ครูฉิ้น บัวบาน : นักข่าวพลเมืองแห่งแดนทะเลน้อย
โดย
สุจิตรา หนูชู
ธนพร อุเทนพันธ์
พิยดา พิชัยยุทธ
วัชรินทร์ รุ่งทอง
นายฉิ้น บัวบาน หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม “ครูฉิ้น” เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2498 ณ ตำบลทะเลน้อย อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ครูฉิ้นเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อปกป้องดินแดนทะเลน้อยอันเป็นถิ่นฐานบ้านเกิด จากกระแสสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
การสื่อสารของครูฉิ้นเพื่อแดนทะเลน้อย
ครูฉิ้นได้เริ่มต้นบทบาทของการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของทะเลน้อยด้วยตนเองเพียงลำพัง อาศัยความรู้และความชำนาญของตนเองในการเลือกใช้สื่ออย่างหลากหลายเพื่อเป็นการกระตุ้นให้คนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสู่การช่วยกันอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของทะเลน้อย จนมีโอกาสเข้าสู่การเป็นนักข่าวพลเมือง ที่เป็นการทำข่าวของชุมชนและเพื่อชุมชน
แนวคิด / แรงบันดาลใจ : กว่าจะเป็นนักข่าวของชุมชน
พื้นเพเดิมครูฉิ้นเป็นคนตำบลทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง โดยตั้งแต่ตอนเด็กๆ ครูฉิ้นได้สัมผัสและผูกพันกับวิถีธรรมชาติมาโดยตลอด จนกระทั่งสามารถมองเห็นถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลงของทรัพยากรในพื้นที่อย่างเป็นลำดับขั้น ซึ่งกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ครูฉิ้นบอกว่า “ทุกๆ ปีทรัพยากรทางธรรมชาติของ
ทะเลน้อยจะถูกทำลายเรื่อยๆ มีความเปลี่ยนแปลงไปในทางลบ ทั้งการลดลงของทรัพยากรที่เกิดจากการบุกรุกและการทำลายของชาวบ้านในพื้นที่ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ รวมถึงกลุ่มนายทุนผู้แสวงหาผลประโยชน์” ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตำบลทะเลน้อยเป็นแรงบัลดาลใจให้ครูฉิ้น ต้องลุกขึ้นมาเพื่อทำอะไรสักอย่าง เนื่องจากไม่สามารถทนเห็นสภาพการทำลาย การช่วงชิงผลประโยชน์สาธารณะ ซึ่งเป็นพื้นที่บ้านเกิดของตน เอาเป็นทรัพย์สินส่วนตัว
นักข่าวของชุมชน
จากสถานการณ์ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชนทะเลน้อย ทำให้ครูฉิ้นครูผู้ที่มีความรักและสนใจในเรื่องของทรัพยากรธรรมชาติมาตั้งแต่ต้น ได้ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาที่เกิดขึ้นและคิดหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยเริ่มต้นจากวิเคราะห์และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุของปัญหา จนนำมาสู่การใช้สื่อในการรณรงค์อย่างเข้มข้นและเป็นรูปธรรม เพื่อให้คนหันมาใส่ใจและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมในทะเลน้อย ทั้งสิ่งที่อยู่ไกลตัวและใกล้ตัว โดยมุ่งเป้าหมายไปที่คนในชุมชนในเขตพื้นที่ห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย
ในปี พ.ศ. 2527 ครูฉิ้นได้เริ่มการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมของทะเลน้อย โดยเริ่มจากการหารือร่วมกับนักเรียนชั้นมัธยมปลายของโรงเรียนพนางตุง เพื่อต้องการให้นักเรียนเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญเพื่อเป็นกลไกหลักในการสื่อสารกับคนในครอบครัว และสมาชิกในชุมชน โดยการตั้งคำถามถึงประเด็นปัญหา
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นกับทะเลน้อย เพื่อให้นักเรียนคิดวิเคราะห์และต่อยอดคำถามนั้น จนทุกคนรับรู้และเข้าใจตรงกันว่าปัญหานั้นเป็นปัญหาของทุกคน และหันมาอนุรักษ์และฟื้นฟูทะเลน้อยร่วมกัน
จะเห็นได้ว่าครูฉิ้นเริ่มต้นการฟื้นฟูและอนุรักษ์ทะเลน้อยผ่านการใช้สื่อบุคคล ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของครูฉิ้นเอง ในการเป็นกระบอกเสียงเพื่อนำเสนอสภาพปัญหาไปสู่คนในชุมชน เพื่อเป็นการกระตุ้นให้คนในชุมชนได้รับทราบถึงสภาพปัญหาและหันมามีจิตสำนึกในการร่วมกันอนุรักษ์ทะเลน้อยอันเป็นบ้านเกิดของทุกคน
ไม่เพียงแต่การใช้สื่อผ่านตัวบุคคลเท่านั้น ในการฟื้นฟูและอนุรักษ์ทะเลน้อยครูฉิ้นยังได้ทำโปสเตอร์ ป้ายประกาศ และจดหมายข่าวของชุมชนทะเลน้อย แต่จดหมายข่าวก็ไม่ใช่สื่อที่เหมาะสำหรับชุมชนนี้ เนื่องจากจดหมายข่าวไม่เป็นที่สนใจของคนในชุมชน คนในชุมชนไม่ให้ความสำคัญกับการอ่านมากนัก ครูฉิ้นจึงแก้ปัญหาโดยการให้เด็กนักเรียนอ่านจดหมายข่าวให้คนในครอบครัวฟัง พร้อมทั้งติดตามผลด้วยวิธีการให้เด็กจดบันทึกการกระจายข่าวสาร จะเห็นได้ว่าครูฉิ้นได้พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้คนในชุมชนได้รับทราบข้อมูลที่ครูฉิ้นพยายามนำเสนอและหันมามีส่วนร่วมในการฟื้นฟูและอนุรักษ์
นอกจากนี้หอกระจายข่าวยังเป็นสื่ออีกช่องทางหนึ่งที่ครูฉิ้นนำเอามาใช้ แต่ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบหอกระจายข่าวไม่ได้เห็นถึงความสำคัญในสิ่งที่ครูฉิ้นต้องการนำเสนอ
ครูฉิ้นได้พยายามใช้สื่อในรูปแบบต่างๆ ข้างต้นอย่างเข้มข้นตลอดระยะเวลา 10 กว่าปี ซึ่งก็มีทิศทางการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แต่ครูฉิ้นก็ไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น
ต่อมาในปี พ.ศ. 2539 พื้นที่ทะเลน้อยได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ (Wetland Inter) เป็นพื้นที่แรกของประเทศไทย เมื่อวันที่ 31 กันยายน เมื่อโครงการนี้เข้ามาก็ได้งบประมาณในการพาคนชราในชุมชนไปศึกษาดูงานที่ป่าพรุโต๊ะแดงที่จังหวัดนราธิวาส สาเหตุที่เลือกคนชราเป็นกลุ่มเป้าหมายในการศึกษาดูงานในครั้งนี้ เนื่องจากคนชราเหล่านี้ ในอดีตเคยเป็นผู้ที่มีส่วนทำลายป่าพรุ (ป่าเขียว) และมองเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของป่าพรุมากที่สุด เพื่อที่จะให้กลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ได้กลับมาเป็นสื่อในการพูดคุยกับคนรุ่นหลังในชุมชนในการร่วมอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าพรุ
วิธีการศึกษาดูงานถือเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ครูฉิ้นใช้เป็นสื่อ ในการถ่ายทอดให้กับกลุ่มเป้าหมายได้รับทราบถึงสภาพปัญหา โดยครูฉิ้นมองว่าการศึกษาดูงานจะทำให้มองเห็นแนวทางในการพัฒนาและสามารถนำกลับมาประยุกต์ใช้กับการฟื้นฟูป่าพรุทะเลน้อย
ปี พ.ศ. 2545 ครูฉิ้นได้ทำสื่อเป็นชุดการเรียนรู้เรื่องการฟื้นฟูและการอนุรักษ์เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย สำหรับเด็กชั้นประถมศีกษา ที่ประกอบด้วย โปสเตอร์ วีดิโอ เทป บรรจุเป็นกล่องและแจกตามโรงเรียนที่อยู่บริเวณเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยเป็นหลัก
จะเห็นได้ว่าชุดการเรียนรู้เป็นสื่อที่ครูฉิ้นทำขึ้น โดยมุ่งส่งสารไปยังกลุ่มเป้าหมายกลุ่มใหญ่ที่เป็นเด็กนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษา ภายในบริเวณเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมาย อันเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์ตั้งแต่วัยเด็ก
ปี พ.ศ. 2548 ครูฉิ้นได้มีโอกาสเข้าไปจัดรายการวิทยุของ อสมท. เรื่องการอนุรักษ์ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และแผนแม่บทชุมชน เนื่องจากครูฉิ้นมีความสนใจด้านสิ่งแวดล้อม และเล็งเห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ทะเลสาบสงขลาสามารถเชื่อมโยงมาสู่ปัญหาของทะเลน้อยได้เช่นกัน โดยครูฉิ้นได้ใช้งบประมาณส่วนตัวในการเช่าชั่วโมงสำหรับการออกอากาศ แต่ก็ทำได้ไม่นาน เนื่องจากไม่สามารถสู้ราคาในการเช่าชั่วโมงออกอากาศได้
ถึงแม้วิทยุชุมชนจะเป็นสื่อที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ทุกเพศทุกวัย แต่มีข้อจำกัดในเรื่องของงบประมาณที่มีราคาสูง ประกอบกับขาดผู้สนับสนุนในด้านงบประมาณ ทำให้ครูฉิ้นไม่สามารถใช้สื่อชนิดนี้ต่อไปได้
จากการที่ครูฉิ้นได้เลือกใช้สื่อในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นบุคคล จดหมายข่าว โปสเตอร์ ป้ายประชาสัมพันธ์ หอกระจายข่าว การศึกษาดูงาน สื่อการเรียนรู้ และวิทยุชุมชน ก็ล้วนที่จะมุ่งให้กลุ่มเป้าหมายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยการหันมาอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่ห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย
ครูฉิ้นจึงเปรียบเสมือนนักข่าวของชุมชน ที่คอยแจ้งข่าวสาร และสะท้อนปัญหาของชุมชนออกมาในฐานะคนในพื้นที่ที่มีความรักและหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของทะเลน้อย
ย่างก้าวสู่การเป็นนักข่าวพลเมือง
หลังจากที่ครูฉิ้นได้มีโอกาสสื่อสารกับคนในชุมชนโดยการใช้สื่อในรูปแบบต่างๆ แล้ว ครูฉิ้นก็ได้มีโอกาสผันตัวเองสู่การเป็นนักข่าวพลเมืองอย่างเต็มตัว
ในปี พ.ศ. 2550 ไทย PBS มีแนวคิดเพื่อต้องการให้ประชาชนใช้เป็นสื่อช่องทางในการเสนอข่าวสารในชุมชน ซึ่งก็สอดคล้องกับความต้องการของครูฉิ้นที่ต้องการนำเสนอสภาพปัญหาของทะเลน้อย ให้สังคมภายนอกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับรู้ถึงปัญหาและหันมาใส่ใจและร่วมกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
ครูฉิ้นเชื่อว่า การใช้สื่อทางโทรทัศน์นั้นเป็นสื่อที่มีอิทธิพลและมีคุณภาพที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด ทั้งตัวบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สื่อโทรทัศน์สามารถเข้าถึง / กลุ่มเป้าหมายได้ดีที่สุด เพราะเป็นสื่อที่ได้รับความนิยมและแพร่หลายในสถานการณ์ปัจจุบัน
“เพราะครูเห็นว่า ทีวี จะเป็นสื่อที่มีอิทธิพลและคุณภาพมากที่สุด สามารถเข้าถึงคนได้มากที่สุด เพราะคนชอบดูทีวี ประมาณร้อยละ 80 ตาได้ดู หูได้ฟัง เป็นสื่อที่มีคุณภาพ และเป็นสื่อที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด”
ครูฉิ้นได้เริ่มต้นการทำข่าว โดยได้ร่วมมือกับเด็กนักเรียนระดับ ม.ปลาย ที่โรงเรียนอุดมวิทยายนต์ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของครูฉิ้นเอง จำนวน 8 คน เพื่อจะได้ร่วมกันขับเคลื่อนการแก้ปัญหาได้ดียิ่งขึ้น โดยได้ส่งเด็กไปเข้ารับการฝึกอบรมเรื่องการทำสื่อ ทำสารคดี การตัดต่อที่ไทย PBS จัดขึ้น “ ไทย PBS เขาคิดว่ามีข่าวอีกมากที่นักข่าวเข้าไม่ถึง ส่วนสถานีที่มีอยู่แล้ว “ข่าวร้ายออกฟรี ข่าวดีเสียเงิน” ตัวครูเองเป็นนักข่าวพลเมืองที่ทำเกี่ยวกับข่าว มีรายละเอียดสรุปภายใน 2 นาที เขาฝึกอบรมให้ทำทุกอย่าง ”
ครูฉิ้นได้เริ่มการทำข่าวเรื่องแรก คือ เรื่องหมอชาวบ้าน เรื่องต่อมา คือ เรื่องควายทะเล ที่ครูฉิ้นต้องการสะท้อนให้เห็นว่า เมื่อเกิดปัญหาน้ำท่วมความจะไม่มีหญ้ากินเลยต้องดำน้ำไปกินหญ้าใต้น้ำ เพื่อความอยู่รอดของชีวิต อันเกิดมาจากความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติของทะเลน้อย เรื่องต่อมา คือ เรื่องปาล์มยิกควาย ครูฉิ้นต้องการสะท้อนให้เห็นว่า ได้มีนายทุนเข้ามาลงทุนทำสวนปาล์มลุกล้ำเข้ามาในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยมากขึ้น จนแปรสภาพจากพื้นที่ป่าเสม็ดที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติกลายเป็นสวนปาล์มที่เป็นธุรกิจของมนุษย์ และเรื่องสุดท้าย คือ เรื่องผักกะเฉด ที่ครูฉิ้น ต้องการสะท้อนให้เห็นว่า ผักกะเฉดเป็นพืชที่ขยายพันธุ์เร็วในทะเลน้อย ซึ่งผักกะเฉดจะมีรากลึกลงไปในดินใต้น้ำทำให้เรือไม่สามารถแล่นผ่านได้ สัตว์น้ำก็จะน้อยลงไป
ข่าวทั้ง 4 เรื่องที่ครูฉิ้นได้นำเสนอในรายการที่นี่ทีวีไทย ที่ออกอากาศในวันจันทร์ – ศุกร์ ในระยะเวลา 2 นาที ซึ่งล้วนแต่ต้องการสะท้อนให้เห็นถึงสภาพปัญหาในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย ทั้งที่เป็นปัญหาที่เกิดในชุมชนเอง และเป็นปัญหาที่เกิดจากภาจนอกชุมชนที่ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติของทะเลน้อยเสื่อมโทรมลง
ผลจากการนำเสนอข่าวทั้ง 4 เรื่องของครูฉิ้น ทำให้คนทั้งภายในและภายนอกชุมชนรับทราบข้อมูลข่าวสารที่ครูฉิ้นต้องการนำเสนอ ซึ่งก็ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น หน่วยงานท้องถิ่นมีการตื่นตัวสำหรับการเข้ามารับผิดชอบในการแก้ไขปัญหามากขึ้น คนในชุมชนก็มีทิศทางในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสู่การอนุรักษ์มากยิ่งขึ้น “ครูได้เอารูปถ่ายให้ สมเด็จพระเทพฯดู หน่วยงานต่างๆ ก็เต้นผางๆ เรื่องผักกระเฉดก็เมื่อออกทีวีแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น อบจ. กรมเจ้าท่า พาณิชย์ราชนาวี และทางอำเภอก็ออกมาจัดการ และเรื่องปาล์มยิกควาย เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยก็ได้ทำการตรวจสอบการบุกรุกการทำสวนปาล์มของนายทุนมากขึ้น”
จะเห็นได้ว่าการสื่อสารของครูฉิ้นที่เลือกใช้โทรทัศน์เป็นสื่อช่องทางนั้น เป็นวิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่มีจำนวนมาก สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ทุกเพศทุกวัย เนื่องจากสื่อโทรทัศน์เป็นสื่อช่องทางที่เป็นที่นิยมของคนในปัจจุบัน กลุ่มเป้าหมายสามารถรับรู้ รับทราบข้อมูลผ่านสื่อด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 2 ด้าน ทั้งตาดู หูฟัง และกลุ่มเป้าหมายเหล่านั้นสามารถรับทราบข้อมูลได้พร้อมกันและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน สื่อโทรทัศน์เป็นสื่อช่องทางที่มีอิทธิพลจนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนในชุมชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการหันมา ร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของทะเลน้อย ทั้งนี้สื่อโทรทัศน์เป็นสื่อที่ครูฉิ้น เลือกใช้ ทำให้ประสบความสำเร็จและได้รับการตอบรับจากชุมชนและหน่วยงานมากที่สุด
ปัจจุบันของครูฉิ้นกับบทบาท “ครูนักอนุรักษ์”
ปัจจุบันครูฉิ้นยังคงเดินทางบนเส้นทางแห่งอุดมการณ์ของตนเอง ในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างไม่หยุดยั้ง
จากความพยายามของครูฉิ้นในการใช้สื่อต่างๆ สำหรับมุ่งเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนในชุมชน ทำให้คนในชุมชนหลายคนหันมาให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกับครูฉิ้น
มากขึ้น
ครูฉิ้นผู้ชนะสิบทิศ