ก่อนอื่นขอแจ้งว่า ไม่อยากเขียนเป็นวิชาการ อยากเขียนแบบที่ตัวเองคิดแบบเล่าให้ฟังมากกว่า ถ้าเป็นวิชาการ ก็คงแค่บอกว่า “สงสัยเรื่องนี้เปิดหน้า 8 เล่ม2/1 บรรทัด3 นะเคอะ” ก็ได้แล้ว ดังนั้นหากอ่านแล้วมีคำไม่สุภาพและไม่ถูกหลักภาษาในที่เป็นแวดวงวิชาการก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย และโปรดเปิดผ่านตามอัธยาศัย
ย้อนอดีต
ตอน Love at First Bite ควบคุมภายในที่รัก
นึกถึงวันนั้นขึ้นมา(วันไหนก็ลืมไปแล้ว)ประมาณ ปี 2546 ตอนนั้นก็เพิ่งมาเป็นทำงานบริหารใหม่ๆหมาดๆ มีหนังสือมาจากส่วนกลางฉบับนึงเขียนประมาณว่า ให้ส่งรายงานควบคุมภายใน ตอนนั้นยังเอ๋อมาก ก็เลยเดินไปถามทางส่วนสำนักงานว่า
“ เด็กๆเอ้ย มันเป็นอีหยังหว่า ไอ้ควบคุมภายในเนี่ย “
“ บ่ฮู้เด้อ…จารย์ลองไปถามab…..xyzดู “
ซมซานหาอยู่หลายวัน เพราะกลัวไม่ทันส่ง ยิ่งเป็นโรคจิตอยู่ด้วย เพราะเรื่องส่งงานส่วนกลางคณะนี้เรืองนามมาก ส่งอะไรไม่ทันเป็นปรกติ ถ้ามีส่งก่อนเพื่อน ก็แปลว่ามันไม่ปรกติ หลังควานหาไปก็พบว่าอยู่ที่น้องคนทำแผน (อือม์ แล้วทำไมมันมาอยู่กะคนทำแผนง่ะ ) เป็นที่ชื่นชมยินดียิ่ง งานที่ส่งก็แค่เอาไฟล์ดังกล่าวมีอยู่ราว 10 หน้าเอสี่ พรินท์ซะ! ความในไฟล์ว่าไงก็ไม่รู้ไม่ได้อ่าน จะสนไปทำไม ชั้นไม่มีเวลาหรอก( เชอะ!) พรินท์แล้วก็ส่งไปสิ จบฮูเร ..เก๊ง..เก่งๆๆๆ..ทำไมชั้นถึงเก่งขนาดนี้เนี่ย กล้วยเจรงๆ(ฮือๆ แต่ก่อนคนเรายังโง่อยู่)
นี่คือครั้งแรกที่รู้จักการควบคุมภายใน
………………………
หลังจากนั้นก็มีหนังสืออะไรเทือกนี้ส่งมาสัก 2-3 ครั้ง ก็หาๆพรินท์ๆส่งไม่ได้ใส่ใจ ขนาดตอนที่มีรอบการตรวจสอบภายในมาลง แล้วก็สะสางปัญหาของคณะฯช่วงนั้นก็ยัง….. ยังมึนชาไม่ค่อยรู้เรื่องใส่ใจอะไร จนกระทั่งวันหนึ่ง นรกแตกเห็นๆ..เมื่อมีหนังสือจากสตง. มาให้รายงานผล โน่น….น่ะแหละค่ะถึงได้พึ่งตื่นไม่รู้หน่วยอื่นๆจะเหมือนกันไหม ….ก็คงเหมือนกันใช่ไหมล่า(กิ๊วๆเค้ารู้นะ) ยังกะเหยียบถ่านไฟแดง โดดโหยงร้องกรี๊ดๆ โถ อกอีแป้นจะแตก เพิ่งรู้ตัวว่าขาข้างหนึ่งอยู่ในเรือนจำ เหลียวไปเหลียวมาจะหาคนช่วยก็ไม่มี ไอทีไรเสียงดัง คุกๆทุกที
สงสารก็แต่คณบดี ลูกน้องจูงมือจะพาเข้าคุกไม่รู้ตัวนะเนี่ย
ตานี้กระต่ายก็ตื่นตูมสิ เพิ่งรู้ว่าเรื่องนี้มันเป็นกฎหมายนะ( เออ ทำไมตูมันโง่อย่างนี้ฟระ)รีบหาหนังสือ หาคู่มือมาอ่านใหญ่เลย ด้วยความกลัวตาย ปรากฏว่ายิ่งอ่านยิ่งงง………………………
ท่านเคยเป็นอย่างนี้หรือไม่ มีปัญหาในการทำความเข้าใจเรื่องตรวจสอบภายใน ถ้าใช่เพียงแต่ท่านโทรมาภายในสิบนาทีนี้ ท่านจะได้รับคู่มือเล่มสีน้ำตาล 1 เล่ม แต่ช้าก่อน หากท่านสั่งคู่มือสีน้ำตาล 1 เล่ม เรายินดีแถมเล่มเขียวข้อ5 ข้อ6 ให้ฟรีโอ๊ว..จอร์จคะมันยอดมาก…….โอ๊ว ซาร่า คุณทำแบบนี้ได้ไงเนี่ยยย
ข้อความข้างบนนี้โปรดอ่านแบบประกาศขายแอ๊บโดมิไนเซอร์นะเคอะ
…………………………
ย้อนอดีต
ตอน เดชคัมภีร์เทวดา (เล่มน้ำตาล และเขียว)
โฮะ โฮะ โฮะ คัมภีร์อยู่ในมือของข้าแล้ว บัดนี้ข้าคือผู้มีวิทยายุทธ์สูงสุด ข้ามีนับสิบเล่ม วิชาเล่มเขียวข้อ 5 กับข้อ 6 ถ้าเอาไปเผาไฟแช่น้ำจะมีเคล็ดลับปรากฏ
ล้อเล่นนะห้ามเอาไปเผาจริงๆล่ะ เพราะตำรวจจะ..............ไม่จับแต่จะไม่มีอ่านอีก ขอใหม่ ตรวจสอบภายในเขาก็ไม่ให้แล้วเด้อ
เฮ้อ … ได้คัมภีร์มาแล้ว ตั้งหลายเล่มจากคุณพี่เลขา เอามาตั้งหน้าตั้งตาอ่าน ยิ่งอ่านก็ยิ่งงง จึงตัดสินใจว่า เอาไปหนุนหัวนอนดีก่า … เผื่อมันจะออสโมซิสเข้าหัวเราได้ นอนไปหลายวัน เออ ไม่ยักสำเร็จแฮะ (ใครคิดสูตรนี้คนแรกฟะ)นอนคอแข็งเป็นหนุนหมอนขิตอยู่ได้ เอ้า ไหนลองเอามาอ่านใหม่ดิ๊ วันนี้กินมาม่าสองห่ออาจจะดีขึ้นผ่านไปหลายวัน
ไม่เข้าใจง่ะ ไม่เข้าใจจริงๆ ทำไม มันเป็นยังไงถึงต้องทำแบบนี้ เอาข้อไหนมาใส่ข้อไหน ยังไง ทำไมเนี่ย โอ๊ยยยยยย.. ประสาทจะกิน ชั้นยังไม่อยากสมองแตกตายโดยยังไม่ได้แต่งงานนะ..ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ไหนลองไปเอาคู่มือรายงานของคณะฯเรามาดูดิ๊
เหวอ....
อ๊ากกกกกกกกกกก ช้าน อยาก ตายยยย…………………………..
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ลิงได้แก้ว ไก่ได้พลอย ใกล้เกลือกินด่าง มีตำราท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ฯลฯ
โอ๊ะไม่ช่ายยย…………..ที่จริงแล้วก็แค่อยากจะสรุปบอกว่า มันไม่ใช่ความผิดของหนังสือหรอก ที่เราไม่เข้าใจ และมันไม่ใช่ความผิดของเราเหมือนกันที่เราไม่เข้าใจ
…อ้าว แล้วตานี้ใครผิดง่ะ…มันต้องมีอะไรผิดสักอย่างแน่ๆไม่ผิด
ไม่ผิ๊ดดด ไม่ผิด ไม่มีอะไรผิดสักอย่างแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมีใครมารับผิดด้วย
ในช่วงที่เข้ามาทำงานในมหาวิทยาลัยสำหรับตัวเองคิดว่าค้นพบประเด็นหนึ่งที่สำคัญ ก็คือว่า หลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในระบบราชการของไทย เป็นสิ่งที่ดีๆทั้งนั้น ผู้ที่คิดขึ้นก็มีเจตนาดีเพื่อที่จะทำให้ระบบการบริหารราชการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ตรวจสอบได้ วัดได้ และโดยเฉพาะในช่วงหลังๆนี้ เป็นการตรวจสอบและดูแลด้วยตนเองไม่ใช่ให้คนอื่นมาตรวจสอบด้วย แต่สิ่งสำคัญที่ขาดคือ...
การทำความเข้าใจ และทำให้เห็นความสำคัญ
ประโยคนี้ฟังแล้วคุ้นเคยหูเนอะ เวลาทำแผนอะไรก็ตามก็ต้องเขียนเงี้ยะ… ให้มีความเข้าใจและเห็นความสำคัญ… พิจารณาดูแล้วมันก็สักแต่การเขียน แต่ถ้าทำได้ตามประโยคเด๊ะๆนี่สิถึงจะเจ๋ง เพราะนี่คือหัวใจหลักสำคัญที่สุดในการเรียนรู้เลยล่ะ
ย้อนอดีต
ตอน ความรู้อยู่รอบกาย
ความระทมขมขื่นชอกช้ำใจในช่วงนั้น หลายท่านคงจะพอจำได้ โฮ้ย...สุดจะบรรยายเป็นภาษา ดังคนใกล้จมน้ำตาย นอนเอามือและเท้าก่ายหน้าผาก หายใจทิ้งทุกวันก็ไม่เสร็จซักทีเพราะไม่ได้ลงมือทำ แต่แล้วก็ดังมีฟ้ามาโปรด ราวๆกลางปี 47 ทางตรวจสอบภายในของม.ก็แจ้งว่าจะมีการอบรมเรื่องการควบคุมภายใน โดยม.สงขลาที่ขอนแก่น จึงได้ขออนุญาตเจ้าสำนัก..อุ๊ย..คณบดีไปเข้าอบรมดังกล่าวกับคุณพี่เลขา รวมเป็นสองคน
การอบรมดังกล่าวนี่สุดยอดมากกกกกก เป็นการอบรมแบบต้องเสียค่าลงทะเบียน ซึ่งอบรมแล้วได้ประกาศนียบัตรด้วยนะ เนื้อหาการอบรมถ้าพิจารณาดูแล้วจะพบว่าที่จริงผู้เข้าอบรมควรมีความเข้าใจมาก่อน แต่ส่วนใหญ่กลับไม่เป็นอย่างนั้นเหมือนคนเขียนนี่แหละ วิทยากรถามก็ไม่หือไม่อือ ตาใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่ใช่อะไรหรอกนะแต่เพราะไม่รู้เรื่องง่ะ วิทยากรชื่อคุณเฟื่องฟ้าก็เก่งใจหาย ปรับกลยุทธ์การอบรมให้เหมาะกับคนซะ โดยเปลี่ยนเป็นอัดแน่นจากพื้นฐานให้เลย แถมไม่หวงวิชา ไม่เหน็ดไม่เหนื่อย อัดความรู้แหลก สาสมใจคนเข้าอบรมเป็นอย่างยิ่ง
ตอนก่อนไปอบรมได้อ่านคู่มืออ่านเล่มเขียวเล่มน้ำตาลไปบ้าง ภาพรวมก็พอมีเข้าใจ พอคนที่รู้มาแนะปุ๊บก็ได้ความรู้ความเข้าใจขึ้นมากบานตะไท เกิดแรงบันดาลใจอย่างสูงส่งว่า กลับมานะ จะเอาวิชากลับมาใช้ให้ได้ เพราะเข้าใจแล้วว่าการควบคุมภายในมันคืออะไร
หลังจากอบรมกลับมายังไม่หายบ้า โดยนิสัยปรกติจะเป็นคนบ้าคลั่งความรู้(ไม่ได้โม้นะ แต่มันบ้าจริงๆอ่ะ)เลยลองหาดูว่ามันมีความรู้มีข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวข้องกับควบคุมภายในอยู่ไหนบ้าง โดยใช้search engine ตัวเก่ง Google ลองหาดู
อือม์..ไม่เยอะ แต่ก็พอมีแฮะ
ไม่รู้ว่าจะผิดกม.อะไรไหม แต่เล่มเขียวน่ะ อิฉันมีเป็นไฟล์ๆเลยฮ่ะ(ไม่ได้โม้ อยากได้บอกมาเล้ย แบบสอบถามก็มีนะเคอะ) หุหุหุ นี่แหละข้อดีของsearch engine
เอ้าลองไปดูอีกซิว่า หน่วยงานอื่นๆในโลกนี้เค้าทำยังไงกัน ตระเวณดูไปเยอะแยะ ได้ความมั่งไม่ได้มั่ง ก็ว่ากันไป แต่ก็ทำให้เข้าใจมากขึ้น
ย้อนอดีต
ตอน โหมโรง
มีเพื่อนสนิทรุ่นน้องอยู่คนหนึ่ง เธอเป็นสาวสวยระดับผู้บริหารโรงแรม 5 ดาวของต่างชาติ ที่กทม. ว่างๆเราก็คุยกันเรื่องของการบริหารบ้าง
“ นี่ เวลามีคนตายที่โรงแรมเธอ เธอทำยังไงแล้วรู้ได้ไงว่าทำแบบนี้แล้วมันดี ฮึ”
“วู้ย จะไปยากอะไรเจ๊ ชั้นก็เปิดคู่มือสิยะ เมืองนอกเค้าทำคู่มือมาไว้ มีอะไรก็ทำตามคู่มือเหมือนกันทั่วโลก มาตรฐานเดียวกันหมดย่ะ”
ป๊าดดดดดติโธ่
เหมือนเปิดประตูบ้านเห็นหน้าติ๊กเจษฎาภรณ์ นึกออกได้ทันทีเลยว่า นี่แหละมันก็คือส่วนหนึ่งของการควบคุมภายในไงเล่า จากนั้นไอเดียกลยุทธ์การใช้ประโยชน์จากการควบคุมภายในจึงเกิดขึ้น
เบื้องต้นก้อต้องมานั่งนึกก่อนว่า ควบคุมภายในคืออะไร ถ้าไม่มีคตง.ข้อ5 ข้อ6 เรายังต้องทำมันไหม
ไม่อยากตอบแบบนี้เรยยย(มันเหนื่อยนี่) แต่สรุปว่า .......ควรทำ
เพราะอะไร
ก็เพราะมันดีนะเซ่...ลูกพี่ก็
ก่อนอื่นต้องบอกว่าเคยได้ยินคำนี้มาก่อน “ การบริหารความเสี่ยง” ซึ่งตามความรู้น้อยนิดที่มีนี้ อยากจะบอกว่า นี่แหละคือหัวใจของการควบคุมภายใน อย่าเสี่ยง เป็นดีที่สุด การควบคุมภายในคือการป้องกันไม่ให้เสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายแก่หน่วยงานของเรานั่นเอง
หน่วยงานของเราเสี่ยงเรื่องอะไรล่ะ ก็เสี่ยงที่จะไม่บรรลุต่อภาระกิจของหน่วยเรา อย่างมหาวิทยาลัยก็มีภาระกิจหลัก 4 ด้าน รวมการบริหารอีก 1 เป็น 5 ด้าน แต่ละด้านจะมีความเสี่ยงอะไรอย่างไรบ้างก็ต้องพิจารณาดู และควบคุมความเสี่ยงนั้นให้ได้ หรือถ้าคุมไม่ได้ เราจะยอมรับไหมต่อความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
แล้วใครจะมาดูล่ะ ว่ามันเสี่ยวหรือไม่เสี่ยว.... เอ๊ย เสี่ยงหรือไม่เสี่ยง ก็ต้องเป็นคนที่ตัดสินใจได้ เป็นผู้บริหารของหน่วยงานสิ ถึงจะบอกได้ จะให้สำนักงานเลขาบอก สำนักงานจะไปรู้ได้ไงล่ะ ก็เขาไม่ได้สอน ไม่ได้วิจัย ไม่ได้บริการวิชาการนี่นา
นี่ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่เข้าใจกันผิดมากๆ เวลาพูดถึงการควบคุมภายใน การตรวจสอบภายใน ทุกคนคิดอยู่เรื่องเงินกับพัสดุ ซึ่งไม่ใช่เลย การควบคุมภายในต้องคุมทุกภารกิจ ย้ำ ทุกภารกิจ นั่นหมายความว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในหน่วยงานต้องอยู่ในการควบคุมภายใน โดยกิจกรรมแต่ละส่วนมีวัตถุประสงค์ต่างกันคือ OFC ดูด้านการดำเนินงาน ด้านรายงานและการเงิน และด้านกฏระเบียบดังนั้นจึงสอดคล้องกับที่ว่า การควบคุมภายในเป็นเรื่องของการบริหารจัดการในตัวด้วยอย่างชัดเจนเลย
“แล้วทำไมเวลามีกิจกรรมควบคุมภายในทีไร ไม่เห็นมีผู้บริหารเลยมีแต่ผุ้ปฏิบัติ”
“........ไม่รุ !”
ย้อนอดีต
ตอน ยกที่ 1 –5(ก็เค้าเป็นมวยสมัครเล่นนี่)ตอนเริ่มแรกที่จะทำการควบคุมภายใน ได้ทำการเปิดตำราไปทำไป ยังกะทำกับข้าวเลยเชียว โดยที่ทั้งคณะมีคนพอรู้เรื่องควบคุมภายในอยู่ก็คนเขียนนี่แหละ เห็นดังนั้น เราก็ตั้งตัวเป็นใหญ่ทันที เล่นบทผู้กำกับซะเลย
อันดับแรก Job Description ถ้าไม่มีแล้วคนทำงานจะรู้ได้ไงว่าตัวเองต้องทำไง ของเดิมก็มีอยู่ แต่ยังไม่ครบถ้วน ทุกหน้าที่ มีแต่สำนักงาน อย่ากระนั้นเลย มาทำกันดีกว่า แต่จะให้ใครทำดีล่ะ นึกไปนึกมา หน้าที่ใครหน้าที่มัน แล้วให้เขียนแผนทั้งปีด้วยว่า แต่ละหน้าที่มีกิจกรรมต้องทำอะไร เอาละเว้ยแบบนี้แหละ แจกให้ช่วยกันเขียนทั้งคณะฯนี่แหละ แล้วมาแลกกันดูช่วยกันeditปรับแก้ให้ถูก(เขียนหรูๆไปงั้นแหละ ส่งมาให้ก็ดีถมถืด ยังจะหวังeditอีกก็จะฝันเว่อร์ไปหน่อย)
อันดับสอง แนวปฏิบัติ อันนี้สุดแสนจะหิน เพราะจนถึงบัดนี้ยังทำได้ไม่ครบเลย ได้มาส่วนมากเป็นของงานสำนักงาน ส่วนของงานอื่นๆ มีอยู่สองสามอันที่ใช้ร่วมกับคู่มือของประกันคุณภาพ แต่ยังต้องติดตามต่อไปให้มีการทำให้ครบ ซึ่งอันนี้เป็นอันที่คาดหวังมากว่าถ้าเสร็จแล้วจะเหมือนกับมีคัมภีร์ประจำคณะเลย ต่อนี้ถ้าสงสัยอะไร หรือใครไม่รู้เปิดดูได้เลย มีทุกคำตอบฮ่ะ แล้วอันนี้นะถ้าทำได้จะสุดเริดเลย เพราะไปทำเรื่องลดขั้นตอนต่อได้อีกอันดับสาม กิจกรรมควบคุม พร้อม 5 องค์ประกอบ อันนี้ก็เหมือนกัน ผู้กำกับบ้าอำนาจวางกิจกรรมตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด แล้วแจกให้คนที่เกี่ยวข้องช่วยกันทำทั้งคณะฯ อันนี้โชคดีสำหรับสำนักงานเลขาฯ เพราะผู้กำกับบ้าเลือด ค้นอินเตอร์เน็ทไปเจอตัวอย่างของโรงเรียนซับนกแก้วเลยมาปรับใช้ได้ ในหลายส่วนทั้ง การเรียนการสอน การดูแลเด็ก และการเงิน พัสดุ บัญชีฯลฯ นอกจากนี้ผู้กำกับก็เติมกิจกรรมอื่นๆที่มีและควรควบคุมเข้าไปด้วยตามอำเภอใจผู้กำกับ (ก็ไม่เห็นใครว่าอะไรนี่ แต่ถึงว่าก็ทำเป็นไม่ได้ยินอยู่แล้น)
ข้อนี้ต้องขอขอบพระคุณโรงเรียนซับนกแก้วไว้ที่นี้ ที่ทำไว้ดีมากๆ อ่านแล้วเข้าใจขึ้นอีก หลายเท่าตัว เป็นโรงเรียนน้อย แต่ทำดีกว่าคณะฯอย่างเราเสียอีก นับถือๆ
อันดับสี่ ข้อนี้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรมาก ทำกันเป็นมหกรรมของคณะฯ คือ การจัดทำตามแบบฟอร์มทั้งหมดในข้อ5 ข้อ6 อย่างที่รู้กัน แบบฟอร์มมหาประลัยอมตะนิรันดร์กาลมีเพียบ ซึ่งดูเหมือนยาก ซึ่งที่จริงก็ยาก .............................แต่ไม่มากเท่าที่คิดฮ่ะ
ประเด็นคือ อย่าเพิ่งไปงงกับชื่อของมัน ตอบจริงๆนะตัวเองตอนนี้ก็ยังจำไม่ได้หรอก ให้ถามว่ามันคืออะไรน่ะจำไม่ได้เลย แต่ที่สำคัญคือต้องรู้ว่ามันทำไปทำไม และกระบวนการของมันคืออะไร แล้วจะไม่งง
กระบวนการอย่างง่ายๆก็คือ เราต้องตรวจสอบตัวเองว่าที่เราเคยวางแผนว่าจะปรับปรุงอะไรๆเราได้ทำไหม จากนั้นเราก็ต้องสำรวจตัวเราเองในรอบนี้โดยการทำแบบสอบถามเพื่อจะได้รู้ว่าการควบคุมรอบนี้ของเราเป็นไง จากนั้นเราก็ทำแบบประเมิน ปม. เพื่อประเมินเป็นทางการว่าเราบกพร่องเรื่องอะไร และมันมีระดับความเสี่ยงแค่ไหน จากนั้นเราก็เอาข้อประเมินที่เราเห็นว่าเป็นประเด็นที่ต้องแก้รอบนี้ มาใส่ในแบบสรุปสำหรับเราจะแก้ไขในรอบนี้ จากนั้นก็สรุปผลรายงานตัวเองเป็นใบนำส่ง โดยย่อๆก็มีแค่นี้ ที่ดีใจก็คือมีบางคนที่ทำแบบประเมินแล้วรู้สึกว่ามีประโยชน์ และจะเอาไปปรับปรุงการทำงานต่อด้วย
อันดับห้า ทำตามที่ได้เขียนส่งไป อันนี้แหละยากที่ซู๊ดดดด ที่จริงแล้วที่เขียนไปในแบบฟอร์มนะ ดีเลิศประเสริฐศรี เขียนไปยังปลาบปลื้มน้ำตาไหลแทนคณะตัวเองเลย เห็นอนาคตอันเรืองรองมาไรๆแล้วเชียว โฮะโฮะแต่..........................ไม่ได้ทำ ซึ่งที่จริงต้องทำไม่ทำไม่ได้ เพราะถ้าไม่ทำ พอตรวจสอบตัวเองคราวหน้าก็ยังเสี่ยงอยู่ดี แล้วจะปล่อยให้มันเสี่ยงไปถึงเมื่อไหร่ล่ะ(ยะ)
ตอน ส่งท้าย
วิธีการคิดแบบการบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์และใช้ประโยชน์ได้จริงๆ แม้ว่ามันจะทำให้เราดูคล้ายเป็นกึ่งคนวิตกจริตสูงและบ้าระเบียบก็ตาม( อันนี้สังเกตจากตัวเองซึ่งพอรู้ตัวอยู่ ) แต่จากประสบการณ์ด้านร้ายที่พบก็บอกได้เลยว่า การรู้จักความเสี่ยงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก
จำได้ว่ามีตำนานเล่าถึงกษัตริย์องค์หนึ่งจะต้องออกรบ เสด็จไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถามพระองค์ว่าควรปฏิบัติเยี่ยงไรในการรบ ทรงตรัสสั้นๆเพียงคำเดียวว่า อปมาทะ – อย่าประมาทซึ่งในความเห็นของตัวเองคิดว่านี่คือคำง่ายๆที่มีความหมายยิ่งใหญ่มาก ในทุกกิจกรรมทุกขณะจิตถ้าเราไม่มีความประมาท มีสติ มีการวางแผน และรู้สถานการณ์ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนรวม จะเป็นสิ่งที่นำเราไปไกลจากความเสื่อม และหัวใจของการควบคุมภายในหรือการดูแลความเสี่ยงก็คือความไม่ประมาทนั่นเอง
เป็นบทความที่อ่านแล้วได้ความบันเทิงและมีสาระในตัว เป็นประโยชน์ต่อผู้จัดทำรายงานการควบคุมภายในได้เป็นอย่างดี ในกรณีที่มีการ Search ข้อมูลจาก Google เพื่อค้นหาตัวอย่างการจัดทำรายงานการควบคุมภายในจากหน่วยงานอื่น นอกสถาบันตนเอง แล้วนำมาประยุกต์ให้เข้ากับลักษระงานของตนเองเป็นตัวอย่างที่ดีมากค่ะ
ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ และขอบคุณมากที่เข้ามาเล่าถึงประสบการณ์ในการจัดวางระบบการควบคุมภายในของหน่วยงาน ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับหน่วยงานอื่นมากค่ะและหวังว่าคงจะได้อ่านบันทึกฉบับใหม่ในอนาคตอันใกล้นี้นะค่ะ
ได้อ่านบทความแล้ว นับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีแก่หน่วยงานอื่น มีเนื้อหาสาระและกลยุทธต่าง ๆ รวมทั้งดีเด็ดไม้ตายมากมาย ถ้อยคำเรียบง่ายบางครั้งอาจจะหวือหวาไปบ้าง แต่ได้รับความรู้ ความเข้าใจ สามารถนำไปปรับใช้ได้เป็นอย่างดี (หากหน่วยงานอื่นจะนำไปใช้ คงไม่หวงนะครับ !)
ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้เล่าประสบการณ์การจัดวางระบบการควบคุมภายใน ข้อ ๕ และการรายงานการควบคุม ภายใน ข้อ 6 ตามระเบียบ คตง.
ในโอกาสหน้าคงจะได้เล่าประสบการณ์ในประเด็นต่าง ๆ ให้ได้รับทราบเพิ่มเติมอีกนะครับ
ต้องยอมรับว่าขยันเขียนจริงๆ เขียนได้เยอะ เล่าประสบการณ์ได้ละเอียด อ่านไปด้วยหัวเราะไปด้วยสนุกดี และคงโดนใจหลายคนเพราะคิดว่าแต่ละคนที่เริ่มทำเรื่องนี้ก็คงมีอาการแบบนี้เหมือนกัน หวังว่าคงได้อ่านอะไรดีๆอีก