การแห่มาลัยมีปรากฏอยู่เพียงสองแห่งในประเทศไทย ซึ่งทั้งสองแห่งได้ให้ความหมายของการแห่มาลัยเหมือนกัน ต่างเพียงวัสดุที่ใช้ทำมาลัยเท่านั้น สถายที่ทั้งสองแห่งนั้นคือ
๑. บ้านกุดหว้า อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ มีประเพณีการแห่มาลัยจัดขึ้นในช่วงเวลาเดือนสามถึงเดือนสี่ โดยการเอาไม้ไผ่มาเหลาแล้วสานให้เกิดรูปทรงคล้ายร่มแล้วนำมาร้อยเข้าเป็นพวง นำไปถวายพระเพื่อเป็นพุทธ
บูชา
๒. ตำบลฟ้าหยาด อำเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร มีประเพณีการแห่มาลัยที่ทำด้วยข้าวตอกแตก โดยชาวบ้านจะร้อยเป็นสายแล้วนำไปถวายพระที่วัดในช่วงก่อนวันมาฆบูชาและก่อนวันงานบุญผะเหวด(เทศน์มหาชาติ)
ชาวอำเภอมหาชนะชัยมีความเชื่อเรื่องใช้ข้าวถวายเป็นพุทธบูชาอยู่แล้ว จึงได้จัดประเพณีการแห่มาลัยขึ้นเพื่อฟื้นฟูวัฒนธรรมของชุมชนโดยจะมีชุมชนที่เข้าร่วมจัดทำเป็นมาลัยขนาดใหญ่เพื่อเป็นตัวแทนชุมชนเข้าร่วมการประกวด ชุมชนที่เข้าร่วมในการแห่มาลัยมากที่สุดคือ หมู่ ๒ หมู่ ๔ และหมู่ ๘ ตำบลฟ้าหยาด ในตำบลอื่นก็มีทำบ้างแต่ไม่มากนัก
ข้อสำคัญที่ทำให้เกิดประเพณีนี้ขึ้นคือ ความเชื่อทางศาสนา พระครูสมุห์ไพฑูรย์
จตารโย(สัมภาษณ์ : ๒๕๕๐) กล่าวว่า ในความเชื่อทางศาสนานั้นกล่าวว่า เมื่อครั้งพุทธกาลนั้น
มีดอกมณฑารพ๖ ตกมาเมื่อเกิดเหตุการณ์สำคัญแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่น เมื่อประสูติ เมื่อตรัสรู้ เป็นต้น ดังนั้นเมื่อชาวพุทธระลึกนึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พากันเอาข้าวมาคั่วให้เป็นดอก หมายว่าเป็นดอกมณฑารพเพื่อบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ด้วยที่มาที่กล่าวถึงดอกมณฑารพนั้น ชาวอำเภอมหาชนะชัยโดยการร่วมมือระหว่างหน่วยงานราชการ หน่วยงานเอกชน พ่อค้า ประชาชนชาวอำเภอมหาชนะชัยจึงได้ร่วมกันจัดงานประเพณีแห่มาลัยอย่างยิ่งใหญ่ ถือเป็นเอกลักษณ์ของอำเภอและของจังหวัดยโสธร ในเรื่องความเชื่อเรื่องดอกมณฑารพนั้นมีเพียงที่อำเภอมหาชนะชัยเท่านั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า พุทธศาสนาได้หยั่งลึกในอำเภอแห่งนี้มาช้านานแล้วอิทธิพลทางศาสนาจึงก่อให้เกิดพิธีกรรมจนกลายเป็นประเพณีที่สำคัญในที่สุด
ประเพณีการแห่มาลัยข้าวตอกนั้น เป็นประเพณีที่เกิดจากการแพร่กระจายของการใช้ข้าวเป็นเครื่องบูชา ปรับเปลี่ยนมาจนเป็นมาลัยที่ใช้แขวนเป็นเครื่องบูชานั้นได้เกิดกระบวนการสั่งสมประสมการและภูมิปัญญา ตลอดจนเกิดเป็นวัฒนธรรมซึ่งมีคติในพิธีกรรม ที่มาที่แฝงเร้นในการจัดพิธีกรรมการแห่ข้าวดอก คือ
๑ เป็นพิธีกรรมที่สร้างความสมานฉันท์คนในชุมชน กล่าวคือ การจัดประเพณีย่อม
ไม่สามารถที่จะสำเร็จได้จากคนเพียงคนเดียว หากแต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกคนในชุมชน
จึงเกิดการร่วมกิจกรรม การยอมรับและการทำงานระบบกลุ่ม นับเป็นกลเม็ดสำคัญทำให้คน
ในชุมชนเกิดความรักและความเข้าใจซึ่งกันและกันกลายเป็นความสมานฉันท์กันในชุมชน
๒. เป็นการสร้างชิ้นงานที่เกิดจากภูมิปัญญาท้องถิ่น กล่าวคือ การทำมาลัยนั้น เป็นภูมิปัญญาที่เกิดจากการทดลอง แก้ไขและสั่งสมของคนในท้องถิ่นมาหลายรุ่น จนเกิดเป็นองค์ความรู้ที่ตกผลึก คือ การนำเอาข้าวเปลือกข้าวเหนียว มาคั่วในหม้อดิน ใช้ก้านกล้วยคนไปมาเพื่อให้เม็ดข้าวแตกเป็นดอก จากนั้นก็มีภูมิปัญญาในการคัดแยกระหว่างดอกข้าวตอกและกากเปลือกข้าวโดยการนำไปฝัด(ร่อน)ในกระด้งเพื่อให้กากข้าวนั้นปลิวออกให้เหลือเพียงเม็ดดอกข้าวตอกเท่านั้น ภูมิปัญญาจากชิ้นงานประการต่อมาคือ การร้อยดอกข้าวตอก หากร้อยให้ด้านที่มีสีเหลืองขึ้นด้านบนจะทำให้มาลัยนั้นมีลักษณะสีข้าวอมเหลือง แต่ถ้าหากร้อยให้ด้านที่มีสีเหลืองนั้นคว่ำลง จะทำให้มาลัยนั้นเป็นสีขาวโพลน ประการสุดท้าย การร้อยต้องใช้เข็มสอยเท่านั้นเพราะหากใช้เข็มร้อยมาลัยจะทำให้ดอกข้าวตอกนั้นเกิดการแตกเสียหายได้ จากความสามารถในการร้อยมาลัยนี่เองจึงเป็นที่มาของประเพณีการแห่มาลัย
รูปทรงของมาลัยก็นับเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ได้รังสรรค์ขึ้น โดยทั่วไปมีอยู่สองประเภทคือ มาลัยสายฝนและมาลัยผูกข้อ แต่ลักษณะการตกแต่งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความ สามารถเฉพาะคนของผู้สร้างชิ้นงาน แต่โดยมากที่ส่วนบนของมาลัยนั้นจะร้อยดอกข้าวตอก ให้เป็นลักษณะตาแหลว๓ เพื่อความสวยงามและแฝงคติข้อคิดด้วย
๓. แฝงข้อคิดเพื่อสอนชุมชน จากที่กล่าวมาแล้วมาสวนบนของมาลัยนั้น ส่วนมากจะร้อยเป็นตาแหลวเพราะมีความเชื่อว่า แหลวหรือเหยี่ยวนั้นมีสายตามที่แหลมคมและมีอำนาจ สามารถส่องเห็นได้แม้อยู่ที่ไกล ด้วยนัยอันนี้ชาวบ้านจึงเชื่อว่าตาแหลวที่อยู่ส่วนบนของมาลัยนั้นจะสอด ส่อง และขับไล่ความชั่วร้ายออกไปจากชีวิตผู้คนและสอดส่องความทุกข์ร้อนของผู้คนเพื่อให้ความช่วยเหลือหรืออวยพรให้เกิดความสุขความเจริญ
๔. ส่งเสริมความเชื่อมั่นและศรัทธาในศาสนา ชาวบ้านมีความเชื่อมั่นและมีความศรัทธาในศาสนาที่ตนเองนับถือ เกิดความสุขทางจิตและส่งผลดีทางใจทำให้เป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับของชุมชน แล้วความเชื่อนี้ก็ผันไปเป็นมติทางสังคมและกลายเป็นกฎหมายที่ควบคุมพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของคนในชุมชนนั้นด้วย ความเชื่อและความศรัทธานั้นได้ปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่และกลายเป็นผู้รักษาและสืบทอดความศรัทธาและความเชื่อทางศาสนาต่อไป ประเพณีการแห่มาลัยนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อความศรัทธาที่ยึดมั่นในศาสนา จึงได้พยายามสั่งสมและสั่งสอนให้คนรุ่นหลังได้สืบทอดความเชื่อความศรัทธานี้ ในการถวายมาลัยของชาวบ้านจะไม่เน้นที่ต้องกล่าวคำถวายหรือมีพิธีการแต่อย่างใด หากแต่ถ้าได้นำไปแขวนไว้ก็มีความสุขใจแล้ว
๕. เพื่อการแสดงออกถึงความสามารถและความต้องการของชุมชน เพราะประเพณี
เกิดจากการยอมรับของคนในชุมชนและขับเคลื่อนโดยคนในชุมชน จึงเป็นแหล่งแสดงความ สามารถของคนในชุมชนได้ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการร้อยมาลัยข้าวตอก การเซิ้งเพื่อให้เกิดความบันเทิงใจ ในขบวนการแห่มาลัยนั้นได้มีการสร้างหุ่นเพื่อใช้เต้นเซิ้งให้เกิดความสนุกสนานและยังเป็นเครื่งอขับไล่ความชั่วร้ายของหมู่บ้าน ชาวบ้านเรียกหุ่นนี้ว่า
อีโถน
นอกจากนี้ยังแสดงถึงความต้องการนั้นคือ ความสุขทางจิตใจและบุญ และความต้องการในการดำรงอยู่ของชีวิต กล่าวคือ การถวายข้าวตอกนั้นมีนัยแฝงอีกอย่างคือเพื่อขอให้ชุมชนมีความอุดมสมบูรณ์ในด้านข้าวปลาอาหาร จึงได้ใช้ข้าวเป็นเครื่องบูชา แนวคิดนี้พ้องกันกับแนวคิดที่มีการหว่านข้าวสารเมื่อเทศน์ผะเหวด เพื่อความสมบูรณ์ของข้าวปลาอาหาร
ขอบคุณบันทึกดีดีครับ
ขอบคุนครับอาจารย์ อาจารย์มีโอกาสพบเห็นวัฒนธรรมอีสานมากมายน่าอิจฉาจัง ผมติดตามอ่านงานอาจารย์มาตั้งแต่เริ่มเล้าข้าวศึกษาแล้ว แต่ไม่ได้สมัครสมาชิกที่นี่สักที พอสบโอกาสก็เลยไปโพสรบกวนอาจารย์ที่ห้องซะเลย(คงไม่ว่ากันนะครับ)
ขอบคุณเจ้าของข้อมูลนะค่ะ
ที่ทำหั้ยเตยได้ส่งรายงานค่ะ
มาลัยสวยๆมาโชว์ฝีมือผมเองแหละผมเปงกรรมการทำวิจัยเรื่องมาลัยข้าวตอกหรืออีกอย่างก็คือเป็นวิทยากรของมหาลัยเรื่องมาลัยข้าวตอกหากมีข้อสงสัยหรือไม่เข้าใจหรือต้องการติดต่อผมได้ครับ ผมชื่อ บาส 081-3575227, 084-5890883
ขอบคุณข้อมูลนะค่ะดิฉันคนท้องถิ่นแท้
ยังไม่มีข้อมูลเชิงลึกประมาณนี้เลย
ขอบคุณนะค่ะ จะทำงานส่งจารย์เหมือนกัน