เปิดม่านสาหรี่


เปิดม่านสาหรี่


(ขอขอบคุณ ดร.หัสดี ประกิ่ง ผู้ให้ข้อมูลการเขียนเรื่องเปิดม่านสาหรี่ในครั้งนี้)

การเดินทางไปดินแดนที่เรียกว่าพุทธภูมินั้น มีเรื่องตื่นเต้นมากมายนับตั้งแต่การขึ้นเครื่องบิน ผู้เขียนขอนำเสนอข้อเขียนจากประสบการณ์จริงของพระภิกษุรูปหนึ่ง ขณะเดินทางไปอินเดียเป็นครั้งแรกเพื่อศึกษาต่อ

 สนามบินดอนเมือง

 "บอกตรงๆว่าตื้นเต้นมากกับการที่จะได้ขึ้นเครื่องบินครั้งแรกในชีวิต.....(วันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๓๖)

          ๐๙.๓๐ น. ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังยืนรออยู่ในคิวของผู้โดยสาร เพื่อเช็คอิน ใจเต้นผิดปกติยังไงไม่รู้ ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นตึกๆๆ

          "เอ๊.....เวลาเครื่องบินมันวิ่งทะยานสู่ท้องฟ้าจะมีความรู้สึกอย่างไรบ้างนา.... มันเหมือนนกบินไหมนา....เอ๊..แล้วนกเวลามันอยู่สูงๆความรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง" นึกไม่ออกจริงๆ

          "ท่านคะ  ท่านคะ" เสียงหวานแหวของพนักงานสาวการบิน มาแทรกเข้าโสตประสาทข้าพเจ้า ความนึกคิดที่มืดมนต้องหยุดชะงักลงทันที

          "ท่านคะ ขอพาสปอร์ตหน่อยคะ" เจ้าหน้าที่สาวการบินไทยบอกเจตจำนงต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายื่นพาสปอร์ตให้ด้วยอาการขวยเขินนิดๆ

มีเพื่อนหลายท่านเสนอให้ข้าพเจ้าย้ายประเทศไปไว้ที่อินเดีย แต่ข้าพเจ้าว่ามันยังไม่จำเป็นถึงขนาดนั้น เพราะกระเป๋าใบใหญ่ตั้ง ๓ใบ น่าจะเพียงพอสำหรับการอยู่ในประเทศอินเดียได้อย่างไม่เดือดร้อนภายใน ๒ ปี ขนาดเรามีกระเป๋าใบใหญ่ ๓ใบแล้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนจึงเสนอให้ข้าพเจ้าย้ายประเทศไทยด้วยก็ไม่รู้ มันหารู้ไม่ว่าการย้ายประเทศไม่ใช่เรื่องเล็ก บางทีเขาอาจห่วงใยเราก็ได้ ในกระเป๋า ๓ ใบนั้นเต็มไปด้วย มาม่า ไวไว แต่ละใบถูกล็อคกุญแจอย่างดี โดยเฉพาะเจ้ากระเป๋าใบใหญ่สีแดง ข้าพเจ้าเอาสบงรัดอีกรอบหนึ่ง เพื่อเป็นจุดเด่นเวลาลงเครื่องบิน จะได้บอกเด็กเก็บกระเป๋าบนเครื่องบินให้เอามาให้ได้อย่างถูกต้อง เช็คอินเสร็จไปนั่งคุยกับญาติโยมและเพื่อนๆที่มาส่งจนได้เวลาขึ้นเครื่อง เจ้าหน้าที่การบินไทยมานิมนต์ ใจเต้น  "ตึกตั๊ก" ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเดินตามเจ้าหน้าที่คนนั้น

          "จะได้ขึ้นเครื่องบินแล้วโวย ดีใจจัง" ข้าพเจ้าตะโกนลั่น แต่เป็นการตะโกนในใจ ขืนตะโกนเป็นเสียงออกมา เขาก็หาว่าข้าพเจ้าเป็นคนบ้านนอกน่ะสิ   จริงๆแล้วข้าพเจ้าเป็นคนบ้านห้วยยาง   อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์    เป็นคนชนบทโดยแท้ ไม่ใช่คนบ้านนอกนะ

          เจ้าหน้าที่การบินไทย พาข้าพเจ้าพร้อมเพื่อนรักอีกสองท่าน ไปที่ห้องผู้โดยสารขาออก เจ้าหน้าที่การบินไทยน่ารักทุกคนเลย อำนวยความสะดวกให้พระอย่างดี ก่อนเข้าห้องพักรอ  ขึ้นเครื่อง เจ้าหน้าที่ประจำห้องพัก ตรวจเช็คผู้โดยสารอีกครั้งหนึ่ง พอตรวจมาถึงพระมหาเสรี ศรีงาม เครื่องตรวจร้อง  อีดๆๆเหมือนถูกเหยียบ

          "อะไรครับท่าน" เจ้าหน้าที่ถามด้วยความอยากรู้

          พระมหาเสรีก็เปิดตัวให้ดู ทั้งเม็ดประคำ ทั้งปลัดขิก ทั้งตะกรุด ทั้งเหรียญหลวงพ่อต่างๆ พร้อมกล้องถ่ายรูปห้อยระย้อยระย้าเต็มตัวไปหมด แถมด้วยรอยสักแมวข้ามห้วยให้เจ้าหน้าดูอีกต่างหาก ดูท่าทางพนักงานการบินไทยอยากจะถามให้มากกว่านี้ แต่ผู้โดยสารท่านอื่นคอยคิวยาวเหยียดไม่สะดวกในการที่จะถามต่อ ก็เลยนิมนต์ให้พวกเราเข้าไปข้างในห้องพัก

          "โอ้โห! เครื่องบินตัวใหญ่จริงๆ แล้วทำไมเวลามันบินอยู่บนท้องฟ้าเหลือตัวเล็กนิดเดียว" ข้าพเจ้าแปลกใจก็เลยอุทานถามตัวเอง สักครู่ต่อมาเจ้าหน้าที่สาวการบินไทยก็มา

          "เชิญผู้โดยสารทุกท่านขึ้นเครื่องได้แล้วคะ" หัวใจของข้าพเจ้าเต้นโครมครามๆ อย่างไม่เป็นจังหวะ เหมือนหมาวิ่งเหยียบบนสังกะสีเก่าๆอะไรทำนองนั้น

          "จะได้ขึ้นเครื่องบินแล้วหรือนี่" พอเท้าก้าวเข้าตัวเครื่องบิน เสียวแว๊ปที่ฝ่าเท้า

          "นิมนต์ทางนี้ค่ะ หมายเลขที่เท่าไรคะ" แอร์โฮลเตสใจดี ถาม พวกเราได้ที่นั่งง่าย เพราะได้รับการช่วยเหลือจากแอร์โฮลเตส หากข้าพเจ้าหาเองคงต้องใช้เวลาเป็นวันแน่ เราทั้ง สามรูปได้ที่นั่งคนละที่ แต่ทั้งหมดติดหน้าต่าง โชคดีมาก หากได้นั่งกลางๆ ข้าพเจ้าคงไม่มีอะไรโม้ให้ผู้อ่านฟังแน่เลย คงไม่รู้จักท้องฟ้า เมฆหมอก เป็นแน่แท้ ข้าพเจ้านั่งเรียบร้อยแล้วก็หันไปเตือนเพื่อนซึ่งนั่งอยู่ข้างหลังด้วยความเป็นห่วง

          "อย่าลืมรัดเข็มขัดนะ เดี่ยวเครื่องขึ้นแล้ว" ข้าพเจ้าเตือนเพื่อนด้วยความหวังดี ทั้งที่ข้าพเจ้าเองก็ไม่เคยเหมือนกัน แต่เขาว่ามาอย่างนั้น จริงๆแล้วท่านผู้รู้ได้แนะนำถึงวิธีรัดเข็มขัดแก่ข้าพเจ้าก่อนที่จะขึ้นเครื่องไม่นานมานี้ แต่เอาจริงๆ ความรู้ที่ข้าพเจ้าเรียนมามันหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ ไม่มาปรากฏในสมองของข้าพเจ้าเลย พยายามสอดเข็มขัดเข้ารูโน้นรู้นี้ แต่ทำไมมันไม่ยักจะอยู่ก็ไม่รู้

          ขณะที่ข้าพเจ้าง่วนอยู่กับเข็มขัด  อยู่นั้น โยมท่านหนึ่งนั่งข้างๆ ก็ช่วยสอดเข็มขัดให้ข้าพเจ้า อยากขอบคุณโยมผู้ใจดีเหลือเกิน แต่เกรงว่า เขาจะฟังภาษาไทยไม่ออก เพราะดูหน้าตาเป็นชาวต่างชาติ ข้าพเจ้าพยายามนึกศัพท์ภาษาอังกฤษที่ร่ำเรียนมาแทบตาย แต่ก็ไม่มีศัพท์ไหนเสนอหน้ามารับใช้ข้าพเจ้าเลย ในยามขับขันเช่นนี้ไม่รู้พากันหนีไปไหนหมด

          "Thank you, I am first flight" ไม่รู้ว่าข้าพเจ้าพูดถูกหรือเปล่า?

          "อ๋อ หลวงพี่บินเที่ยวแรกหรือครับ"  โยมท่านนั้นพูดกับข้าพเจ้าเป็นภาษาไทย ข้าพเจ้าขวยเขินนิดๆ แต่ถึงอย่างไรข้าพเจ้าว่าโยมท่านั้น  แปลความหมายภาษาอังกฤษผิดจากความตั้งใจของข้าพเจ้าแน่นอนเลย

          "ใช่จ๊ะ คุณโยม ครั้งแรกที่อาตมาขึ้นเครื่องบิน" ข้าพเจ้าตอบโยมนั้นไปอย่างภาคภูมิใจ อยากจะถามต่อไปว่า ทำไมคุณโยมจึงพูดภาษาไทยได้ แต่ไม่กล้าถาม

ข้าพเจ้านั่งด้วยความอึดอัด ขยับตัวไม่สะดวก หายใจก็ไม่คล่อง เพราะเข็มขัดรัดแน่นเกินไป แต่ข้าพเจ้าก็ไม่กล้าคลายออก กลัวว่าจะผิดกฎระเบียบการนั่งบนเครื่องบิน โยมคนเดิมเห็นอาการแปลกๆของข้าพเจ้า ก็รู้ว่าต้องการอะไร

          "ท่านไม่ต้องรัดแน่นขนาดนั้นหรอกครับ คลายออกหน่อยก็ได้" คุณโยมท่านนั้นแนะนำด้วยความเอ็นดู โล่งอกไปที นึกว่าเป็นกฎของบินซะอีก

          บอกตรงๆนะว่าเคยอิจฉานก บินไปไหนมาไหนได้อย่างมีความสุขบนท้องฟ้าและเห็นอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะบนท้องฟ้า แต่วันนี้ เป็นของข้าพเจ้า คิดว่านกมันต้องอิจฉาข้าพเจ้าบ้างแหละ

  อาหารบนเครื่องบิน

  แอร์โฮสเตส 

          วันนี้ ข้าพเจ้าอยู่เหนือเมฆ นึกถึงสมัยเป็นเด็กเล็กๆ เคยมองดูเมฆบนท้องฟ้า ชอบจินตนาการให้เป็นตามที่ข้าพเจ้าต้องการ เป็นรูปยักษ์บ้าง เป็นรูปช้างบ้าง และบ้างครั้งก็สงสัยว่า เทวดาจะมีเมฆเป็นของส่วนตัว แล้วขี่ไปโน้นมานี่ได้ตามชอบใจ ตอนนี้ข้าพเจ้าอยู่เหนือเมฆ มองหาเทวดา แต่ก็ไม่ยักเห็น เฮอะ ข้าพเจ้าอยากจะเดินเล่นบนก้อนเมฆ ดูซิว่าเวลาเดินแล้วจะมีความรู้สึกอย่างไร อยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง แล้วมาเล่นก้อนเมฆบนท้องฟ้าที่ทอดด้วยตัวยาวสุดลูกหูลูกตา

          "ขณะนี้ เรากำลังบินอยู่เหนือประเทศพม่า" เสียงเจ้าที่บนเครื่องบินประกาศ

 

บรรยากาศนอกเครื่องบินยามเย็

          ข้าพเจ้าดึงความคิดที่ท่องเที่ยวไปกับก้อนเมฆกลับมา แล้วทอดสายตาไปเบื้องล่าง ดูประเทศพม่าตามที่เจ้าหน้าที่ประกาศ ภาพเบื้องล่างเป็นสีเขียว ชอุ่ม คิดว่าไอ้ที่เขียวๆ นั่นน่าจะเป็นต้นไม้ แต่ทำไมต้นไม้พม่าจึงแตกต่างจากต้นไม้ในประเทศไทย ต้นไม้เมืองไทยเป็นสีเหลือง ตอนที่เครื่องบินทะยานสู่ท้องฟ้า ข้าพเจ้าสังเกตเห็นเป็นเช่นนั้นจริงๆ อาจจะเป็นเพราะว่าดินแดนและอากาศบ้านเราแตกต่างจากประเทศพม่าก็ได้ ช่างมันเถอะ ข้าพเจ้าไม่เคยเอาปัญหาที่พระเจ้าตอบไม่ได้มาคิดพิจารณาให้เปลืองสมอง ข้าพเจ้าปล่อยความคิดไปเรื่องเปื่อย จนเป็นความฝันบนเก้าอี้นุ่มๆของเครื่องบิน มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อกับตันเครื่องบินประกาศว่า "ขณะนี้เรากำลังลงสู่สนามบินกัลกัตต้า"

          สติสตางค์ กลับเข้ามาหาข้าพเจ้าอีกครั้ง ความดีอกดีใจของข้าพเจ้ากลายเป็นความกังวล เป็นห่วงกระเป๋า ๓ ใบ กระวนกระวายนั่งไม่ค่อยเป็นสุข มองซ้ายแลขวาหาเจ้าหน้าที่เครื่องบิน จะได้ฝากบอกเขาช่วยดูแลกระเป๋าให้หน่อย เครื่องบินลดเพดานลงต่ำ ท้องน้อยข้าพเจ้าเสียวเสียวแป๊บ พอล้อเครื่องบินแตะถนนลาดยาวของสนามบิน และชะลอตัวอย่างช้าๆ ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นแขก ก็ลุกพรึบทันที ข้าพเจ้าไม่เข้าใจก่อนเครื่องบินลงสู่พื้น แอร์โฮสเตสก็ประกาศ ให้ผู้โดยสารนั่งอยู่กับที่และรัดเข็มขัดด้วย จนกว่าเครื่องจะจอดสนิท ไม่เข้าใจว่าทำไมแขกจึงลุกทันทีทั้งที่เครื่องบินก็ยังไม่จอดสนิท

 

ริเวณสนามบินดัมดัม เมืองกัลกัตต้า 

 

          หลังจากเครื่องบินจอดสนิทแล้ว ผู้โดยสารทยอยกันออก ส่วนข้าพเจ้ากับเพื่อนยังนั่งอยู่กับที่ ให้ญาติโยมออกไปให้หมดก่อน ลงจากเครื่องบิน แล้วข้าพเจ้ามองหากระเป๋าตัวเอง เดินวนเวียนบริเวณเครื่องบินด้วยความกระวนกระวาย

          "เฮ้ยเส ไหนกระเป๋าของพวกเรา" ข้าพเจ้าถามพระมหาเสรี ด้วยความเป็นห่วงกระเป๋าตัวเอง โดยเฉพาะใบใหญ่สีแดง

          "เองจะไปรู้เรอะ ข้าก็มากับเอง" สำเนียงโคราชของพระมหาเสรีตอบอย่างมีอารมณ์ใส่ข้าพเจ้า

          "ทำไมพนักงานการบินไทยทำงานช้าจัง" ข้าพเจ้าบ่นพึมพำด้วยความหงุดหงิด เดินวนเวียนอยู่แถวเครื่องบินหลายรอบ เจ้าหน้าที่การบินไทยคนหนึ่ง อายุวัยกลางคน ท่าทางภูมิฐานหน้าตาดูใจดี เห็นพวกเราเดินลังเลอยู่ด้วยอาการแปลกๆจึงเข้ามาหาพวกเรา

          "นิมนต์ท่านเข้าไปในตัวอาคารด้านโน้นครับ" โยมท่านนั้นนิมนต์

          "เดี๋ยวโยม อาตมายังไม่ได้กระเป๋าคืนเลย กระเป๋าอาตมาหาย" ข้าพเจ้าฟ้องคุณโยมคนนั้นถึงความไม่เอาไหนของพนักงานการบินไทย

          "อ๋อ..กระเป๋าหรือครับนิมนต์ท่านเข้าไปรับข้างในอาคารหลังโน้นได้เลยครับ" เจ้าหน้าที่คนนั้นบอกพวกเราด้วยยิ้มนิดๆ

          "อ้าวเหรอ ไม่ได้รับจากตัวเครื่องบินหรือคุณโยม"

          "ครับ กระเป๋าทุกใบ เจ้าหน้าที่ยกไปรอเจ้าของอยู่ที่ด้านในตึกแล้วครับ" ข้าพเจ้ากับเพื่อนรักทั้งสอง ก็เดินตามหลังกันต้อยๆ พระมหาเสรีนำหน้าเข้าคิว รอการตรวจจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง แหม...กว่าจะถึงคิวข้าพเจ้านานเหลือเกิน  ทำไมแขกทำงานช้าจังก็ไม่รู้ ข้าพเจ้าบ่นพึมพำให้ตัวเองฟัง รอนานตรงช่องตรวจคนเข้าเมืองแล้วยังไม่พอ ยังต้องมารอรับกระเป๋านานอีกต่างห่าง กว่าจะได้กระเป๋าครบทุกรูปใบ เล่นเอาเหงื่อแตกพลั่กเลย

          เข็นรถกระเป๋าออกมาด้วยหวังว่าได้เจอพระจากพาราณสีมารับ มองหาชะเง้อหาก็ไม่เจอ ใจชักไม่ดี กำลังจะออกจากตัวอาคารอยู่แล้ว เจ้าหน้าที่สนามบินแขกมาเรียกพระมหาเสรีไปหา แล้วชี้ไปที่ย่ามใบโต พร้อมยิงคำถามเป็นภาษาอังกฤษใส่

          "กล้องถ่ายรูป" พระมหาเสรีตอบเป็นภาษาไทยหน้าตาเฉย เขาฟังไม่รู้เรื่อง ก็ย้ำคำพูดเดิมอยู่นั่นแหละ พระมหาเสรีก็เลยเปิดยามให้ดู เห็นเป็นกล้องถ่ายรูป เจ้าหน้าที่ก็ชี้ให้ไปโต๊ะอีกตัวหนึ่งซึ่งอยู่ถัดไป ข้าพเจ้าก็ตามไปด้วย แล้วเราก็ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะคุยกันคนละภาษา ข้าพเจ้านึกด่าพวกเจ้าหน้าที่แขกในใจว่า ทำไมพวกเองไม่เรียนภาษาไทยไว้บ้าง ไปดูประเทศไทยบ้าง เขาพูดกันได้ทั้งบ้านทั้งเมือง

          ขณะที่พวกเราช่วยกันพูดภาษาอังกฤษจนเมื่อยมืออยู่นั้น มีโยมคนหนึ่งเป็นคนประเทศไหนไม่ทราบ ท่าทางใจดี เห็นว่าพวกเราคุยกันไม่รู้เรื่อง จึงเข้ามาช่วยคุยให้ เรื่องทั้งหมดจึงลงเอย เจ้าหน้าที่แขกจดหมายเลขกล้องถ่ายรูปไว้ และจำนวนราคากล้องไว้ในพาสปอร์ตของพระมหาเสรี พวกเราเข็นรถที่พะรุงพะรังด้วยกระเป๋าใหญ่ออกประตูอาคาร ข้าพเจ้าเหลือบไปเห็นพระจากเมืองพาราณสี   สองรูปมารับพวกเราอยู่ข้างนอก

 "รอดตายแล้วกู"

          ข้าพเจ้าใจชื่นขึ้นมาก คิดในใจว่า "รอดตายแล้วกู"




 

หมายเลขบันทึก: 244618เขียนเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2009 13:40 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:21 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

อ่านจนเพลิน  จะกลับบ้านแล้ว มาทักทายค่ะ

เป็นนักเขียนได้เลยค่ะ

ขอบคุณมากครับ ที่แวะมาอ่าน ก็อยากเป็นนักเขียนเหมือนกันน่ะ

เมื่อปี 30 ผมเคยบวชเณรอยู่วัดกลางปักธงชัย เคยเป็นลูกศิษย์หลวงพี่เสรี ยังคิดถึงและระลึกถึงท่านเสมอ......อยากได้เบอร์ติดต่อท่าน รบกวน mail ให้ด้วยนะครับ ที่[email protected]   จะขอบพระคุณอย่างสูงครับ

สวัสดีครับอภิชาติ

ยินดีที่ได้รู้จัก ผมได้ตอบคำถามทางอีเมล์แล้วน่ะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท