เมื่ออายุเริ่มมากขึ้นอันนับเริ่มต้นมาจากหนึ่งนั้น
ความคิดของเราได้รับการสั่งสมและปรุงแต่งจากประสบการณ์ต่างๆ
ผ่านการได้ยินเสียง ผ่านการมองเห็น ผ่านการสัมผัส ผ่านการได้ลิ้มรส
ผ่านการได้กลิ่น ผ่านใจที่รู้สึก
สมองของเราก็จะเกิดการประมวลผลและถูกนำไปเก็บไว้ สะสมมาเรื่อยๆ
ตามอายุที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ... เมื่อแนวโน้มในการสะสมมีมากไปในด้านใด
จิตเราอันทำงานผ่านสมองนั้น ก็จะน้อมนำไปทางด้านนั้น
สำหรับข้าพเจ้าเอง ถูกป้อนรหัสจากการเลี้ยงดู
ในเรื่องความเรียบง่าย
เพราะหากย้อนมองจะเห็นว่าพ่อและแม่นั้นมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย
ในขณะเดียวกันก็มีข้อมูลอีกด้านที่ถูกเก็บเข้ามาไว้เช่นกัน
ความหรูหราฟุ่มเฟือยอันเป็นไปตามการรับรู้ที่ได้รับตามประสบการณ์
การขาดสติจะทำให้เราขาดการพิจารณา ข้าพเจ้าเริ่มใช้ชีวิตแบบฟุ่มเฟือย
ทุกอย่างต้องมียี่ห้อ ... ดูดี เพราะร่างกายพึงห่อหุ้มด้วยสิ่งดีดี
นี่เป็นความคิดที่ปรากฏ การแต่งตัวดูดี การดำเนินชีวิตตามแบบวิถีดีดี
เช่น การกินดี อยู่ดี สะท้อนถึงคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
นี่เป็นความเข้าใจผิดตามจิตที่มีอวิชชาครอบงำ
อันสะท้อนออกมาในด้านหยาบ...
"ครูบาอาจารย์ชี้ทางให้เริ่มเปลี่ยนและละวาง
ให้ดำเนินวิถีชีวิตที่เรียบง่าย มีอะไรทานก็ทาน มีอะไรใช้ก็ใช้
ไม่ต้องไปสรรหามาปั้นแต่ง นี่เป็นสิ่งเปลี่ยนภายนอก
ส่วนภายใน ให้มาอยู่ที่ลมหายใจ
มีความคิดอะไรปรุงแต่งก็พึงดู แรกๆ
ครูบาอาจารย์จะให้ไปฝึกสติให้มีกำลังด้วยการฝึกกายาคตาสติ
เมื่อสติมีกำลังก็จะนำข้อมาพิจารณา... "
ครูบาอาจารย์มักสอนว่าห้ามสงสัย ให้ทำตาม
ตอนนั้นข้าพเจ้าต่อต้านครูมาก
สิ่งไหนที่ครูสอนมักจะนำเหตุและผลมาต่อต้าน ณ
วันนี้เข้าใจแล้วว่าเหตุและผลนั้นเกิดจากปัญญาอันมาจากสมองทำงาน
ไม่ได้มาจากปัญญาญาณ... มีอุปสรรคมากมาย (ภายใน)
อันมีเหตุขัดขวางที่จะโน้มเราไม่ให้ไปในธรรม...
ความเคลือบแคลงสงสัย
อะไรหลายอย่างมากมายล้วนแต่เป็นจิตที่ปรุงแต่งทั้งสิ้น
แต่ลึกๆ มีความเชื่อว่า ให้อดทนและน้อมนำทำตามคำสอนของครูบาอาจารย์
อาจด้วยจิตชั่วที่อยากพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่จริง
เพื่อจะนำไปหักล้างครูบาอาจารย์ ...
"ข้าพเจ้าเริ่มตัดการดำเนินชีวิต ... แบบฟุ่มเฟือย
เปิดพลิกตำราแทบไม่ทันเพื่อหาความหมายของคำว่าสมถะ และสันโดษ
ว่าเป็นอย่างไร ตัวความรู้มีเขียนไว้มาก รับรู้แต่ไม่เข้าใจ...
ไม่เข้าใจหมายถึง มันไม่เข้าไปในใจ"
จึงสอบถามครูบาอาจารย์ท่านก็เมตตาสอน
ตอนนั้นไม่รู้ว่าท่านเมตตาสอน รับรู้แต่ว่าทำไมท่านต้องดุด่า
ท่านเกลียดเราแน่ๆ - ความคิดชั่วในใจตัวเราปรากฏอีกแล้ว...
จริงๆ
แล้วการดุด่าของท่านนั้น คือ
ท่านกำลังดัดในสันดานเราและชี้ทางให้เราดัดในสันดานตัวเองที่มันคอยแต่เพิ่มสั่งสมอัตตา
"ตัวกู ของกู" อยู่แทบทุกๆ เสี้ยววินาที เราไม่รู้เพราะมีอวิชชา เราจึงพาลไปโกรธ
ไปไม่ชอบใจในครู และกระทำต่อครูด้วยความไม่เคารพ
ตอนนั้นครูบาอาจารย์บอกว่าไม่เข้าใจไม่เป็นไร
สักวันจะเข้าใจเอง ให้เพียรปฏิบัติไปเรื่อยๆ..
ณ
เมื่อเริ่มใจเข้าสู่ความบริสุทธิ์มากขึ้น การได้ขอขมา
ทำให้ได้เกิดความเจริญในใจยิ่งขึ้นใจเบิกบานผ่องแผ้ว
มีปัญญาบารมีเพิ่มขึ้น เข้าใจในธรรมมากขึ้น
มองเห็นความทุกข์ที่ซ่อนอยู่ในจิตใจและสรรพสัตว์ต่างๆ
ด้วยความน้อมใจลงด้วยใจที่เบาเบา ซาบซึ้งต่อน้ำหยดเล็กๆ
ที่แสดงถึงความหมายของคำว่า "เมตตา" ได้
การดัดนิสัยตนเอง...
ข้าพเจ้าเริ่มนำเสื้อผ้าสิ่งของที่มีแจกจ่าย เหลือไว้ที่ใช้จริงๆ
ตอนนั้นถามว่าเสียดายไหม ก็รู้สึกเสียดาย
แต่พอนึกถึงว่าหากว่าเราตายไป แม่ก็คงนำไปแจกจ่ายอยู่ดี
ตายหรือเป็นก็ต้องแจกจ่ายอยู่ดี สู้ทำเลยดีกว่า
พอคิดได้อย่างนี้ ก็เริ่มแบ่งปันด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ
ที่ว่าบริสุทธิ์ใจคือ เราไม่ต้องการว่าใครจะมาชม
มาพึงพอใจต่อการกระทำของเรา หรือต้องมารักเรา...
อาจจะว่าแอบทำแบบเงียบๆ ด้วยซ้ำไป การแอบทำแบบเงียบๆ
นี้อาจเป็นนิสัยเดิมที่ได้ติดตัวมา ไม่ชอบอวดและบอกใครว่าทำดีอะไร
ไม่ชอบคำชื่นชม หรือชมชอบ
เพราะเรารู้ภายในเราว่าเรานี้ยังคือผู้ชั่วอันมีกายเน่านี้อยู่ ...
ทำให้ใจมันน้อมลงมาก และความโน้มลงนี้ก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
กายเน่านี้เราแก้ไขไม่ได้ เพราะเป็นความจริงทางธรรมชาติ แต่ใจเน่านี้
เราขัดเกลาได้ก็ค่อยเริ่มขัดเกลาจิตใจตนเอง...
เปลี่ยนจากความฟุ่มเฟือย มาเป็นฟุ่มเฟือยน้อยลง
พร้อมกันนั้นก็ลงมือเรียนรู้คำว่า สมถะด้วยตัวเอง
ผ่านประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านเข้ามาในแต่ละวินาที...
ก็พบความเข้าใจที่มีมากกว่าเมื่อก่อนที่เข้าใจตามภาษาอักษร
การใช้จ่ายน้อยลง ใช้เท่าที่จำเป็นจริงๆ ลดการใช้โทรศัพท์
ลดการซื้อ เดี๋ยวนี้ยิ่งสบายมากขึ้น
ไม่ต้องไปจ่ายเงินจำนวนมากซื้อเครื่องสำอาง เครื่องบำรุงผิว เสื้อผ้า
เครื่องประดับ ของสะสม ลดและเลิกไปในที่สุด
การดัดนิสัยตนเองนี้
เมื่อมาทำจะพบว่ามันทำยากมาก...
แต่ข้าพเจ้าก็อยากทำเพียงเพื่ออยากทราบว่านิพพาน
ที่หมายถึงการพ้นทุกข์นั้นมีจริงไหม..
ซึ่งวันนี้ข้าพเจ้าเชื่อลงใจอย่างมากว่ามีจริง
นิพพานอยู่ตรงนี้และเวลานี้แหละตรงใจเรา...
อันเป็นความพ้นที่ค่อยๆ
พ้นออกไปสู่ความเป็นอิสระมากขึ้นและมากขึ้น ...
อิสระจากอารมณ์ทั้งหลาย...เข้าสู่ความเรียบเงียบและบังเกิดเป็นความสุขเล็กๆ...อันเป็นความสุขที่ไม่หวือหวาหากแต่เป็นความสงบสุข...ในใจอย่างเรียบง่าย
ชีวิตทุกวันนี้ง่ายๆ มากขึ้น ความซับซ้อนในชีวิตน้อยลง
ตรงไปตรงมา... ด้วยใจเบาเบา
อย่างปรารถนาดีต่อตนเอง...และเผื่อแผ่ไปสู่สรรพสิ่งอื่นได้อย่างไร้เงื่อนไขจริงๆ ซึ่งสรรพสิ่งอื่นจะรับได้หรือรับไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับทุนเดิมของสรรพสิ่งนั้น
___________________________________________________________________________
Note:
ณ เดี๋ยวนี้ดำรงอยู่แบบอะไรก็ได้...
เรียบง่ายมากขึ้น ความฟุ่มเฟือยหายไป ไม่ว่าจะเป็นการกิน การนอน
การดำรงอยู่อย่างเป็นไป
เพราะตอนนี้เวลาของการมีชีวิตอยู่เหลือน้อยเต็มที
หากจะมาตายด้วยใจที่ขุ่นมัวที่ฝังอยู่ในจิตใจ
จองเวรและกรรมต่อสรรพสิ่งต่างๆ
คงจะทุกข์ทรมาณไปอีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้
ดังนั้นภายใน...จะเป็นแบบอะไรก็ได้ไม่ได้แล้ว
ภายในต้องเคร่งครัดในศีลธรรม... และความถูกต้อง
ความละเอียดในศีลค่อยๆ เพิ่มขึ้น
การดำรงอยู่ภายในเคลื่อนตัวเข้าสู่ความสงบมากขึ้น
ภายนอกสิ่งไหนเป็นการทำความดี
ดีที่เป็นประโยชน์ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
ก็มีความตั้งใจทำมากขึ้นและมากขึ้น
.....................................................