ประวัติวัดเมืองแปง แต่เดิมวัดเมืองแปงเคยเรียกขานกันว่า “วัดศรีดอนชัย” เนื่องจากเป็นวัดที่ตั้งอยู่บนยอดเนินเขา ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเรียกว่า “ศรีวิชัย” ตามชื่อของครูบาศรีวิชัย หรือ ครูบาศีลธรรม นักบุญแห่งล้านนาซึ่งได้เคยจาริกมาที่วัดแห่งนี้แล้วริเริ่มสร้างวัดขึ้นครอบวัดเดิมซึ่งเป็นวัดร้าง
เมื่อเวลาผ่านไปจึงได้มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีว่ามีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานวิสุงคามสีมา แก่วัดเมืองแปงเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2538 ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าชื่อเป็นทางการตามราชกิจจานุเบกษาของวัดนี้ คือชื่อ วัดเมืองแปง
ก่อนที่จะเป็นวัดศรีดอนชัยนั้น บนเนินเขามีสภาพเป็นวัดร้าง มีแต่ซากอิฐซากปูนคลุมรกเรื้อ ไม่มีใครกล้าหาญย่างกรายล่วงล้ำเข้าไปในเขตวัด จะมีเพียงแต่วัวควายของชาวบ้านที่พลัดหลงเข้าไปในเขตวัดเท่านั้น เนื่องจากบริเวณนี้มีภูตผีดุร้ายมาก โดยเฉพาะ ผีกะยักษ์ ( ผีกะ เป็นภาษาคำเมือง หมายถึง ผีปอบ) ซึ่งคอยทำร้ายชาวบ้านบ่อยครั้งมาก เมื่อผีกะยักษ์ทำร้ายชาวบ้านเมื่อใดก็จะมีอาการป่วยไข้โดยสาเหตุไม่ได้ ชาวบ้านก็จะจัดหาไก่และเหล้าขาวมาเลี้ยงเซ่นไหว้ บริเวณวัดจึงมีสุ่มไก่วางทิ้งไว้ระเกะระกะเป็นจำนวนมาก
เพราะเหตุที่ผีร้ายมีฤทธิ์กล้าแข็งมากนี้เอง ชาวบ้านจึงสร้างวัดที่ที่ต่ำลงมาจากยอดเนินประมาณ 100 เมตร ซึ่งก็คือบริเวณ โรงเรียนบ้านเมืองแปง ในปัจจุบัน มีลักษณะเป็นวัดแบบชั่วคราว เพราะมีเพียงโรงเรือน แค่ 2 โรง ไว้ใช้สำหรับประกอบศาสนกิจเสีย 1 โรง ส่วนอีกโรงใช้สำหรับพระ และเณรจำวัด
ก่อนหน้านั้นมีชาวบ้านเมืองแปงคนหนึ่ง ชื่อว่า นายนุ เป็นชาวปั๊กกะญอ (Pga K’Ngaw เป็นคำสุภาพที่ชาวกะเหรี่ยงเรียกตนเอง) เป็นคนที่มีลักษณะค่อนข้างจะนักเลง และชอบสักลายลงยันต์คาถาทั่วตัว และได้ไปคลุกคลีติดตามครูบาศรีวิชัยอยู่ที่วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ เวลาผ่านไปนานเข้าก็เกิดความเลื่อมใสในพระบวรพระพุทธศาสนา จึงได้ขอบวชกับครูบาศรีวิชัยที่วัดพระสิงห์นั้นเอง และมีชื่อทางพระว่า พระอินทนนท์
เมื่อได้เรียนรู้พระธรรมมาแล้ว ครูบาศรีวิชัยจึงให้พระนุ หรือ พระอินทนนท์ มาเป็นเจ้าอาวาสวัดเมืองแปงเป็นรูปแรก ตามคำขอนิมนต์ของชาวบ้านเมืองแปง ซึ่งขณะนั้นเป็นวัดชั่วคราว มีพระนุซึ่งเป็นเจ้าอาวาส เพียง 1 รูป มีสามเณร 6 รูป มีเด็กวัด 5 คน และมรรคนายก 1 คน
เมื่อพระนุมาอยู่ได้ระยะหนึ่งจนกระทั่งปี พุทธศักราช 2471 ครูบาศรีวิชัยก็ได้จาริกมาที่อำเภอปาย และผ่านมาที่บ้านเมืองแปงแห่งนี้แล้วเห็นว่าวัดร้างที่ยอดเนินเขานั้นเหมาะสมมากกว่า จึงให้ย้ายวัดขึ้นไปอยู่บนยอดเนินเขานั้น
แต่ด้วยความที่ชาวบ้านหวาดกลัวต่อผีกะยักษ์ ครูบาศรีวิชัยจึงได้เป็นผู้นำชาวบ้านขึ้นไปก่อสร้างด้วยตนเอง โดยท่านเป็นผู้วางหลักปักเขตแดน ในการสร้างพระธาตุ และวิหาร ซึ่งก็เป็นฐานเดิมของวัดร้างนั้นเอง เชื่อกันว่าเป็นเพราะบารมีอันแก่กล้าของครูบาศรีวิชัยนี้เองที่ทำให้ผีร้ายเกรงกลัวและชาวบ้านสามารถก่อสร้างวัดได้สำเร็จ
ครูบาศรีวิชัยมาพำนักอยู่ที่วัดเมืองแปงเพียง 1 วัน 1 คืน เท่านั้น จึงได้จาริกไปยังบ้านวัดจันทร์เป็นอันดับต่อไป แต่ท่านใช้เวลานี้ได้อย่างคุ้มค่ามาก เพราะท่านได้สร้างคุณูปการแก่ชาวบ้านเมืองแปงอย่างยิ่ง นอกจากท่านจะได้เป็นประธานในการก่อสร้างวัดแล้ว ท่านยังเป็นอุปชฌาย์ในการบรรพชาให้แก่ ด.ช.แสน กัลยา ด.ช.ขันธ์ และ ด.ช.ตา โดย ด.ช.แสน มีฉายาว่า ใจยา ดงช.ขันธ์ มีฉายาว่า ธรรมขันธ์ และ ด.ช.ตา มีฉายาว่า จินะ จากนั้นท่านได้จาริกไปยังบ้านวัดจันทร์ และต่อไปยังบ้านยั้งเมิน บ้านม่อนเปี๊ยะ แล้วจึงกลับไปวัดพระสิงห์ตามเดิม
พระนุ สามเณร และชาวบ้านเมืองแปงทั้งหลายจึงได้ร่วมมือร่วมใจกันก่อสร้างวัดไปจนสำเร็จ โดยท่านให้การสนับสนุนด้านอุปกรณ์ก่อสร้างต่างๆ เช่น ถังน้ำ ซึ่งใช้ในการขนปูน ทราย ฯลฯ รวมทั้งยอดพระธาตุซึ่งเป็นโลหะ โดยชาวบ้านต้องเดินทางไปเอามาจากวัดพระสิงห์เอง
ในสมัยนั้นการเดินทางลำบากมาก ต้องเดินทางด้วยเท้ารอนแรมกันเป็นเดือนๆ การก่อสร้างนั้นเริ่มจากการก่อสร้างพระธาตุก่อน ส่วนวิหารนั้นสร้างแบบชั่วคราวไปก่อน โดยรื้อไม้จากวัดเก่ามาสร้าง ส่วนปูนที่ใช้นั้นใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านในการผสม เพราะไม่มีปูนซีเมนส์เหมือนเช่นปัจจุบัน โดยชาวบ้านต้องไปขุดหินปูนมาจากทุ่งผาจัน มีลักษณะเป็นหลืบเข้าไปในผา มีความกว้างประมาณคนเข้าไปนอนได้ 10 คน ที่ผาจันนี้มีหินปูนจำนวนมาก ชาวบ้านก็ได้เรียกที่แห่งนี้ว่า เตาปูน มาจนถึงทุกวันนี้
วิธีการผสมปูนนั้น ทำได้โดยการเอาหนังวัวหนังควาย และไม้ไก๋ มาแช่น้ำ เอาน้ำเมือกเหนียวมาผสมกับหินปูนและทราย ส่วนไม้เสาของวิหารนั้น ชาวบ้านทั้งหญิงชาย ได้ช่วยกันชักลากมาตามลำน้ำปาย ใช้เชือกปอ 2 เส้น เป็นเชือกที่ฝั้นกันขึ้นมาเอง มีคนตีกลองเป็นสัญญาณนำในการชักลากด้วย
เล่ากันว่าชาวบ้านสมัยนั้นให้ความร่วมมือกันดีมาก ทั้งหญิงชาย ไม่เว้นแต่เด็กๆ ก็มาช่วยหยิบช่วยจับตามแรงที่มี สร้างอยุ่ไม่นานก็แล้วเสร็จ และถวายเป็นถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนาในปี พุทธศักราช 2474 หลังจากนั้นจึงไปสร้างวิหารพระพุทธบาท ต่อไป
ติดตามศึกษาประวัติศาสตร์รอยพระพุทธบาทในบันทึก
ประวัติศาตร์ศึกษา : รอยพระพุทธบาท บ้านเมืองแปง
ครูแอน ๒๗ กันยายน ๒๕๕๑
สวัสดีครับครูแอน
ท่าน ผอ. นายประจักษ์~natadee
ท่านเกษตรปรีดา เกษตร(อยู่)จังหวัด
ขอบคุณพี่ครูโย่ง ครูโย่ง หัวหน้า~ natadee
อ. ขจิต ฝอยทองที่ปรึกษา~natadee
สวัสดีครับ
มาติดตามต่อ ประว้ติอันยาวนาน ตำนานเมืองแปง
ขอบคุณมากครับ
พี่ยาว เกษตรยะลา
อ่า..โผล่ที่นี่อีกอันแฮะ
"มรรคทายก" ที่ถูกน่าจะเป็น "มรรคนายก" นะครับครูแอน ไม่รู้ว่าที่ผมบันทึกไว้เป็นอันไหนครับ
ครุแอน
หลังคาโบสถ์คล้ายๆวัดในลาวเลยนะครับ
แม่ฮ่องสอน มีอะไร ที่ดู สงบ ไร้ความวุ่นวายดีนะครับ
น้องอ๋องครับ ธีรนร นพรส
พี่ คนโรงงาน
แหม..พี่ คนโรงงาน
เยี่ยมมากเลยครับ
คุณโยธินิน
ขอบคุณพี่สาวที่มาเยี่ยมค่ะ naree suwan
สวัสดีครับครูแอน
สบายดีป่ะครับ
ลูกศิษย์..จู อยู่เปา คุณครูสบายดีคะ ครูทุกท่านก็ย้ายกันไปบ้างแล้ว เหลือ ครูเหว่า ครูแอน ครูแอร์ ครูจรัญ คะ