ต้นไม้...สองต้นนี้สะดุดตาข้าพเจ้ามาก
ขณะที่ปั่นจักรยานไปตามทางแถวแปลงเกษตร...ต้นไม้ต้นหนึ่งสูงตระหง่าน แต่ไม่มีใบสักใบ ในขณะเดียวกันที่ต้นเล็กอิงแอบอยู่ข้างๆ หากมีสีเขียวเต็มบ่งบอกถึงความชุ่มชื่น ...
ไม่ว่าจะหันไปมองทางไหน ต่างจะเห็นความเป็นเฉกเช่นนี้
ภาพที่ข้าพเจ้ามองนั้น รู้สึกได้ว่าช่างเป็นความเกื้อหนุนกันและกันของธรรมชาติ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย นี่เป็นความสัมพันธ์กันของสรรพสิ่งที่ได้มาเจอและร่วมอยู่ภายใต้สภาวะธรรมชาติ "ร่วมทุกข์-ร่วมสุข" ...
และเป็นประเด็นที่ข้าพเจ้าใช้บอกกล่าวและแลกเปลี่ยนต่อน้องขวัญ...ให้น้อมใจลงมองความดีงามของเพื่อน เราใช้เวลานานมากกว่าน้องขวัญจะค้นหาความแง่งามของเพื่อนได้... แทบนึกไม่ออกทั้งๆ ที่ร่วมเป็นเพื่อนกันมานานสองสามปี แต่ "ใจ" นี้ต่างคอยเพ่งมองแต่ความไม่ดีของเพื่อน
ขวัญเล่าว่า... อยู่ๆ เพื่อนก็ไม่พูดด้วย...
จนมาวันหนึ่งที่ตัวเองทนไม่ได้ จึงได้ไปถามเพื่อนอย่างแบบให้รู้ดำรู้แดงไปเลย ทำให้เกิดเป็นความขุ่นในใจของทั้งสองฝ่ายเกิดขึ้น... ณ ขณะนั้นน้องก็เฝ้าพร่ำบอกแต่ความไม่ดีของเพื่อน ... ข้าพเจ้าให้น้องหยุดเล่า และหายใจอย่างตามดูรู้ทันว่า ขณะนั้นการหายใจของตนเองเป็นอย่างไร จนความสั่นสะเทือนทางอารมณ์...เบาเบาลง จึงได้ร่วมกันน้อมใจค้นหาความดี ความแง่งามของเพื่อน...
ข้าพเจ้าเล่าเรื่องราวของตนเองให้ฟังว่า...
"จักรยานที่จอดเรียงกันอยู่สามคันของข้าพเจ้านั้น...เขามีความงดงามแตกต่างกัน ไม่เหมือนกันและเปรียบเทียบกันไม่ได้ ทุกครั้งไม่ว่าจะนำคันไหนออกไปปั่น...ต่างล้วนให้เกิดเป็นความรู้สึกมีความสุข เขานำพาความสุขมาให้เพื่อหล่อเลี้ยงใจเรา ณ ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่... คุณค่าของเขาจึงมีมากในใจของข้าพเจ้า ไม่ว่าจะเจ้าคันล้อเล็ก ล้อใหญ่ คันโบราณ หรือแม้แต่คันที่ดูท่าป่วยเพราะสละอะไหล่สำคัญให้เจ้าน้องหนุ่ย... แต่นั่นคุณค่าของเขาก็ไม่ได้ลดลงไปจากในใจข้าพเจ้า"...
ระหว่างเล่านั้น เจ้าน้องขวัญดูเบิกบานขึ้น... เอาล่ะ "อย่างน้อยเพื่อนเราก็มีหน้าตาดี ทำให้เรามองดูแล้วสบายตา ..." นั่นนะทำให้เราพี่น้องได้หัวเราะร่วมกันได้อย่างเบิกบาน...
เมื่อหวนนำภาพต้นไม้ที่ถ่ายเมื่อตอนเย็นที่ออกไปปั่นจักรยานนั้น...มาดูอีกครั้ง
ทำให้มองเห็นเป็นความแง่งาม ที่สรรพสิ่งต่างปฏิเสธกันและกันไม่ได้ "ต้นไม้" สองต้นนี้ไม่ได้เป็นเจ้าของกันและกัน ครอบงำกันและกัน...แต่หากร่วมอยู่เป็นเพื่อนกันและกัน เพื่อนต้นใหญ่พยุงตนเองไว้ด้วยการผลัดใบ เมื่อผลัดใบ...ก็ไม่ต้องอาศัยความชุ่มชื่นมากนัก... ความชุ่มชื่นนั้นจึงพอได้พอมีสำหรับเจ้าต้นเล็กบ้าง... จึงทำให้เขาพอได้มาอิงแอบด้วยภาพลักษณ์ที่งามแห่งต้นไม้เขียว
แต่เขาจะเขียวไม่ได้เลย...หากเขาไม่ได้เพื่อนที่ร่วมสภาวะทุกข์-สุขที่ต้องเผชิญ "ความร้อน" ลม..หรืออาจเป็นพายุฝนก็ได้ในค่ำคืนนี้ดั่งเช่น "ต้นเล็ก-ต้นใหญ่"... และข้าพเจ้าเชื่อว่า เจ้าต้นเล็ก-ต้นใหญ่นี้ก็ยังดำรงอยู่เคียงข้างกัน จนความแตกดับมาพรากจากกันไม่ต้นใดก็ต้นหนึ่งนั่นแหละ...
...ณ ขณะนั้นน้องก็เฝ้าพร่ำบอกแต่ความไม่ดีของเพื่อน ... ข้าพเจ้าให้น้องหยุดเล่า และหายใจอย่างตามดูรู้ทันว่า ขณะนั้นการหายใจของตนเองเป็นอย่างไร จนความสั่นสะเทือนทางอารมณ์...เบาเบาลง...
ผมเองเคยฟังคนเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟัง หลายๆ ครั้ง (จริงๆ แล้วทุกครั้ง)
ผมมักจะอินไปกับอารมณ์ความรู้สึกของผู้เล่า
ผมคิดว่ามันก็คงไม่ต่างอะไรกับการที่เราหลงโดดลงไปในกระแสความคิดของตัวเอง
สำหรับผม..ใครก็ตามที่สามารถให้คำปรึกษาแบบนี้ได้จึงถือว่า "ไม่ธรรมดา" ครับ
แถมยังนำพาให้ดูสภาวะที่กำลังเกิดขึ้นสดๆ ได้อีก
ขอคารวะจากใจจริงครับ
สำหรับกระบวนท่านี้
เมื่อ ตัวใหญ่ ก็ต้อง "ให้" ตัวเล็ก
เรื่องราวที่นำมาแบ่งปัน...อย่างใจที่เป็นอิสระจากเรื่องราวนี้ ช่างมีคุณค่า...มากเลยค่ะ
ขอบคุณคุณ ณภัทร๙ มากนะคะที่แบ่งปัน...
ทำให้บันทึกเรื่องเล่านี้...ได้ธรรมชาติมาอิงอาศัยกันและกัน...เพิ่มเข้ามาอีก
(^___^)
เมื่อ ตัวใหญ่ ก็ต้อง "ให้" ตัวเล็ก
พี่ได้ข้อคิดที่ดีมาก สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตได้ค่ะ
คนเราถ้าคิดเหมือนกันไปหมด โลกนี้คงไม่พัฒนานะคะ
คนเราถ้าคิดเหมือนกันไปหมด โลกนี้คงไม่พัฒนา ดังนั้นในสังคมทุกสังคม จะต้องมีคนที่คิดแตกต่างกัน
เมื่อคนเราต้องอยู่ด้วยกัน จะต้องมีการกระทบกระทั่งกัน ทำให้หลายคนขาดความสุข
พี่ชอบประโยคนี้..ที่จะทำให้เราหยุดเล่าสิ่งไม่ดีของคนที่เรารู้สึกไม่ชอบ
หายใจอย่างตามดูรู้ทันว่า ขณะนั้นการหายใจของตนเองเป็นอย่างไร จนความสั่นสะเทือนทางอารมณ์...เบาเบาลง...
เราต้องฝึกคิด ฝึกตามดูอารมณ์ตัวเอง
ขอบพระคุณค่ะพี่แก้ว...
ความแตกต่างต่างก่อให้เกิดการดำเนินไป...แม้แต่ภายในเรายังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แทบทุกขณะจิตเลยทีเดียวค่ะ
หากเราน้อมรับในความแตกต่างและการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอก...รอบด้านเราได้ด้วยใจเบาเบา
จะช่วยทำให้เราแบบพออยู่ได้..พออยู่ได้ในในวิถีปัจจุบันนี้ค่ะ
(^___^)
ชื่นชอบมากจริง-จริง เปรียบเหมือนสิ่งเกื้อหนุนให้ชีวิตมีความหมายเป็นองค์ประกอบของชีวิตแต่ละชีวิตถ้าไม่มีกันและกันเคียงข้างคอยดูแลแบ่งบันประสบการณ์น้อมนำให้กับสภาพเหตุการณ์แต่ละวันของชีวิต ก็คงจะรู้สึกเหงามากเลย เหมือนกับคุ้นๆเลยนะเจ๊ เวลาเจ๊ไม่อยู่ที่ทำงานมันเป็นความรู้สึกนี้เลยล่ะจ๊ะ
กำลังคิดถึงพอดี...เลย
เมื่อสักครู่พี่ส่งเมล์ไปให้แล้วนะคะ...คิดถึงน้องนะ มีสิ่งดีดีไปอวดและบอกเล่าด้วย
(^___^)
คิดถึงอาจารย์kapoom จังเลย เวลามีปัญหาจะหาเวลาไปเข้าห้องน้ำ แปลกแต่จริงค่ะ
ขอบคุณนะคะที่ระลึกถึงกันและกันค่ะ...พี่ณี...
เวลาที่เราปิ๊งแว๊บ...มักเป็นเวลาที่เรามีสมาธิและใจนิ่งเย็นค่ะ
อีกห้วงเวลาหนึ่ง..คือ การเข้าห้องน้ำนั่นน่ะทำสมาธิได้ดีทีเดียวเลยค่ะ
ขอให้สนุกกับการปิ๊งแว๊ป...ไปเรื่อยๆ นะคะ
(^___^)
เป็นกำลังใจให้นะคะ