ทบทวน : บทที่ว่าด้วยการให้อภัยและการเมตตากรุณา


The Wisdom of Forgiveness

ทะไลลามะทรงสรุปว่า การขัดเกลาจิตใจ หมายถึง การส่งเสริมและเจริญอารมณ์ด้านที่เป็นกุศล อย่างการอภัยและความเมตตากรุณา การตั้งจิตเพื่อความอยู่ดีมีสุขของผู้อื่น อารมณ์อกุศล เช่น ความเกลียด ความริษยา พวกนี้เป็นศัตรูตัวร้าย เราสามารถสยบลดราอารมณ์ด้านลบเหล่านี้ได้ด้วยการฝึกจิต ตามความเห็นของนักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อย การฝึกจิตมีความสัมพันธ์ต่อสุขภาพของคนเรา

 

ดูอย่างการอภัย ซึ่งมีสองระดับ ระดับหนึ่ง การอภัย หมายความว่า เธอไม่ควรคิดแก้แค้น เพราะการแก้แค้นเป็นการทำร้ายผู้อื่น ถือเป็นความรุนแรงรูปแบบหนึ่ง ความรุนแรงมักนำไปสู่การตอบโต้ที่จะก่อให้เกิดความรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก ปัญหาก็จะไม่มีวันหมดไปอีก อีกระดับหนึ่ง การอภัยหมายถึงว่า เธอไม่ควรปล่อยอารมณ์ให้กลายเป็นความโกรธ ผู้ที่เป็นศัตรู ความโกรธไม่ช่วยแก้ปัญหา รังแต่จะทำลายความสงบในจิตใจ เธอจะไม่มีวันเป็นสุขตราบที่คุกรุ่นด้วยอารมณ์โกรธ ฉันคิดว่านี่คือ เหตุผลสำคัญว่าทำไมเราจึงให้อภัย เมื่อใจสงบ จิตเป็นสันติสุขภาพกายก็ย่อมแข็งแรง จิตที่ปั่นป่วน ทำให้สุขภาพถดถอยเป็นอันตรายแก่ร่างกาย ฉันเห็นอย่างนั้น

 

ปัญญาญาณ

บทสนทนาและการเดินทางเปี่ยมมิตรภาพ

แห่งการให้อภัย

ทะไลลามะ และวิกเตอร์ ชาน เขียน

สายพิณ  กุลกนกวรรณ ฮัมดานี แปล

 

นี่เป็นอีกบทหนึ่งหลังจากที่ข้าพเจ้าใช้บทภาวนาด้วย ความเมตตากรุณา... และการทบทวนต่อสิ่งที่มากระทบในชีวิตประจำวัน และการค้นหาคำตอบ เพื่อตนเอง และใครอีกหลายๆ คนที่ได้รับกระทบ ... มีบุคคลหนึ่งที่ข้าพเจ้าและเพื่อนร่วมงานอีกหลายคนที่ได้มีความเกี่ยวข้อง และได้รับผลกระทบจากจิตใจของบุคคลนั้นที่สาดใส่คนรอบข้าง ... รัศมีกายเป็นสิ่งแรกที่สาดใส่บุคคลอื่น เป็นพลังทางด้านลบ ที่เวลาอยู่ใกล้จะสัมผัสได้ถึงความอึดอัด และเป็นบุคคลที่มักหาเรื่องเดือดร้อนใจมาสู่ผู้อื่นเสมอ ... ไม่ว่าจะเป็นลักษณะการว่าร้าย การยกตนข่มผู้อื่น การเอาเปรียบ และความเห็นแก่ตัว ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ฐานะที่ดีและการศึกษาที่สูง แต่จิตใจนั้นตรงกันข้าม ... เท่าที่พวกเราคนทำงานสัมผัส บุคคลผู้นี้เป็นผู้ที่ไม่มีความสุขในชีวิตเลย แววตาไร้แววแห่งความสุข ใบหน้าจะตึงแม้ว่าจะพยายามยิ้ม แต่เป็นยิ้มที่ฝืดฝืนมาก ตลอดชีวิตมีแต่การแข่งขันและการกลัวผู้อื่นได้ดีกว่าตนเอง กลัวการเสียเปรียบ และที่สำคัญมักเอาเปรียบและข่มเหงทางวาจาต่อผู้ที่ตนเห็นว่าด้อยกว่าตน...

 

จากพฤติกรรมต่างๆ เหล่านี้ ข้าพเจ้ารู้สึกสงสารบุคคลผู้นี้ยิ่งนัก ... พยายามบอกทางที่อยากจะให้บุคคลผู้นี้มีความสุขซึ่งเป็นสุขสงบภายใน เป็นความพยายามที่พยายามมาหลายปีมาก แต่ความพยายามนั้นล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า จนเมื่อ ณ วันนี้ข้าพเจ้าได้ทบทวนต่อตนเอง ว่าจะปฏิบัติและดำเนินต่อไปเช่นไรต่อบุคคลนี้...

 

มองให้ลึกไปถึงเบื้องหลังของชีวิต... ข้าพเจ้าเชื่อว่า บุคคลผู้นี้ตั้งแต่เด็กจนโตเป็นคนที่ไม่มีความสุข หรืออาจไม่เคยสัมผัสคำว่าความสุขอย่างแท้จริง น่าจะเป็นผู้มี trauma ทางจิตใจพอสมควร เพราะจะมีลักษณะกล่าวโทษผู้อื่นเสมอ ไม่เว้นแม้แต่พ่อ แม่ พี่น้อง ของตนเอง ตลอดจนมาถึงเพื่อนร่วมงาน ครูบาอาจารย์ ทัศนคติต่อการมองโลกค่อนข้างติดลบ ... ซึ่งตรงกันข้ามกับชีวิต ที่ฐานะการงาน ฐานะทางครอบครัว และระดับการศึกษาดีกว่าคนอีกหลายคนมากมายเลย แต่ใบหน้าและแววตาไม่มีประกายแห่งความสุขฉายออกมาเลย...

ข้าพเจ้าย้อนมองไปถึงพื้นฐานครอบครัว และการได้รับความรักความอบอุ่นในวัยเด็ก ลักษณะของบุคคลผู้นี้ค่อนข้างเป็นผู้ที่ขาดความรัก และอิจฉาผู้อื่นเมื่อเห็นเขามีความสุข จากความอิจฉานี้จะแปลเปลี่ยนเป็นทำร้ายบุคคลอื่นเพื่อให้เขาได้รับความทุกข์ใจ มีคนมากมายที่ได้รับผลกระทบทางอารมณ์ของบุคคลผู้นี้ กลายเป็นความเกลียดชังที่กระทบกันไปมา... หากว่าไปแล้วเมื่อพิจารณาดูในองค์กร บุคคลผู้นี้ไม่ค่อยจะมีเพื่อน มีก็น้อยมากเพื่อนที่มีที่จริงใจต่อบุคคลนี้ ก็มักโดนผู้นี้ทำร้ายด้วยวาจาอยู่เสมอ จนเพื่อนก็เริ่มมีอาการย่ำแย่ทางจิตใจ ข้าพเจ้าได้แนะนำต่อผู้เป็นเพื่อนว่า หากแบกรับสภาวะทางจิตใจไม่ไหวก็ให้ถอยออก เพราะไม่อย่างงั้นจะกลายเป็นโรคเครียด และเพิ่มระดับความรุนแรงมากขึ้น

 

การที่เราจะปฏิบัติต่อบุคคลในลักษณะเช่นนี้ ต้องใช้พลังใจอย่างมาก ... และปัญญาทำความเข้าใจถึงเหตุปัจจัยที่มาที่หล่อหลอมมาเป็นพฤติกรรมและบุคลิกภาพ เพราะเมื่อไรที่เราขาดปัญญา ปฏิกิริยาที่คอยเคลื่อนไปสู่การตอบสนอง ก็จะเป็นความโกรธและการปะทะทางอารมณ์ที่รุนแรง...

 

การวาง... ออกจากใจ เป็นเรื่องที่เราผู้อยู่ใกล้ต้องฝึกฝน ตลอดจนในเรื่องของการให้อภัย แม้จะให้อภัยแล้วอภัยอีกตราบตลอดชีวิตที่ต้องสัมพันธ์กันนี้ เราก็ต้องทำ ... เพราะในทัศนะส่วนตัวของข้าพเจ้าเอง มองว่าการให้อภัยนั้นเป็นเชือกเพียงเส้นเดียวที่พอดึงรั้งและเป็นทางเยียวยาบุคคลเฉกเช่นนี้ได้...

 

อภัยด้วยใจที่นอบน้อม ต่อความทุกข์ที่บุคคลนี้ได้รับมาตลอดช่วงชีวิต

จนบ่มเพาะมาเป็นนิสัยและบุคลิกภาพ

แม้จะยากแสนยาก แต่เราก็พึงปฏิบัติต่อได้ด้วยหัวใจแห่งความเป็นมนุษย์...

เพื่อให้เกิดสันติขึ้นในใจเรา เท่านั้นเอง

 

 

 

 --------------------------------------------

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 209501เขียนเมื่อ 17 กันยายน 2008 19:25 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 พฤษภาคม 2013 13:00 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (12)

มาติดตามซึมซับ ความรู้ ปัญญาญาณ ผมรู้ดีว่าอ่านแต่เพียงถ่ายเดียว คงไม่สำเร็จเป็นแน่ ต้องฝึกปรือ เจริญสติไปด้วย

ให้กำลังใจ ดร.กะปุ๋ม ด้วยนะครับ

พลังแห่งความเมตตา...เป็นพลังแห่งการเยียวยาที่ดียิ่งค่ะ

เพื่อสังคมและโลก...

และที่สำคัญ...เพื่อสันติสุขที่ยิ่งใหญ่ในใจเราค่ะ...

P รักษาสุขภาพนะคะ...

(^___^)

ขอบคุณค่ะ

กะปุ๋ม

  • มาทักทาย คุณหมอ คนเก่ง ค่ะ
  • R2R กำลังจะเริ่มดำเนินการ ในเดือน ต.ค.51
  • เอ...กำลังหา วิทยากรคนเก่ง มาช่วยให้มุมมอง อยู่นา...
  • ไม่รู้ว่า จะว่างหรือเปล่า เห็นเดินสาย ขึ้นเหนือ ร่องใต้ ไปลาว ก็ปานฉะนั้น
  • เลยไม่กล้าที่จะทาบทาม
  • อิอิ

(^__^)... พี่บัว...P  บัวปริ่มน้ำ

คนหน้างานที่ work มาก...ขนาดไม่กล้าที่จะทาบทามนะเนี๊ยะ... online... เลย 555...

 

+ สวัสดีค่ะ....

+ อ่านแล้วย้ำเตือนสติได้มากมายเลยค่ะ....

+ อ๋อยก็เจอปัญหา...เช่นนี้ที่ ร.ร.เหมือนกันค่ะ....

+ แต่อ๋อยว่าเพื่อน..ที่ ร.ร. เป็นมากกว่าค่ะ...บางครั้งถึงกับด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย...ทำเป็นลงทรงก็มีค่ะ....

+ ทุกวันนี้ก้พูดคุยกันตามปกติ....แม้จะรับทราบมาว่า...ที่ร้านน้ำชาโดนต่อว่า..นินทา...ใส่ร้ายมากมายก็ตาม

+ ครูทุกคนโดนหมดค่ะ...รวมถึง ผอ.ด้วย....ทั้ง ร.ร.ฉันเก่ง  ฉันรู้  กันอยู่ 2 คนค่ะ....

+ เมื่อมองย้อนกลับไปดูเบื้องหลังของทั้งสองท่าน...ก็เป็นอย่างเช่นที่ คุณกระปุ๋มนำเสนอนั่นแหละค่ะ

+ แต่ทุกวัน..ครูทุกคนก็ยังคุยกับครูทั้งสองท่านเป็นปกติค่ะ....

+ นั่นเพียงเพราะ..ทำใจ..ปลง..และไม่ถือสา....อย่างนี้คือการให้อภัยใช่ไหมค่ะ...

สงสารและเห็นใจด้วยนะคะ... P

ขอบคุณนะคะที่มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์... สัมพันธ์กันด้วยความเข้าใจ... ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงใครได้ นอกเสียจากว่าบุคคลนั้นยินดีที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง...
ก่อนนอน..ฝากกอดหลานด้วยนะคะ จาก "ป้ากะปุ๋ม"...
(^___^)

ฉบับนี้...น้องเราเขียนบรรยายได้ลึกซึ้งจังเลยครับ..พี่ชาย ขอ ก้อปปี้ ไว้นะ.....ขอบคุณมาก ๆ เลยครับ....พี่ชาย ชยพร แอคะรัจน์

บางสภาวะ... ใช้เวลาต่อการใคร่ครวญ...

เพราะ...บางเวลา กำลังของปัญญามีไม่มากพอ...

และรู้ไม่เท่า...สภาวะในจิตเรา ปล่อยให้ความคิดอันเป็นอกุศล...ครอบครองใจนี้อยู่หลายเพลาค่ะ...

เมื่อไรก็ตามที่ศีล..อันเป็นรั้วกางกั้นป้องกันไปสู่การทำชั่ว มีกำลัง... เป็นสิ่งที่หนุนส่งให้สติพลอยมีกำลังตามไปด้วย ตั้งมั่นและแน่วแน่... "ปัญญา" ก็เริ่มพอมีที่จะใคร่ครวญต่อสิ่งที่ดำเนินไปในชีวิตประจำวัน..

เกือบเพี้ยงพล้ำไปแล้วค่ะ...พี่ชายP  ชยพร แอคะรัจน์

(^___^)

สวัสดีค่ะ

- แวะมาเก็บเกี่ยว --ปัญญา ...การปล่อยวาง นี่ทำยากจังเลยนะค่ะ

ต้องอาศัยการทดลองทำนานเหมือนกัน...

สวัสดีจ้ะเพชร...

ปล่อย ---> วาง ไม่ยากหรอก... แต่ความยากมันอยู่ตรงที่ว่าเราอยาก ปล่อย -----> วาง หรือไม่ เท่านั้นเอง

เมื่อตัดสินใจลงใจได้ว่า ปล่อยวาง... มันก็ปล่อยวาง

(^___^)

กำลังเดินทางออกจากปาย มีพี่หมอรอน มารับไปเชียงใหม่ครับ

คุณเอก...ณ เพลานี้คงถึงที่หมายเรียบร้อยแล้วนะคะ

(^___^)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท