงให้ใจโล่งก่อนแล้วกลับมาเขียนใหม่ รับรองเขียนชิวเลย อ.แนน ^^
เอะ ไปฮ่องกงมาแล้วนิ ตอนนี้ก็เหลือแค่เขียนชิวอย่างเดียว
รบกวนนอกเรื่องค่ะ
นิพพานมีสองตัว หมายถึง
ชั่วคราว คือลดกิเลสได้เพียงบางครั้ง
ถาวร แบบพรพุทธเจ้า ไม่มีกิเลสถาวร ไม่มีการเวียนวายตายเกิด
เป็นการเข้าใจถูกไหมค่ะ
แบบว่าถ้าหนูเข้าใจผิดยินดีขอคำชี้แนะเพิ่มเติมค่ะ
ตามมาขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมบล็อกค่ะ
สวัสดีค่ะ อ.
ตามมาขอบคุณค่ะ
หนูได้แก้ไขคำว่านิพพานแล้วค่ะ ใช่ค่ะ มี พ2ตัวค่ะ
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
อนุโมทนาเช่นกันค่ะ
เข้ามาเยี่ยมค่ะ
ขี้เกียจก็รู้ว่าขี้เกียจก็จะหายขี้เกียจ ที่ไม่หายขี้เกียจน่าจะเกิดจากคิดว่ารู้จิตรู้กายแต่ความจริงไม่รู้ตัวมากกว่านะคะ
สวัสดีครับคุณ berger0123 ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมนะครับ ปกติตามไปอ่านที่ blog อยู่เรื่อย ๆ ครับ :)
ขอบพระคุณ พ.ญ. อัจฉรา เชาวะวณิช ที่แวะมาเยี่ยมและให้คำแนะนำครับ ที่ไม่หายขี้เกียจคงเป็นอย่างที่คุณหมอบอกจริง ๆ
หลวงพ่อท่านแนะนำว่าจิตไม่ตั้งมั่น และจิตไปรู้อยู่นอก ๆ ไปจ้าอยู่ข้างนอก ไม่ยอมรู้กายรู้ใจตัวเองครับ
ขอบพระคุณคุณหมออีกครั้งครับ :)
สวัสดีค่ะ
อาจารย์เคย อ่านหนังสือเรื่องพลังบุญไหมค่ะ
สวัสดีค่ะ พอดีแวบๆๆมาอ่านนะค่ะ
รู้สึกว่า จะไม่ขยันปนกับขยันนะค่ะ
ก็สวัสดี วันเข้าพรรษาเลยละกัน
ทำบุญ ทำบุญ นะค่ะ
ไม่ได้ทักทายกันนานค่ะ
สบายดีไหมค่ะ