พยาบาลต้องรู้ สมุนไพร สุขภาพทางเลือก หากต้องดูแลผู้ติดเชื้อ HIV


อาจจะเริ่มต้น รุนแรงเกินไปบ้าง ว่า ต้องรู้

ในชีวิตจริง ก็ต้องรู้ ควรรู้  ส่วนจะสามารถประยุกต์ใช้ประโยชน์จากเรื่องที่รู้  หรือไม่นั้น ก็ขึ้นกับ ทัศนคติ และ ประสบการณ์ และ แวดวงที่เกี่ยวข้องครับ

มีคำถาม น่าสนใจว่า

ในโลกนี้ มีความเชื่อ มีประสบการณ์เกี่ยวกับ การดูแลสุขภาพแบบไม่มาตรฐาน คือ สุขภาพทางเลือก เกี่ยวกับ ผู้ติดเชื้อ HIV  อย่างไรบ้าง

และ ในเมืองไทยเอง มีการจัดการความรู้ ประเด็นนี้ อย่างไรบ้าง

มีตัวอย่าง บทเรียน ที่หน่วยงานวิชาการ หรือ หน่วยงานรัฐ ของประเทศต่างๆ  ช่วยเสริมพลังชุมชน และ ผู้ป่วย โดยจัดการความรู้ ประเด็นนี้อย่างไรบ้าง

 

www.pitt.edu/~cbw/hiv.html

ผมมีเพื่อน มีคนไข้ หลายคนที่สุขภาพดี แม้ติดเชื้อ   และ ได้เล่าประสบการณ์การใช้ สุขภาพทางเลือกในการดูแลสุขภาพ ให้ คงปกติอยู่มานับ 10 ปี  ร่วมกับการทานยาต้าน     ทำให้ผมได้รับรู้ข้อมูลจริงๆกว่า ในตำรา

ลองตามไปดู แหล่งความรู้ ของ ประเทศไทยครับ

http://www.aidsthai.org/main.php?filename=herb

http://www.aidsthai.org/main.php?filename=nutrition_main

สุขภาพทางเลือก ในการดูแลผป.เอดส์  ในประเทศพัฒนาแล้ว อย่างประเทศไทย แพทย์ส่วนใหญ่ จะห้ามคนไข้ไปทดลอง หรือ ใช้ร่วมกันกับ ยาต้านไวรัส  เพราะกลัวปัญหาแทรกซ้อน จากยา

แต่ในประเทศที่ยิ่งเจริญ กว่า  หน่วยงานรัฐ จะจัดหาความรู้ ข้อมูลเผยแพร่ให้ เช่น ในแคนาดาหรือ ออสเตรเลีย  หรือ แม้แต่ในอเมริกา

ส่วนตัวผมคิด อย่างนี้ครับ ซึ่งอาจจะเพื่อนแพทย์ท่านอื่นๆ ไม่เห็นด้วยก็ได้

คือ การใช้สมุนไพร (ไทย)  มีข้อดี ข้ออ่อน จึงควรชั่งใจ  หากสบายดี ไม่มีความเสี่ยง อาจจะชะลอการรีบด่วน ทดลองทานสมุนไพรเม็ด ที่ต้องหาซื้อ    อาจจะเลือกปลูกและกินสมุนไพรสด ที่พอมีข้อมูลว่า  พืชนั้นสารอาหารสูง   กรณีนี้ได้แก่ การปลูกและทานใบมะรุม    การซื้อใบมะรุมทาน ผมยังรู้สึก ไม่คุ้มค่า แต่ปลูกเองไว้ทานเอง จะสนับสนุน

กรณีล่าสุด คณะพยาบาล สงขลานครินทร์ เชิญชวนผมบรรยายให้ความรู้แก่ กลุ่มคณะของพยาบาลที่ดูแล ผู้ป่วยเอดส์ ประมาณ 50 คน   จาก โรงพยาบาลต่างๆ

ก็ถามว่า  อะไร คือ สิ่งที่ต้องรู้ และ ต้องมีข้อมูล ช่วยแก้ปัญหาให้ผู้ป่วยได้จริง จากฐานทรัพยากรที่มีในชุมชน 

อะไรคือสิ่งที่ควรรู้ ทำนองว่า  ไม่รู้ก็ไม่เสียหาย ไม่เสียโอกาสอะไร ของชาติบ้านเมือง

เริ่มจากคำถามว่า  พบปัญหาผู้ป่วย มีโรคแทรกที่ตับ จากยาวัณโรค ในกลุ่มผู้ป่วยเอดส์บ้างหรือไม่

คำตอบ  คือ ทุกคนเคยพบปัญหานี้ ก็มักจะพบว่าแพทย์ให้หยุดยาก่อน

คำถาม  มีสมุนไพรอะไร ที่มีหลักฐาน ช่วยลดปัญหาโรคแทรกซ้อน ต่อตับ จากยาวัณโรคบ้าง

คำตอบ   มีหลายตัวครับ มีรายงาน การวิจัยจาก อินเดีย  ที่ทดลองกับหนู หลายรายงาน  แต่ที่ใช้กับมนุษย์หรือ ผป.วัณโรค จริงๆ  เพิ่งรายงาน ตีพิมพ์ในเดือนสิงหาคม 2551 

โดยใช้ สมุนไพร ขมิ้นชัน กับ บอระเพ็ด  ร่วมกับยาวัณโรค   กลุ่มทดลองที่ได้ สมุนไพร  ทุเลาจากวัณโรค ได้ดีกว่า  วัดจากอัตราตรวจเสมหะ ไม่พบเชื้อ เมื่อสิ้นเดือนที่ สองของการรักษา

ผลการแทรกซ้อน ต่อตับ  พบน้อยกว่า ในกลุ่มได้รับสมุนไพร 

การทนยา กินยาครบต่อเนื่อง ในกลุ่มได้สมุนไพร  ดีกว่า กลุ่มควบคุม ที่ได้ลำพังยาต้านวัณโรค

เรื่องนี้เป็นประเด็นใหม่ ว่า ต่อไป เราจะเชื่อ ใช้ความรู้นี้อย่างไร

โอกาสแพ้ยาวัณโรค แทรกซ้อนต่อตับ มีประมาณ ร้อยละ 10     ผมเสนอให้คัดกลุ่มดังกล่าว ให้ ยาสมุนไพร ร่วมด้วยกับ ยาต้านวัณโรค

และ ให้กินยาเพียง สองเดือนแรก ที่ใช้ยาวัณโรคมาก และ เสี่ยง แทรกซ้อนต่อตับ

เดือนอื่นๆ ใช้ยาน้อยลงก็ให้ลด หรือ ลดสมุนไพร  ก็ได้

คำนวณแล้ว หากรักษาผู้ป่วย วัณโรค 100 คน  เราเลือกให้รายเสี่ยง 10 ราย ค่ายาสมุนไพร เพิ่ม วันละ 5-10 บาท ผมคิดว่า  ให้ ขมิ้นชัน วันละ  2เม็ด  บอระเพ็ด 2 เม็ด  ก็น่าจะเพียงพอ ( น้อยกว่าการศึกษาที่อินเดียได้รายงานไว้ )  ให้จำกัด ในช่วงระยะเวลา  60 วัน  แรก

เราอาจจะต้องการงบประมาณเพิ่ม ตก รายละ 300- 600 บาท  และ คำนวณ 10 คนใน100 คน ที่มีความเสี่ยงสูง จะใช้งบประมาณเฉพาะค่ายา 3000-6000 บาท  ต่อ ค่ายาวัณโรค 100 ราย รายละ3000 บาท

คำนวณแล้ว เพิ่มต้นทุน  ร้อยละ 1-2  ต่อ 100 ราย

องค์กรใด ของใครจะรับภาระนี้    เพิ่ม เพื่อผู้ป่วย  

ผมคาดการณ์ว่า   น่าจะใช้เวลาประมาณ 2 ปี อย่างเร็วสุด   ที่มีการสนใจ ขานรับแนวคิดนี้ ในวงการจัดการวัณโรค ระดับชาติ

สมุนไพร ทั้งสองตัว มีอยู่แล้ว จริงๆ  หลายโรงพยาบาล 

ส่วนสมุนไพร อื่น  ที่มีหลักฐานว่า ช่วยปกป้องตับ ทั้งจากยา วัณโรค และ สารเคมีอื่น แต่ขาดผลการใช้จริงในคน ได้แก่ 

มะขามป้อม มีผลศึกษา กรณียาวัณโรคแล้วในเซล และ สัตว์ทดลอง

     ผมจะใช้ ครั้งละ 1 กรัม / วัน   เป็นประสบการณ์ ประมาณเอาเองครับ ว่า ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป

สมอไทย มีผลการศึกษา กรณียาวัณโรค แล้วในเซล และ ในสัตว์ทดลอง

     จะใช้ขนาดเดียวกับ มะขามป้อม

ฟ้าทะลายโจร มีผลปกป้องตับจากสารเคมี และ ยาพาราเซท ดีกว่า ขมิ้นชัน แต่ยังไม่มีรายงานเจาะจงจากยาวัณโรค

      ผมจะใช้ ในขนาด วันละ 1 -2 เม็ด    ขึ้นกับ ธาตุ สภาวะของคนไข้  

บอะเพ็ด  บอระเพ็ด เดี่ยวๆ ได้ผลไม่มากนัก  หากใช้ร่วมกับ ขมิ้นชัน และ หรือ มะขามป้อม  ได้ผลมากขึ้น จากงานวิจัยของอินเดีย  บอระเพ็ด มีข้อเด่น คือ ช่วยเพิ่มการทำงานของเม็ดเลือดขาว ด้วย

     ผมจะใช้วันละ 2- 3 เม็ด ต่อวัน 

ขมิ้นชัน มีรายงานผลร่วมใช้กับบอระเพ็ด ในคน ป่วยวัณโรคจริงๆ  ได้ผลดีกว่า กลุ่มที่ได้แต่ยาวัณโรค

    ผมจะให้มากสักหน่อย เพราะหาได้ง่าย และ มีความเป็นอาหารมากกว่าตัวยาอื่นๆ คือ ให้วันละ 1กรัม

    ปรับเอาตามสภาพของผป.

 

กรณีที่ผป.เอดส์มีปัญหาท้องเดิน เรื้อรัง ที่ไม่ใช่สาเหตุจากเชื้อ และ พยาธิ

ซึ่งมักมีสาเหตุจาก  ธาตุในร่างกาย เย็นเกิน  หรือ ขาดไฟธาตุ ความอุ่นร้อน 

ควรงด ลดน้ำเย็น ผลไม้ ผักสดชั่วคราว    ควรงดอาหารทะเล โดยเฉพาะพวก กุ้ง หอย ปู

ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ ที่บรรเทา ท้องเดินได้ คือ ยาธาตุบรรจบ  และ ยาเหลืองปราบสมุทร ซึ่ง ก็หาแหล่งผลิต และกระจาย ตาม รพ.ชุมชนต่างๆได้ยาก  คาดว่ามีใน รพ ชุมชน คงไม่เกิน 10 แห่งทั่วทั้งประเทศ

หากจะหาสด หรือ หาใช้ตัวอื่นแทน แก้ขัด ก็ได้แก่

ขิง  ซึ่งอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ  แต่แบบยาเม็ด ก็คงหา ยาก   ใช้แก้ขับลมในท้องได้ด้วย ก็พอแก้ขัดได้บ้าง  แม้ไม่ใช่ยาโดยตรง

หรือ ใช้ยาฝาด สมุนไพร รสฝาด

สมอไทย  

 

สมอพิเภก  ซึ่งมีรายงานวิจัยพบสารต้านเชื้อเอดส์ และ แบคทีเรีย  ก็น่าจะลองหาใช้แก้ขัด

 สมอ ทั้งสองชนิดนี้ หาได้ยากง่าย ก็แล้วแต่ชุมชน   ทางเหนือมักหาได้ง่ายกว่า

 

ส่วนปัญหาผิวหนัง ผื่นคันเรื้อรัง ที่ไม่มีสาเหตุชัดเจน หรือ ใช้การรักษากับแพทย์แล้วไม่บรรเทา

ผื่นคัน อาจจะโทษ การอักเสบ ของเนื่อเยื่อ    โบราณเรียก โลหิต มีพิษร้อน  ก็ใช้ยาเย็น ช่วยดับพิษร้อนในเลือด    หากแก้ไข้ที่ต้นเหตุ จากอาหาร มัน รสจัด อดนอน นอนดึก ก็จะเห็นผลได้เร็วขึ้น

ควรงด ลด เนื้อสัตว์ต่างๆ ไข่นม ไว้ด้วย   แต่กิน โปรตีนจากพืช ไประยะหนึ่งแทน ด้วย ข้าว ถั่ว งา

  แนะนำ ให้ลองใช้สมุนไพร

งวงตาล ( งวงโหนด )

มะขามป้อม

บอระเพ็ด

 กะเม็ง

ทั้งนี้สมุนไพรต่างๆ ต้องใส่ใจความสะอาดในการเตรียม ด้วยครับ ซึ่งก็ไม่น่าจะยากอะไร หรือ

จะรังเกียจ จนไม่ทาน ก็จนใจแนะนำครับ

นอกจากนี้แล้ว เรื่องของ จิตใจ  และ การบริหารกาย ลมปราณ สวดมนต์ไหว้พระ ถือศีลห้า  เว้นจากบาปกรรมใหม่ ทั้งหลาย ก็เป็นเรื่องที่ต้องให้ความใส่ใจ

อย่าหวังกินแต่สมุนไพร  โดยไม่หักหามใจ ไปสร้างบาปกรรมใหม่   

ยาก็เป็นพิษแทรกซ้อนต่อเราได้แบบคิดไม่ถึง  เช่น เผลอทานไม่ถูกขนาด

 

คำถามต่อไปว่า ยาจะมีโอกาส รบกวนกันกับยาแผนปัจจุบันเพียงใด เพราะแพทย์มักห้ามทานสมุนไพร

ผมชวนให้เลือกเอาเอง ว่า จะกินแต่ยาฝรั่งอย่างเดียว พอจะมีพิษ หรือ อาการข้างเคียง บ้างมากน้อยกันไป

หรือ หัดเลือก และ ลองกินสมุนไพร  ง่ายๆ แล้ว หัดสังเกตุอาการ ตนเอง  และ มีความรู้เอง เผยแพร่กันต่อ

ดังเช่น การทานใบมะรุม ช่วยให้สุขภาพ ดีกับ ผู้ติดเชื้อ

สมุนไพร หลายชนิด ก็คงจะดีกับสุขภาพ ผู้ติดเชื้อได้เช่นกัน

อย่างที่อินเดีย กิน สมุนไพร ร่วมกับ ยาต้านวัณโรค

ผู้ติดเชื้อ ก็ใช้สติ และ ปัญญา พิจารณาดูว่า  จะรอให้แพทย์แนะนำทานสมุนไพร ก็ได้  หรือ  หัดเป็นนักวิจัย ตนเอง อย่งแยบคาย ด้วยสมุนไพรพื้นๆ ที่ปลอดภัย ไม่มีพิษ    อย่างไหนจะดีกว่ากัน  

คงไม่มีคำตอบ  ตายตัว  ครับ ให้พิจารณาเอาด้วยตนเอง

 

ผู้เรียนรู้รุ่นหลัง 

 

l

 เพิ่มเติม พค 2552

แหล่งข้อมูล สมุนไพร กับ ผู้ติดเชื้อเอดส์   ที่น่าสนใจ

1 ของ แคนาดา  www.catie.ca

2 ของไทย  http://www.medplant.mahidol.ac.th/index.asp

               http://www.medplant.mahidol.ac.th/herb_aids/main.asp

  แหล่งข้อมูลนี้ ของไทย ผมเข้าใจเองว่า ไม่ทันสมัย ไม่ปรับปรุง .... ก็อย่าไปเชื่อมากนัก  บางสิ่งเขาพิสูจน์วิจัย แต่ เวบซ์นี้ ไม่ได้ปรับปรุง ข้อมูล  เข้าใจว่า หมดโครงการ หมดงบประมาณ ก็หมดการดูแล

 

 

ทองพันชั่ง ไม่เหมาะจะใช้เป็นยา เจริญอาหาร  เพราะ พื้นฐาน ไม่ใช่อาหาร  แล มีข้อมูลหลายส่วน ว่า เป็นพิษต่อเซลปกติ และ เซลมะเร็งได้ง่าย

พลูคาว  มีข้อมูล จาก เว็บ   http://www.medplant.mahidol.ac.th/index.asp  เลือก พลูคาว

    มีข้อมูลหลายอย่าง ที่น่าสนใจ ตรวจสอบ

 

ผู้เรียนรู้รุ่นหลัง

หมายเลขบันทึก: 215458เขียนเมื่อ 10 ตุลาคม 2008 11:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 8 มิถุนายน 2012 14:49 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท