คุณเคยได้ยินประโยคเหล่านี้บ่อยแค่ไหน "ทำไมเด็กนักเรียนสมัยนี้อ่านหนังสือไม่ออก " หรือ "คิดเหมือนกันไหมว่านักเรียนเดี๋ยวนี้ขี้เกียจเรียนหนังสือ" รวมทั้ง "นักเรียนเห็นแก่ตัว ไม่มีน้ำใจ" และอีกสารพัดคำบ่นที่เกิดขึ้นในวงการศึกษาไทยยุคที่ดูเหมือนยิ่งพยายามปรับปรุงพัฒนาด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆเท่าใด ผลที่เกิดกับนักเรียนยิ่งแย่ลงเท่านั้น ผู้เขียนไม่ได้เป็นพวกโรคจิตชอบทำร้ายเด็กแต่อย่างใด (รู้สึกไม่ดีทุกครั้งที่เห็นการลงโทษเด็กเกินกว่าเหตุเสมอ) ขอชื่นชม กับครูทุกคนที่สามารถสอนนักเรียนให้ขยันอ่านเขียน มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของนักเรียนเป็นอย่างดี โดยไม่มีการลงโทษในเชิงลบ ซึ่งผู้เขียนเองก็พยายามอยู่เช่นกันแต่ไม่ค่อยสำเร็จเท่าไหร่ จนบางครั้งคิดว่าอาจต้องทำใจในเมื่อชมก็แล้ว ให้รางวัลก็แล้ว พูดด้วยปิยวาจาก็แล้ว นักเรียนสุดที่รักยอมปรับพฤติกรรมแค่วัน ครึ่งวัน แล้วเป็นเหมือนเดิม จะเยินยอ ยั่วยุด้วยรางวัลใดก็ไม่เอาแล้ว กับคำตอบที่ว่า " ผมไม่อยากทำ ขี้เกียจเขียน เล่นได้ไหม" (ก็เพิ่งปล่อยให้ออกไปเล่นมาเมื่อกี้นี่เอง) หนักเข้าเหมือนได้ใจ ไม่ยอมทำอะไรเล่นอย่างเดียว ชั่วระยะหนึ่งที่ผู้เขียนจำต้องปล่อยนักเรียนคนนี้ด้วยเกรงว่าเส้นเลือดในสมองตนเองจะแตกเสียก่อน ต้องหันมาตั้งหน้าตั้งตาสอนนักเรียนคนอื่น ๆ เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ ทุกครั้งที่หันมามองนักเรียนคนนี้มีแต่ความหนักใจ และสงสาร เพราะยิ่งนานวันเข้าความแตกต่างทางความสามารถทางการเรียนรู้ของเขากับนักเรียนคนอื่น ๆ ยิ่งห่างกันมากขึ้นทุกที ในขณะที่เพื่อน ๆ เขียนแต่งประโยคได้เป็นเรื่องราว 8-10 บรรทัด เขากลับเขียนแต่งประโยคไม่เป็นสักประโยคเลย ไม่นับที่เขียนและอ่านได้น้อยคำมากจนน่าใจหาย ผู้เขียนนั่งมองเขาในวันหนึ่ง เขากำลังนั่งวาดรูปรถยนต์ในสมุดในขณะที่คนอื่นทำแบบฝึกหัด ( ในสมุดของเขาจะมีแต่รูปวาดรถยนต์เต็มไปหมด) เกิดความคิดว่านี่ถ้าหากเป็นลูกเรา เราจะทำอย่างไรดี เมื่อขู่ก็ไม่เคยกลัว เสริมแรงด้วยคำชมหรือรางวัลก็ไม่สำเร็จ คำตอบที่มีในใจคือ คงต้องมีการตีให้หลาบจำหรือเกรงกลัวบ้าง อย่างน้อยให้เขาได้เรียนรู้เพราะถูกบังคับ ยังดีกว่าปล่อยให้เขาไม่ได้ความรู้อะไรเลย เหมือนสุภาษิตที่มีมาแต่โบราณกาล อันกล่าวว่า "รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี" แต่ก็มีพ่อแม่บางคนที่ตามใจลูก โดยอ้างว่ารักลูกสุดท้ายลูกเติบโตขึ้นมาอย่างไม่มีคุณภาพ หรือที่เห็นกันบ่อยได้ยินกันเรื่อยมาว่า เลี้ยงลูกตามใจจนเสียคน ผู้เขียนเคยได้ยินคนผู้หนึ่งพูดว่า พ่อแม่ที่ไม่สอนให้ลูกทำงานอะไรเลยเป็นการทำร้ายลูกของตนเองเพราะเมื่อโตขึ้นลูกจะทำอะไรไม่เป็น ช่วยตนเองไม่ได้ ซึ่งผู้เขียนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
แต่ผู้เขียนจนด้วยปัญญาที่จะทำได้เพราะกฏบังคับที่ห้ามตี ห้ามใช้คำรุนแรง ห้ามทำร้ายความรู้สึกของผู้เรียน ห้าม....และห้าม.......อีกมากมาย จนผู้เขียนคิดว่านี่ถ้ากราบนักเรียนแล้วเขายอมตั้งใจเรียนจริงๆ จะยอมกราบทีเดียว ผู้เขียนพูดกับนักเรียนทุกคนเสมอว่า วิชาความรู้ก็เหมือนอาหารในจานที่ต่อให้มีคนตักป้อนถึงปากหากนักเรียนไม่ยอมอ้าปากเคี้ยวแล้วกลืนเอาแต่อมไว้ก็ไม่มีทางอิ่ม หรือจะให้เพื่อนกินแทนตัวเองก็ไม่มีทางหายหิว
นักเรียนบางคน ชอบไม้แข็งประเภทคมแฟก อะไรอย่างนั้นเลย พูดเพราะทำเป็นได้ใจ ต้องทำขึงขัง หน้าดุก็จะกลัว แล้วก็ตั้งใจเรียน ถ้าทำอะไรไม่ได้ก็ "ทำใจ"ลูกของเขา ไม่ใช่ลูกเรา..ปลงซะ
การเรียนการสอนสมัยก่อนน่าจะเหมาะกับเด็กไทยมากกว่านะคะ ย้อนนึกถึงตัวเราเองสมัยเรียนไม่มีใครน่าเกรงกลัว เกรงขาม เกรงใจ เท่าครูหรอก ครูพูดอะไรเชื่อหมด เพราะครูคือตัวอย่างที่ดีสำหรับนักเรียนเสมอ สังคมเปลี่ยนไป เราไปตามประเทศสากลเขามาก ตามใจลูก ตามใจเด็ก ต้องให้เด็กพร้อม บางที อาจจะใช้ไม่ได้ผลกับเด็กไทยก็ได้ค่ะ ดิฉันจึงเห็นด้วยกับการ "รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี"
ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นค่ะ เป็นกำลังใจให้ด้วยน่ะค่ะ
ครูตีเด็กไม่ได้แต่...เด็กตีครูได้ ...ต่อไปนักเรียนจะใหญ่กว่าครู..