เจ้าศรีอโนชา
วีรสตรีผู้มีคุณต่อแผ่นดิน
เจ้าครอกฟ้าสิริรจจา (เจ้าศรีอโนชา) เป็นธิดาของเจ้าฟ้าชายแก้วกับแม่เจ้าจันตาเทวีเป็นขนิษฐาลำดับที่ 5 ของพระเจ้ากาวิละ (เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 1) จากตำนานเจ้าเชื้อเจ็ดตนและหนังสืออนุสรณ์วัฒนมงคล 80 ปี ของเจ้าถวิล ณ เชียงใหม่ ได้กล่าวถึงวีรกรรมอันกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวของพระองค์ท่านไว้ ขอกล่าวเฉพาะในตอนปลายสัมยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
พระยาสรรค์คิดอ่านตั้งตนเป็นใหญ่ เข้ายึดอำนาจไว้แล้วบังคับให้สมเด้จพระเจ้าตากสินออกทรงผนาชพร้อมกับพระราชโอรสที่ยังทรงพระเยาว์อยู่ ขังไว้ที่วัดแจ้ง แล้วขึ้นเป็นกัตริย์แทนเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นเช่นนั้น เจ้าครอกฟ้าศรีอโนชา จึงใช้จดหมายไปหาชาวเมืองที่อพยพมาจากเชียงแสนมาตั้งรกรากอยู่ที่บ้านปากเพรียว (ปัจจุบันคือ ตงปากเพรียว อ.เมือง จ.สระบุรี) จำนวน 300 คน โดยด่วน โดยมีอาญาว่า “ครั้นสูเจ้าทั้งหลายยังอาสาเอาพระยาสรรค์พระยาสิงค์ได้ เมื่อกูมีชีวิตอยู่ กูมิให้สูเจ้าทั้งหลายได้รับราชการเมือง จักให้สุขสะดวกทางการค้าขายกินตามสบาย เว้นไว้แต่กูต้องประสงคืเท่านั้น” ชาวเมืองทั้ง 300 คนนั้นได้รับอาสาจับพระยาสิงค์ และพระยาสรรค์ได้แล้วฆ่าเสีย
เจ้าครอกฟ้าสิริรจจา (เจ้าศรีอโนชา) หงายเมืองได้แล้วก็ใช้ให้ข้าราชการไปเชิญ เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์สองพี่น้องให้ยกทัพกลับมาผ่านพิภพขึ้นเสวยราชย์
เจ้าพระยาจักรี (องค์พี่) เป็นกษัตรีย์วังหลวง สมเด็จพระพุทธเจ้าบรมโกฏ (พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก)
เจ้าพระยาสุรสีห์ (องค์น้อง) ได้พระนามว่า กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (พระมหาอุปราช) วังหน้า เจ้าครอกฟ้าสิริรจจา (เจ้าศรีอโนชา) ได้รับตำแหน่งเป็นพระอัครชายาเธอในสมเด็จพระบวรราชเจ้ากรมพระราชวัง บวรมหาสุรสีงนาท ในราชการที่ 1 เจ้าศรีอโนชา ได้รับความชอบไม่น้อย และมีส่วนเพิ่มความไว้วางใจสร้างความสัมพันธไมตรีที่ดีระหว่างตระกูลเจ้าเชื้อเจ็ดตนกับราชวงค์จักรี โดยเฉพาะความชอบของเจ้าศรีอโนชา ที่บัญชาการสึกปราบจลาจลกบฏพระยาสรรค์จนเหตุการณ์สงบราบคาบ
ด้วยสองมือถือดาบเปื้อนเลือดเพื่อปกป้องแผ่นดิน และพระมหากษัตริย์เป็นที่น่าเสียดายที่ลูกหลานไทยไม่เคยกล่าวขวัญสดุดีคุณความดีในครั้งนั้นของ เจ้าครอกฟ้าสิริรจจา (เจ้าศรีอโนชา) ที่น่าติดตามวีรกรรมอันกล้าหาญเด็ดเดี่ยวและเสียสละของวีรสตรีผู้สูงศักดิ์ ซึ่งเป็นโซ่ข้อกลางที่เชื่อมแผ่นดินล้านนา และสยามให้เป็นปึกแผ่นหล่อหลอมหัวใจไทยเป็นดวงเดียวกัน
บั้นท้ายชีวิตของพระองค์มิได้มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ รู้แต่เพียงท่านมาสิ้นพระชนม์ที่เขลาค์นคร (จ.ลำปาง) มีเพียงกู่อิฐธาตุของศรีอโนชา ตั้งอยู่ทางทิศใต่ติดกับกำแพงวัดพระธาตุลำปางหลวง ตำบลลำปางหลวง อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปางหลวงเท่านั้น
วีระชาติ ทาลึ
น่าสงสารจังเลยคะ
เวลาทำบุญก็ทำบุญให้ท่านด้วยนะคะ
ท่านจะได้ดูแลและคุ้มครองเราให้ปลอดภัย
ท่านมีพระคุณต่อเรามากเลยคะ
รู้สึกดีใจที่มีผู้สนใจในประวัติฯความเป็นมาของ วีรสตรีผู้ปิดทองหลังพระ พระองค์นี้ เรื่องราวต่างๆไม่ค่อยได้เปิดเผยมากนักมิทราบว่าที่ผ่านมาเป็นเพราะเหตุใด? แรงบันดาลใจที่ทำให้ดิฉันมาทำเรื่องนี้เกิดขึ้นมาโดยบังเอิญ โดยในอดีตที่ผ่านมามิได้เคยรู้เรื่องเหล่านี้เลย. เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๑ เวลา ๒๔.๐๐น ในช่วงขณะนั้นบ้านเมืองของเราประชาชนแตกความสาม้คคีแบ่งแยกเป็นก๊กเป็นเหล่าบ้านเมืองวุ่นวายระส่ำระส่าย เพื่อนกันมาดีๆกับเกิดการระแวงกันแบ่งแยกเป็นสี.....ดิฉันกำลังนั่งรำพึงถึงเหตุการณ์ที่มิน่าจะเกิดอยู่ในห้องสมาธิในขณะนั้นได้บังเกิดเป็นดวงแก้วเย็นหวาบที่บริเวณกลางหน้าอกเย็นมากและแผ่ไปทั้งตัวและได้ปรากฏเป็นเสียงพูดออกมาจากข้างในทีละประโยค. ดิฉันจึงได้จดบันทึกไว้ดังต่อไปนี้. แม้แต่กู่ก็ไม่มีใครไหว้สา แม้แต่ข้าก็ไม่มีใครรู้ชื่อ แม้แต่มื้อก็ไม่มีใครให้กิน แม้แต่ถิ่นก็ไม่มีใครให้นอน แม้แต่ฟอนก็ไม่มีใครเผาผี แม้ปฐพียังเป็นหนี้ข้าฯ แม้จะเสาะหาว่าข้าฯอยู่ไหน ใช้ว่าข้าฯจะทำโทษ โจทย์นั้นมันเป็นใคร ใยจึงทำเฉกเช่นนี้ มีหรือจะยื้อแย่ง แบ่งกันที่ชนชั้น วันนี้ปฐพีร่ำไห่ ใยลูกหลานจัญไร ไล่ข้าฯไปจากปฐพี มีหนี้เวรหนี้กรรม ทำกันได้ลงคอ แม้ต่อภพต่อชาติ อาจขาดกันภพหน้า ถ้ามาอีกภพนี้ วลีใดกล่าวบอกออกมา ถ้าช้า........................
จึงได้นำเอาขอความเหล่านี้ไปรายงานให้หลวงปู่ทอง วัดพระธาตุศรีจอมทอง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ เมื่อหลวงปู่ได้ยินหลวงปู่นั่งนิ่งแล้วกล่าวว่า ข้อความนี้คมมาก คนปัจจุบันมิสามารถกล่าวได้ ลูกๆทั้งหลายจงเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด และดำเนินการตามที่ท่านได้มากล่าวไว้ให้ได้ทุกประการ นี้คือที่มาของการค้นคว้าและดำเนินการเพื่อที่จะสร้างรูปหล่อแทนพระองค์ท่านและในครั้งแรกนั้นตั้งใจว่าจะประดิษฐานพระองค์ท่านไว้ที่บ้านเกิด คือที่ อ.ห้างฉัตร แถววัดพระธาตุลำปางหลวง หรือบริเวณวัดปงยางคก แต่ด้วยเหตุสุดวิสัยมิสามารถทำได้. จึงตั้งจิตอธิฐาน กอบดินและใบโพธิ์ขึ้นมา๕ใบห่อใส่ผ้าขาวอัญเชิญกลับมายังจ.เชียงใหม่ ในระหว่างที่ห่อใส่ผ้าขาวนั้นเกิดลมแรงมากบริเวณที่เราทำการขอใต้ต้นโพธิ์ข้างๆวัดพระธาตุลำปางหลวงฺ และมีเสียงมาบอกอีกว่า ให้สร้างให้เสร็จและกระทำพิธีให้เสร็จในวันพญาวัน(ฃึ่งตรงกับวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๒) ดิฉันและสามี และเพื่อนทางธรรมอีกสองสามีภรรยาจึงได้ร่วมกันทำขึ้นมาจนสำเร็จ ทุกอย่างที่อำนวยความสดวกหลั่งไหลมาโดยคาดมิถึง มีเพือฃ่อนทางธรรมมากมายให้ความสำคัญมาร่วมช่วยทำจนสำเร็จลุล่วง ปัจจุบันรูปเหมือนพระองค์ท่านประดิษฐานอยู่ ณ. วัดดอนจั่น ต.ท่าศาลา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ขอเรียนเชิญทุกท่านไปกราบสักการะพระองค์ท่านได้ที่วัดค่ะ งานที่พรองค์ท่านฝากไว้ยังมิจบ ดิฉันและสามียังคงติดตามความจริงในเรื่องอัฐิธาตุของพระองค์ท่านตามที่ท่านได้มาบอกไว้ และตั้งใจว่าสักวันจะอัญเชิญมาประดิษฐานบนแผ่นดินล้านนา ขอปิดเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วเมื่อทำเรียบร้อยแล้วจะนำมาเล่าให้ฟัง
ถ้าท่านอยากมีความรู้เพิ่มเติมในเรื่องของพระองค์ท่าน ขณะนี้ทั้ง 2 พระองค์ได้มาพบกันแล้วเมื่อปลายปีที่แล้ว (ประมาณเดือน กันยายน 2554) โดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ได้มาปฎิบัติธรรมอยู่ (ยังเป็นวิญญาน ยังไม่ได้ไปจุติในโลกมนุษย์ แต่เจ้าครอกศีอโนชาได้มาเกิดเป็นมนุษย์ และสามารถสื่อกันได้
อยากทราบว่าทั้งสองพระองค์ท่านได้ปฏิบัติธรรมอยู่ณที่ใด หรือคะ มีสิ่งดลจิตดลใจให้อยากพบค่ะ
บังเอิญได้เข้ามาพบมาอ่านบทความนี้ในขณะที่กำลังเผยแพร่ภาพภาพวาดกองทัพของพระยาจักรีและพระยาสุรสีห์ ตอนที่ยกทัพมาถึงลำปาง...อยากจะเสวนากับคุณรัศมีเรื่องบ้านเกิดของเจ้าศรีอโนชา เพราะดิฉันเป็นคนละแวกบ้านปงยางคกและกำลังรวบรวมเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเพื่อที่จะนำไปบอกเล่าให้กับเด็กๆรุ่นหลังที่เกิดในตำบลนี้อำเภอนี้ ให้รักในความเป็นคนในท้องถิ่นและรู้ซาบซึ้งถึงวีรกรรมของบรรพบุรุษ-บรรพสตีรของตัวเองค่ะ