(7 เม.ย. 49) ร่วมการประชุมระดมสมอง เรื่อง “การขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเรื่อง การออม การจัดสวัสดิการ
และเกื้อกูลโดยภาคประชาชน” จัดโดย
“แผนงานพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี
มูลนิธิสาธารณสุขภาพแห่งชาติ (มสช.)” (นพ.สมศักดิ์
ชุนหรัศมิ์ เป็นผู้อำนวยการ)
ซึ่งได้ดำเนินการศึกษาวิเคราะห์สถานการณ์ในเรื่อง “การออม
การจัดสวัสดิการ และการเกื้อกูลโดยภาคประชาชน”
พบปรากฎการณ์ที่น่าสนใจในหลายพื้นที่ที่ได้ใช้ทุนทางสังคมในท้องถิ่นมาส่งเสริมการทำงานร่วมกันในการจัดสวัสดิการให้กับประชาชนในชุมชน
ทั้งในด้านสุขภาพ การดูแลผู้สูงอายุ ฯลฯ
ท่ามกลางสภาพการณ์ของสังคมไทยปัจจุบันที่พบว่า
ยังมีปัญหาการออมที่ไม่พอเพียงและระบบสวัสดิการยังไม่ทั่วถึง
ประชากรส่วนใหญ่โดยเฉพาะที่อยู่ในภาคชนบทยังขาดหลักประกันทางสังคมอันนำมาซึ่งการบั่นทอนคุณภาพชีวิต
ทั้งสุขภาพและความเป็นอยู่ของประชาชน ทาง มสช. จึงได้ประสานกับ
กลุ่มงานสำนักนโยบายการออมและการลงทุน (โดย
คุณสุวัฒนา ศรีภิรมย์) ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
(กระทรวงการคลัง) ในฐานะเป็นหน่วยงานนโยบายของรัฐ
ที่กำลังมีแนวคิดในการผลักดันนโยบายจัดตั้งระบการออมเพื่อสวัสดิการของชุมชนจัดเวทีระดมสมองขึ้น
ในเวทีระดมสมอง ได้มีการนำเสนอกรณีการจัดสวัสดิการชุมชนโดยชุมชนเองจากทั้ง
4 ภาคของประเทศ (โดยครูชบ ยอดแก้ว จ.สงขลา คุณสามารถ พุทธา จ.ลำปาง
คุณสมนึก ไชยสงค์ จ.มหาสารคาม คุณพล ศรีเพชร จ.พังงา คุณพรทิพย์
ศิริบาล จ.ปทุมธานี คุณประจวบ แต่งทรัพย์ จ.ชัยภูมิ คุณละออ อินมารี
จ.สุโขทัย คุณอุดร บุตรสิงห์ จ.อุทัยธานี)
ผมได้ให้ความเห็นว่า ชุมชนในประเทศไทยได้มีวิวัฒนาการการจัดการเงินทุนที่อาจแบ่งได้เป็น
3 ช่วง คือ
1. การจัดการเงินทุนที่เน้นการใช้สินเชื่อหรือเงินกู้
2. การจัดการเงินทุนที่เน้นการออมมากขึ้น
3. การจัดการเงินทุนโดยมุ่งเรื่องสวัสดิการ
ทั้ง 3 ช่วงนี้ไม่ได้แยกจากกันอย่างเด็ดขาด
แต่มีรอยต่อและการเหลื่อมทับกันอยู่ด้วย
จนในปัจจุบันได้เกิดระบบการจัดการเงินทุนที่มีทั้ง 3
ลักษณะผสมผสานกันอยู่ในสัดส่วนต่างๆตามแต่วิวัฒนาการของแต่ละท้องถิ่นหรือแต่ละกรณี
และผมมีข้อคิดเห็นเชิงเสนอแนะ 3
ประการ ดังนี้
1. ความริเริ่มของชุมชนในการพัฒนาระบบสวัสดิการชุมชนขึ้นมาเอง
ถือเป็นเรื่องที่มีคุณค่าน่าชื่นชม น่าสนับสนุน และน่าส่งเสริม
เพราะเป็นวิธีที่ก่อให้เกิดการพัฒนาทั้งในระดับบุคคล
ครอบครัว ชุมชน และในสังคมที่กว้างกว่าชุมชน
พร้อมๆกับถือเป็นนวัตนกรรมและความสามารถของชุมชนที่น่าภาคภูมิใจอีกด้วย
2.
กองทุนประเภทที่สมาชิกจ่ายเงินสมทบก่อนโดยมีเงื่อนไขจะได้รับประโยชน์ในภายหลังภายใต้สถานการณ์ต่างๆ
ย่อมมีความเสี่ยงอยู่หลายประการ
ทำนองเดียวกับการประกันอุบัติเหตุ ประกันสุขภาพ ประกันชีวิต
และประกันอื่นๆ ความเสี่ยงเหล่านี้รวมถึง
(1)
ความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของเงินที่ต้องจ่ายให้ผู้พึงได้รับประโยชน์ในอนาคต
(2) ความเสี่ยงจากนำเงินที่สะสมได้ไปลงทุนให้มีผลตอบแทนสูงพอ
(3)
ความเสี่ยงจากการกำหนดประโยชน์ซึ่งสมาชิกจะได้รับที่อาจสูงเกินไปจนกองทุนรับภาระไม่ได้ในบางเวลา
หรืออาจต่ำเกินไปจนไม่เหมาะสมหรือไม่เป็นธรรม
ดังนั้น
ทั้งชุมชนและผู้ส่งเสริมสนับสนุนจึงควรคำนึงถึงความเสี่ยงทั้งหลายที่กองทุนสวัสดิการมีอยู่
และพิจารณาหาทางบริหารความเสี่ยงให้ได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
3. ภาครัฐน่าจะพิจารณาส่งเสริมสนับสนุนระบบสวัสดิการชุมชนด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายวิธี
ดังต่อไปนี้
(1) การสนับสนุนด้วยวิชาการ ความรู้ และการจัดการความรู้
(2) การสนับสนุนด้วยระบบและวิธีการจัดการ
รวมถึงการประสานความร่วมมือ
(3)
การสนับสนุนด้วยงบประมาณหรือเงินทุนสมทบในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง
ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
10 เม.ษ. 49
ไม่มีความเห็น