ไม่ครบห้า (No One’s Perfect) (2-14)


  • มารับกำลังใจจากบันทึกนี้ค่ะ
  • หนังสือเล่มนี้รู้จักหลายปีแล้ว แม้ไม่เคยอ่านในรายละเอียด แต่ทราบเนื้อหาย่อ ๆ ค่ะ
  • ยิ่งมาอ่านบันทึกนี้ ยิ่งระลึกถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของผู้ชายคนนี้ด้วยความชื่นชม และยิ่งชื่นชมพ่อแม่ของเขาที่เลี้ยงดูสนับสนุนให้เขาเป็นคนที่,uคุณค่าเยี่ยงนี้
  • นึกถึงเรื่อง "โต๊ะโตะจัง" เหมือนกัน เรื่องนั้นก็มีแนวคิดเชิงบวกแฝงอยู่ไม่น้อยเลย
  • คนที่พลังในทางที่ดีงาม สามารถส่งต่อพลังดีงามอันยิ่งใหญ่นั้นให้คนรอบข้างได้เป็นอย่างดี
  • อ่านบันทึกนี้แล้ว ใบไม้ก็ได้รับพลังมาด้วยเช่นกันค่ะ
  • ขอบคุณคนเขียนบันทึกนี้จริง ๆ เลย ^_^

ร่วมให้กำลังใจคนหนุ่มสาว

ดีมากครับ เตือนใจและให้เห็นความต่างครับ

 

  • มาบอกว่าท่านนี้อยู่เมืองกาญจน์ครับ
  • แถวๆๆไทรโยค
  • วัดท่านสวยมาก
  • พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
  • กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญครับ
  • กำลังใจดี ทำทุกๆๆสิ่งทุกอย่างจะประสบผลสำเร็จ
  • ขอบคุณครับ

สวัสดีค่ะคุณใบไม้

  • ดีใจและแปลกใจที่คุณใบไม้มาอ่านบันทึกนี้เป็นคนแรก
  • นึกว่ากำลังยุ่ง อยู่กับงานที่โถมทับ...เกรงใจค่ะ..เลยไม่กล้าไปชวน...คิดว่าถ้าว่าง เราต้องแวะมาเยี่ยมกัน 3 เวลาหลังอาหาร ก็คงจะเห็นอยู่แล้ว...แต่สรุปว่าดีใจค่ะที่มาอ่าน
  • ส่งพลังและกำลังใจให้ทำงานด้วยความเบิกบานค่ะ
  • ขอบคุณเล่าซือค่ะ
  • ที่กรุณามาอ่านตามคำชักชวน....
  • แล้วแวะมาอีกนะคะ..^_^...
  • ขอบคุณคุณครูขจิตค่ะ
  • ถ้ามีโอกาสคนไม่มีรากอยากไปเยี่ยมวัดของท่านค่ะ
  • ได้อนุสติจากหนังสือของท่านมากเลยค่ะ
  • วัดท่านอยู่ในอำเภออะไรคะ..

มาตามคำเชิญครับ ปัจจุบัน คุณฮิโรทาดะ โอโตตาเกะ เรียนจบปริญญาตรีเมื่อปีที่แล้ว และทำงานเป็นครูสอนหนังสือครับ

สวัสดีค่ะคุณหนุ่ย

  • คิดไว้ไม่ผิดค่ะว่าคุณหนุ่ยต้องรู้จัก คุณฮิโรทาดะ โอโตตาเกะ แน่ ๆ เลยค่ะ
  • ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจในการเขียนบันทึกนี้นะคะ
  •  (^__^)

ยินดีครับที่ได้เป็นแรงบันดาลใจ ... จริงๆ แล้วช่วงนี้ต้อง เชฟคุณวอลเตอร์ ลี ครับ คุณพ่อนักสู้ ก็กำลังติดตามทางเดินของน้องไซ อยู่แบบเงียบๆ เพื่อเป็นกรณีศึกษาครับ..ขอบคุณมากครับ

สวัสดีค่ะ

* ตามมาจากหน้าแรกค่ะ

* ครูพรรณา ก็พบแล้ว ๑ คน ค่ะ ชื่อชัชวาล อำไพ..อยู่บ้านราชาวดีชาย(บ้านปากเกร็ดค่ะ)คนนี้เป็นพลังทุกครั้งที่ท้อถอยค่ะ...พูดคุยกับเขาแล้วสนุกมีความสุขกลับบ้าน....นับว่าเอาเปรียบเขานะคะ...ก็ไปให้เขาปลอบใจปลุกขวัญ...

* ขอบคุณมากค่ะที่นำปิติเช่นนี้มาบอกกัน....ฟังแล้วก็ปิติด้วย

  • คุณหนุ่ยคะ
  • ขออนุญาตถามค่ะ ใครคือ เชฟคุณวอลเตอร์ ลี ครับ คุณพ่อนักสู้ คะ
  • คนไม่มีรากออกจะเชย ๆ หน่อยค่ะ
  • แนะนำด้วยนะคะ จะได้ตามไปอ่านค่ะ
  • ขอบคุณค่ะ

สวัสดีค่ะ อ.พรรณา

  • ดีใจที่อาจารย์ตามมาอ่านค่ะ
  • เขียนบันทึกนี้ด้วยความอิ่มเอิบและปิติในใจค่ะ  จึงอยากขออนุญาตแบ่งปันต่อกัลยาณมิตร
  • คนไม่มีรากคิดว่า...ไม่ว่าจะยาก ดี มี จน พิการ หรือ สมบูรณ์แบบเพียงใดก็ตาม ล้วนแต่สามารถเป็นกำลังใจให้แก่ตนเองและผู้อื่นได้เสมอค่ะ
  • ขอให้พวกเราปิติและมีความสุขร่วมกันนะคะ
  • ...^_^....
  • ท่านอยู่ไทรโยคครับ
  • ที่นี่ครับ
  • http://www.watpahsunan.org/
  • วัดสุนันทวนาราม     ดูแผนที่
    เลขที่ 110 บ้านท่าเตียน ตำบลไทรโยค อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี 71150
    โทร. 034-546635
    E-mail Address : [email protected]

สวัสดีครับ พี่คนไม่มีรากครับ

  • แวะมาเยี่ยม
  • และมาอ่านบันทึกครับ
  • สบายดีนะครับ
  • เห็นด้วยครับ
  • อดีตเป็นเหตุ ปัจจุบันเป็นผล ปัจจุบันเป็นเหตุ อนาคตเป็นผล

  • เพราะฉะนั้น ทำปัจจุบันให้มันดีที่สุด

  • เพื่อส่งผลต่ออนาคตข้างหน้า จริงไหมครับ

อ๋อคุณวอลเตอร์ ลี เป็นกุ๊กที่ทำอาหารออกทีวีครับ แต่มีลูกพิการ ทั้งๆที่ตอนไปทำอัลตร้าซาว หมอบอกว่าลูกเค้าสมบูรณ์ดีทุกอย่าง

http://gotoknow.org/blog/nunuinui/184534 เนี๊ยะอ่ะครับ

ถ้าอยากดูรายการย้อนหลัง ก็ ไปที่ www.me.in.th เลือกช่อง 3 เลื่อนช่วงเวลาไปวันที่ 19 ก็ตอนแรก 27 ตอน 2 เวลา 4 ทุ่มกว่า ถ้าจำไม่ผิดนะครับ รายการจับเข่าคุยครับ

มาตามคำเชื้อเชิญครับ

    แปะลงชื่อไว้ก่อน แล้วค่อยอ่านให้ละเอียดๆ แล้วจะแสมดงความคิดเห็นที หลัง

ขอบคุณครับ

สวัสดีคะคนไม่มีราก

โชคดีค่ะที่เข้ามาอ่านตอนนี้พอดีกับที่มีบันทึกใหม่ของคุณคนไม่มีราก ... รออ่านด้วยใจจดจ่อ...ส่งต่อให้เพื่อนและลูก ๆ หลาน ๆ อ่านอีกหลายคนนะคะ...บอกไว้จะได้ปลื้ม..ปิติไงคะ

อ่านแล้วทำให้มีกำลังใจจริง ๆ ด้วยค่ะ  มีคนอีกเยอะเลยที่ไม่ได้พร้อมเช่นเรา ๆ ท่าน ๆ แต่จิตใจห่อเหี่ยว ท้อแท้ ไม่อดทน พร่ำเพ้อ ก่นศร้า ด่าว่าโชคชะตา  กลับไม่หันมาดูคนที่ขาดแคลนและด้อยกว่าตัวเองบ้างเลย

ขอบคุณสำหรับบันทึกดี ๆ นี้

รู้แล้วค่ะ...ว่าคนไม่มีรากหายเหงา หายว่างเปล่าในจิตใจแล้ว เพราะมองและแบ่งปันความคิดบวก ๆ ความคิดดี ๆ เช่นนี้ให้คนอื่นได้

รักคุณคนไม่มีรากค่ะ

  • อ.ขจิตคะ
  • ข้อมูลมาเร็ว ทันใจจังค่ะ
  • ขอบคุณมากค่ะ

สวัสดีค่ะ มาเยี่ยมแล้วค่ะ ^ ^ ขอบคุณที่แวะไปตามนะคะ

พูดถึงเรื่องไม่ครบห้านี้ ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าคนเรา/สังคมถูกสอนให้มีอคติ โดยมีการแยะแยะว่าอะไรเรียกว่าปกติ และไม่ปกติ.. ดีที่เด็กคนนี้มีคุณแม่ที่เข้าใจและรักลูก..ไม่ได้มองลูกว่าเป็นอะไรนอกจากเป็นลูก..เขาก็เลยได้รับอานิสงส์นี้ สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างทั่วไป...

จริงๆ แล้วตั้งแต่เด็ก เราถูกสอนมาให้มีอัตตา ตัวตนตลอดเวลา น่ารักอย่างนั้นอย่างนี้ สวยอย่างนั้นอย่างนี้ อันนี้ของเธอ อันนี้ของฉัน.. จนกระทั่งหลงคิดว่าอัตตานี้ยั่งยืนอยู่คู่กับเราตลอด ไม่ว่าจะเป็นร่างกายที่เรียกว่าปกติหรือไม่ก็ตาม..เกิดเป็นทุกข์เป็นสุขมากมาย..เกิดอุปาทานไปต่างๆ นาๆ.. กว่าตัวเองจะพอเข้าใจว่ายึดอัตตาแล้วแย่ขนาดไหน ก็ปาไปครึ่งชีวิตแล้วมั้งคะ...อิอิ

อ้อ..คงทราบแล้งกระมังคะว่าพระอาจารย์มิตสุโอะเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ชา หลวงพ่อมิตซูโอะก็เป็นพระที่ตัวเองนับถือมากๆ เช่นกันค่ะ ^ ^

ครายหมดไฟ..มาชาร์ตแบต Blog  นี้  ได้แบตกลับไปเต็มค่ะ

               

  • สวัสดีครับคนไม่มีราก  อีกหน
  • เคยอ่านหนังสือเล่มนี้นานแล้ว แต่เลือกที่จะจำบางเรื่องเช่น
  •   จำได้ว่าคนญี่ปุ่นนับระยางใหญ่ในร่างกาย คือ แขนสองข้าง +ขาสองข้าง+ศรีษะ = ๕
  • คนไทยนับ  ทวัตติงสาการปาฐะ ( อาการ ๓๒)
  • อ่าน แต่ไม่ได้คิดเชื่อมโยงในทางที่สร้างสรรค์เพื่อให้ กำลังใจแก่ตัวเอง
  • เป็นไปได้ว่าตอนนั้นยังไม่มีทุกข์ (เพราะยังไม่ได้แกว่งเท้าหาเสี้ยน ..)
  • ก็ต่อเมื่อ เห็นทุกข์ ก็เริ่มจะเห็นธรรม ...
  • ขอบคุณคนไม่มีรากที่อ่านแล้ว สะท้อนสิ่งดีๆในหนังสือ ให้ ได้รับรู้นะครับ 
  • สวัสดีคนไม่มีราก

    วันนี้ไม่เข้ามหาวิทยาลัยหรือครับ .. ท่าจะหนีเรียนเสียแล้ว..ขนาดเป็นนิสิตดีเด่น นะนี่

    ผมเป็นลูกศิษย์ท่านพระอาจารย์ชา (ด้วยการอ่านหนังสือ) ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของท่านมิตซูโอะน่ะครับ

    การเขียนเรื่องราวที่ให้กำลังใจและเผื่อแผ่พลังให้แก่ผู้อื่นแบบนี้ .. มีกุศลครับ  ... ถ้าจะว่าไปคุณคนไม่มีรากก็มักจะทำเช่นนี้อยู่แล้ว

    ผมอ่านเรื่องนี้มาแล้ว แต่ก็ยังชอบในแง่มุมที่คนไม่มีรากสรุปไว้ว่า

    มนุษย์นั้นจะทำสิ่งดีงามและที่ยิ่งใหญ่ได้...ต้องออกจากตัวเองให้ได้ก่อน    มองไปรอบ ๆ ในสังคมและโลก...อย่ามัวหมกมุ่น ทดท้ออยู่กับปัญหาของตัวเอง... เราจะเห็นว่า โลกกว้างขวาง สวยงาม และมีอะไรที่รอเราอยู่อีกมากมายมหาศาล

    แล้วจะส่งคนมาทาบทามไปเป็นนักเขียนมืออาชีพนะครับ 

    สวัสดีครับ

    สวัสดีค่ะคุณครูโย่ง

    • ใช่แล้วค่ะ ต้องทำปัจจุบันให้ดี เพื่อส่งผลถึง อนาคตที่ดีค่ะ
    • ขอบคุณนะคะที่กรุณาแวะมาทักทาย
    • สบายดีนะคะ คนไม่มีรากสบายดีค่ะ
    • ...^_^...
    • ขอบคุณคุณหนุ่ยสำหรับข้อมูลที่มีคุณค่าค่ะ
    • จะหาเวลาไปชมให้ได้ค่ะ
    • ...^_^....
    • สวัสดีค่ะคุณครูข้างถนน
    • ยินดีค่ะที่มาแปะไว้ก่อน...ว่าแต่นิ้วที่มาแปะไว้ก่อนน่ะนิ้วไหนคะ จุ่มหมึกมาหรือเปล่าคะ ถ้าไม่ใช่นิ้วโป้งขวา ถือว่าใช้ไม่ได้ตามกฏหมายนะคะ...
    • ขอบคุณค่ะ.

    มีภาพ และ เรื่องย่อ หนังสือบันทึก จากปลายเท้า ที่ JJ ใช้ สื่อสารให้กำลัง นักศึกษาแพทย์ ครับ

    หนังสือเรื่อง บันทึกจากปลายเท้า เป็นหนังสือที่แสดงถึงเรื่องราวของผู้ที่ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต  เนื้อเรื่องเป็นการบรรยายถึงคนพิการคนหนึ่ง  โดยที่ตลอดชีวิตของเธอนั้นผ่านเรื่องราวอุปสรรคต่างๆมากมาย  จะต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งต่างๆมากมาย นับครั้งไม่ถ้วน  แต่สุดท้ายแล้วเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นก็สามารถผ่านมันไปได้ด้วยดี   และยังสอดแทรกเนื้อหาที่แสดงเกี่ยวกับความคิดต่างๆของคนพิการ  ที่บางทีคนปกติอย่างเราๆนั้นก็ไม่สามารถจะรู้ได้  

    บันทึกจากปลายเท้า

    เป็นเรื่องราวของผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิตของเลน่า มาเรีย คลิงวัลล์ซึ่งเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงของสวีเดน โดยเนื้อเรื่องจะมีลักษณะเป็นตอนๆดังนี้

    ตอนที่ 1 “อ้อมแขนของพ่อและแม่”

    ในตอนนี้สอนให้รู้ว่าพ่อ แม่ที่ทำใจยอมรับสภาพอันผิดปกติที่เกิดขึ้นกับลูกตัวเองได้และพร้อมที่จะเลี้ยงดูลูกต่อไป ไม่คิดรังเกียจและทอดทิ้งลูกนับว่าเป็นการให้การเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เกิดขึ้นได้อย่างดีเยี่ยม มีเนื้อเรื่องดังนี้

    ในวันที่ 28 กันยายน ค.ศ. 1968 เลน่า ยูฮันซอนได้ถือกำเนิดขึ้น โดยที่เธอนั้นได้เกิดมาพร้อมกับความพิการ คือตรงส่วนที่เป็นแขนเธอไม่มีอะไรเลย ที่หัวไหล่มีแค่ปุ่มเล็กๆ 2 ปุ่ม ขาข้างขวาดูปกติแต่ข้างซ้ายนั้นสั้นกว่าข้างขวาครึ่งหนึ่ง ส่วนเท้าซ้ายชี้ขึ้นข้างบนเกือบถึงขา เธอเป็นลูกคนแรกแน่นอนที่พ่อ แม่เธอนั้นเสียใจมาก หมอต้องให้ยาระงับประสาทแก่พ่อ แม่เธอก่อนที่จะอธิบายความจริงเกี่ยวกับการพิการที่เกิดขึ้น และหมอก็แจ้งให้พ่อ แม่เธอทราบถึงเรื่องที่ท่านสามารถจะทิ้งเธอไว้ที่สถาบันดูแลเด็กพิการได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตัดสินยาก และแล้วพ่อเธอกลับคิดได้ว่าการที่เธอไม่มีแขนก็ไม่เห็นเป็นไร แต่เธอนั้นต้องมีครอบครัว พ่อและแม่เธอจึงตัดสินใจนำเธอกลับมาเลี้ยงดูเอง

    ตอนที่ 2 “ใช้เท้าจับขวดนม”

    ในตอนนี้สอนให้รู้ว่าบุคคลทุกคนย่อมมีการปรับตัวรวมทั้งคนพิการนั้นก็จะมีการปรับการใช้งานอวัยวะต่างๆของตนที่มีอยู่ให้ใช้งานเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตอยู่รอดไปได้ มีเนื้อเรื่องดังนี้

    เลน่าเจริญเติบโตขึ้น และยังมีการพัฒนาการเร็วกว่าเด็กอื่นๆอีกด้วย เธอนั้นสามารถใช้เท้าจับขวดนมได้

    เธอเป็นคนร่าเริง การใช้เท้าของเธอนั้นเป็นเรื่องธรรมดา เธอไม่รู้สึกว่าตัวเองมีอวัยวะอะไรที่ขาดหายไป ในปีแรกนี้แม่เธอจะเป็นคนคอยดูแลเธอทุกอย่างและเป็นผู้ทำให้เธอได้รู้จักสิ่งต่างๆรอบตัว แม่เธอเองต้องพบกับปัญหามากมายโดยเฉพาะกับการต้องคอยตอบคำถามจากคนรอบข้างที่คอยแต่จ้องจะถามถึงความพิการของเธอ เมื่อเลน่าอายุได้ 3 ขวบเธอได้รับการใส่ขาปลอมในข้างซ้าย การหัดเดินครั้งแรกของเธอนั้นยากมาก และต้องใช้เวลา เธอต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับการมีขาปลอมให้ได้ แต่แล้วเธอก็สามารถผ่านเวลานั้นมาได้และเดินได้เหมือนเด็กปกติทั่วไป

    ตอนที่ 3 “ครอบครัวที่อบอุ่น”

    ตอนนี้สอนให้รู้ว่าครอบครัวนั้นเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเรา ไม่ว่าจะเป็นการให้เราได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ เป็นสิ่งที่ให้กำลังใจได้อย่างดี ปรารถนาให้แต่สิ่งดีๆแก่เราอย่างจริงใจและตลอดเวลา การมีครอบครัวที่อบอุ่นทำให้เราสามารถก้าวไปสู่วันข้างหน้าได้อย่างมั่นใจ มีเนื้อเรื่องดังนี้

    ครอบครัวของเลน่าทำฟาร์ม ประกอบด้วยสมาชิกคือ พ่อ แม่ เธอ และน้องชายคนเล็กของเธอที่ปกติดีทุกอย่าง เธอและน้องชายส่วนใหญ่เข้ากันได้ดี ชีวิตของเลน่านั้นดีมากที่ดีได้เนื่องมาจากทุกคนในครอบครัวของเธอ พ่อแม่ของเธอจะสนับสนุนแธอและน้องชายให้ทำในสิ่งที่ชอบ ด้วยเหตุนี้เลน่าจึงไม่มีความคิดในแง่ลบต่อความพิการของตัวเองเลย เธอมักคิดว่าตัวเองก็เป็นเหมือนคนอื่นๆ เพียงแต่ทำบางสิ่งบางอย่างที่ต่างไปจากคนอื่นบ้าง พ่อแม่เธอจะให้เวลาเธอในการทำความเข้าใจว่าจะจัดการสิ่งต่างๆอย่างไรแทนที่จะมาช่วยเธอในทันทีที่ร้องขอ แต่เมื่อไรที่เธอทำพลาดหรือไม่มีกำลังพอที่จะทำเอง พ่อแม่เธอก็พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ

    ตอนที่ 4 “ขาปลอมและไม้ตะขอ”

    ตอนนี้สอนให้รู้ว่าการเรียนรู้การทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเองนั้นดีที่สุด คนเราคงจะไปคอยหวังความช่วยเหลือจากคนอื่นแต่อย่างเดียวนั้นไม่ได้ มีเนื้อเรื่องดังนี้

    เลน่าเริ่มมีความชำนาญในการใช้ขาปลอมมากขึ้นการทรงตัวของเธอค่อยๆดีขึ้นและวันหนึ่งเธอประสบอุบัติเหตุขึ้น ขาเธอมีเสียงเหมือนกระดูกแตกที่สะโพกข้างซ้าย เธอไม่สามารถเดินได้ ต้องเอาขาปลอมนั้นออก

    แต่เธอก็ไม่ไปโรงพยาบาลเนื่องจากเธอไม่มั่นใจโรงพยาบาลใกล้ๆ ความเจ็บปวดรุนแรงมากขึ้น ทุกครั้งที่เธอเคลื่อนไหวขาซ้ายเธอจะสั่นอย่างแรง เป็นเวลาเกือบ 2 ปีที่เธอไม่ยอมใช้ขาปลอม เธอนั่งรถเข็นและความเจ็บปวดก็ค่อยๆทุเลาลง ต่อมาเธอได้เรียนรู้ถึงการช่วยเหลือตัวเองในหลายๆด้านที่ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพของคนพิการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใส่เสื้อผ้าเองโดยทางศูนย์ได้เป็นผู้นำวิธีการใส่เสื้อผ้าแบบต่างๆพร้อมอุปกรณ์ช่วยให้ใส่ได้ง่ายขึ้น นั่นก็คือไม้ตะขอ เธอสะดวกที่จะพบมันไปได้ในทุกที่ ทำให้เธอสามารถพึงตัวเองได้

    ตอนที่ 5 “ไปโรงเรียน”

    ตอนนี้สอนให้รู้ว่าชีวิตเริ่มต้นในวัยเรียนนั้นสำคัญมากถึงแม้ว่าจะเป็นเด็กพิการก็ตาม เนื่องจากที่โรงเรียนจะสอนให้เด็กรู้จักการปรับตัวอีกขั้นหนึ่ง จะได้พบสังคมที่กว้างขึ้น มีเพื่อน มีคุณครู มีเนื้อเรื่องดังนี้

    ถึงเวลาที่เลน่าจะได้ไปโรงเรียน เธอได้อยู่ร่วมกับเด็กนักเรียนปกติ แต่เธอได้รับผู้ช่วย 1 คน ในขั้นนี้เธอต้องเผชิญปัญหามากมาย เริ่มตั้งแต่เธอต้องทำการปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนๆคนปกติ ต้องทำทุกอย่างให้เท่าเทียมกับคนปกติ รวมทั้งเธอต้องเผชิญกับเพื่อนที่มีความสงสัยเกี่ยวกับความพิการของเธอ แต่ปัญหาที่คิดว่าหนักที่สุดนั่นก็คือ เธอพบว่าตัวเองไม่มีใครยอมมาเป็นเพื่อนสนิทด้วยเลย เหมือนกับนักเรียนหญิงคนอื่นๆ เธอจึงต้องเรียนรู้และเล่นกับเด็กทุกคนเพื่อที่ว่าเวลามีความช่วยเหลืออะไรเพื่อนๆทุกคนของเธอจะได้ให้ความช่วยเหลือได้ แทนที่เธอจะมีเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว และต้องคอยให้ความช่วยเหลือแก่เธอเพียงคนเดียว มันเลยทำให้เลน่านั้นมีเพื่อนเยอะ ในบางครั้งก็มีเพื่อนบางคนชอบล้อเลน่าบางทีก็ตลก แต่บางทีก็แรงไป แต่เลน่าไม่เคยนึกโกรธเพราะเธอได้รับการสอนมาว่าคุณค่าของเธอนั้นอยู่ภายใน ไม่ใช่สิ่งที่มองเห็นภายนอกเธอจึงไม่อายที่เกิดมาพิการแต่กลับใช้ความพิการนั้นให้เป็นประโยชน์ เลน่าสามารถเข้าร่วมกิจกรรมของโรงเรียนได้เกือบทุกอย่าง มีสิ่งหนึ่งหนึ่งที่เธอทำได้ดีเป็นพิเศษนั่นก็คือการว่ายน้ำ

    ตอนที่ 6 “ความเชื่อมั่น”

    ตอนนี้สอนให้รู้ว่าคนเราทุกคนควรมีศาสนาป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ มีเนื้อเรื่องดังนี้

    เลน่านับถือศาสนาคริสต์ เธอมีพระเจ้าอยู่ในใจเสมอมาจนกลายเป็นความมั่นใจของเธอ ในคริสตจักรทุกคนยอมรับเธอ และยังได้เป็นกลุ่มเยาวชนร้องประสานเสียงในโบสถ์ด้วย เธอมีกลุ่มเพื่อนซี้ที่โตมาด้วยกันในคริสตจักรนี้ด้วย

    ตอนที่ 7 “เหมือนปลาในน้ำ”

    ตอนนี้สอนให้รู้ว่าคนเราทุกคนไม่ว่าเกิดมามีร่างกายผิดปกติหรือไม่ก็สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้เหมือนกัน เพราะความสำเร็จนั้นเกิดขึ้นได้เนื่องจากความตั้งใจจริง มีเนื้อเรื่องดังนี้

    เลน่าเริ่มเรียนวายน้ำตั้งแต่อายุ 3 ขวบ ทุกคนในครอบครัวของเธอจะไปว่ายน้ำด้วยกันเสมอ เธอจะเริ่มต้นการว่ายน้ำด้วยการใช้เท้าแตะน้ำ และเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ เธอได้เรียนเทคนิคการว่ายน้ำมากมาย มีท่าที่เธอถนัดสุดคือการว่ายน้ำท่าผีเสื้อ แลละเธอมีความตั้งใจจริงที่ฝึกฝนจนเธอสามารถได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของทีมชาติสวีเดนเพื่อเข้าแข่งขันว่ายน้ำชิงแชมป์โลกสำหรับคนพิการและเธอก็สามารถทำสำเร็จเธอสามารถได้รับเหรียญรางวัลมากมาย

    ตอนที่ 8 “มุ่งสู่โอลิมปิก”

    ตอนนี้สอนให้รู้ว่าการทำสิ่งใดๆก็ตามย่อมมีจุดหนึ่งที่คนเราจะเริ่มอิ่มตัว รู้สึกเพียงพอกับการทำในสิ่งนั้น เราควรจะหยุดเมื่อถึงจุดสูงสุด ทุกอย่างจะเป็นวัฏจักรอย่างนี้เรื่อยไป มีเนื้อเรื่องดังนี้

    ตลอดชีวิตของเธอได้ทุ่มเทให้กับการว่ายน้ำจนหมด เธอได้รับรางวัลจากการว่ายน้ำมากมาย จนมาถึงกีฬาโอลิมปิกในปี 1988 หรือที่เรียกสำหรับคนพิการว่ากีฬาพาราลิมปิก แต่ในครั้งนี้ตัวเธอเริ่มรู้สึกเบื่อและคิดจะไปถอนตัวออก แต่แล้วจู่ๆมีหญิงคนหนึ่งโทรมาหาเธอว่าคอยเป็นกำลังใจให้เธอ ทำให้เลน่าเปลี่ยนใจกลับมาลงแข่งเช่นเดิม แต่การแข่งในครั้งนี้เลน่าไม่ได้รับรางวัลอะไรเลย แต่เธอไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองโชคร้ายแต่อย่างใด เธอสามารถยอมรับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ตอนนี้เธอคิดอยากจะทุ่มเทให้กับดนตรีและการร้องเพลง

    ตอนที่ 9 “โลกของเสียงเพลง”

    ตอนนี้สอนให้รู้ว่าถ้าเรามีความตั้งใจจริงจะทำในเรื่องใดแล้ว เราจะสามารถผ่านอุปสรรคต่างๆ และทำสิ่งนั้นได้สำเร็จ มีเนื้อเรื่องดังนี้

    เลน่ามีเสียงที่ไพเราะ และเริ่นเล่นดนตรีกับครอบครัวตั้งแต่เล็กๆ เมื่อถึงชั้นมัธยมปลายเธอได้เลือกเรียนสาขาสังคมและดนตรี เธอได้อยู่คณะนักร้องเยาวชนด้วยต่อมาเธอได้รับการเลือกเป็นผู้นำ โดยเธอจะนำคณะให้ร้องเพลงโดยใช้ปาก ศรีษะ สายตาแทนการใช้มือ ต่อมาเธอก็สามารถสอบผ่านได้เข้าเรียนดนตรีในวิทยาลัยได้เป็นสำเร็จ

    ตอนที่ 10 “ ฉันคือเลน่า มาเรีย ”

    ตออนนี้สอนให้รู้ว่าเราไม่ควรตัดสินคุณค่าของคนคนหนึ่งได้พียงแต่การดูที่รูปลักษณ์ภายนอก เราควรจะดูที่ความสามารถและจิตใจของคนคนนั้น มีเนื้อเรื่องดังนี้

    เมื่อเลน่าได้การเลือกให้เข้าเรียนที่วิทยาลัยการดนตรีนี้ เธอจำเป็นต้องย้ายไปพักที่บ้านพัก โดยมีเพื่อนจากที่เดียวกัน 2 คน แต่พักกันคนละบ้าน มาที่นี่ทุกคนรู้จักเธอในนาม เลน่า มาเรีย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอจะต้องทำอะไรทุกอย่างเองเพียงลำพัง โดยไม่มีแม่คอยช่วยเลย ในตอนแรกเธอยอมรับว่าเป็นการปรับตัวที่ยากลำบากมาก แต่แล้วเธอก็สามารถผ่านมันไปได้ด้วยดี ที่วิทยาลัยให้อิสระแก่เธอมาก สามารถเลือกตารางและครูสอนเองได้ โดยเป้าหมายของการสอนอยู่ที่การใช้ร่างกายประกอบเมื่อร้องเพลง ทำให้การเปล่งเสียงของเธอออกมาอย่างมีพลัง เธอพยายามเรียนรู้ทุกอย่าง เธอเรียนดีจนได้รับทุนและได้ตีพิมพ์เรื่องราวของเธอทางหนังสือพิมพ์ด้วย ต่อมาก็มีการถ่ายทอดเรื่องราวของเธอในรูปสารคดีเรื่อง เป้าหมายชีวิต เธอได้ย้ายตัวเองมาอยู่อพาร์ตเมนท์ แต่ว่าอพาร์ตเมนท์นี้ไม่ได้สร้างสำหรับคนพิการ แต่ยังไงเลน่าก็พอใจที่จะอยู่อย่างคนปกติ เธอต้องการปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นๆมากที่สุด สารคดีเรื่องชีวิตของเธอได้รับรางวัลชนะเลิศในงานโทรทัศน์คริสเตียนในประเทศฮอลแลนด์ด้วย

    ตอนที่ 11 “เป้าหมายในชีวิตของฉัน”

    ตอนนี้สอนให้รู้ว่าเราควรจะศึกษาทำความเข้าใจกับตัวเอง ว่าเราชอบอะไร ต้องการอะไร จะได้ดำเนินเป้าหมายของเราให้ไปถึงจุดสูงสุด มีเนื้อเรื่องดังนี้

    มีคนดูสารคดีของเธอมาก เป็นเหตุให้เธอได้รับการเชิญไปแสดงคอนเสิร์ตเยอะมากขึ้นจากปกติ เธอจึงกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น ครั้งหนึ่งพระราชินีซิลเวียแห่งสวีเดนได้ทอดพระเนตรเห็นสารคดีเรื่องเธอเข้า จึงต้องการพบเธอ เลน่าได้เข้าเฝ้าและพระองค์ก็ได้พระราชทุนการศึกษาให้แก่เลน่าด้วย ต่อมาเป็นช่วงที่เลน่ามีงานชุกมาก สารคดีเธอได้ไปเผยแพร่ที่ญี่ปุ่น ทำให้คนญี่ปุ่นที่แต่ก่อนรู้สึกเกลียดคนพิการมองเป็นคนชั้นต่ำ เปลี่ยนมุมมองการคิดเมื่อเห็นสารคดีชุดนี้ ตัวเธอเองยังคงวนเวียนกับการแสดงคอนเสิร์ตอย่างหนัก จนวันหนึ่งเธอรู้สึกเหนื่อยล้า และเมื่อเธอได้พักอ่านพระคัมภีร์เธอก็รู้สึกดีขึ้น แต่กลับคิดได้ว่าตอนนี้หัวใจเธอกำลังเรียกร้องอยากจะเข้าทางศาสนาแล้ว ต้องการที่จะหยุดร้องเพลง ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจไปเรียนพระคัมภีร์ที่อินเดีย

    ตอนที่ 12 “ชีวิตในอินเดีย”

    ตอนนี้สอนให้รู้ว่าชีวิตของคนเราทุกคนนั้นย่อมมีช่วงเวลาที่ลำบาก เราควรอดทนและเรียนรู้การแก้ไขปัญหาแล้วจะสามารถผ่านช่วงเวลานั้นไปได้ มีเนื้อเรื่องดังนี้

    เลน่าไปอยู่ที่อินเดียแล้วรู้สึกไม่ดี เธอปรับตัวเข้ากับที่นั่นไม่ค่อยได้ ที่อินเดียเป็นเมืองที่สกปรกมาก เธอต้องอยู่ร่วมบ้านกับคนตั้งมาก มันเป็นที่เล็กคับแคบ ไม่มีอิสระใช้เวลากับตัวเองเลย มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่เลน่าจะปรับตัวได้ เมื่อเธอมาอยู่ที่นี่ เป็นครั้งแรกเลยที่เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนพิการ เธอไม่สามารถทำอะไรเองได้เลยแม้แต่การเข้าห้องน้ำ เธอต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเสมอ แม้ว่าช่วงในอินเดียจะเป็นช่วงที่ลำบากมากกว่าที่เคยเป็นแต่เธอยังคิดได้ว่ามันก็เป็นช่วงที่ทำให้ชีวิตมีสีสรรขึ้น เธอเรียนรู้ที่จะพอใจกับสิ่งต่างๆที่เธอไม่เคยจะเห็นคุณค่ามาก่อน มันทำให้เธอมีแรงจูงใจที่จะร้องเพลงอย่างเอาจริงเอาจังอีกครั้ง

    ตอนที่ 13 “ฉันรักประเทศญี่ปุ่น”

    ตอนนี้สอนให้รู้ว่าการเป็นจุดสนใจต่อคนอื่นนั้นเวลาเราจะทำอะไรต้องทำด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากผู้คนกำลังจับตามองเราเป็นแบบอย่างอยู่ มีเนื้อเรื่องดังนี้

    คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับคนพิการมากขึ้น ตั้งแต่ได้ดูสารคดีชีวิตของเลน่า บริษัทดนตรีทางญี่ปุ่นก็สนใจในตัวเธอมากเช่นกัน บริษัทต้องการลงทุนทำแผ่นเสียงให้เธอ มีชื่ออัลบัมว่า My Life เธอได้ทัวร์คอนเสิร์ตมากมาย ขณะเดียวกันคนญี่ปุ่นก็มีความสนใจเธอมากขึ้นทำการตีพิมพ์ชีวิตและเรื่องราวของเธอให้เป็นหนังสือแบบเรียน นำเธอไปเป็นตัวอย่างที่ดีแกเยาวชน

    ตอนที่ 14 “ชายหนุ่มของฉัน”

    ตอนนี้สอนให้รู้ว่าความรักเป็นสิ่งที่ดี เป็นยาชูกำลังขนานแท้ ความรักที่แท้จริงคือการรักกันที่จิตใจ ไม่ใช่รูปลักษณ์ทางร่างกาย ดังแฟนของเลน่าซึ่งมีเนื้อเรื่องดังนี้

    เลน่าพบรักแท้กับชายหนุ่มคนหนึ่งที่วิทยาลัยดนตรี ชายคนนั้นไม่ใช่คนพิการเป็นคนปกติ สมบูรณ์ดีทุกอย่าง เลน่าคิดอยู่เสมอว่าการแต่งงานกับคนพิการอย่างเธอ จะเป็นการสร้างภาระและความยุ่งยากอันใหญ่หลวงให้กับแฟนที่เป็นปกติดีทุกอย่าง แต่แล้วความรักทำให้ทั้งสองตกลงกันได้ แฟนของแธอยอมรับสภาพที่เธอเป็นได้และต้องการที่จะใช้ชีวิตคู่กับเธอ เขาทั้งสองก็ได้แต่งงานกัน ทุกครั้งที่เขาเผชิญกับเรื่องต่างๆ เขาทั้งสองจะหันหน้าพูดคุยกันและช่วยกันแก้ปัญหาด้วยกัน เขาไม่เคยละเลยปัญหาที่เกิดขึ้น

    ตอนที่ 15 “ด้วยรักและศรัทธา”

    ตอนนี้สอนให้รู้ว่าคนเราเกิดมาไม่มีใครที่ดำเนินชีวิตโดยปราศจากปัญหา ประสบการณ์ทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ ทุกอย่างนั้นจะเป็นไปตามที่เรากำหนดเอง มีเนื้อเรื่องดังนี้

    เลน่าสามารถประสบความสำเร็จในหลายๆด้าน และสามารถผ่านพ้นปัญหาและอุปสรรคมาได้นั้น เนื่องจากเธอมีทัศนคติต่างๆเกี่ยวกับตัวเองในแง่บวกก่อน เหตุผลที่เธอมองต่อตัวเองในแง่บวกก็คือ ประการแรกเธอคิดว่าคนเราทุกคนเกิดมาก็ย่อมมีความแตกต่างกันมาตั้งแต่เกิด เธอจึงกล้ายอมรับสิ่งต่างๆตามที่มันเป็น ประการที่สองก็คือ พ่อแม่ของเธอ ท่านไม่เคยกังวลใจเกี่ยวกับความพิการของเธอ ท่านช่วยให้เธอได้เรียนรู้ที่จะยอมรับทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว

    สรุปข้อคิดที่ได้จากหนังสือ “บันทึกจากปลายเท้า”

    1. ทุกชีวิตเกิดมาต้องรู้จักการดิ้นรน ต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ไม่ควรยอมแพ้ต่อชะตาชีวิตไปง่ายๆ ยิ่งสำหรับคนปกติอย่างพวกเราแล้วปัญหาต่างๆที่เราได้เผชิญ เราก็คิดว่ามันเป็นปัญหาที่หนักแล้ว แต่เมื่อเราลองนำกลับมาเทียบกับคนพิการ ผู้ที่มีความผิดปกติทางร่างกายแล้ว คนเหล่านี้ก็เผชิญปัญหาอย่างเดียวกับเราและยังมีปัญหาบางอย่างที่คนเหล่านี้ต้องเผชิญมากกว่าเราด้วย เขายังดิ้นรนให้มีชีวิตอยู่รอดมาได้ ทั้งๆที่ลักษณะการแก้ปัญหาของคนเหล่านี้จะดำเนินไปได้ยากลำบากกว่าธรรมดา เขาก็ไม่เคยคิดท้อแท้

    2. การมีครอบครัวที่อบอุ่น มีพ่อแม่ที่สามารถทำใจยอมรับสภาพที่เกิดขึ้นกับลูกตัวเองได้ พร้อมที่จะให้การเลี้ยงดู ให้ความรัก ความอบอุ่น พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างและคอยเผชิญปัญหาต่างๆของลูกเสมอ ถือว่าเป็นการสร้างรากฐานชีวิตที่ดีแก่อนาคตของลูก ลูกจะโตมาเป็นคนที่มีลักษณะนิสัยเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับสถาบันครอบครัวซึ่งเป็นสถาบันแรกที่จะอบรมสั่งสอน คอยให้กำลังใจและความเชื่อมั่นต่างๆแก่ลูก อย่างเลน่าเธอมีครอบครัวที่อบอุ่น สมบูรณ์ โตขึ้นมาเธอจึงเป็นเด็กที่มีนิสัยร่าเริง ไม่คิดรังเกียจตัวเองว่าเป็นคนพิการ ไม่นำมาคิดเป็นปมด้อย เธอจะทำสิ่งต่างๆพร้อมด้วยความมั่นใจ

    3. วิธีการเลี้ยงดูลูกของพ่อแม่ ก็เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูก และยิ่งเด็กที่มีความพิการทางร่างกายแล้ว พ่อแม่ควรที่จะเข้าให้ถึงจิตใจลูก ไม่ควรเลี้ยงลูกแบบปล่อยปะละเลย และก็ไม่ควรเลี้ยงแบบถนุถนอมจนเกินไป ควรเลี้ยงให้เด็กมีการช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุดที่จะทำได้เนื่องจากพ่อแม่คงจะอยู่ช่วยเขาไปไม่ได้ตลอด และยังเป็นการทำให้เด็กมีความรู้สึกว่าตัวเองก็มีค่า ไม่ได้เกิดมาเป็นภาระให้แก่ผู้อื่น

    4. พ่อแม่ที่มีลูกเป็นคนพิการ ไม่ควรที่จะปิดกั้นเด็ก เนื่องจากเด็กพิการก็มีจิตใจเหมือนกับเด็กปกติทั่วไป มีความต้องการเหมือนกับเด็กทั่วไป เพราะหากพ่อแม่อายมีลูกที่พิการแล้วไปปิดกั้นเด็ก ปิดกั้นโอกาสต่างๆ ไม่ให้เขาได้พบปะกับสังคม มันจะเป็นการทำให้เด็กนั้นมีความผิดปกติทั้งทางร่างกายและจิตใจด้วย พ่อแม่ควรจะส่งเสริมให้ลูกได้เข้าสังคม ไปโรงเรียน มีเพื่อน มันจะเป็นการทำให้เด็กมีพัฒนาการเพิ่มขึ้น รู้จักที่จะเรียนรู้ถึงการปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่นได้นอกจากคนในครอบครัวตัวเอง และยังทำให้เด็กได้เรียนรู้สิ่งต่างๆที่แปลกใหม่ด้วย

    5. คนปกติไม่ควรที่จะไปซ้ำเติมคนพิการ ด้วยการแสดงความรังเกียจ มองดูคนพิการเป็นตัวแปลกประหลาดในสังคม รวมทั้งการพูดล้อเลียนถึงความพิการของเขา เพราะคนพิการเหล่านี้ก็มีความทุกข์ในชีวิตมากพออยู่แล้ว เราไม่ควรไปซ้ำเติมให้เขารู้สึกทุกข์เพิ่มขึ้น เราควรจะให้ความช่วยเหลือแก่คนเหล่านี้

    6. การทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยความตั้งใจจริง ย่อมจะพบผลสำเร็จ ความตั้งใจของเรานั้นเป็นสิ่งที่จะนำเราผ่านอุปสรรคและปัญหาต่างๆไปได้ด้วยดี เราต้องไม่ย่อท้อ และยอมแพ้ไปเสียก่อน อย่างเลน่าตอนที่เธอต้องการจะเข้าศึกษาต่อในวิทยาลัยดนตรีนั้นเธฮตั้งใจจริงหมั่นฝึกฝนด้านดนตรี และแล้วเธอก็สามารถผ่านการคัดเลือกได้

    ขนาดคนพิการยังมีความตั้งใจที่แรงกล้า และคนที่ร่างกายปกติอย่างเราล่ะ

    7. เมื่อเราประสบความสำเร็จมากๆในสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว ก็ถือได้ว่านั่นคือจุดสูงสุดและมันก็เป็นจุดอิ่มตัวด้วยเช่นกัน มันก็ถึงเวลาที่จะหยุดในการทำสิ่งๆนั้นแล้ว อย่างที่เลน่าเธอสามารถได้รางวัลมากมายจากการว่ายน้ำและแล้วเธอก็ปิดรายการสุดท้ายของการแข่งขันด้วยการไม่ได้รางวัลใดเลย แต่เธอก็สามารถยอมรับสภาพที่เกิดขึ้นได้ เราสามารถนำเรื่องนี้มาใช้ในชีวิตประจำวันได้เกือบทุกเรื่อง เราควรคิดว่าทุกสิ่งนั้นมีขึ้นก็ต้องมีล่วง เป็นของธรรมดา

    8.ก่อนที่เราจะให้ใครมามองว่าเรานั้นมีชีวิตที่มีคุณค่าได้นั้น เราต้องทำชีวิตของเราให้มีคุณค่าเสียก่อน เราต้องไม่ดูถูกตัวเองโดยเฉพาะคนพิการ ต้องไม่นึกรังเกียจตัวเอง ต้องมองตัวเองด้วยทัศนคติที่ดี ไม่นำเรื่องความพิการมาคิดเป็นกังวล นำความพิการเปลี่ยนเป็นกำลังใจที่จะทำสิ่งต่างๆให้ได้เหมือนกับคนปกติดีกว่า

    9. คุณค่าของคนนั้นไม่ได้ตัดสินที่รูปลักษณ์ภายนอก เราต้องตัดสินภายในจิตใจของคนคนนั้น คนที่มีรูปร่างภายนอกปกติดี ดูว่าสวย ว่าหล่อ แต่มันไม่แน่แสมอไปว่าในจิตใจขานั้นจะเป็นดังที่เห็น อาจจะเป็นแบบหน้าเนื้อใจเสือก็ได้ กลับกับคนที่มีรูปร่างภายนอกผิดปกติ พิการ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีจิตใจที่พิการไปด้วย

    10.ทุกครั้งที่เราพบปัญหา หรือตกอยู่ในภาวะที่ยากจะทนได้ เราต้องรู้จักการปรับตัว ตลอดชีวิตของคนเรานั้นต้องมีการปรับตัวอยู่ตลอดไม่ว่าต้องปรับให้คนกับสภาพแวดล้อม หรือคนอื่นๆรอบข้าง การปรับตัวได้ทำให้เรามีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข

    คำนำ

    หนังสือเรื่อง บันทึกจากปลายเท้า เป็นหนังสือที่แสดงถึงเรื่องราวของผู้ที่ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต เนื้อเรื่องเป็นการบรรยายถึงคนพิการคนหนึ่ง โดยที่ตลอดชีวิตของเธอนั้นผ่านเรื่องราวอุปสรรคต่างๆมากมาย จะต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งต่างๆมากมาย นับครั้งไม่ถ้วน แต่สุดท้ายแล้วเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นก็สามารถผ่านมันไปได้ด้วยดี และยังสอดแทรกเนื้อหาที่แสดงเกี่ยวกับความคิดต่างๆของคนพิการ ที่บางทีคนปกติอย่างเราๆนั้นก็ไม่สามารถจะรู้ได้

    หนังสือเรื่องนี้ยังเหมาะกับผู้ที่รู้สึกท้อแท้กับชะตาชีวิตของตัวเองด้วย เมื่ออ่านหนังสือเรื่องนี้แล้วท่านจะรู้สึกได้ว่ายังมีบุคคลอื่นอีกที่มีชีวิตที่เลวร้ายกว่าท่าน และผู้เขียนยังได้บอกแนวความคิดต่างๆที่ทำให้ผู้เขียนมีกำลังใจต่อสู้ชีวิตให้อยู่รอดมาด้วย

    นุชรีย์ ก่อเลิศรัศมี

    ผู้จัดทำ

    รายงาน

    จิตวิทยาการปรับตัว

    จากหนังสือ บันทึกจากปลายเท้า

    เสนอ

    อ. วราภรณ์ ตระกูลสฤษดิ์

    จัดทำโดย

    น.ส.นุชรีย์ ก่อเลิศรัศมี รหัส 42213920

    ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์

    สวัสดีค่ะคุณแฟนเก่า

    • ปลื้มปิติจริงด้วยค่ะที่คุณบอกว่า จะส่งต่อให้เพื่อนและลูก ๆ หลาน ๆ อ่านอีกหลาย...ดีใจจังค่ะ
    • (^__^)...ยิ้มซะกว้างเลย....

    มีคนอีกเยอะเลยที่ไม่ได้พร้อมเช่นเรา ๆ ท่าน ๆ แต่จิตใจห่อเหี่ยว ท้อแท้ ไม่อดทน พร่ำเพ้อ ก่นเศร้า ด่าว่าโชคชะตา  กลับไม่หันมาดูคนที่ขาดแคลนและด้อยกว่าตัวเองบ้างเลย

    • ทุกครั้งที่รู้สึกไม่สบายใจ หรือ เกิดความรู้สึกว่างเปล่าขึ้นในใจ คนไม่มีรากจะ ...เดิน และ หาหนังสือดี ๆ อ่าน แล้วจัดการย่อยออกมา ...ส่งต่อให้แก่ผู้อื่น ...และทุกครั้งก็จะช่วยเติมเต็มความว่างในใจของตัวเองได้ค่ะ
    • ...ด้วยความปิติ ไงคะ 
    • เราไม่ควร ก่นเศร้า ดังที่คุณแฟนว่าไว้ค่ะ ต้องมองไปนอกตัวให้มาก ๆ  จะได้รู้ว่า เราไม่ใช่คนเดียวที่ทุกข์
    • ขอบคุณค่ะ วันนี้เป็นวันดีอีกวันหนึ่งค่ะ

    สวัสดีค่ะคุณกมลวัลย์

    • คุณโอโตตาเกะ เป็นคนโชคดีดังที่คุณกมลวัลย์วิเคราะห์ไว้ค่ะ หลายคนอาจไม่โชคดีเช่นนี้
    • เห็นด้วยค่ะที่คุณกมลวัลย์บอกว่า... เราถูกสอนมาให้มีอัตตา ตัวตนตลอดเวลา น่ารักอย่างนั้นอย่างนี้ สวยอย่างนั้นอย่างนี้ อันนี้ของเธอ อันนี้ของฉัน.. จนกระทั่งหลงคิดว่าอัตตานี้ยั่งยืนอยู่คู่กับเราตลอด ไม่ว่าจะเป็นร่างกายที่เรียกว่าปกติหรือไม่ก็ตาม..เกิดเป็นทุกข์เป็นสุขมากมาย..เกิดอุปาทานไปต่างๆ นาๆ.. กว่าตัวเองจะพอเข้าใจว่ายึดอัตตาแล้วแย่ขนาดไหน ก็ปาไปครึ่งชีวิตแล้ว
    • ท่านมิตซูโอะเป็นศิษย์หลวงปู่ชา เช่นเดียวกับ พระอาจารย์พรหม ค่ะ
    • ขอบคุณที่กรุณามาแบ่งปันความคิดเห็นดี  ๆ ค่ะ
    • คุณกวินคะ
    • ได้ความรุ้เพิ่มจากคุณกวินอีกมากเลยค่ะ ยังสงสัย นับอะไรนะจึงไม่ครบห้า..ไม่ทราบจะถามใคร คุณกวินมาบอกพอดี

    ระยางใหญ่ในร่างกาย คือ แขนสองข้าง +ขาสองข้าง+ศรีษะ = ๕ ส่วนคนไทยนับ  ทวัตติงสาการปาฐะ ( อาการ ๓๒)

    • อย่ารังเกียจความทุกข์ ความผิดหวังเลยนะคะ เพราะเห็นทุกข์ ก็เริ่มจะเห็นธรรม ... ดังที่คุณกวินว่าค่ะ
    • เราอย่ามัว อยู่กับความทุกข์ ความเศร้าเลยนะคะ ออกมาโลกภายนอกอันไพศาล และ ปวารณาตัวทำประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่น กันเถอะค่ะ
    • ส่งกำลังใจให้คุณกวินประสบความสำเร็จในการออกจากทุกข์ทั้งปวงค่ะ
    • ...^_^....

     

    • คุณ  OOHOOH  คะ
    • เอาปลั๊กไหมคะ จะได้ชาร์ทไฟได้เต็มที่
    • ขอบคุณค่ะ

    สวัสดีค่ะคุณคนตัดไม้

    • วันนี้รู้สึกเหมือนคุยกับคุณคนตัดไม้ทั้งวันเลยค่ะ  ตอบจนไม่ทราบว่าตอบบันทึกไหนไปบ้างแล้ว...ฮา...ตอบซ้ำไปบ้างอย่าหัวเราะนะคะ..^_^...
    • วันนี้ไม่ต้องไปเรียนค่ะ แต่ทำงานและส่งทางอีเมล์ได้ค่ะ ไม่ได้หนีเรียนค่ะ ไม่เคยขาดเรียนเลย.(ถ้าไม่จำเป็น)
    • ทำไมเราคล้ายกันหลายเรื่องเลยนะคะ..คนไม่มีรากก็เป็นลูกศิษย์ท่านพระอาจารย์ชา (ด้วยการอ่านหนังสือ) เช่นกันค่ะ..^_^...
    • การเขียนเรื่องราวที่ให้กำลังใจและเผื่อแผ่พลังให้แก่ผู้อื่นนี้ ต้องยอมรับว่า...เป็นการทำเพื่อตนเองเป็นอันดับแรกค่ะ แต่ผลพลอยได้นั้นคือส่งผลให้แก่ผู้อื่น และก็ได้รับอานิสงส์กลับมายังตัวเองอีกครั้ง...วันนี้มีความสุขมากค่ะ
    • เย้...ชอบที่ตัวเองสรุปเหมือนกันค่ะ ..อ้าว..ก็สรุปเองจะไม่ชอบได้ไงล่ะคะ...อิ อิ อิ
    • ขอบคุณค่ะที่วันนี้กรุณามาเยี่ยมหลายครั้งหลายครามากเลย
    • ........(^__^).........

     

     

    สวัสดีค่ะพี่โก๊ะคนดี..

    ตามมาขอบคุณค่ะสำหรับข้อมูลและกำลังใจที่มีมาอย่างต่อเนื่องค่ะ ส่งกำลังใจกลับให้พี่โก๊ะเช่นกันนะคะ...คิดถึงเหมือนเดิมค่ะ

     

    สวัสดีค่ะคุณคนโรงงาน

    • ชีวิตต้องสู้...ใช่แล้วค่ะ
    • สู้กันต่อไปค่ะ .. และนอกจากสู้แล้วเรายังต้องช่วยคนอื่นด้วยนะคะ
    • ...^_^....

    แม้ร่างกายจะพิการ แต่ใจไม่ได้พิการไปด้วยค่ะ น่าชื่นชมนะคะ อ่านแล้วหันกลับมามองตัวเองเหมือนกันว่าจะมัวท้อแท้ หมดกำลังใจไปทำไมกัน มีครบพร้อมทุกอย่างแล้ว อ่านแล้วได้กำลังใจจริงๆค่ะ เพราะฉะนั้นต้องสู้ๆ ค่ะ (^_^)

    ขอบคุณพี่โก๊ะค่ะที่นำมาแบ่งปันค่ะ

     

    สวัสดีค่ะท่าน JJ

    • ขอบพระคุณสำหรับ ภาพ และ เรื่องย่อ หนังสือบันทึก จากปลายเท้า ใช้ สื่อสารให้กำลัง นักศึกษาแพทย์ ครับ 
    • ขอให้เกิดอานิสงส์ร่วมกันนะคะ
    • ...^_^....
    • สวัสดีค่ะคุณหนุ่ย
    • ขอบคุณค่ะสำหรับข้อมูลดี ที่นำมาฝากไว้ให้
    • อ่านแล้ว คนไม่มีรากรู้สึกเลยว่าตัวเองโชคดีมาก ๆ ๆ ค่ะ
    • ขอให้คุณหนุ่ยได้รับอานิสงส์จากการร่วมกันแบ่งปัน ความรู้สึกดี ๆ กำลังใจให้แก่ผู้ที่อาจจะกำลังต้องการกำลังใจนะคะ
    • เมื่อเราออกจากโลกภายในที่มองและยึดเพียงปัญหาของตัวเองแล้ว ... โลกภายนอกกว้างใหญ่ สวยงาม และรอเราช่วยกันจรรโลงนะคะ
    • ...^_^...
    • กราบขอบพระคุณอ.ประจักษ์ค่ะ
    • ดอกไม้สวยงามมากค่ะ

    สวัสดีค่ะครูมิม

    • วันนี้นั่งทำการบ้านไปก็คิดถึงครูมิมไป .. ได้อ่านข้อความที่ส่งมาแล้ว...ก็ยิ้ม..เหมือนกับตัดพ้อต่อว่า...โอ๋ ๆ ๆ ๆ ๆ รักพี่ต้องอดทนหน่อยนะคะ...พี่มันพวกอิสรชน .. ตามใจตัวเองเป็นอันดับหนึ่งค่ะ...ฮา....รักแล้วทนหน่อย...^_^..
    • ครูมิมคะ เมื่อวานพี่ไม่ค่อยสบายใจนิดหน่อย...ตื่นเช้าวันนี้จึงหยิบหนังสือธรรมะเล่มนี้มาอ่านค่ะ อ่านแล้วได้คิดว่าเรา ไม่ควรหมกมุ่นกับความทุกข์ของเรา ควรออกไปนอกตัว มองไปยังคนอื่นบ้าง
    • เราพร้อมและยังดีกว่าคนอีกมากมายนัก ทำไมมัวทุกข์ มัวท้อ เศร้าใจ จิตตก ปรุงแต่งจิตให้ตัวเองทุกข์ไปไยกัน พอคิดได้ก็รีบเขียนบันทึกนี้ค่ะ ได้อานิสงส์มากมายค่ะ ...
    • ตอนนี้พี่มีความสุขมาก ๆ จริง ๆ ค่ะ
    •           (^__^) 
    • ดีใจคะที่เห็นพี่โก๊ะมีความสุข พลอยทำให้คนรอบข้างได้มีความสุขไปด้วยคะ
    • มิมเข้าใจ อิสรชนอย่างพี่โก๊ะค่ะ ดีแล้วค่ะ ถือเป็นการทดสอบความอดทน ทดสอบจิตใจตัวเองไปด้วยคะ ถ้าเราอดทนต่ออารมณ์ จิตใจ ของเราได้นับว่าเป็นเรื่องดีค่ะ ถึงแม้ว่ามันจะทำได้ยากก็ตามค่ะ มิมจะถือว่าเป็นบททดสอบจากพี่โก๊ะก็แล้วกันนะคะ
    • เคยดูหนังเรือง 2499 อันธพาลครองเมืองไหมค่ะที่บอกว่า เป็น..พี่ต้องอดทน อิอิ ไม่เกี่ยวกันเลยเนอะๆๆ
    • ความทุกข์ใจไม่สบายใจทั้งหลายทั้งปวงที่เข้ามา หากเรามีวิธีการจัดการมันอย่างถูกต้อง จะทำให้เราได้สติ กลับคืนมาค่ะ จิตใจก็จะสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน คิดทำอะไรก็ทำได้โดยง่าย นี่คืออานิสงฆ์ค่ะ
    • ตอนนี้มิมก็กำลังสร้างอาณิสงฆ์เหมือนกันค่ะ จิตสงบ แน่วแน่ในสิ่งที่ตั้งใจ หวังว่าสักวันคงได้อาณิสงฆ์เหมือนกัน
    • บททดสอบที่ว่าคงไม่นานเกินนะคะ อิสรชนต้องไม่ใจร้ายเกินไปนะคะ
    • ยิ้มๆค่ะ (^_^)

    + สวัสดีค่ะ...

    + คุณแม่แอมแปร์มาแล้วค่ะ...

    + มารายงานตัว...คิดถึงเช่นกันค่ะ..

    + ขอบอกว่า... 3 วันที่หายไป..เครื่องข้าน้อยโดนไวรัสกินค่ะ...

    + ท่านคนไม่มีรากเป็นอย่างไรบ้าง....

    • ครูมิมคนดี ๆ ๆ ๆ ๆ
    • เรียกซ้ำ ๆ  ค่ะ ..เอ้...เขียนอย่างนี้...แฟนานุแฟนของพี่ก็เข้าใจผิดพี่หมดน่ะสิ...สองคนนี้นี่ยังไงนะ..พูดอะไรกำกวม ยิ่งกำลังหาวิธีการร่วมกันคุณครูปูอยู่ว่า...จะทำไงจะได้ออกจาก คานทองนิเวศน์เสียที...ยังหาทางออกไม่ได้ ครูมิมจะทำให้ทางออกของพี่ปิดตายซะแล้ว...ฮือ..ๆ  ๆ ๆ 
    • อิสรชนน่ะมีวิญญาณขบถจ้ะ..คิดไม่ค่อยเหมือนใครหรอก แล้วผนวกกับเป็นคนลักษณ์เจ็ด ลองอ่านเรื่อง นพลักษณ์ของคุณหนุ่ยดูนะ จะรู้จักพี่มากขึ้น ถึง 80 % ค่ะ
    • อิสรชนไม่ใจร้ายค่ะ แต่ไม่ชอบการถูกผูกมัด....ไม่ชอบมีภาระทางอารมณ์ร่วมกับใครมากนัก...เพราะแท้ที่จริงแล้ว เขาเป็นคนอ่อนไหว...มากเหลือเกิน...อ้าวเผลอบอกจุดอ่อนเสียแล้ว...ฮา...
    • รักใครก็แล้วแต่...ต้องรักในแบบที่เขาเป็นนะคะ...
    • ยิ้มด้วยค่ะ (^__^)

    สวัสดีค่ะพี่คนไม่มีราก

    • แจ๋วเชื่อว่าทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ให้จิตใจอ่อนแอ ท้อถอย แรกๆ เรายังไม่มีกำลังมองไปรอบๆ นั่นคือภาวะที่จมอยู่กับความทุกข์ของตัวเอง และช่วงระยะเวลานี้จะผ่านไปเร็วหรือช้าก็ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันส่วนตัวของแต่ละคน
    • หากเราเกิดมามีไม่ครบ ตั้งแต่แรกเกิดเราจะไม่รู้สึกขาด แต่เราอาจแปลกต่างไปจากคนอื่นๆ แต่หากเรามีแล้วจึงสูญเสียไปนั่นเป็นอีกความรู้สึกหนึ่ง นี่เป็นความเห็นส่วนตัวนะคะ
    • อาจเป็นเพราะแจ๋วเชื่อว่าคนแต่ละคนมีความต่าง เราอาจไม่ประสบความสำเร็จเท่าคนที่มีเหมือนกัน  หรือเราอาจมีชีวิตที่แย่มากกว่าคนที่มีไม่ครบก็เป็นได้ ทุกคนต่างมีทางของตน
    • อย่างไรก็ตามอ่านเรื่องนี้แล้วก็รู้สึกชื่นชมผู้ที่ไม่มี มีไม่ครบแต่ดำเนินชีวิตในทางที่ดีและประสบความสำเร็จได้ค่ะ
    • เพราะอีกส่วนหนึ่งแจ๋วก็เชื่อว่าผู้ที่มีไม่ครบก็ย่อมต้องฝ่าด่านชีวิตมากมาย  และผ่านช่วงเวลาท้อใจได้ไม่ต่างกับคนที่ครบสมบูรณ์เช่นกัน แต่ท้อแล้วจะลุกให้เร็วเพื่อก้าวต่อไปอย่างไร
    • ขอบคุณค่ะ

    สวัสดีค่ะคุณแม่น้องแอมแปร์

    • ดีใจที่ได้พบอีกครั้งค่ะ
    • อย่านำไวรัสมาให้เครื่องนี้นะคะ...ขาดใจตายเหมือนกันค่ะ มีข้อมูลเรื่องเรียนเต็มเลย....ฮา...
    • คนไม่มีรากสบายดีค่ะ
    • สบายดีเช่นกันนะคะ
    • (^_^)

    สวัสดีครับ

    P

    • แวะมาทักทายครับ
    • ทานอาหารเย็นยังครับ
    • สบายดีไหมครับ
    • รักษาสุขภาพด้วยนะครับ
    • คิดถึงครับ
    • คุณแจ๋วคะ
    • คนไม่มีรากนิยมความจริงจัง จริงใจ และการแสดงความคิดเห็นที่ซื่อตรงที่สุดของคุณแจ๋วมากค่ะ..^_^..
    • คุณแจ๋วพูดถูกแล้วค่ะ การเผชิญกับปัญหานั้น ขึ้นกับภูมิคุ้มกันส่วนตัวของแต่ละคน และภูมิคุ้มกันก็มีเหตุมาจากหลายปัจจัย ทั้งภูมิหลังครอบครัว นิสัย การปรับตัว สังคม เศรษฐกิจ และจิตดั้งเดิมของคนคนนั้น
    • คุณโอโตตาเกะ เป็นคนโชคดีค่ะ ที่มีครอบครัวที่เข้าใจ และยังอยู่ในสังคมประเทศญี่ปุ่นที่มีการดูแลผู้พิการเป็นอย่างดี เขาจึงประสบความสำเร็จได้ 
    • แน่นอนค่ะที่คนพิการหรือคนที่มีไม่เหมือนคนอื่นนั้น ต้องฝ่าฟันมากกว่าคนอื่น ๆ ทั่วไป ... อย่างน้อยที่สุดเขาต้องสามารถฝ่าด่านอารมณ์ที่รู้สึกด้อยค่าที่เกิดขึ้นในตัวเองให้ได้เสียก่อน ... คนที่มีอวัยวะสมบูรณ์ครบบางคนก็ยังไม่สามารถฝ่าด่านนี้ได้ด้วยซ้ำไปค่ะ นี่คือสิ่งที่อยากนำเสนอและให้พวกเราที่มีพร้อมกว่า..ได้ชื่นชมและให้กำลังใจคนเหล่านี้
    • ขอบคุณคุณแจ๋วนะคะ เหนื่อย ๆ กลับมายังมานั่งอ่านและอุตส่าห์ให้ความคิดเห็นอย่างน่าสนใจเช่นนี้เสมอเลย
    • ...^__^....

     

    สวัสดีค่ะคุณครูโย่ง

    • สบายดีมาก  ๆ ค่ะ
    • วันนี้อดอาหารเย็นค่ะ ถือศีลแปดค่ะ
    • ขอบคุณค่ะที่เป็นห่วง
    • รักษาสุขภาพเช่นกันนะคะ

    พี่คนไม่มีรากก็จริงจังจริงใจในการตอบมากๆ เช่นกันจ๊ะ

    อ่านแล้วหายเหนื่อยเลยค่ะ ^_^

    แวะมาอีกรอบมาถามว่า...ทานข้าวเย็นหรือยังคะ

    สวัสดีค่ะ

    • ภาพถ่ายสวยค่ะ
    • ขอบคุณนะคะที่สรุปเรื่องดีๆ ให้อ่าน
    • แหม มาช้ามากมายเป็นคนที่ 50/208 แล้วแน่ะค่ะ

    มีหนังสือของพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก เล่มหนึ่งค่ะ แต่เล่มเล็กพกติดกระเป๋าถือ ชื่อ "เหตุสมควรโกรธ...ไม่มีในโลก" ได้มาปีแพะ (2546) แหม ก็ยังรู้จักการโกรธอยู่ดี...

     

    • คุณแจ๋วคะ
    • ขอบคุณค่ะที่กลับมาส่งยาหอมให้หัวใจอันชุ่มชื่นของคนไม่มีรากอีกครั้ง
    • วันนี้อดอาหารเย็นค่ะ ร่วมกับคุณกะปุ๋มตามเคยค่ะ
    • ให้ได้รับอานิสงส์ด้วยกันนะคะ
    • คุณแจ๋วทานข้าวให้อร่อยนะคะ
    • ...^_^....
    • พี่ดาวลูกไก่คะ
    • ดีใจที่พี่ชอบภาพนี้ค่ะ น้องตั้งชื่อภาพนี้ว่า ฟ้ากับทะเลทราย ค่ะ ถ่ายในทะเลทรายทางตอนเหนือของเมือง Pert, Australia ซึ่งไปศึกษาดูงานมาเมื่อ 16-20 พค.51 ค่ะ น้องก็ชอบภาพนี้มากเช่นกันค่ะ
    • ได้อ่าน  "เหตุสมควรโกรธ...ไม่มีในโลก" แล้วค่ะ แต่ยังไม่ได้เป็นเจ้าของค่ะ ชอบมากเช่นกันค่ะ
    • ขอบคุณพี่นะคะที่แวะมาทักทายค่ะ...^_^...
    • ขอโทษค่ะ ไม่น่าถามเลยนะคะ
    • ขอให้ความตั้งใจดีนำสิ่งดีๆ มาสู่พี่คนไม่มีรากค่ะ
    • แจ๋วรู้สึกตาปรือๆ ไม่สู้แสงยังไงไม่รู้ค่ะ
    • ขอตัวไปพักสายตาก่อนนะคะ ^_^

    พี่โก๊ะอย่ากังวลค่ะ ทางนั้นเปิดสำหรับพี่โก๊ะอยู่เสมอค่ะ...ขอบคุณค่ะ

    นอนหลับฝันดีราตรีสวัสดิ์ นะค้าบ กัลยณมิตร คนไม่มีราก

    มาทักทายแต่เช้ามืดเลย

    ใบไม้ใกล้จะออกเดินทางแล้ว จะไปสูดอากาศบริสุทธิ์เผื่อนะคะ ให้คุณคนไม่มีรากได้มีพลังส่งต่อสิ่งดี ๆ ให้คนอื่นต่อไปค่ะ ^_^

    แวะมาทักทายพี่คนไม่มีรากค่ะ^_^

    หวัดดีคนไม่มีราก ไว้คุณย่าจะหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านบ้างน่ะ น่าอ่านเชียว ทำให้อยากติดตามต่อ มันให้กำลังใจดี...ขอบคุณค่ะ

    สวัสดีค่ะ ได้เท่านี้ก็ดีถมไป ถึงไม่ได้เป็นนางสาวไทยก็พอใจแล้วค่ะ

    กวิน(ไม่ได้ล็อกอิน)

    สวัสดีคนไม่มีราก แวะมาปั่น เหรตติ้ง กระทู้...ไปกินข้าวก่อนนะครับ เมื่อคืนนอน หลับสบายดีมั้ยครับ

    มาเยี่ยม...คุณคนไม่มีราก

    ตัวตนที่แท้จริงของเราคือจิตใจ

    มาอาศัยร่างกายนี้อยู่นะ

    มองด้วยดวงตาที่สาม ( ปัญญา ) จะเห็นแจ่มแจ๋วแหว๋ว..ฮิ ฮิ ฮิ

    คุณโหลจ๋า....

    ยังไม่กลับมาอีกหรือจ้ะ มาบอกอีกทีว่า ฉันมีธุระตอน 19-21 น นะ จะโทรหลัง 21.30 น ก็แล้วกัน

    อย่าเพิ่งหลับนะ มีเรื่องสำคัญมาก

    ต่อว่าก่อน ตอนเที่ยงทำไมไม่เปิดมือถือฮะ....

    เบี่อจังเธอนี่ เมื่อไรจะเปลี่ยนนิสัยนี้เสียที  ชักเคืองเล็ก ๆ แล้วนะ

    .......

    คุณแจ๋วคะ

    • ไม่เป็นไรค่ะ ไม่มีผลอะไร ขอบคุณค่ะที่ห่วงใย พักผ่อนมาก ๆ นะคะ

    ครูมิมคะ

    • พี่ล้อเล่นค่ะ .. อย่าเพิ่งงอนน่า...โอ๋ ๆ ๆ ๆ ๆ

    คุณกวินคะ

    • ขอบคุณค่ะที่อุตส่าห์มาส่งไปนอน คืนนี้ถือศีลแปดตามคำแนะนำ นอนเสื่อค่ะ ....หลับสบายดีค่ะ เจ็บตัวนิดหน่อยตอนตื่นนอนเพราะไม่ค่อยเคยนอนเสื่อค่ะ แต่สบายใจดีค่ะ

    คุณใบไม้

    • เดินทางแต่เช้าเลยนะคะ 
    • เดินทางปลอดภัยค่ะ ... 

    สวัสดีจ้ะ คุณจิ๊ก

    • คืนนี้คุยกันจ้ะ
    • ขอบคุณที่สืบข่าวให้ตามที่ขอ...^_^...

    สวัสดีค่ะคุณแจ๋ว (อีกครั้ง)

    ตื่นเช้าจังค่ะ  วันนี้ต้องออกไปทำงานข้างนอกหรือเปล่าคะ

    ...^_^...

    สวัสดีค่ะคุณย่า

    • ยินดีต้อนรับค่ะ
    • ดีใจที่คุณย่ากรุณาแวะมาทักทายค่ะ
    • หนังสือเล่มนี้ขนาดเล็กกระทัดรัดค่ะ ใส่ติดกระเป๋าไว้ได้ค่ะ
    • เนื้อหากระชับ เรียบง่าย และมีภาพวาดประกอบค่ะ
    • คนไม่มีรากคิดว่าเป็นหนังสือธรรมะที่ย่อยมาแล้ว..บางคนมองว่าไม่ลึกซึ้งพอ แต่ส่วนตัวคิดว่า..เหมาะกับระดับสติปัญญาแบบโลก ๆ ของคนไม่มีรากค่ะ เพราะเมื่อเกิดคำถามขึ้น เราสามารถเปิดอ่านได้โดยเร็ว คล้ายอาหารสำเร็จรูปค่ะ
    • ขอบคุณคุณย่านะคะ ที่เข้ามา ลปรร. กันค่ะ

                                 (^__^)

    สวัสดีค่ะน้องแอมป์

    • น้องก็มีจิตใจที่สวยงาม...ไม่แพ้นางงามนะคะ
    • พี่วัดความงามของคนจาก..จิตใจค่ะ  บางคนมีชาติตระกูล ฐานะ การงานสูงเป็นที่นับหน้าถือตา แต่จิตใจ..ไม่สวยงามไม่สูงส่งเหมือนภายนอก...ก็คงไม่ถือว่าเป็น คนงาม ค่ะ
    • น้องแอมป์เป็นคนรักหน้าที่ และทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด..ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามที
    • สำหรับพี่แล้ว...น้องเป็น คนที่งดงาม ค่ะ

               (^__^)

    สวัสดีค่ะ อ.ธ.วัชชัย

    • อนุโมทนากับอาจารย์ด้วยค่ะ

    สวัสดีคุณกวิน (อีกครั้ง)

    • เมื่อคืนหลับสบายดีค่ะ แต่เจ็บตัวนิดหน่อย เพราะไม่เคยชินกับการนอนพื้นธรรมดา เลยทำให้รู้ตัวขึ้นมาเลยว่า...เรานี่ใช้ชีวิตสะดวก สบายมากจนเคยตัวแล้ว
    • ตั้งใจว่า...จะถือศีลแปดตามที่คุณกวินแนะนำสักเดือนละครั้งค่ะ...^_^...

    สวัสดีค่ะ อ.ยูมิ

    • คนไม่มีรากกำลังพิจารณาสิ่งที่อาจารย์กล่าวว่า ...ตัวตนที่แท้จริงของเราคือจิตใจ มาอาศัยร่างกายนี้อยู่นะ มองด้วยดวงตาที่สาม ( ปัญญา ) จะเห็นแจ่มแจ๋วแหว๋ว

    • เลยรู้สึกว่าตัวเองออกจะยังด้อยปัญญาอยู่มากค่ะ ... มองคน ตัดสินคน ก็มักจะเพียงมองพฤติกรรม มองคำพูด มองหน้าตา มองสิ่งที่เขาต้องการให้เราเห็น...

    • คงต้องหาทางใช้ตาที่สาม (ปัญญา) ให้มาก ให้ยิ่งขึ้นไปค่ะ จะได้ไม่ หลงยึดติด กับรูปแบบและบางสิ่งบางอย่างที่เห็นด้วยตาเนื้อมากเกินไป

    • ด้วยเหตุนี้เองที่คุณโอโตตาเกะคนนี้ แม้จะพิการ เมื่อมองด้วยตาเนื้อ แต่ตัวตนภายในของเขา ไม่ได้พิการ กลับสมบูรณ์ เต็มเปี่ยม เมื่อมองด้วยตาที่สาม (ปัญญา)...เพราะเขาใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ เป็นตัวอย่างแก่คนที่ร่างกายไม่พิการอย่างเรา ๆ หลายคน

    • ขอบคุณอาจารย์ค่ะ ที่กรุณามาให้ปัญญาแก่บันทึกนี้

    • ต่อไปจะมองใคร ต้องมองด้วย ตาที่สาม (ปัญญา) จึงจะเห็นตัวตนที่แท้จริง

    •         (^__^)

    สวัสดีจ้ะจิ๊ก

    • อย่าเพิ่งโกรธเลยนะ..โอ่ ๆ ๆ ๆ
    • คืนนี้ค่อยคุยกันจ้ะ
    • (^__^)

    + ทราบแล้วเปลี่ยน..ค่ะท่านพี่คนไม่มีราก..

    + อ๋อ...ครูปูมาประชุมที่ทางใต้..คิดถึงจังเลยค่ะ

    + วันนี้สอนครึ่งวันค่ะ...

    + อีกครึ่งวันไปเลี้ยงต้อนรับครูน้องใหม่เอกอังกฤษค่ะท่าน..

    + เครื่องอาการยังไม่หายดี...ยังให้ยาตามอาการไปเรื่อย ๆ ค่ะ

    + ขณะตอนนี้ที่มาเยี่ยมท่านพี่ ก็ยังต้อง Delete ไวรัสกันไปด้วย...

    + เฮ้อ..ทำใจค่ะ

    + ทุกปัญหาต้องใช้ ตาที่สาม แก้กันไปตามสภาพค่ะ

    + รักและคิดถึงค่ะ

    + เมื่อได้อ่านด้วยใจที่ตั้งมั่น

     + เมื่อใจไม่พิการ...อย่างอื่นก็ไม่ใช่ปัญหา..

    + นี่แหละหนาเพราะว่าเรามี ตาที่สาม + เคยอ่าน "ผีเสื้อและนักประดาน้ำ" ไม่แน่ใจว่าชื่อถูกต้องแบบนี้ไหม  แต่ชื่อประมาณ ๆ นี้แหละ 

    + เป็นเรื่องราวของคนที่ใช้ตาที่สามในการดำเนินชีวิต...เมื่อร่างกายพิการ

    + จำได้อ่านแล้วร้องไห้...ขณะที่ร้องไห้..ก็มีพลังกายใจมากมายที่จะให้เราเริ่มทำอะไรดี ๆ ต่อไป ด้วยตาที่สาม..." ปัญญา "

    + หนังสือมีคุรค่ามากมายอย่างนี้แล

    + หนังสือทำให้ตาที่สามของเราแจ่มชัดขึ้นค่ะ

    + รักและคิดถึงอีกครั้งค่ะ

    • คุณแม่น้องแอมแปร์คะ
    • เราเป็นนักอ่านที่เลือกอ่านหนังสือคล้าย ๆ กันนะคะ เรื่อง "ผีเสื้อและนักประดาน้ำ" นี้คนไม่มีรากก็ได้อ่านนานแล้วและก็ชอบด้วยค่ะ...^_^...
    • เรื่อง ดวงตาที่สาม (ปัญญา) ต้องขอบคุณท่านอาจารย์ยูมิ เป็นท่านที่คนไม่มีรากมักจะได้อะไร ๆ และข้อคิดจากท่านอยู่เสมอ ทั้งที่ท่านก็เขียนแบบอ่านง่าย ๆ เบา ๆ สบาย ๆ ลองอ่านดูสิคะ มีสาระและสัจจธรรมแฝงอยู่ในข้อเขียนของท่านมากมายเลยค่ะ
    • ไม่ทราบว่าเราจะเหมือนกันไหม ถ้าไม่สบายใจหรือมีความเปล่ากลวงขึ้นในความรู้สึก .. นอกจากการเดินแล้ว ก็จะชอบอ่านหนังสือและอยู่กับตัวเองเงียบ ๆ เพื่อนหลายคนมักจะบ่นว่าทำไมตอนมีทุกข์ไม่โทรไปเล่าให้เพื่อน ๆ ช่วยปลอบ ทำไมเก็บไว้คนเดียว ...ก็ตอบไม่ถูกค่ะ รู้ว่าอยากจะฟังเสียงภายใน..ของตัวเองมากกว่า...ค่อยคิดค่อยใคร่ครวญไปทีละเรื่อง .. การอ่านหนังสือดี ๆ ก็จะมีส่วนให้เกิดข้อคิด ข้อสะกิดใจกับตัวเองเสมอมาค่ะ
    • หนังสือทำให้ ดวงตาที่สาม แจ่มชัด จริงดังที่คุณแม่น้องแอมแปร์ว่าค่ะ
    • (^__^)
    • สวัสดีครับท่านคนไม่มีราก
    • แวะมาทักทายครับ หลังจากหายไปหลายวัน
    • ร่างกายจะครบ 32 หรือไม่ ไม่สำคัญ สำคัญที่ใจเต็มร้อยครับ
    • ดูตนเองให้ออก บอกตนเองให้ได้ ใช้ตนเองให้เป็น (ใครคนหนึ่งพูดไว้ ใครทราบ ช่วยบอกทีครับ)
    • โชคดีมีความสุขครับ
    • กราบท่านอ.ทนัน
    • เกรงใจที่ท่านกลับมาเหนื่อย ๆ แล้วต้องมาเยี่ยมและทักทาย แต่ก็ซาบซึ้งใจในจิตเมตตาของท่านค่ะ
    • ชอบและน้อมรับค่ะ...
    • "ดูตนเองให้ออก บอกตนเองให้ได้ ใช้ตนเองให้เป็น"  ขออนุญาต ขยายความตามความคิดของตัวเองนะคะ
    • ดูตนเองไม่ออกจะเป็นคนที่สมบูรณ์ได้อย่างไร
    • บอกตนเองไม่ได้ว่าควรทำอย่างไรกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น จะดำเนินชีวิตไปได้อย่างไรให้ปกติสุข  และถ้า...
    • ใช้ตนเองไม่เป็นแล้วไซร้...จะใช้ชีวิตในโลกสมมติชั่วคราวนี้อย่างสร้างสรรค์ต่อตนเองและผู้อื่นได้อย่างไร
    • ขอบพระคุณค่ะ อาจารย์เป็นอีกท่านหนึ่งที่มักจะให้ปัญญากับคนไม่มีรากอยู่เสมอค่ะ
    • (^__^)

    + ไม่อยากจะบอกว่า "เป็นมิตรรักพันธุ์แท้" ของอาจารย์ยูมิค่ะ

    + อ่านทุกเรื่องราว...ที่ท่านนำเสนอ..เรื่องราวที่ท่านนำเสนอ สูงสุดสู่สามัญ + เราเหมือนกันและไม่เหมือนกัน คือว่า

        "ชอบเดิน ชอบอ่านหนังสือ ฟังเสียงภายในของตัวเอง คุยกับสามี"

    + "คุยกับสามี"  ไง คือความต่าง

    + ฮา ๆ เอิ้ก ๆ .....

    + ดูเหมือนว่าเรามีสิ่งที่เหมือนกันอีก คือ

    + เป็นมิตรรักพันธุ์แท้ ของ อ.ยูมิ และ อ.ทนัน

    + ฮา ๆ เอิ้ก ๆ

    สวัสดีค่ะพี่คนไม่มีราก

    แวะมาทักทายค่ะ ค่ำนี้ต้องทำงานต่อ

    แล้วพรุ่งนี้มีประชุมอีก ช่วงนี้อาจหายๆ ไปนะคะ

    สวัสดีตอนเย็น ครับ มาชวนไปอ่าน กระทู้

    007 : มัจฉาจมวารี...ไซซี หญิงงามผู้พลิกแผ่นดินจีน@187350  โดย ดร. บัญชา ธนบุญสมบัติ

    สำนวนจีน “โว่ซินฉางต่าน” ซึ่งอาจารย์ เล่า ชวน หัว แปลเล่นสัมผัสว่า “ทนนอนบนท่อนฟืน กล้ำกลืนรสดีขม” อันหมายถึง ความอดทนที่มีปณิธานแน่วแน่

    นึกถึงคนไม่มีราก กับปณิธานการถือศีลแปด ขอคารวะๆๆๆ

    • คุณแม่น้องแอมแปร์คะ
    • เราเหมือนกันหลายอย่างจริงด้วยค่ะ
    • มีอย่างเดียวคือ ...คนไม่มีรากต้องคุยกับตัวเอง แต่คุณแม่แอมแปร์โชคดีที่มี..คุณพ่อน้องแอมแปร์คุยและช่วยกันฟังเสียงภายในค่ะ...ดีใจด้วยค่ะ
    • ขอบคุณค่ะที่มาบอกเล่าความเหมือนและความต่างของเรา
    • ...^_^...

    คุณแจ๋วคะ

    • ทานข้าวหรือยังคะ
    • ทำงานด้วยความเบิกบานนะคะ
    • ไม่เป็นไรค่ะ เราส่งใจถึงกันก็แล้วกันค่ะ

    สวัสดีครับ

    • แวะมาทักทายครับ
    • มาดูรูปสวยๆ ครับ
    • ชอบจังเลย
    • รูปนี้
    • สบายดีนะครับ
    • ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ๆ รักษาสุขภาพด้วยนะครับ

    สวัสดีค่ะคุณกวิน

    • ความจริงไปอ่านมาแล้วค่ะ แต่ยังไม่ได้คอมเม้นท์ หนังสือเรื่องหญิงงามทั้งสี่ในประวัติศาสตร์จีนนั้น...ที่บ้านมีอยู่ค่ะ เป็นหนังสือเก่าแก่มาก และมีภาพวาดพู่กันจีนสวย ๆ ทังนั้น
    • “ทนนอนบนท่อนฟืน กล้ำกลืนรสดีขม” ทัศนคติและความเชื่อนี้ คุณปู่ (อากง) ของคนไม่มีรากซึ่งเป็นหมอจีน มักจะสอนลูกหลาน (ตัวเองเกิดไม่ทันท่านค่ะ) ว่าต้องรู้จักความลำบากก่อนจึงจะสบายภายหลัง ของขมเปรีบบเหมือนความยากลำบาก มีคุณประโยชน์ต่อชีวิตเช่นเดียวกัน
    • ภาษิตไทยคงใช้ว่า  หวานเป็นลม ขมเป็นยา ..ใช่ไหมคะ  คำพูดหวาน ๆ กริยาน่ารัก น่าดู ก็อาจจะเป็นคำหวานที่เคลือบยาพิษได้ ส่วนความหยาบ คำพูดไม่รื่นหู แต่จริงใจ ก็เปรียบได้กับยาหรือของขมที่ช่วยรักษาร่างกายและจิตใจ
    • ...คนไม่มีรากตระหนักว่า...ความลำบากจะช่วยให้เราเข้มแข็งขึ้นค่ะ
    • ถือศีลแปด..ไม่ยากลำบากหรอกค่ะ...เพียงแต่ไม่เคยชิน ทำบ่อยสักพักก็คงรู้สึกไม่ทุกข์ยากไปเองค่ะ
    • ขอบคุณค่ะ ขอให้คุณกวินได้รับอานิสงส์ที่แนะนำเรื่องการไม่นอนบนฟูก...จนการอดมื้อเย็นกลายเป็นการถือศีลแปดไปได้อย่างสมบูรณ์นะคะ
    • ........(^__^).........

    สวัสดีครับ

    รายงานข่าว :

    วันนี้ปกติดีครับ อากาศร้อนอบอ้าว แต่ก็ดื่มน้ำตามปกติ

    พอดีคุณคนไร้รากบอกช้า อิๆ เลยไม่ได้ดื่มน้ำมากเป็นพิเศษ

    มีน้ำผลไม้อีกนิดหน่อย จิบๆ ไป

    ถึงตอนนี้ก็ยังโอเคครับ

    ฝึกบ่อยๆ คงอดข้าวประท้วงได้แน่ๆ เลย อิๆๆ

    ขอบคุณครับ

    • มาให้ข้อมูลเรื่อง ศีลแปด อีกที รู้สึกจะตกหล่นไป ในเรื่อง เว้นจากการฟ้อนรำขับร้อง ประโคมดนตรี แต่คนไม่มีรากคงไม่ชอบเที่ยวกลางคืนอยู่แล้วนะครับ

    • ศีลข้อที่ 6. เว้นจากการบริโภคอาหารในยามวิกาล (หลังเที่ยงถึงวันใหม่)

    • ศีลข้อที่ 7.เว้นจากการฟ้อนรำขับร้อง ประโคมดนตรี และประดับร่างกายด้วยดอกไม้ของหอม เครื่องประดับ เครื่องทา เครื่องย้อม

    • ศีลข้อที่ 8.เว้นจากการนั่งนอนเหนือเตียงตั่ง ที่เท้าสูงเกิน ภายในมีนุ่นหรือสำลี

    • ศีล(ะ) มาจาก คำว่า ศิลา (คนถือศีล ก็คือคนถือ/แบก ก้อนหิน ย่อมต้องเกิดความหนัก-อึดอัดเป็นธรรมดา และคนอื่นก็มักจะหัวเราะเยอะ คนที่แบกหิน เสียด้วย ว่าเดินช้าล้าหลัง แต่ถ้าถือหินบ่อยๆ เวลาพายุแห่งอุปสรรค+ความเศร้าโศก พัดพานมา ผู้ที่แบกก้อนหิน ก็ย่อมไม่ปลิวไปตามแรงพายุ นะครับ ว้ามั้ย) และถ้าเราแบกก้อนหินจนชินแล้ว จะไม่รู้สึกหนัก (เท่ากับว่าเรามีศักยะภาพมากกว่าคนธรรมดา 1 เท่าตัว เพราะเดินไปแบกหินไป ฮาๆเอิ๊กๆ หัวเราะแบบอาจารย์อุทัย)

    • ผมค่อยๆ แบกทีละก้อนก่อนดีกว่า เนื่องจากพลังวัต ยังไม่แก่กล้าเท่าศิษย์ผู้พี่ (คนไม่มีราก) ฉะนั้นเมื่อ ศิษย์พี่ฝึกวิชาการแบกหินสำเร็จแล้วโปรดถ่ายทอดวรยุทธให้ศิษย์น้องด้วยนะขอรับ แล้วจะช่วยหาบน้ำ ตัดฟืน ช่วยบีบช่วยนวดเป็นการตอบแทน :) จึ๋ย...

    ศีลห้าศีลแปดนั้น      คือวิถี
    ยึดเหนี่ยวกายวจี       มั่นไว้
    กันภัยไล่ราคี            ผันผ่าน
    หากท่านรักษ์ศีลไซร้  ย่อมได้สุขสันติ์

    หวัดดีค่ะ...พี่ (คนไม่มีราก)

    หนังสือ เล่มนี้เพื่อนเคยแนะนำมาครั้งหนึ่ง

    สามารถสร้างพลังและกำลังใจได้ดีทีเดียวเลยค่ะพี่

    ใช่ค่ะ...ตัวเราอวัยวะก็ครบ

    สิ่งแวดล้อมก็แสนจะเอื้ออำนวยช่วยเรา

    จะเลิกท้อแท้ เหงาหงอย เกเร ยืดยาด อีกต่อไป...คะพี่

    สวัสดีค่ะอ.ธ.วัชชัย

    • ต้องขอโทษค่ะที่แนะนำไม่ครบถ้วนเรื่องการดื่มน้ำมาก ๆ และแนะนำช้าเกินไป
    • อนุโมทนากับความตั้งใจดีด้วยนะคะ
    • จะไปประท้วงเมื่อไหร่บอกด้วยนะคะ..ขอไปด้วยค่ะ

     

    สวัสดีค่ะคุณกวิน

    • ขอบคุณสำหรับข้อมูลดี ๆ ที่ลิงก์มาให้ค่ะ
    • เห็นด้วยกับการถือศีล หรือ การแบกหิน เพื่อให้เกิดความอดทนได้ต่อความยากลำบากค่ะ
    • สิ่งเหล่านี้ผู้ปฏิบัติเองจะได้..รู้สึกด้วยตัวเอง
    • คนไม่มีราก็ยังคงต้องขอบคุณคุณกวินอย่างมากค่ะ ที่ทำให้ได้ถือศีลแปด..อย่างเต็มรูปแบบ โดยไม่ได้ตั้งใจ
    • ...^_^...

    สวัสดีค่ะท่านอ.ทนัน

    • ต้องกราบขอโทษท่านด้วยค่ะ ที่ตอบช้ามาก เนื่องจากมีภารกิจที่ไม่สามารถเข้ามาดูได้ค่ะ
    • กราบขอบคุณสำหรับโคลงที่ท่านกรุณาให้เป็นสติเตือนใจค่ะ
    • ^_^

    สวัสีดีค่ะคุณวินดี้

    • ยามที่รู้สึกท้อแท้หรือไม่สบายใจ คนไม่มีรากคิดว่าเราควร ...ออกจากตัวเอง ..มองไปยังโลกภายนอก เราจะเห็นว่าเราเป็นเพียงเสี้ยวธุลีเล็ก ๆ เท่านั้นในจักรวาล...เราไม่ได้มีตัวตน หรือ ความสำคัญอะไร เราจึงไม่ควรยึดอยู่กับตัวเองเท่านั้น
    • ....มีคนอีกมากค่ะ ที่ลำบาก ..และอาจกำลังต้องการความช่วยเหลือจากเรา  อย่ามัวอยู่กับ...ตัวเองเลย เพราะอาจทำให้ยิ่งทุกข็ไม่หมดสิ้นเสียที
    • ...โลกข้างนอกยังสวยงามและมีสิ่งดี ๆ รออยู่ค่ะ
    • ขอบคุณค่ะ ...เป็นกำลังใจร่วมกันนะคะ
    • (^_^)

    โหลจ้ะ

    เปิดโทรศัพท์ด้วยนะ มีเรื่องคุยจ้ะ .... อย่าเพิ่งโกรธนะ....น่านะ

    อธิบายได้จ้ะ

    รักจ้ะ

     

    • สวัสดีค่ะจิ๊ก
    • แล้วค่อยคุยกันจ้ะ...และไม่ได้โกรธค่ะ
    • ...^_^...

    พี่คนไม่มีรากคะ แวะไปที่บ้านครูมิมสักนิดนะคะ ด้วยความคิดถึงค่ะ

    • คุณแจ๋วคะ
    • คงต้องขอตัวค่ะ  ขอโทษนะคะ
    • แล้วค่อยคุยกันค่ะ
    • คิดถึงค่ะ
    พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
    ClassStart
    ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
    ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
    ClassStart Books
    โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท