ศูนย์กลางในการคบหาสมาคมของชาวภาคใต้ "ร้านน้ำชา สภากาแฟ" ร้านน้ำชาหรือสภากาแฟเปรียบเสมือนเวทีชาวบ้านของชาวภาคใต้ ส่วนใหญ่จะนิยมขายกันในแถบภาคใต้ตอนล่าง โดยเฉพาะใน บริเวณ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ชาวบ้านส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาอิสลาม เพราะศาสนาอิสลามห้ามไม่ให้ดื่มเหล้า ชาวบ้านเลยหันไปดื่มน้ำชา กาแฟแทน การตั้งวงกินน้ำชา จะเป็นผลดีมากกว่าการตั้งวงกินเหล้าเพราะถ้ากินเหล้าแล้วเมาก็เกิดการทะเลาะกันมากกว่า ส่วนการตั้งวงกินน้ำชาสามารถคุยกันไปเรื่อย ๆ ถ้าเจ้าของร้านไม่เก็บร้านก็จะไม่เลิก
ชาวบ้านในเขตชนบทของภาคใต้ส่วนใหญ่จะมีอาชีพกรีดยาง หลังจากกรีดยางเสร็จ ระหว่างที่รอให้น้ำยางหยุดไหล ชาวบ้านจะชอบไปนั่งร้านน้ำชาหรือสภากาแฟ จิบน้ำชาหรือกาแฟพร้อม ปาท่องโก๋ หรือโรตี หรือในวันที่ฝนตกไม่ได้กรีดยาง ก็จะไปร้านน้ำชาเพื่อ ตั้งวงพูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในหลาย ๆ ประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง วิเคราะห์ปัญหาของชุมชน พูดง่าย ๆ คือ นินทาชาวบ้าน หรือบางแห่งต่างคนต่างหิ้วกรงที่ใส่นกกรงหัวจุก หรือนกเขาไปด้วยเพื่อเอาไปอวดเพื่อน สำหรับเขตเมือง บางคนก่อนไปทำงานจะแวะจิบน้ำชาสักแก้วสองแก้วก่อนไปทำงาน เพื่อนั่งแลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อน ๆ
......บางแห่งไม่มีร้านน้ำชา .... แต่จะยึดเอาจุดศูนย์กลางของชุมชนเป็นที่ชุมนุมแทน เช่น บ้านแกนนำชุมชน บ้านผู้ใหญ่บ้าน บ้านหัวหน้าอสม. หรือบ้านที่ชาวบ้านเคารพนับถือ ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านของคนที่มีความรู้ความสามารถในการให้คำปรึกษาประจำชุมชนนั้น ๆ
อย่างเช่น บ้านพี่เล็ก (อุทัย บุญดำ) ซึ่งตั้งเป็นที่ทำการเครือข่ายสินธุ์แพรทอง ต.ลำสินธุ์ อ.ศรีนครินทร์ จ.พัทลุง ชาวบ้านละแวกนั้นจะมารวมกันที่บ้านพี่เล็กเป็นประจำทุกวัน บางคนเทียวมาเทียวไปวันหนึ่งไม่รู้กี่รอบพี่สร้อย(ภรรยาพี่เล็ก) ต้มน้ำร้อนเผื่อไว้ตลอดเวลา เพราะใครไปใครมาตอนไหนจะได้ ชงน้ำชา กาแฟ สะดวก บางคนไม่ได้มามือเปล่าแต่จะหิ้วขนมมาคนละชิ้นสองชิ้น หรือบางคนไปต่างจังหวัดก็ซื้อขนม ซื้อกาแฟ มาฝาก พี่สร้อยแทบไม่ต้องซื้อขนมอะไรมาวางไว้เลย แต่ละวันชาวบ้านจะแวะเวียนมาเรื่อย ๆ บางคนมีเรื่องไม่สบายใจก็จะมานั่งระบายให้พี่สร้อยกับพี่เล็กช่วยกันหาทางออกให้
.........>>น้องเยาะแอบถามพี่สร้อยว่า"ไม่เหนื่อยบ้างหรือคะที่คอยเก็บถ้วยล้างแก้วอยู่ทุกวัน"
....>> พี่สร้อยตอบว่า นี่คือ ความสุข ....พี่สุขใจที่มีคนคอยแวะเวียนไปมาหาสู่อยู่ตลอดเวลา ดีซะอีกจะได้ไม่เหงา คนที่นี่จะคบกันด้วยความจริงใจใครไปไหนมาไหนก็จะหิ้วของติดไม้ติดมือมาฝาก......แล้วก็จะมาช่วยกันกิน วันไหนเราได้เนื้อ ได้ปลามาเยอะ ๆ เราก็แบ่งให้เพื่อนบ้านเอาไปกินคนละตัวสองตัว .....จริงตามที่พี่สร้อยพูดเพราะ......วันก่อนตอนที่น้องเยาะเข้าไปช่วยงานรำลึกถังแดงไปถึงก็เห็นพี่สร้อยกำลังแบ่งปลาที่พี่ลูกอม นักศึกษาป.โท ม.เชียงใหม่ นำมาฝากจาก จ.ตรัง พี่สร้อยก็จัดแจงแบ่งใส่ถุงเพื่อแจกให้กับเพื่อนบ้าน
......ทำให้น้องเยาะนึกถึงนิทานที่บังหีม (นเรศ หอมหวน)ประธานคณะกรรมการ ศวพถ. ของเรา เคยเล่าให้ฟังว่า ... มีเศรษฐีคนหนึ่งจะเลือกลูกสะไภ้ให้ลูกชาย มีคนมาสมัคสามคน เศรษฐีคนนั้นเลยออกอุบายว่า ถ้ามีปลาหนึ่งกิโล จะทำอย่างไรที่จะกินได้นาน ๆ ..คนแรกตอบว่าเอาไปตากแห้ง ...คนที่สองตอบว่าเอาไปทำปลาร้า ... แต่คนที่สามตอบว่า........เอาไปแบ่งให้เพื่อนบ้าน คำตอบนี้ทำให้เป็นที่น่าพอใจของเศรษฐี ก็เลยเลือกคนที่สามเป็นลูกสะไภ้ ...
..............นิทานเรื่องนี้ก็จะสอดคล้องกับสังคมชนบทบ้านเรานะคะบังหีม ถือเป็น ภูมิปัญญา ที่สอนให้เรามีการเผื่อแผ่ต่อเพื่อนบ้าน ...ก็ไม่แตกต่างจากชาวลำสินธุ์และอีกหลาย ๆ ชุมชนที่ยังคงยึดถือปฏิบัติกันอยู่และขอให้ปฏิบัติต่อกันอย่างนี้สืบทอดต่อไปเรื่อย ๆ นะคะ อย่าปล่อยให้สังคมเมืองเข้าไปทำลายความมีน้ำใจของชาวบ้านตรงนั้นไปเสีย.............
สวัสดีคะ... คนใต้ใจดีก๋า... ยินดีที่ได้รู้จักคะ เป็นกำลังใจให้กับชาวไทยภาคใต้นะคะ
ชอบนิทานนี้จังเลย
น้องเยาะขอ..เก็บกำลังใจไว้มอบให้ชาวใต้ ทุก ๆ คน นะคะ คุณครูภีรภา อัคระจาคะ ขอขอบคุณแทนชาวใต้ทุกคนเลยนะคะ
สวัสดีคะพี่ชาญวิทย์ สบายดีไหมคะ ..ไม่เจอกันนานแล้ว ..คิดถึงนะคะ...
สวัสดี... คนใต้ใจดีก๋าบ... ยินดีที่ได้รู้จัก เป็นกำลังใจให้กับชาวไทยภาคใต้ทุกคนคาบ
สลามน้องเยาะสบายดีนะค่ะ
สลามน้องเยาะ หายไปนานเลยนะ